Monday, 1 July 2024
TheStatesTimes

‘อดีตเจ้าของร้านอาหาร’ ผันตัวตระเวนตัดขนหมาจรนาน 12 ปี เผย!! ดีใจ-มีความสุขที่ได้แปลงโฉมหมาเน่าให้เป็นหมาสวย

(26 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเกรียงไกร ธาตวากร หรือแอ็ดดี้ อายุ 48 ปีเจ้าของฉายาฮีโร่ของหมาจรจัด อดีตเจ้าของธุรกิจร้านอาหารโต๊ะจีนและร้านตัดขนสุนัขชื่อดังใน จ.ศรีสะเกษ ดีกรีปริญญาตรีเกียรตินิยมอันดับ 1 ที่ผันตัวมาเป็นจิตอาสาตัดขนหมาจรจัดประเภทขนยาวฟรีทั่วประเทศ ด้วยเงินทุนส่วนตัว โดยตัดเฉพาะหมาที่มีขนยาว เป็นสังกะตัง เป็นกระจุก ที่อาศัยอยู่ตามวัด คอกพักพิงสุนัขจรจัด สถานที่ราชการ สวนสาธารณะหรือสถานที่ต่าง ๆ โดยไม่มีเจ้าของ

วันนี้ได้เดินทางถึง จ.ตรัง พร้อมเปิดตัดขนสุนัขจรจัด ที่มีชาวบ้านนำมาจากวัดต่าง ๆ จำนวนหลายตัว เน้นตัวที่ไม่ดุ สามารถจับอุ้มได้หรือเชื่อฟังคำสั่ง บางตัวเป็นขี้เรื้อน จึงต้องมีการแปลงโฉมจากหมาเน่าให้เป็นหมาสวย พร้อมสอนวิธีทำยาแก้โรคเรื้อน ซึ่งมีส่วนผสมของผงขมิ้นชัน น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันมะพร้าว ผลมะกรูด และกำมะถัน ผสมน้ำเปล่า ก่อนจะทาให้ทั่วตัวสุนัขทุก 3 วัน ไม่เกิน 1 เดือน ก็จะทำให้ทำสุนัขหายจากโรคเรื้อนและโรคผิวหนังได้อย่างสิ้นเชิง

นอกจากนี้ ยังแจกยาทาโรคเรื้อนให้กับชาวบ้าน นำไปรักษาสุนัขที่บ้านคนละ 1 กระปุกฟรีด้วย โดยสุนัขที่ตัดขนแล้ว มีหน้าตาที่สวยหล่อขึ้นผิดหู ผิดตาไปเลยทีเดียว ส่วนที่คอกพักพิงสุนัขจรจัดของเทศบาลนครตรัง พบมีสุนัขขนยาวเป็นสังกะตังจำนวน 5-6 ตัว แอ็ดดี้จึงจับมาแปลงโฉมใหม่ เพื่อเป็นหมาหล่อ หมาสวยขึ้นภายในเวลา 8-15 นาที เผื่อจะได้บ้านหลังใหม่ที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และได้รับความรัก ความอบอุ่นมากขึ้น

โดยปีนี้ ‘แอ็ดดี้’ ตระเวนตัดขนหมาจรจัดฟรีเป็นปีที่ 12 แล้ว เพื่ออุทิศส่วนกุศลจากการคิดดี ทำดีให้กับอดีตแฟนสาวที่เสียชีวิตไปแล้ว และมีความสุขทุกครั้งที่เห็นหมาเน่า เป็นหมาสวย สุขภาพดีขึ้น จึงตั้งใจจะเป็นจิตอาสาตัดขนหมาฟรีต่อไปจนกว่าจะทำไม่ไหว โดยไม่ขอรับเงินบริจาคใด ๆ และอาศัยนอนวัดหรือคอกพักพิงสุนัข ไม่นอนโรงแรม เพื่อจะได้ใกล้ชิดกับหมาจรจัดทุกที่ที่ไป ซึ่งเคยมีบ้างที่ถูกกัดจากการทำงาน แต่ไม่มากนัก

ขณะที่นางลาภมิตร สิทธิชัย อายุ 67 ปีชาวตำบลท่าสะบ้า อ.วังวิเศษ จ.ตรัง ชาวบ้านที่นำสุนัขจรจัดมาใช้บริการกล่าวว่า รู้สึกพอใจมาก และตนเพิ่งมาครั้งแรกหลังเห็นในโพสต์ โดยนำมา 2 ตัว ดูแล้วดี คนตัดได้บุญมากและอานิสงส์นี้ขอให้ไปถึงหมาจร เพราะตนดูแลอยู่ที่สวนสาธารณะ เอาข้าวให้กินทุกวัน พอเห็นโพสต์ก็ไปรับหมาจรที่สี่แยก อ.ต.ก ซึ่งตนเป็นคนให้ข้าวหมาจรอยู่ตลอดทุกวัน

ด้านนายเกรียงไกร ธาตวากร หรือแอ็ดดี้ จิตอาสาตัดขนสุนัขฟรี กล่าวว่า ตนเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือตัดขนหมาจรจัดที่เดินทางไปทั่วประเทศ เพื่อตัดขนหมาสายพันธุ์ขนยาว ตามบ้านพักพิงหมาจรจัดและมูลนิธิหมาจรจัด ที่มีกระจายอยู่เกือบทั่วประเทศ ซึ่งที่เจอส่วนมากเป็นโรคผิวหนัง เป็นเชื้อรา เห็บหมัด แต่ละตัวใช้เวลาตัดอยู่ที่สภาพของขน ถ้าไม่ได้เสียมากอยู่ที่ 8 นาที ไม่เกิน 10 นาทีเสร็จ 

