Friday, 25 April 2025
TheStatesTimes

EU สั่งปรับ Apple-Meta กว่า 700 ล้านยูโร ฐานขัดขวางการแข่งขันในตลาดดิจิทัล และละเมิดสิทธิผู้บริโภค

(24 เม.ย. 68) สหภาพยุโรป (EU) สั่งปรับบริษัท Apple จำนวน 500 ล้านยูโร (ราว 18,750 ล้านบาท) และ Meta อีก 200 ล้านยูโร (ราว 7,621 ล้านบาท) ฐานละเมิดพระราชบัญญัติตลาดดิจิทัล (DMA) โดยระบุว่าทั้งสองบริษัทจำกัดการแข่งขันและลดทางเลือกของผู้บริโภคในตลาดดิจิทัล

คณะกรรมาธิการยุโรปชี้ว่า Apple ใช้มาตรการทางเทคนิคและเชิงพาณิชย์เพื่อกีดกันไม่ให้ผู้พัฒนาแอพแนะนำข้อเสนอราคาถูกนอก App Store ซึ่งขัดต่อหลักความเป็นธรรมทางการตลาดที่ DMA วางไว้

สำหรับ Meta รายงานระบุว่าโมเดล “จ่ายหรือยินยอม” ที่เปิดตัวปลายปี 2023 ซึ่งให้ผู้ใช้เลือกยอมให้ติดตามข้อมูลเพื่อใช้บริการฟรี หรือจ่ายเงินเพื่อใช้งานแบบไม่มีโฆษณา ถูกพิจารณาว่าละเมิด DMA แม้จะมีการปรับเปลี่ยนให้ลดการใช้ข้อมูลแล้วก็ตาม

ค่าปรับนี้เป็นผลจากการสอบสวนของคณะกรรมาธิการยุโรปที่ดำเนินมานานกว่าหนึ่งปี แสดงให้เห็นถึงความจริงจังของ EU ในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อควบคุมยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีให้ปฏิบัติอย่างเป็นธรรมต่อผู้บริโภคและคู่แข่งในตลาดยุโรป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติแถลงผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือน เด็ดขาด รุกปราบปรามอาชญากรรมทุกรูปแบบ พร้อมเสริมสวัสดิการ สร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับตำรวจและครอบครัว

(23 เม.ย. 68) เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ และ พล.ต.ต.วรศักดิ์                 พิสิษฐบรรณกร รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แถลงผลการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รอบ 6 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึง 31 มีนาคม 2568 ณ สารสิน อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 

1. ผลการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรม 4 กลุ่ม 
- คดีอุกฉกรรจ์และสะเทือนขวัญ : จับกุม 9,183 คดี ผู้ต้องหา 12,329 คน 
- คดีชีวิต ร่างกายและเพศ : จับกุม 29,213 คดีผู้ต้องหา 34,876 คน 
- คดีประทุษร้ายต่อทรัพย์ : จับกุม 6,924 คดี ผู้ต้องหา 8,380 คน 
- คดีที่น่าสนใจหรือรัฐเป็นผู้เสียหาย : จับกุม 263,731 คดี ผู้ต้องหา 275,514 คน

2. ผลการดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน 
2.1 มาตรการปราบปรามยาเสพติด 
- ผลการปราบปรามยาเสพติด จับกุมผู้ต้องหา 123,910 คน , ข้อหาฟอกเงิน 146 คดี ของกลางยาบ้า 510,211,182 เม็ด , ไอซ์ 29,604.74 กิโลกรัม , เคตามีน 3,926.78 กิโลกรัม , เฮโรอีน 880.20 กิโลกรัม , ยาอี 118,230 เม็ด ยึดอายัดทรัพย์สิน 4,986,222,913 บาท
- มาตรการสกัดกั้นและปราบปรามผู้ค้ายาเสพติดตามแนวชายแดนและพื้นที่ตอนในของประเทศ Seal Stop Safe ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถึง 31 มีนาคม 2568 จับกุมข้อหาร้ายแรง 23,270 คดี ของกลางยาบ้าและยาอี รวม 200.64 ล้านเม็ด และไอซ์ , เคตามีน , เฮโรอีน รวม 11 ตัน ยึดอายัดทรัพย์สิน 1,414.66 ล้านบาท โดยมีการจับกุมและการยึดทรัพย์ เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 19 - 79 เมื่อเทียบจากปี 2567
- ผลการจับกุมการกระทำความผิดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ถึง 3 เมษายน 2568 จับกุมผู้ต้องหา 2,260 คน ของกลาง 1,106,936 ชิ้น มูลค่า 218,499,239 บาท , การจับกุมผู้ลักลอบจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้ารายใหญ่ หรือมูลค่าของกลาง 5 แสนบาทขึ้นไป และแก๊สหัวเราะ (รวมยอดของกรมศุลกากร) จำนวน 26 คดี ผู้ต้องหา 27 คน ของกลาง 1,297,111 ชิ้น มูลค่า 264,492,100 บาท , คดีฟอกเงิน 22 คดี ของกลาง 839,948 ชิ้น มูลค่าของกลาง 202,863,310 บาท , ระงับ/ปิดกั้น URL ที่เกี่ยวข้องกับการจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า 11,106 URL และปิดกั้นเพจเฟซบุ๊กตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึงเดือนมีนาคม 2568 จำนวน 1,687 เพจ 

2.2 แก๊งคอลเซ็นเตอร์ 
จำนวนคดีที่รับแจ้งความในระบบแจ้งความออนไลน์ 126,400 คดี ออกหมายจับ 327 คดี มีผลการจับกุม 152 คดี พนักงานอัยการสั่งฟ้องคดี จำนวน 125 คดี 
ผลการจับกุมอาชญากรรมทางเทคโนโลยีทุกประเภท 22,551 ราย บัญชีม้า 4,558 ราย การพนันออนไลน์ 35,174 ราย