แอ็ดดี้ ยังบอกอีกว่า เขาทำมานาน 12 ปีแล้ว มาตัดขนแล้วได้เห็นสภาพของหมาที่เป็นสังกะตัง และต้องเร่ร่อนอยู่ข้างถนนหรือศูนย์พักพิงที่มีจำนวนมาก ๆ ถ้าเป็นกลุ่มสายพันธุ์ขนยาวจะมีขนเสีย เป็นสังกะตังเต็มไปด้วยขี้เยี่ยว พอไปตัดขนให้พวกเขา โอกาสจะหาบ้านใหม่ก็มีสูงมาก ส่วนใครสนใจติดต่อตนได้ทาง FB เกรียงไกร ธาตวากร แต่ตนจะช่วยเหลือเฉพาะคนที่ช่วยเหลือหมาจรจัด ถ้าเป็นหมามีเจ้าของก็ให้เขาไปใช้บริการตามร้านตัดขนในท้องที่บ้านเขา

ฮือฮา!! ทีเซอร์เพลงใหม่ 'LISA' เผยโฉม ‘เยาวราช - บางลำภู’ โชว์ชาวโลก ด้านแฟนคลับรอชม ROCKSTAR เต็มๆ เช้าวันศุกร์ที่ 28 มิ.ย.67 นี้

(26 มิ.ย. 67) สร้างความฮือฮาไปทั่ว เมื่อนักร้องดังระดับโลก ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ ปล่อย MV Teaser เพลง ROCKSTAR ความยาวเพียง 10 วินาทีออกมาเรียกนํ้าย่อย แล้วพบว่าเธอแอบมาซุ่มถ่ายทำมิวสิควีดิโอเพลงเดี่ยวเพลงแรกที่ทำภายใต้บริษัท LLOUD ของตัวเอง ที่บ้านเกิด ประเทศไทย

พร้อมเลือกสถานที่ยอดนิยมอย่าง เยาวราช และห้างนิวเวิลด์ บางลำพู ให้ปรากฏอยู่ในเพลงที่จะเผยแพร่ออกสู่สายตาชาวโลก

ในทีเซอร์เพลง ROCKSTAR มีฉากที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าถ่ายทำในประเทศไทย คือ ฉากลงมาจากบันไดเลื่อนในห้างที่มืดมิด มีเพียงแสงไฟสีแดงดวงเดียวส่องอยู่ด้านหลัง ซึ่งคนที่คุ้นเคยจะรู้ดีว่านั่นคือภายในของห้างสรรพสินค้า นิวเวิลด์ บางลำพู ที่ถูกทิ้งร้างมานานกว่าสิบปี แต่ล่าสุด ทางสำนักงานเขตพระนคร ได้เข้าปรับปรุงพื้นที่เพื่อพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยว และแลนด์มาร์กแห่งใหม่ในบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์

สถานที่อีกแห่งคือ ย่านเยาวราช โดยมีซีนที่ลิซ่ายืนตระหง่านอยู่กลางถนนยามค่ำคืน มีป้ายไฟนีออนเขียนชื่อร้านเป็นภาษาไทย ภาษาจีนปรากฏอยู่เป็นฉากหลังอย่างสวยงาม และซีนที่ลิซ่าเดินอยู่บนถนนท่ามกลางเหล่าแดนเซอร์ ทำให้จินตนาการถึงภาพการเต้นยับ กลางถนนเยาวราช ที่เราจะได้เห็นกันใน MV ตัวเต็ม

นอกจากนี้ยังมีซีนผู้ชาย 3 คนนั่งอยู่หน้าร้านสัก ซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นอีกอย่างของประเทศไทย ในสายตานักท่องเที่ยวเช่นกัน

ทั้งนี้ แม้ว่า Blackpink จะยังต่อสัญญากับต้นสังกัดเดิมในส่วนของงานวง แต่สมาชิกทั้ง 4 คนนั้นไม่ได้ต่อสัญญาเดี่ยวกับทาง YG Entertainment โดย ลิซ่า เลือกเปิดบริษัทของตัวเองที่ชื่อ บริษัท LLOUD Co. พร้อมจับมือทำสัญญากับค่ายเพลงระดับโลกอย่าง RCA Records ในการทำผลงานเพลงเดี่ยว ซึ่งเพลง ROCKSTAR นี้ถือเป็นผลงานเพลงชิ้นแรกภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว

ติดตามรับชม MV เพลง ROCKSTAR ของ ลิซ่า ได้เช้าวันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน 2567 นี้ เวลา 07.00 น. ตามเวลาประเทศไทย

‘กทม.’ โชว์ผลงาน 2 ปี ‘ทราฟฟี่ ฟองดูว์’ แก้ปัญหาคนกรุงฯ 79% ชาวเน็ตถามกลับ “แก้ได้ตรงจุด ปัญหาไม่เกิดซ้ำกี่เปอร์เซ็นต์?”

(26 มิ.ย. 67) กรุงเทพมหานคร ได้โฆษณาประชาสัมพันธ์ว่า "หลังจากเปิดการใช้งานมาแล้วกว่า 2 ปี วันนี้ ทราฟฟี่ ฟองดูว์ เปลี่ยนชีวิตของชาวกรุงเทพฯ ไปอย่างไรบ้าง?”

1. ดีขึ้น
- ทราฟฟี่ ฟองดูว์ เพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้งานสามารถแจ้งเรื่องได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านแพลตฟอร์ม ทำให้ปัจจุบันมีสัดส่วนการแจ้งเรื่องนอกเวลาราชการ เพิ่มขึ้นมากกว่า 1.5 เท่า หรือคิดเป็น 345,975 เรื่อง

2. ลาขาดความเชื่องช้าของการแก้ปัญหา
- ทราฟฟี่ ฟองดูว์ ช่วยแก้ไขปัญหาให้ประชาชนเร็วขึ้น 31 เท่า หรือใช้เวลาแก้ปัญหาเฉลี่ย 2 วัน
- ใช้เวลาแก้ไขปัญหาเสร็จสิ้น ลดลง 97% จากเดิม ในเดือน มิ.ย. 65 ใช้เวลาราว ๆ 1,375 ชั่วโมง หรือเกือบ 2 เดือน เหลือเวลาแก้ไขปัญหาเพียง 45 ชั่วโมง หรือ 2 วัน ในเดือน พ.ค. 67

3. แก้ไขปัญหาตรงจุด
- นับจากการเริ่มใช้งาน ทราฟฟี่ ฟองดูว์ ในกรุงเทพมหานคร มีจำนวนเรื่องกว่า 588,842 เรื่อง
- ทราฟฟี่ ฟองดูว์ สามารถช่วยแก้ปัญหาไปแล้วมากกว่า 465,291 เรื่อง หรือ 79% ของจำนวนเรื่องที่แจ้งทั้งหมด

ปรากฏว่ามีชาวเน็ตแสดงความคิดเห็นถึงประสิทธิภาพการให้บริการทราฟฟี่ ฟองดูว์ บ้างก็วิจารณ์ถึงการบริหารงานของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนปัจจุบัน อาทิ

"แรก ๆ ดีมากค่ะ หลัง ๆ ส่งต่อ ฝ่ายที่ได้รับ เงียบบอกหาที่ไม่เจอบ้าง ส่งพิกัดไปใหม่ก็เงียบ ส่วนที่แก้ไปแล้ว ก็กลับมาพังอีก เหมือนแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปไม่ถาวรค่ะ"

"จุดที่แจ้งสภาพยังเหมือนเดิม"

"ถ้านับว่าการตอบว่า "เป็นหน้าที่ของหน่วยงาน...ได้ส่งเรื่องต่อให้แล้ว" เป็นการแก้ปัญหาแล้ว ก็เอาที่สบายใจนะ"

"ใช้ประจำครับ เรื่องที่ไวคือ ขยะข้างทาง ทางเท้าชำรุด ไฟดับ หาบเร่กินทางเท้า บางเรื่องที่นาน เช่น ถนน หรือสายไฟ คืออะไรที่ไม่ใช่หน้าที่ตรง ๆ จะช้า แต่เข้าใจเลย คนที่เข้าใจว่าอะไร ๆ ก็ กทม. ต้องทำ ก็จะไม่เข้าใจต่อไป เพราะเขาไม่ได้คิดจะเข้าใจ หรือลงมือช่วยทำเพื่อการเปลี่ยนแปลง ผมก็ส่งตลอด ไม่ได้สำเร็จทุกเรื่อง แต่เราช่วยแจ้งและสร้างการเปลี่ยนแปลงได้นะ บางคนก็แจ้งปัญหาแบบบ่น หรือสเกลใหญ่มาก ซึ่งเกินขอบเขตหน่วยย่อยหน่วยเดียว ปัญหาที่เหมาะคือปัญหาที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ คน มีงบ รอนั่นละครับ อันไหน เป็น GAP คือ คนแจ้งแล้วปิดไม่ได้ก็วิเคราะห์แล้วก็จัดการไปเรื่อย ๆ "

"เคยแจ้งจนระอาทุกวันนี้คือ ทางเท้าน้ำดีดไม่ดีดแล้วกระเบื้องแตกน้ำขังเป็นปลักโคลน ขยะสะสมบนและข้างทางเท้าจนเปื่อยรอวันลอยไปกับน้ำรอการระบาย สวนหย่อมกลายเป็นทุ่งหญ้าพลิ้วไหวไปกับควันท่อไอเสีย ฝนมาพากันออกกำลังกิจกรรมเข้าจังหวะวิ่งหลบน้ำบนถนนที่สาดมาเวลารถวิ่งผ่าน ฮึบ ๆ ป้ายรถเมล์และใต้สะพานเป็นที่นอนถาวรคนจรจัด"

"หลาย ๆ อย่างที่แก้ไปแล้วคือไม่ได้แก้ โยธาห้วยขวางนี่ดองเรื่อง 6 เดือนแล้วแอบแปะว่าแก้แล้ว ระบบที่ไม่มีคนตาม ไม่ได้วัดผล และไม่มีคนตรวจสอบว่าที่แก้ไปแล้วแก้จริงมั้ย"

"ช่วยหน่อยค่ะ ตั้งเเต่เดือน 1 กราฟิกไม่เคลื่อนไหวเลย 6 เดือนละค่า"

"หลัง ๆ เริ่มเกินเวลา ถามอัปเดตไม่มีใครตอบอีก"

"แน่ใจนะคะ ถ้าแจ้งแล้วแค่ถ่ายรูป ว่าจัดการแล้ว แต่ปัญหายังเกิดเหมือนเดิมถือว่ายังไม่ได้แก้ค่ะ"

"แจ้งฟองดูว์ก่อนเกิดเรื่องตกท่อตายที่ลาดพร้าว รวมในผลงานด้วยไหมครับ"

"เน้นจำนวนไม่เน้นคุณภาพ"

"แก้ปัญหาที่ปัญหามีเท่าเดิม เรื่องหลัก ๆ ก็เหมือนเดิม เลขโง่ ๆ ใครก็ใส่ให้เยอะได้ แต่หลักฐานมันก็ไม่เปลี่ยน"

"แจ้งไป 2 ปีที่แล้ว ฟองดูไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลยค่ะ มีรูปถ่ายพร้อม สถานที่ชัด แต่"

"79% แก้ตรงจุด ปัญหาไม่เกิดซ้ำกี่เปอร์เซ็นต์ครับ"

"หลายเรื่องได้รับการแก้ไข แต่ปัญหากลับมาเหมือนเดิมหลังจากนั้น 3 วัน อันนี้ถือว่าได้รับการแก้ไขมั้ย"