การช่วยเหลือเหยื่อจากการค้ามนุษย์ การปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และตั้งศูนย์ประสานงานระหว่างไทยและกัมพูชา อีกทั้งนายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งจัดตั้ง ศูนย์อำนวยการขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยคุกคามที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ศอ.ปชด.) ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รับผิดชอบในส่วนของ ศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และการค้ามนุษย์ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้าน (ฉก.88) ส่งผลให้สามารถปราบปรามขบวนการอาชญากรรมทางเทคโนโลยีข้ามชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทางการกัมพูชาได้ควบคุมตัวคนไทย ผู้มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมืองปอยเปต และส่งตัวกลับมายังประเทศไทย เพื่อเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2568 ทางการกัมพูชาได้ควบคุมตัวคนไทยจำนวน 119 ราย  ซึ่งผลการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพและพนักงานสอบสวน พบว่า ผู้ต้องหา 100 รายมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ อีก 15 รายอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน โดยศาลได้อนุมัติหมายจับรวมทั้งสิ้น 102 ราย รวมถึงหัวหน้าแก๊งชาวจีนจำนวน 2 ราย 

ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2568 ครั้งที่ 1 ทางการกัมพูชาได้ควบคุมตัวคนไทยจำนวน 56 ราย  ซึ่งผลการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพและพนักงานสอบสวน พบว่า ผู้ต้องหา 49 รายมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ อีก 17 รายอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน ในข้อหาสำคัญ ได้แก่ ร่วมกันเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, อั้งยี่, ซ่องโจร, ฉ้อโกงประชาชน และนำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ขบวนการดังกล่าวมีพฤติการณ์ในการหลอกลวงประชาชนรูปแบบต่าง ๆ เช่น การหลอกลงทุนเทรดหุ้น โรแมนซ์สแกม การพนันออนไลน์ และการแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายเป็นวงกว้าง

2.3 ค้ามนุษย์ อาวุธปืน อาวุธสงคราม หนี้นอกระบบ ผู้มีอิทธิพล คนต่างด้าวผิดกฎหมาย และอาชญากรรมข้ามชาติ 1) ตรวจสอบพื้นที่เสี่ยงป้องกันการค้ามนุษย์ 1,263 ครั้ง ดำเนินคดีความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์และความผิดที่เกี่ยวข้อง จำนวน 116 คดี จับกุมผู้ต้องหา 150 คน , คัดกรอง (NRM) 15,819 คน พบข้อบ่งชี้อาจเข้าข่ายเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ 1,543 คน , ตรวจเรือประมง 1,128 ลำ จับกุมเรือประมง 19 คดี ผู้ต้องหา 20 คน ,  สถิติ CyberTip 142,015 เรื่อง และจับกุมคดีล่วงละเมิดเด็กทางอินเตอร์เน็ต 43 คดี 
2) เปิดยุทธการกวาดล้างผู้มีอิทธิพล 
- “CIB ขยี้อิทธิพล” เป้าหมายผู้มีอิทธิพล 47 เป้าหมาย กลุ่มแก๊งอาชญากรรม 74 เป้าหมาย จับกุม 109 คน ตรวจยึดยานพาหนะ 168 คัน อาวุธปืน 18 กระบอก เครื่องกระสุน 252 นัด , ยาเสพติด และอื่นๆ 
- “ธรณีนี้ มีขื่อ มีแป” เป้าหมายตรวจค้น 667 จุด 89 หมายจับ จับกุม 218 คน ตรวจยึดรถยนต์ 64 คัน รถจักรยานยนต์ 250 คัน อาวุธปืน 266 กระบอก พร้อมกระสุน 5,743 นัด , ระเบิด และยาเสพติด 
3) กำหนดพื้นที่แก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดน หมู่บ้านเป้าหมายหลัก 4,639 หมู่บ้าน หมู่บ้านเป้าหมายรอง     (เฝ้าระวัง) 21,669 หมู่บ้าน ดำเนินการผลักดันส่งกลับคนต่างด้าว 50,918 ราย ลงข้อมูลบัญชีบุคคลต้องห้าม 1,330 ราย

3. การดำเนินการที่สำคัญ 
3.1 มาตรการ 7 ขั้นตอน ป้องกันคนต่างด้าวถูกหลอกลวงหรือเป็นผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 
สรุปผลการปฏิบัติตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม ถึง 24 กุมภาพันธ์ 2568 มีการตั้งจุดตรวจ 17,908 จุด , ตรวจสอบยานพาหนะ 806,952 คัน , มีการตรวจสอบป้ายทะเบียนรถและใบหน้าบุคคล 22,828 ข้อมูล , ตรวจสอบสถานที่พัก สถานีขนส่ง จุดพัก ช่องทางธรรมชาติ ท่าข้ามต่าง ๆ 20,482 แห่ง จำนวน 24,537 ครั้ง , จับกุมคนต่างด้าวกระทำผิดกฎหมาย 1,962 ราย , ปฏิเสธการเข้าเมือง 2,367 ราย เพิกถอนการอนุญาต 202 ราย , ประชาสัมพันธ์รูปแบบต่างๆ ผ่านทุกช่องทาง , ดำเนินการทางปกครอง รวมจำนวน 7 ราย และการประสานงานความร่วมมือระหว่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้การเดินทางข้ามแดนโดยผิดกฎหมายและการกระทำความผิดของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

3.2 แนวทางการบริหารจัดการคดีสำคัญต่าง ๆ  มีการบริหารจัดการคดีสำคัญต่างๆ อาทิ กรณีเพลิงไหม้รถนักเรียน มีการตั้ง ศปก.ส่วนหน้า บริหารเหตุการณ์ฉุกเฉิน พร้อมดำเนินคดีทุกข้อหากับคนขับและผู้ที่เกี่ยวข้อง , คดีไอคอนกรุ๊ป มีการจัดตั้งศูนย์รับแจ้งความทั่วประเทศ , กรณีคดีห้างเพชรทองเคทูเอ็น (ตั๊ก-เบียร์) และห้างเพชรทองธาดาโกลด์ (ใบหนาด) มีการเปิดช่องทางสายด่วน 1599 เพื่อเป็นศูนย์รับแจ้งเหตุให้กับผู้เสียหาย , กรณีคดีนายแพทย์บุญ วนาสิน ศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหา จำนวน 16 ราย จับกุมแล้ว 15 ราย คงเหลือ 1 ราย คือ นายแพทย์บุญฯ ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีหนังสือแจ้งไปยังองค์กรตำรวจสากล (Interpol) และได้ประกาศตำรวจสากลสีแดง (Red Notice) เรียบร้อยแล้ว

3.3 การบริหารจัดการภัยเหตุตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม และการรับมือภัยธรรมชาติ พายุฤดูร้อน
ดำเนินการตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เน้นในการบริหารจัดการพื้นที่ ปิดล้อมที่เกิดเหตุ อพยพ ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ การอำนวยความสะดวกด้านการจราจร การนำส่งสายการแพทย์ การพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคลและการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดี

4. การขับเคลื่อนนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 15 ข้อ และนโยบายรัฐบาล 
สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้แต่งตั้งคณะทำงานขับเคลื่อนนโยบายและขับเคลื่อนโครงการ/กิจกรรม ที่สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล จำนวน 32 โครงการ/กิจกรรม โดยมีโครงการที่สำคัญ ได้แก่ โครงการ Digital Police Station,         การปรับปรุงแก้ไขคำสั่ง ตร. ที่ 419/2556 เรื่อง การอำนวยความยุติธรรมในคดีอาญา การทำสำนวนการสอบสวนและ มาตรการควบคุม ตรวจสอบ เร่งรัดการสอบสวนคดีอาญา , โครงการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาข่าวกรองเชิงยุทธศาสตร์และข่าวเชิงรุก, จัดทำแผนแม่บทด้านงบประมาณ การเงิน บัญชี การส่งกำลังบำรุงและเทคโนโลยีสารสนเทศ, โครงการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ช่วยเหลือข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ สวัสดิการบ้านพัก บ้านพักน่าอยู่ อาหารกลางวัน 

5. สวัสดิการและความเป็นอยู่
มีการดูแลสวัสดิการในด้านต่างๆ สำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจและครอบครัว อาทิ เบี้ยเลี้ยง , การช่วยเหลือข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ , สวัสดิการด้านอาหารกลางวันหน่วยในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ , การอบรม Money Management & Investment “ค่ายส่งสุขทางการเงิน เพื่อครอบครัวตำรวจไทย” ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับสมาคมแม่บ้านตำรวจ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ให้ความรู้ความเข้าใจด้านการวางแผนการเงิน , โครงการ “เสริมสร้างทักษะดนตรี กีฬา ช่วงปิดภาคการศึกษาแก่บุตรหลานข้าราชการตำรวจ” เป็นต้น 

และเน้นการเปลี่ยนแนวคิด Mindset 6 ด้าน 1. ปกป้องพิทักษ์เทิดทูนสถาบัน 2. การดูแลผู้ใต้บังคับบัญชา 3. แก้ไขสิ่งที่ผิดและทำในสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม 4. อุดมคติตำรวจ 5. เป็นต้นแบบและเป็นแบบอย่างที่ดี 6. การพัฒนาและดูแลความเป็นอยู่ของประชาชน นอกจากนี้ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฝากเพิ่มเติมว่า ห้วงที่ผ่านมามีหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บางคดีผู้เสียหายมีจำนวนมากที่จะต้องเข้าไปแก้ไขปัญหา เพิ่มจำนวนพนักงานสอบสวนหรือเจ้าหน้าที่ รวมถึงการบริหารจัดการคดีสำคัญ ช่วงการจัดงานเทศกาลสำคัญต่าง ๆ ที่ตำรวจได้เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ จึงขอขอบคุณตำรวจทุกนายที่ได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเห็นผลเป็นที่ประจักษ์ มีการขับเคลื่อนและเห็นผลเป็นที่ประจักษ์ แต่อย่างไรก็ตาม จะต้องขับเคลื่อนและกำหนดมาตรการเข้มข้น การปฏิบัติอย่างจริงจังต่อเนื่อง โดยเฉพาะอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน ยาเสพติด อาชญากรรมออนไลน์ ปัญหาคนต่างด้าวผิดกฎหมาย/นอมินี จะต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาด ต่อเนื่อง จริงจัง เพื่อให้อาชญากรรมดังกล่าวลดลง และแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืน ในบางโครงการเป็นโครงการระยะยาว จะต้องเร่งรัดให้สำเร็จผลและปรับแผนการปราบปรามอาชญากรรมให้ทันต่อสภาพอาชญากรรม และการสร้างวินัยจราจร เพื่อลดอุบัติเหตุและ  จะได้สรุปผลการดำเนินการในรายไตรมาสต่อไป

กบน. ลดอัตราเก็บเงินกองทุนน้ำมันฯ 40 สตางค์/ลิตร พร้อมตรึงราคาขายปลีก ช่วยบรรเทาผลกระทบประชาชน

เมื่อวันที่ (24 เม.ย. 68) คณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) มีมติเห็นชอบปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง สำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 แก๊สโซฮอล 95 แก๊สโซฮอล E20 น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา พรีเมียม ลดลง 0.40 บาทต่อลิตร มีผลพรุ่งนี้ (25 เม.ย.2568) เพื่อรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันหน้าสถานีบริการให้คงที่ ไม่ให้ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว

นายพรชัย จิรกุลไพศาล ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) เปิดเผยว่า ในการประชุม กบน. วันที่ 24 เมษายน 2568 ได้มีการประเมินสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกอย่างรอบด้าน ตลอดจนสถานการณ์ และปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกที่จะส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศ โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนเป็นหลัก จึงมีมติเห็นชอบลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับน้ำมันแก๊สโซฮอล 91 แก๊สโซฮอล 95 แก๊สโซฮอล E20 น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว B20 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดา พรีเมียม ลดลง 0.40 บาทต่อลิตร เพื่อตรึงราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศไม่ให้ปรับขึ้นราคา