"อย่าอวยตัวเองน่า บางงานเป็นปีแล้วยังไม่มีคนตาม ไม่มีคนทำ กทม.มีตรงไหนดีขึ้น?? ฟุตบาท ทางข้าม จราจร เหมือนเดิม แย่ลงก็มีอีกเยอะ อะที่ดีขึ้นก็มีบ้างนิดนึงแล้วกัน เช่นทาสี ไฟฟุตบาท แค่นี้"

"แรก ๆ พอส่งเรื่องต่อคนรับผิดชอบดีมาก แต่หลัง ๆ คงทำงานเช้าชามเย็นชามเหมือนแต่ก่อน แอปไม่ผิดแต่ผิดที่เจ้าหน้าที่คนที่ต้องรับผิดชอบงานไม่ทำหน้าที่ไม่แก้ไขปัญหาค่ะ"

"บางหน่วยงานทำงานไวมาก ดีมาก เช่น เขตดินแดงส่วนที่รับผิดชอบเรื่องความสะอาด เต็มสิบไม่หัก บางหน่วยงานกดปิดงานแบบดื้อ ๆ เลยค่ะ (รายงานเกี่ยวกับพื้นถนนในซอย/ไฟส่องทางตรงพระราม 9) "

"ตอนแรก ๆ เราชอบ platform กับหน่วยงานใน กทม. พอตอนหลัง ๆ มีเยอะมากขึ้น ดังนั้นการส่งต่อไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบและการตามงานมันยากกว่าเดิม สำหรับบางเขต ส่งปัญหาไป แก้ปัญหาโดยการแค่ฟังคำแก้ตัวแล้วบอกปัญหาได้รับการแก้ไขแล้ว บางเขตก็แก้ไขจริง ๆ แต่พอต้องดีลกับหน่วยงานอื่นมักเชื่อแค่คำชี้แจงโดยไม่ดูหลักฐานจากประชาชน"

"ยังมีเรื่องค้างเติ่งที่หน่วยงานแก้ไขให้ไม่ได้ แถมยังขอจบเรื่องเองโดยที่ไม่ทำการแก้ไข ขอฝากไว้ด้วยนะคะ"

"รถติด น้ำท่วม ปัญหาหลัก ทำไมไม่แก้ แก้แต่ปัญหาเล็ก ๆ แล้วชมตัวเองว่าทำงานได้ดี "

"เปลี่ยนชีวิตหลายคนให้ร่ำรวยขึ้นจากการขายเครื่องออกกำลังกายได้ราคาแพงกว่าปกติหลายเท่า (ผลสอบหาคนผิดยังไม่มีเลย 20 กว่าวันแล้ว) "

"ว่าแล้ว เวลามีเรื่องแย่ ๆ ของ กทม. โดยเฉพาะกับผู้ว่า ก็จะต้องมีการทำโพลหรือทำตัวเลขออกมาให้ดูว่ามีความพึงพอใจ หรือมีผลงาน ... ว่าแต่เรื่องลู่วิ่งนี่ผลสอบออกมารึยังนะ"

"เหมือนเดิมครับ อะไรที่คิดว่าจะแก้ไขให้ดี ก็เหมือนแก้ไข ผ่าน ๆ ไป"

"สงสัย หน้าที่ที่ต้องทำประจำในทุก ๆ วัน นับรวมด้วยหรือ"

"ถ้ารับตำแหน่งกับวิ่งในสวนเป็นผลงาน ก็ไม่แปลกที่ผลงานจะเยอะขนาดนั้น"

"ส่วนปัญหาที่ด่าอัศวินไว้ยังแก้ไม่ได้สักอัน"

"พอเถอะ ศึกษามา 2 ปี ฝึกงานอีก 4 ปี พอเสร็จแล้วจะไปไหนก็ไปนะครับ"

‘ศิริวัฒน์ แซนด์วิช’ ร่วมก๊วนปั่นหุ้น ‘PRINC’ บดขยี้ภาพลักษณ์ ‘ฮีโร่นักธุรกิจสู้ชีวิต’

(26 มิ.ย.67) สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) รายงานข่าวใหญ่ที่เรียกความสนใจจากนักลงทุนทั้งตลาดหุ้น โดยประกาศใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง ผู้กระทำความผิดร่วมกันสร้างราคาหุ้นบริษัท พริ้นซิเพิล แคปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ PRINC สั่งปรับเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 426.79 ล้านบาท

ผู้ร่วมขบวนการปั่นหุ้น PRINC ประกอบด้วย นายสาธิต วิทยากร นายศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ น ส.พัลลภา วิทยากร นางพเยาว์ ชลาชีพ นางสมปอง ศรีสุภรวงศ์ และ น.ส.ภีชญา กริ่มวงศ์รัตน์

บุคคลทั้ง 6 ได้ส่งคำสั่งซื้อขายหุ้น PRINC ในลักษณะสร้างราคาหลักทรัพย์ ระหว่างเดือนกรกฎาคม 2560 จนถึงเดือนมิถุนายน 2561 โดยมีความสัมพันธ์กันในทางส่วนตัว เส้นทางการเงิน ทางหุ้นหรือธุรกิจ หรือผ่านการเชื่อมโยงกับบุคคลที่เกี่ยวเนื่องกัน

และร่วมกันโดยแบ่งหน้าที่กันทำในการส่งคำสั่งซื้อขายหุ้น PRINC ในลักษณะสร้างราคา ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ และส่งคำสั่งซื้อขายในลักษณะต่อเนื่องกัน โดยมุ่งหมายให้ราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ผิดไปจากสภาพปกติของตลาด เช่น ผลักดันราคาต่อเนื่อง สลับขายทำกำไรระหว่างวัน และครองคำสั่งเสนอซื้อ (Bid) ทำราคาปิด

ก.ล.ต.สั่งลงโทษนายสาธิต และนายศิริวัฒน์ ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด รายละ 1,052,733 บาท ห้ามนายสาธิต ซื้อขายหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า 33.5 เดือน และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ เป็นเวลา 67 เดือน

ห้ามนายศิริวัฒน์ ซื้อขายหลักทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า เป็นเวลา 28 เดือน และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ เป็นเวลา 56 เดือน

สั่ง น.ส.พัลลภา ชำระค่าปรับจำนวน 287.24 ล้านบาท นางพเยาว์ ชำระค่าปรับ 81.53 ล้านบาท นางสมปอง ชำระค่าปรับ 3.13 ล้านบาท และ น ส.ภีชญา ชำระค่าปรับ 52.77 ล้านบาท และห้ามซื้อขายหลักทรัพย์ ห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์หรือผู้ออกหลักทรัพย์ตามที่เงื่อนเวลาที่ ก.ล.ต.กำหนด

คดีปั่นหุ้น PRINC ความน่าสนใจไม่ได้อยู่ที่ค่าปรับจำนวน 426.79 ล้านบาท เพราะแม้จะเป็นวงเงินสูง แต่คดีปั่นหุ้นบริษัท เอเจ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AJA ซึ่งมีผู้ร่วมขบวนการ 40 คน นำโดย นายอมร มีมะโน อดีตผู้บริหารบริษัทและผู้ถือหุ้นใหญ่ ก.ล.ต.ฟ้องบังคับชำระค่าปรับเป็นเงินจำนวน 2.3 พันล้านบาท

แต่ความน่าสนใจคดีปั่นหุ้น PRINC อยู่ที่มีคนชื่อดังเข้าร่วมขบวนการปั่นหุ้น สมคบคิดกันหลอกต้มเงินนักลงทุนด้วย คือ นายสาธิต และนายศิริวัฒน์

นายสาธิต เป็นประธานกรรมการและเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ PRINC โดยชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในตลาดหุ้น หลังขายหุ้นบริษัท โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BH จำนวน 71.94 ล้านหุ้น หรือ 9.04% ของทุนจดทะเบียน ให้กลุ่มธนาคารเกียรตินาคินภัทร ในราคาหุ้นละ 151.50 บาท รวมเป็นเงิน 10,900 ล้านบาท เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565

คนที่เป็นเจ้าของบริษัทจดทะเบียน เจ้าของโรงพยาบาล มีเงินจนอยู่ในฐานะมหาเศรษฐี ใครจะคิดว่าจะเข้าร่วมแก๊งปั่นหุ้น หากินกับการสร้างภาพลวงตาหลอกนักลงทุนรายย่อย ได้เงินไม่กี่สิบกี่ร้อยล้านบาท

ค่าปรับที่ ก.ล.ต.เรียกชำระ นายสาธิต จ่ายได้สบายอยู่แล้ว แต่ชื่อเสียงที่เสียหาย กลายเป็นนักปั่นหุ้น จะลบล้างอย่างไร

ส่วนนายศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ วนเวียนในตลาดหุ้นมายาวนานประมาณ 40 ปี เคยเป็นผู้บริหารบริษัทหลักทรัพย์ ก่อนผันตัวเองเป็นนักลงทุน และมักอ้างเป็นตัวแทนของนักลงทุน ปกป้องผลประโยชน์ของรายย่อย ในการเคลื่อนไหวเรียกร้องการแก้ปัญหาตลาดหุ้น และการเข้าร่วมประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทจดทะเบียนต่าง ๆ

ชื่อเสียงของนายศิริวัฒน์ ดังกึกก้อง หลังเกิดวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540 ในฐานะนักธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจ มีหนี้สินล้นพ้นตัว จนต้องลงมาขายแซนด์วิช และประกาศจะนำบริษัทที่ผลิตและขายแซนด์วิชเข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น แต่ไม่บรรลุเป้าหมายการนำหุ้นแซนด์วิชเข้าระดมทุน

ชะตากรรมของนายศิริวัฒน์ ในปี 2540 เรียกความสนใจไปทั่วโลก จนสื่อดังจาก บี.บี.ซี.เข้ามาสัมภาษณ์ มีการนำเรื่องราวของนักธุรกิจที่ตกอับลงมาขายแซนด์วิช สร้างเป็นภาพยนตร์

ภาพนายศิริวัฒน์ ถูกวาดไว้สวยหรู ในฐานะนักธุรกิจสู้ชีวิต

แต่แม้จะตกอับจนต้องขายแซนด์วิช นายศิริวัฒน์ ก็ไม่ได้เหินห่างจากตลาดหุ้นเท่าใดนัก ยังโผล่ในที่ประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทจดทะเบียนอยู่หลายครั้ง

ภาพลักษณ์การเป็นฮีโร่นักสู้ชีวิตที่สวยหรูของนายศิริวัฒน์ ดำรงมาหลายสิบปี แต่การเข้าร่วมขบวนการปั่นหุ้น PRINC กำลังทำลายภาพลักษณ์ที่ดีจนหมดสิ้น

7 กรกฎาคม พ.ศ. 2510 ‘สะพานสารสิน’ เปิดใช้งานอย่างเป็นทางการ สะพานแห่งแรกที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเชื่อม 'พังงา-ภูเก็ต'

‘สะพานสารสิน’ เปิดใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2510 เป็นสะพานแรกที่สร้างเพื่อข้ามจากจังหวัดพังงาไปจังหวัดภูเก็ต โดยเชื่อมต่อระหว่างบ้านท่านุ่นของจังหวัดพังงาและบ้านท่าฉัตรไชยของจังหวัดภูเก็ต ซึ่งสะพานสารสินมีความยาวทั้งหมด 660 เมตร รับผิดชอบดูแลโดย กรมทางหลวง