ทั้งนี้ การปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ จะส่งผลให้รายรับของกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงประเภทน้ำมัน ลดลงประมาณวันละ 40.49 ล้านบาทต่อวัน จากประมาณ 366.57 ล้านบาทต่อวัน เหลือประมาณวันละ 326.08 ล้านบาทต่อวัน ขณะที่ฐานะกองทุนน้ำมันฯ ณ วันที่ 20 เมษายน 2568 ติดลบอยุ่ที่ 52,513 ล้านบาท แบ่งเป็น บัญชีน้ำมันติดลบอยู่ที่ 7,020 ล้านบาท และบัญชี LPG ติดลบอยู่ที่ 45,493 ล้านบาท

นายพรชัย กล่าวว่า การตัดสินใจลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ำมันฯ ครั้งนี้ เป็นมาตรการเพื่อรักษาเสถียรภาพระดับราคาน้ำมันภายในประเทศ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนในช่วงที่เศรษฐกิจยังอยู่ระหว่างการฟื้นตัว ยืนยันว่า กบน.ยังคงยึดมั่นในการดำเนินงานตามกรอบของพระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2562 โดยมุ่งมั่นรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันภายในประเทศให้อยู่ในระดับราคาที่เหมาะสม ภายใต้หลักการ “เปิดเผย โปร่งใส ตรวจสอบได้” เป็นสำคัญ

สตูล ศรชล เตรียมความพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉินทางทะเล จัดการฝึก TTX จำลองแผนช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล สร้างความมั่นใจให้ประชาชนและนักท่องเที่ยว

พลเรือโท สุวัจ ดอนสกุล ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ภาค 3 (ศรชล.ภาค 3)/ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 3 มอบหมายให้ น.อ.แสนย์ไท บัวเนียม รองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล จังหวัดสตูล (รอง ผอ.ศรชล.จว.สตูล) จัดการฝึกซ้อมแผนช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล การปฏิบัติด้านการแพทย์ฉุกเฉินทางทะเล และการบริหารจัดการในภาวะวิกฤต ในรูปแบบ Table Top Exercise (TTX) ระหว่างวันที่ 23 – 24 เมษายน 2568 เวลา 08.30 – 17.30 น.ณ เพ็ญทิพย์ รีสอร์ท อำเภอเมืองสตูล จังหวัดสตูล โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการซักซ้อมความเข้าใจ และขั้นตอนการปฏิบัติ ตามแผนเผชิญเหตุช่วยเหลือผู้ประสบภัยทางทะเล การปฏิบัติด้านการแพทย์ฉุกเฉินทางทะเล และการบริหารจัดการในภาวะวิกฤต ของจังหวัดสตูล และนำไปสู่การฝึกภาคสนาม การปฏิบัติจริง เมื่อเกิดเหตุภัยพิบัติต่าง ๆ ในพื้นที่ทางทะเลของจังหวัดสตูล อีกทั้งยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่น เกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน ให้กับประชาชนในพื้นที่ ผู้ประกอบอาชีพประมง และผู้ประกอบการท่องเที่ยวทางทะเล รวมทั้งนักท่องเที่ยวชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาท่องเที่ยวในพื้นที่ทางทะเลของจังหวัดสตูล

ในวันพุธที่ 23 เมษายน 2568 เวลา 09.30 น. นาวาเอกแสนย์ไท บัวเนียม รอง ผอ.ศรชล.จว.สตูล เป็นประธานในพิธีเปิดการฝึก ณ เพ็ญทิพย์ รีสอร์ท หน่วยงานที่เข้าร่วมการฝึกซ้อมครั้งนี้ ประกอบด้วย:
• ศรชล.จว.สตูล
• ศคท.จว.สตูล
• สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสตูล (ปภ.สตูล)
• สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสตูล
• โรงพยาบาลสตูล
• สถานีตำรวจภูธรเมืองสตูล
• หน่วยงานในสังกัดกองทัพเรือที่เกี่ยวข้อง
• หน่วยงานของกรมเจ้าท่าในพื้นที่
• องค์การบริหารส่วนจังหวัดสตูล
• องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ชายฝั่ง
• สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.)
• หน่วยรักษาความปลอดภัยทางทะเล กองทัพเรือ เกาะหลีเป๊ะ
• เรือ ต.114 และ เรือ ต.273
• ชุดปฏิบัติการพิเศษนาวิกโยธิน พื้นที่ปฏิบัติการทางทะเล ศรชล.ภาค 3 (ชปพ.นก.พตต.ศรชล.ภาค 3)
• และหน่วยงานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
• การปฏิบัติใน วันที่ 23 เมษายน 2568 ประกอบด้วย
การบรรยายพิเศษโดยวิทยาการผู้มีประสบการณ์จากหน่วยงานต่าง ๆ ดังนี้
• ปภ.จว.สตูล–แผนเผชิญเหตุและการจัดตั้งศูนย์บัญชาการ
• ศคท.จว.กระบี่–ศูนย์บัญชาการเหตุการณ์ทางทะเลของ ศรชล.ภาค 3
• สาธารณสุขจังหวัด / รพ.สตูล – ระบบสั่งการ 1669 และการแพทย์ฉุกเฉินทางทะเล
• รอง ผอ.ศรชล.จว.สตูล / ศคท.จว.สตูล / ปภ.สตูล – แนวทางการฝึกและสถานการณ์สมมุติ

การอภิปราย วิเคราะห์สถานการณ์ ฝึกตัดสินใจ และเสนอแนะแนวทางปฏิบัติร่วมกันระหว่างหน่วยงาน

วันที่ 24 เมษายน 2568 ปล่อยโจทย์สถานการณ์จำลองเหตุอุบัติภัยทางทะเล (สถานการณ์จริงสมมุติ), วิเคราะห์การปฏิบัติ ประเมินปัญหา อุปสรรค และข้อเสนอแนะ