ทั้งนี้ สะพานแห่งนี้ตั้งชื่อตามนามสกุลของ ‘นายพจน์ สารสิน’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ ซึ่งดำรงตำแหน่งในขณะนั้น เริ่มสร้างครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2494 โดยเปิดให้บริษัทรับเหมาทำการก่อสร้าง แต่ปรากฏว่าการก่อสร้างในระยะแรกมีปัญหาเพราะขาดความชำนาญ ต่อมาในปี พ.ศ. 2508 จึงเริ่มทำการก่อสร้างสะพานอีกครั้งจนสำเร็จ และเปิดทำการได้ในวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2510 โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้น 28,770,000 บาท

ปัจจุบัน ‘สะพานสารสิน’ ไม่ให้รถยนต์สัญจรไปมาแล้ว โดยให้รถยนต์ใช้สะพานสารสิน 2 และ สะพานท้าวเทพกระษัตรีแทน

สะพานสารสินเดิม หรือ สะพานสารสิน 1 นั้นจึงถูกปรับปรุงให้เป็นสะพานคนเดินและสร้างหอชมวิวทิวทัศน์ สะพานแห่งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัด

อย่างไรก็ตาม ‘สะพานสารสิน’ เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเป็นสถานที่ที่เป็นตำนานความรักของหนุ่มสาวสองคนที่ไม่สมหวัง คือ โกดำ (ดำ แซ่ตัน) กับ กิ๊ว (กาญจนา แซ่หงอ) ที่มีความแตกต่างกันทางฐานะ ด้วยโกดำเป็นเพียงคนขับรถสองแถวรับจ้างและรับจ้างกรีดยาง ขณะที่กิ๊วมีฐานะที่ดีกว่า และเป็นนักศึกษาวิทยาลัยครู โดยที่ผู้ใหญ่ทางบ้านของกิ๊วได้กีดกั้นทั้งสองคบหากัน ในที่สุดทั้งคู่จึงตัดสินใจกระโดดน้ำตายที่กลางสะพานสารสิน ด้วยการใช้ผ้าขาวม้ามัดตัวทั้งสองไว้ด้วยกัน เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2516

ต่อมาเรื่องราวของทั้งคู่ได้โด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่ว และมีการสร้างเป็นภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ คือ สะพานรักสารสิน ในปี พ.ศ. 2530 นำแสดงโดย รอน บรรจงสร้าง และจินตรา สุขพัฒน์ และ สะพานรักสารสิน ในปี พ.ศ. 2541 นำแสดงโดย นันทวัฒน์ อาศิรพจนกุล และคทรีน่า กลอส ซึ่งเป็นละครโทรทัศน์

นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่ากันว่า ในคืนวันพระจันทร์เต็มดวง จะมีกระต่ายสีขาวตาสีแดงคู่หนึ่ง ออกมาอยู่คู่กันที่สะพานแห่งนี้ เชื่อว่าเป็นวิญญาณของทั้งคู่อีกด้วย

‘อุ๊งอิ๊ง’ เปิดตัวศูนย์ ‘TCDC’ แห่งใหม่ นำร่อง 10 จังหวัด หนุนทุนวัฒนธรรม-ความคิดสร้างสรรค์ ผลักดันสู่ซอฟต์พาวเวอร์

(26 มิ.ย. 67) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ร่วมเปิดงานประกาศจัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบแห่งใหม่ (New TCDC) ใน 10 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย นครราชสีมา ปัตตานี พิษณุโลก แพร่ ภูเก็ต ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุตรดิตถ์ และอุบลราชธานี โดยมีสมาชิกพรรคเพื่อไทยในแต่ละจังหวัดเข้าร่วมงาน อาทิ น.ส.วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นายพชร จันทรรวงทอง สส. นครราชสีมา พรรคเพื่อไทย นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นายนิกร โสมกลาง สส. ฉะเชิงเทรา พรรคเพื่อไทย เป็นต้น 

น.ส.แพทองธาร กล่าวเปิดงานว่า งานนี้เป็นการประกาศจุดเริ่มต้นของนโยบายการยกระดับทุนวัฒนธรรม เสริมทักษะและความคิดสร้างสรรค์ของคนไทย ให้เป็นพลังขับเคลื่อนกระบวนการ Soft Power ที่สำคัญของประเทศ ซึ่งในปัจจุบัน ทุนทางวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ กลายเป็นหนึ่งปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนทั้งภาคเศรษฐกิจและสังคม ขณะที่ประเทศไทยมีภูมิปัญญาและมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่ามากมาย แต่ยังขาดการบูรณาการและกลไกที่เหมาะสมในการนำมาพัฒนา และต่อยอดให้กลายเป็นทรัพยากรหลักของประเทศ

น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า รัฐบาลจึงมีนโยบาย "สร้างคน เพิ่มทักษะ" ผ่านการจัดตั้ง "ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ" หรือ TCDC แห่งใหม่ในจังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการเรียนรู้และพัฒนาทักษะด้านต่าง ๆ ที่เป็นภูมิปัญญาสำคัญในพื้นที่ได้อย่างเป็นรูปธรรม ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหาร ดนตรี การออกแบบ ศิลปะ และวิถีชีวิตอื่น ๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สอดคล้องกับนโยบาย “1 ครอบครัว 1 Soft Power” (OFOS) ที่จะช่วยสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนทุกบ้าน ทุกครัวเรือนอย่างแท้จริง เปิดโอกาสให้คนไทยทุกคนสามารถเข้าฝึกอบรมผ่าน TCDC โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย ทั้งรัฐและเอกชน รวมทั้งค่ายมวย 400 แห่งที่จะร่วมอบรมมวยไทยด้วย เพื่อให้ทุกครัวเรือนเข้าถึงได้ ตั้งแต่ระดับตำบล จังหวัด จนถึงระดับประเทศ 

น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อว่า นโยบายการสร้างคนผ่านการ Upskill-Reskill จะสำเร็จได้ผ่านความร่วมมือของหน่วยงานทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานอย่าง สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) (CEA) ที่เป็นจุดตั้งต้นในการดำเนินโครงการจัดตั้งศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบแห่งใหม่ ใน 10 จังหวัดขึ้นในระยะแรก รวมถึงการผนึกกำลังขององค์กรหรือหน่วยงานภาครัฐส่วนท้องถิ่นในจังหวัดต่าง ๆ ที่มาร่วมอำนวยความสะดวกในการจัดหาทรัพยากรพื้นฐานและความร่วมมือ ไปจนถึงหน่วยงานสนับสนุนอย่างสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ ในการจัดหาหลักสูตรในการอบรม พัฒนาทักษะ พร้อมออกใบรับรองศักยภาพ ทั้งหน่วยงานที่รับช่วงต่อในการสร้างงาน เพื่อเปิดโอกาสให้แรงงานเหล่านี้ได้เข้าถึงตลาดงานที่สำคัญ ที่จะเชื่อมต่อความสำเร็จทั้งระบบไปสู่ตลาดระดับประเทศและตลาดโลกได้

น.ส.แพทองธาร กล่าวอีกว่า ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานหลักกับองค์กรหรือหน่วยงานภาครัฐส่วนท้องถิ่น ที่ได้รับการคัดเลือกจัดตั้ง TCDC แห่งใหม่ ใน 10 จังหวัดทั่วประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ ได้แก่ การส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาทุนวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ในระดับภูมิภาค การสร้างเครือข่ายและกลไกการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เพื่อพัฒนาทักษะและศักยภาพของคนในพื้นที่ และการส่งเสริมให้เกิดการสร้างสรรค์ผลงานวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ระดับท้องถิ่น โดยทั้ง 3 เป้าหมาย จะเป็นก้าวสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยสามารถนำทุนทางวัฒนธรรมและความคิดสร้างสรรค์ของเรา ไปสู่การสร้าง Soft Power ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไป

ด้านนพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองประธานกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ กล่าวว่า ศูนย์ 10 จังหวัดคัดเลือกมาจาก 24 จังหวัด ซึ่งดูจากความพร้อม เมื่อมีการจัดตั้งแล้ว 10 จังหวัดนี้จะเป็นการพัฒนาทั้งต้นน้ำและกลางน้ำ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการในช่วงปีหน้า ส่วนการเดินสายไปเยี่ยมชมศูนย์ต่าง ๆ นั้น เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นแน่นอน นอกจากนี้ในอนาคตเราอยากให้มีศูนย์ระดับนานาชาติตามมหานครใหญ่ ๆ ทั่วโลก

8 กรกฎาคม พ.ศ. 2536 ‘พระธรรมโกศาจารย์’ (ท่านพุทธทาสภิกขุ) มรณภาพ ด้าน 'ยูเนสโก' ยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก

‘พระธรรมโกศาจารย์’ (เงื่อม อินทปัญโญ) หรือรู้จักในนาม ‘ท่านพุทธทาสภิกขุ’ เป็นชาวอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกิดเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2449 เริ่มบวชเรียนเมื่ออายุได้ 20 ปี ที่วัดบ้านเกิด จากนั้นได้เข้ามาศึกษาพระธรรมวินัยต่อที่กรุงเทพมหานคร จนสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค ท่านได้ตัดสินใจมาปฏิบัติธรรมที่อำเภอไชยา ซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิมของท่านพร้อมปวารณาตนเองเป็น ‘พุทธทาส’ เนื่องจากต้องการถวายตัวรับใช้พระพุทธศาสนาให้ถึงที่สุด

ท่านพุทธทาสภิกขุได้บวชเรียนตามประเพณี เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2469 ที่โรงอุโบสถวัดอุบล หรือวัดนอก ก่อนจะย้ายมาประจำอยู่ที่วัดพุมเรียง มีพระอุปัชฌาย์คือ พระครูโสภณเจตสิการาม (คง วิมาโล) รองเจ้าคณะเมืองในสมัยนั้น และมีพระปลัดทุ่ม อินทโชโต เจ้าอาวาสวัดอุบล และ พระครูศักดิ์ ธมฺรกฺขิตฺโต เจ้าอาวาสวัดวินัย หรือวัดหัวคู เป็นพระคู่สวด ท่านพุทธทาสภิกขุได้รับฉายาว่า อินทปญฺโญ ซึ่งแปลว่าผู้มีปัญญาอันยิ่งใหญ่

ผลงานเด่นของทาสพุทธทาสคืองานหนังสือ อาทิ หนังสือพุทธธรรม ตามรอยพระอรหันต์ และคู่มือมนุษย์ และยังมีผลงานอื่น ๆ อีกมากมายนับไม่ถ้วน ซึ่งล้วนเป็นประโยชน์ต่อชนรุ่นหลังในการศึกษาศาสนาพุทธเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ท่านยังเป็นพระสงฆ์ไทยรูปแรกที่บุกเบิกการใช้โสตทัศนูปกรณ์สมัยใหม่สำหรับการเผยแพร่ธรรมะ

ทั้งนี้ ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้ละสังขารอย่างสงบ ณ สวนโมกขพลาราม เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2536 สิริรวมอายุ 87 ปี 67 พรรษา

หลังจากที่ท่านได้มรณภาพไปแล้ว ในวันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2548 องค์การยูเนสโก ประกาศยกย่องให้ท่านพุทธทาสภิกขุเป็นบุคคลสำคัญของโลก ด้านส่งเสริมขันติธรรม สันติธรรม วัฒนธรรม ความสัมพันธ์และความเข้าใจอันดีของมวลมนุษย์

‘รมว.ปุ้ย’ เร่ง ‘สมอ.’ ออกมาตรฐานรองรับการพัฒนาอุตฯ หุ่นยนต์ เสริมบทบาทภาคการผลิต-ความปลอดภัย-ปฏิบัติการทางการแพทย์