สรุปผลการฝึก โดยคณะควบคุมการฝึก: ศรชล.จังหวัดสตูล / ศคท.สตูล / ปภ.สตูล
การฝึก TTX ครั้งนี้ถือเป็นกลไกสำคัญในการบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วนในจังหวัดสตูล เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินทางทะเลได้อย่างทันท่วงที มีประสิทธิภาพ และปลอดภัยสูงสุด

เหตุด่วน เหตุร้าย ภัยทางทะเล
📞 ต้องการความช่วยเหลือทางทะเล โทร. 1465 แจ้ง ศรชล.ภาค 3 ตลอด 24 ชั่วโมง

นาวิกโยธินสหรัฐฯ 2 นายถูกสอบสวนข่มขืนหญิงญี่ปุ่นในโอกินาวา ซ้ำเติมความไม่พอใจชาวบ้านในพื้นที่ต่อฐานทัพอเมริกัน

(24 เม.ย. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สมาชิกหน่วยนาวิกโยธินสหรัฐฯ 2 นาย กำลังถูกสอบสวนในข้อหาข่มขืนหญิงชาวญี่ปุ่น 2 รายในจังหวัดโอกินาวา โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคมและมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นคดีล่วงละเมิดทางเพศล่าสุดที่จุดชนวนความไม่พอใจของชาวบ้านในพื้นที่ต่อการมีฐานทัพสหรัฐฯ ตั้งอยู่

ตำรวจท้องที่เปิดเผยว่า นาวิกโยธินสหรัฐฯ วัย 20 ปีเศษต้องสงสัยว่าข่มขืนหญิงชาวญี่ปุ่นที่ฐานทัพอเมริกันในเดือนมีนาคม และยังถูกกล่าวหาว่าทำร้ายผู้หญิงอีกราย ขณะที่นาวิกโยธินอีกนายในวัยเดียวกันถูกกล่าวหาว่าข่มขืนหญิงชาวญี่ปุ่นอีกคนหนึ่งที่ฐานทัพเดียวกันเมื่อเดือนมกราคม โดยตำรวจญี่ปุ่นได้ส่งสำนวนคดีให้อัยการแล้ว

เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำญี่ปุ่น จอร์จ กลาส (George Glass) ยืนยันว่าสหรัฐฯ พร้อมให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับการสอบสวนของทางการญี่ปุ่น และให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อความไว้เนื้อเชื่อใจและความเป็นหุ้นส่วนอันยาวนานกับญี่ปุ่น พร้อมให้คำมั่นว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันการกระทำที่บ่อนทำลายความสัมพันธ์นี้

สำหรับเหตุการณ์ล่าสุดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความตึงเครียดที่สั่งสมมานานระหว่างชาวโอกินาวากับทหารสหรัฐฯ ที่ประจำการอยู่ในพื้นที่ ซึ่งมีจำนวนประมาณ 54,000 นายทั่วญี่ปุ่น โดยส่วนใหญ่อยู่ที่ฐานทัพบนเกาะโอกินาวา ผู้ว่าการจังหวัดโอกินาวาได้ออกมาประณามการกระทำดังกล่าวว่า "เลวทราม" และเรียกร้องให้กองทัพสหรัฐฯ มีมาตรการป้องกันที่เข้มงวดเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย

Zus Coffee รุกตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเต็มสูบ เตรียมเปิดสาขาใหม่เกือบ 200 แห่งภายในปี 2568 พร้อมเปิดตัวสาขาแรกในไทย

(24 เม.ย. 68) Zus Coffee (ซุส คอฟฟี่) แบรนด์กาแฟชื่อดังจากมาเลเซีย เตรียมเปิดร้านใหม่เกือบ 200 แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภายในปี 2568 โดยแบ่งเป็น 107 สาขาในมาเลเซีย 80 สาขาในฟิลิปปินส์ 6 สาขาในสิงคโปร์ และอีกหนึ่งสาขาแรกในประเทศไทยและอินโดนีเซีย

เมื่อไม่นานมานี้ Zus Coffee ได้แซงหน้าสตาร์บัคส์ขึ้นเป็นเชนร้านกาแฟที่มีจำนวนสาขามากที่สุดในมาเลเซีย โดยมีสาขาทั้งหมด 743 แห่ง เทียบกับสตาร์บัคส์ที่มีเพียง 320 แห่ง

การเติบโตของ Zus Coffee เกิดขึ้นในช่วงที่สตาร์บัคส์ในมาเลเซียเผชิญกับผลกระทบจากการคว่ำบาตรทางการเมือง ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ประกอบการในประเทศ

Zus Coffee เริ่มต้นจากร้านเล็กๆ ในปี 2019 และสามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็ว โดยรายงานรายได้สุทธิในปี 2024 เพิ่มขึ้นถึงสามเท่า เป็น 37 ล้านริงกิต (ราว 281 ล้านบาท) ซึ่งกว่า 70% ของยอดขายมาจากการสั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์ สะท้อนถึงความสำเร็จของโมเดลธุรกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี

จีนปฏิเสธการเชื่อมโยงกับความขัดแย้ง ‘คลองปานามา’ พร้อมย้ำความสัมพันธ์อันดีกับลาตินอเมริกา บนหลักการเคารพซึ่งกันและกัน

กระทรวงการต่างประเทศจีนออกแถลงการณ์ตอบโต้สหรัฐฯ กรณีเชื่อมโยงจีนกับข้อขัดแย้งเกี่ยวกับคลองปานามา โดยระบุว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่สามารถบดบังเป้าหมายที่แท้จริงของสหรัฐฯ ในการขยายอิทธิพลในภูมิภาคลาตินอเมริกาได้

แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นหลังสื่อปานามาวิพากษ์บทบาทของสหรัฐฯ ในอเมริกากลาง โดยเฉพาะแผนการตั้งฐานทัพถาวรและข้อกล่าวหาเรื่องการใช้ 'ภัยคุกคามจากจีน' เพื่อสนับสนุนนโยบายความมั่นคงของตน

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนย้ำว่า การบิดเบือนข้อมูลเกี่ยวกับจีนและคลองปานามาไม่สามารถปกปิดความต้องการของสหรัฐฯ ในการแทรกแซงภูมิภาคนี้ได้ พร้อมเรียกร้องให้สหรัฐฯ ยุติการขัดขวางความร่วมมือระหว่างจีนและประเทศในลาตินอเมริกา โดยจีนยึดมั่นในหลักความเสมอภาค ผลประโยชน์ร่วม และไม่แทรกแซงกิจการภายใน

ประธานาธิบดีปานามาได้ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องการแทรกแซงจากจีน โดยยืนยันว่าไม่มีหลักฐานใด ๆ ที่บ่งชี้ถึงการกระทำดังกล่าว ขณะที่จีนสรุปว่า ความร่วมมือในภูมิภาคควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของการส่งเสริมเสถียรภาพ ความมั่นคง และการพัฒนาที่ยั่งยืน ผ่านความเข้าใจซึ่งกันและกัน

‘ตรีรัตน์’ สวน ‘สส. พรรคส้ม’ ปมเบรกซื้อไฟฟ้าสีเขียว ชี้ ไม่ได้จะทำให้ค่าไฟถูกลง มีแต่ทำให้ค่าไฟแพง

‘ตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส’ สวนพรรคประชาชน ชี้กรณีเบรกการซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาด 5,200 mw และ 3,600 mw ไม่ได้จะทำให้ค่าไฟถูกลง มีแต่ทำให้ค่าไฟแพง พร้อมแนะควรไปรื้อสัญญาซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดแบบเก่าที่มีค่า Adder ออกจากระบบดีกว่า 

นายตรีรัตน์ ศิริจันทโรภาส อดีตรองเลขาธิการพรรคไทยสร้างไทย ซึ่งปัจจุบันลาออกมาเป็นนักธุรกิจพลังงานสะอาด ได้โพสต์เฟซบุ๊ก และ X สวนนายวรภพ วิริยะโรจน์ และนายศุภโชติ ไชยสัจ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ถึงประเด็นการเบรกการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนแบบ Feed-in Tariff รอบ 5,200 เมกะวัตต์ และรอบเพิ่มเติม 3,600 เมกะวัตต์ ดังนี้

ผมได้เห็นข่าวที่นายวรภพ วิริยะโรจน์ และนายศุภโชติ ไชยสัจ สส.พรรคประชาชน ออกมาแถลงข่าวขอให้นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ในฐานะรมว.พลังงาน เบรกการลงนามสัญญารับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาด 3,600 mw ไม่งั้นคนไทยจะต้องจ่ายค่าไฟแพงไปอีก 25 ปี

ซึ่งด้วยความเคารพ ผมต้องขอเห็นต่าง และคิดว่าเป็นการนำเสนอข้อมูลที่อาจคลาดต่อความเป็นจริงครับ

ซึ่งก่อนที่ผมชี้แจง 2 เรื่อง

1.) ผมขอเน้นย้ำก่อนว่าผมยืนในหลักการเดิมเสมอ คือการต่อสู้เพื่อให้ประชาชนมีค่าไฟที่ถูกลง สมัยที่ผมทำงานการเมืองเคยต่อสู้เรื่องนี้อย่างไร ทุกวันนี้แม้ออกมาแล้ว ก็ยังต่อสู้เรื่องนี้อยู่เช่นเดิมครับ

2.) ผมต้องขอออกตัวว่าผม หรือบริษัทผม ไม่ได้เข้าร่วมประมูลขายไฟให้ภาครัฐ และไม่เคยร่วมประมูลการขายไฟให้ภาครัฐ และก็ไม่ได้เป็นผู้ติดตั้งให้ผู้ชนะประมูลด้วย เพราะฉะนั้นการให้ข้อมูลของผม ไม่ได้มีเรื่องผลประโยชน์ใด ๆ ของผมแน่นอนครับ มีแต่เพียงความหวังดี

ซึ่งในประเด็นไหนที่ผมเห็นว่าความเข้าใจของผู้แถลงอาจผิดพลาดจากความเป็นจริง ผมในฐานะคนประกอบอาชีพด้านพลังงานสะอาดอย่างสุจริต ก็อยากจะนำเสนอความจริงอีกด้านให้สังคมได้รับรู้ โดยมีจุดหมายเดียวกัน เช่นเดียวกับ สส.พรรคประชาชน คือการหาทางออกให้ค่าไฟของประเทศไทยเราถูกลง

ผมขอเริ่มจากการฉายภาพให้ทุกท่านได้เห็นโครงสร้างการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยในปัจจุบัน และต้นทุนขายไฟของโรงไฟฟ้าแต่ละประเภทดังนี้ :

1. โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ-ราคาขายหน้าโรงไฟฟ้า 1.40 บาท/หน่วย
2. โรงไฟฟ้าถ่านหินลิกไนต์ (แม่เมาะ)-ราคาขายหน้าโรงไฟฟ้า 1.32 บาท/หน่วย
3. โรงไฟฟ้าถ่านหิน (นำเข้า)-ราคาขายหน้าโรงไฟฟ้า 2.01 บาท/หน่วย
4. โรงไฟฟ้าก๊าซ-ราคาขายหน้าโรงไฟฟ้า 3.24-4.06 บาท/หน่วย (รวมค่า AP)
5. โรงไฟฟ้าลม (แบบมี adder)-ราคาขายหน้าโรงไฟฟ้า 8 บาท/หน่วย
6. โรงไฟฟ้าโซลาร์ (แบบมี adder)-ราคาขายหน้าโรงไฟฟ้า 10-12 บาท/หน่วย
7. โรงไฟฟ้าโซลาร์ & ลม (หลัง adder หมด)-ราคาขายหน้าโรงไฟฟ้า 4.5 บาท/หน่วย รวม FT
8. โรงไฟฟ้าโซลาร์ (สัญญาใหม่ รับซื้อราคาคงที่ Nonfirm) -2.16 บาท/หน่วย
9. โรงไฟฟ้าโซลาร์+แบตเตอรี่ (สัญญาใหม่ รับซื้อราคาคงที่ แบบ Firm)-2.8 บาท/หน่วย
10. โรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนอื่น ๆ (ชีวมวล ขยะ)- 4-6 บาท/หน่วย

โดยราคาด้านบนเป็นราคาขายไฟหน้าโรงไฟฟ้า ยังไม่รวมค่าสายส่ง 0.24 บาท/หน่วย และค่าสายจำหน่ายและการให้บริการของการไฟฟ้าส่วนจำหน่าย ซึ่งก็คือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) และการไฟฟ้านครหลวง (MEA) ที่ 0.51 บาท/หน่วย

กลับมาที่ประเด็นร้อน-การที่ กกพ.ประกาศรับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาด ประเภทโรงไฟฟ้าโซลาร์ (แบบราคารับซื้อคงที่) 2.16 บาท/หน่วย และโรงไฟฟ้าโซลาร์+แบตเตอรี่ที่ 2.8 บาท/หน่วย เป็นการทำให้ค่าไฟประเทศไทยแพงไปอีก 25 ปีหรือไม่ ?

หากท่านได้ดูโครงสร้างที่ผมเขียน จะเห็นเลยว่าไม่จริงครับ เพราะวันนี้ต้นทุนเฉลี่ยค่าผลิตไฟฟ้าทั้งประเทศนั้นอยู่ที่เกือบ 3.3 บาท/หน่วย โดยคละกันทั้งไฟฟ้าถูกและไฟฟ้าแพง

การที่เรารับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่ 2 บาทกว่า/หน่วย จะเป็นการทำให้ต้นทุนไฟฟ้าค่าเฉลี่ยของประเทศถูกลงด้วยซ้ำ ไม่ใช่แพงขึ้นอย่างที่หลายท่านเข้าใจผิด

ประเด็นที่ 2.) (ที่ไม่มีใครเคยกล่าวถึงเลย) คือในปี 2568-2577 จะมีโรงไฟฟ้าก๊าซและน้ำมัน ซึ่งมีต้นทุนแพงกว่าพลังงานสะอาดอย่างมาก กำลังจะถูกปลดระวางออกจากระบบอีก 14,573 เมกะวัตต์ โดยเป็นโรงไฟฟ้าเอกชน 10,396 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้า กฟผ. 4,177 เมกะวัตต์

ซึ่งการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานสะอาดในครั้งนี้ จึงเป็นการเอาโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่ใหม่กว่าและถูกกว่าเข้ามาทดแทนโรงไฟฟ้าก๊าซและน้ำมันที่เป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม และกำลังจะหมดอายุ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนค่าผลิตไฟถูกลงอีกเกือบ 1 บาท/หน่วย

ประเด็นที่ 3.) ราคารับซื้อไฟที่ 2.16 บาท/หน่วย มันเป็นราคาที่แพงหรือไม่ และราคาแผงโซลาร์มันมีแต่ลงจริงหรือไม่ ?

ผมต้องนำเรียนทั้งคุณศุภโชติ และนายพีระพันธุ์ ที่เบรกการรับซื้อไฟฟ้าครั้งนี้ ว่ามันไม่แพงเลยครับ

ผมในฐานะที่ทำธุรกิจรับติดตั้งโซลาร์เซลล์ และขายไฟ (ให้เอกชน) บอกได้เลยว่าราคานี้ไม่ได้เป็นราคาที่แพงเลย เพราะผู้ชนะประมูลต้องลงทุนทั้งที่ดิน ซึ่งโรงไฟฟ้าโซลาร์ 1 เมกะวัตต์ ต้องใช้ที่ดินมากถึง 6 ไร่ และไหนจะเรื่องการดูแลระบบ การล้างแผงโซลาร์ การกำจัดหนู แมลงไม่ให้ไปกัดสายไฟ และการเดินระบบสายส่ง+ปักเสาไฟฟ้าไปจุดเชื่อมต่อของการไฟฟ้า ล้วนแต่มีต้นทุนที่สูง นอกจากนี้ แผงโซลาร์ยังมีอัตราการเสื่อมของแผงอยู่ที่ 0.5% ต่อปีอีกด้วย เพราะฉะนั้น Factor เหล่านี้ มันต้องถูกนำไปคำนวณด้วยครับ

ค่าแผง Solar นั้นคิดเป็นเพียง 15% ของต้นทุนโครงการ Solar Farm เท่านั้น และยังมีต้นทุนอื่น ๆ อีกที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าแรง ค่า O&M ค่าสายส่ง ค่าที่ดิน หรือค่าเช่าที่ดิน ที่เป็นราคาแปรผัน จึงไม่สามารถนำแค่ค่าแผงมาคิดเป็นต้นทุนได้

ราคาแผงโซลาร์เองก็ไม่ได้มีแต่ลงอย่างเดียว โปรดอย่าเข้าใจผิดว่ามันมีแต่ถูกลง อย่างช่วงไตรมาสนี้ ราคาแผงโซลาร์มีการปรับขึ้นเนื่องจากรัฐบาลจีน ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตแผงโซลาร์รายใหญ่สุดของโลกมีการเพิ่มภาษีส่งออก 5% ตั้งแต่ ธ.ค. 2567 ไม่รวมกับเรื่องของราคาที่แปรผันของ Wafer ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักของแผงโซลาร์อีกด้วย

เพราะฉะนั้นแล้วผู้ที่จะเข้าประมูลโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดลอตใหม่ต้องเอาปัจจัยความไม่แน่นอนเหล่านี้มาคำนวณความเสี่ยง เพราะต้องยืนราคาขายไฟยาว 25 ปี ยังไม่นับการเปลี่ยนระบบอินเวอร์เตอร์และแบตเตอรี่ที่มีอายุใช้งานสั้นกว่าแผงโซลาร์อย่างมาก เพราะต้องเปลี่ยนใหม่ทุก 10 ปีครับ

ประเด็นที่ 4.) โอกาสของประเทศไทย

วันนี้ประเทศไทยจำเป็นต้องดึงดูดนักลงทุนต่างชาติกลุ่มใหม่อีกมาก โดยเฉพาะกลุ่ม Data Center ที่มีความประสงค์อยากมาลงทุนในภูมิภาคเรา

ซึ่งผู้ประกอบการกลุ่มนี้ต้องการมาลงทุนในประเทศที่สามารถส่งพลังงานสะอาดให้กับเขาได้เท่านั้น เพราะบริษัทเหล่านี้ได้เซ็นพันธสัญญาสู่ Net Zero Carbon เอาไว้ (ยกตัวอย่าง Amazon Web Service)

อนาคตของประเทศไทยจึงจำเป็นที่ต้องสนับสนุนโรงไฟฟ้าพลังงานสะอาดที่มีราคาถูกให้เกิดขึ้นในอนาคต

สุดท้ายนี้ สิ่งสำคัญที่จะทำให้ค่าไฟถูกลง คือการกำจัดโรงไฟฟ้าที่มีต้นทุนสูง และโรงไฟฟ้าเก่าที่ด้อยประสิทธิภาพออกจากระบบ

ผมอยากฝากเพื่อน สส.พรรคประชาชน รวมถึงนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ว่าเราจะทำอย่างไรให้โรงไฟฟ้าสะอาด (แบบเก่า) ที่มีค่า Adder และก็ได้คืนทุนไปนานโขแล้ว ปลดระวางออกจากระบบ

ซึ่งหากท่านจำได้ ผมเองเคยเอาสัญญามาเปิดให้พวกท่านดูแล้ว ว่าโรงไฟฟ้ากลุ่มนี้ นอกจากจะได้ค่าไฟสูงถึง 8-12 บาท/หน่วย ในช่วงมี Adder แล้ว หลังหมด Adder ก็ยังสามารถขายไฟฟ้าต่อไปได้เรื่อย ๆ แบบไม่มีวันหมดอายุ ในราคาขายที่ 4.5 บาท/หน่วย ซึ่งแพงกว่าสัญญารับซื้อไฟฟ้าฉบับใหม่ที่ 2.16 บาทกว่าเท่าตัว !

นี่เป็นเคราะห์กรรมหนักที่ประชาชนคนไทยต้องรับไว้ และรอคอยความหวังให้นักการเมืองที่มีความตั้งใจเข้ามาปลดสัญญาทาสเหล่านี้ ไม่ใช่การไปเบรกซื้อพลังงานสะอาดราคาถูกที่จะมาทดแทนโรงไฟฟ้า Fossil แบบเดิมครับ

‘ภูมิธรรม’ เผยผลพูดคุย ‘ไทย-มาเลเซีย’ คืบหน้า ย้ำปัญหาชายแดนใต้ไม่ง่าย แต่พร้อมเดินหน้าพัฒนาเพื่ออนาคตร่วมกัน

(24 เม.ย. 68) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงการที่นายฉัตรชัย บางชวด เลขาธิการ สมช. เข้าร่วมประชุมสภาความมั่นคงอาเซียนที่มาเลเซีย โดยระบุว่ามีการพูดคุยกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียนในปีนี้ด้วย

นายภูมิธรรมกล่าวว่า ประเด็นสำคัญของการหารือคือปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งถือเป็นเรื่องเร่งด่วน และผลการพูดคุยของผู้นำทั้งสองประเทศเป็นไปในทิศทางที่ดี โดยเน้นย้ำว่าทั้งไทยและมาเลเซียมีความตั้งใจร่วมกันในการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ เพื่อสร้างประโยชน์ร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม นายภูมิธรรมยอมรับว่า ปัญหาดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขได้ง่าย เนื่องจากมีความซับซ้อนและสั่งสมมานาน แต่การหารือครั้งนี้อาจนำไปสู่แนวทางใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ ซึ่งรัฐบาลกำลังเร่งดำเนินการในหลายมิติควบคู่กันไป

25 เมษายน พ.ศ. 2148 ครบรอบปีที่ 420 วันสวรรคต ‘สมเด็จพระนเรศวรมหาราช’ รำลึกพระมหากษัตริย์ผู้ปลุกสำนึกรักชาติให้คนไทยชั่วนิรันดร์

วันที่ 25 เมษายน พุทธศักราช 2148 เป็นวันสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ไทย เนื่องจากเป็นวันที่ สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เสด็จสวรรคต ขณะมีพระชนมพรรษา 50 พรรษา ขณะนั้นพระองค์ทรงยกทัพไปยังเมืองหาง เพื่อจะตีเมืองอังวะของพม่า และสวรรคตระหว่างการตั้งทัพอยู่ที่เมืองสวางคบุรี (เมืองสองแควในจังหวัดพิษณุโลกปัจจุบัน)

สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาสามารถ ทรงมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการกอบกู้เอกราชของชาติไทยจากพม่า โดยเฉพาะเหตุการณ์สำคัญคือ ยุทธหัตถี ที่ทรงกระทำกับพระมหาอุปราชาแห่งพม่า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะและอิสรภาพของไทย

พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างของผู้นำที่กล้าหาญ เสียสละ และทรงอุทิศพระวรกายเพื่อบ้านเมืองอย่างแท้จริง ภายใต้การปกครองของพระองค์ ประเทศชาติมีความมั่นคง แข็งแกร่ง และได้รับการฟื้นฟูจากภัยสงคราม จนสามารถยืนหยัดเป็นอิสระได้อีกครั้ง

ปัจจุบัน วันที่ 25 เมษายนของทุกปี ได้รับการน้อมรำลึกในฐานะ วันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มีการจัดกิจกรรมวางพวงมาลา พิธีถวายราชสักการะ และจัดงานทางประวัติศาสตร์ในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ เพื่อยกย่องพระเกียรติคุณของพระองค์ และปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนตระหนักถึงคุณค่าของชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top