(26 มิ.ย. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้ง First s-curve และ New S-curve เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ 

กระทรวงอุตสาหกรรมขานรับนโยบายดังกล่าว โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมและพัฒนาในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่ออนาคต รวมทั้งได้มอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เร่งกำหนดมาตรฐานเพื่อรองรับการพัฒนาอุตสาหกรรมดังกล่าว 

โดยเฉพาะอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ที่ใช้ในการอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มศักยภาพในการกระบวนการผลิต เช่น หุ่นยนต์ที่ใช้ในการเชื่อมโลหะในอุตสาหกรรมยานยนต์ หุ่นยนต์ที่ใช้ในกระบวนการอัดฉีดพลาสติก และหุ่นยนต์ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น หุ่นยนต์ที่ใช้ปฏิบัติการทางการแพทย์ มีระบบประสาทสัมผัสด้านความปลอดภัย มีการเรียนรู้คำสั่งและสามารถควบคุมได้ 

ซึ่งมติที่ประชุมคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2567 ที่ผ่านมา ได้เห็นชอบมาตรฐานที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ จำนวน 6 มาตรฐาน ได้แก่ มาตรฐานหุ่นยนต์แขนกลอุตสาหกรรม ที่ใช้ทำงานเสี่ยงอันตรายในโรงงานอุตสาหกรรมแทนแรงงานคน จำนวน 2 มาตรฐาน และหุ่นยนต์ดูแลส่วนบุคคล จำนวน 4 มาตรฐาน ได้แก่ หุ่นยนต์บริการในร้านอาหาร หุ่นยนต์เคลื่อนย้ายคน หุ่นยนต์ที่ช่วยประกอบชิ้นส่วนหรือยกของ และหุ่นยนต์ช่วยเหลือผู้สูงอายุ 

ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาภาคอุตสาหกรรม ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ยกระดับความปลอดภัย และยังเป็นการเตรียมการเพื่อรองรับการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุของประเทศไทยอีกด้วย

นายบรรจง สุกรีฑา รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (กมอ.) กล่าวว่า นอกจากบอร์ดจะเห็นชอบมาตรฐานหุ่นยนต์ที่ใช้ในการอุตสาหกรรมแล้ว ยังมีมติเห็นชอบมาตรฐานที่ สมอ. เสนอ จำนวนรวมทั้งสิ้น 150 เรื่อง เช่น ลวดเหล็กกล้าเคลือบสังกะสีผสมอะลูมิเนียม ดวงโคมไฟฟ้าฝังพื้น ดวงโคมไฟฟ้าใช้ในที่เลี้ยงสัตว์น้ำและพืชน้ำ ดวงโคมไฟฟ้าสำหรับสระว่ายน้ำ ระบบรางจ่ายไฟฟ้าสำหรับดวงโคมไฟฟ้า ยางรัดของ เครื่องมือเครื่องจักรที่ใช้ในไร่สวนและสนามหญ้า โคมไฟหน้าและท้ายรถยนต์ โคมไฟตัดหมอกด้านหน้ารถยนต์ ไฟเลี้ยวรถยนต์ อุปกรณ์สัญญาณเสียงเตือนในรถยนต์ อุปกรณ์ล็อกประตูรถยนต์ การป้องกันการโจรกรรมยานยนต์ทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็ก อุปกรณ์มองภาพของรถยนต์ กระจกมองหลังรถยนต์ รวมทั้งมาตรฐานวิธีทดสอบต่าง ๆ 

พร้อมทั้ง ได้อนุมัติรายชื่อมาตรฐานที่ สมอ. จะจัดทำเพิ่มเติมในปี 2567 อีกจำนวน 44 เรื่อง เช่น เต้าเสียบ-เต้ารับ กรวยจราจรจากน้ำยางข้น กำแพงกันเสียงชนิดดูดซับเสียงจากฟองน้ำยางธรรมชาติ และมาตรฐานวิธีทดสอบต่าง ๆ เป็นต้น รวมเป็นมาตรฐานที่ สมอ. จะจัดทำในปีนี้กว่า 1,300 เรื่อง

ด้าน นายวันชัย พนมชัย เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่ามาตรฐานหุ่นยนต์ทั้ง 6 เรื่องที่บอร์ดมีมติเห็นชอบ เป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัยของหุ่นยนต์ที่อ้างอิงตามมาตรฐานสากล มีรายการทดสอบด้านความปลอดภัยที่สำคัญ เช่น ระบบกักเก็บพลังงาน การปล่อยมลพิษทางด้านเสียง การสั่น ความร้อน การแผ่รังสี การรบกวนทางแม่เหล็กไฟฟ้า การเบรกและการหยุดฉุกเฉิน การควบคุมความเร็ว ความแรง และพลังงานที่เกิดจากการสัมผัสระหว่างผู้ใช้งานกับหุ่นยนต์ มีการควบคุมการทำงานของเซ็นเซอร์ และอุปกรณ์ตรวจจับต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ใช้งาน สามารถใช้งานหุ่นยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย 

สำหรับการกำหนดมาตรฐานของ สมอ. ในปีนี้ ตามนโยบาย Quick win ของรัฐมนตรีพิมพ์ภัทรา ที่ตั้งเป้าไว้ไม่ต่ำกว่า 1,000 เรื่อง ซึ่งขณะนี้ สมอ. คาดว่าจะกำหนดมาตรฐานได้ 1,300 เรื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคอุตสาหกรรมให้นำไปใช้ในกระบวนการผลิต และยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทย เลขาธิการ สมอ. กล่าว

ชาวปทุมฯปลื้ม กฟผ. ร่วมพัฒนาวิสาหกิจชุมชนบ้านลาดด้วน มุ่งสร้างอาชีพแก่ชุมชนอย่างยั่งยืน

การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมกับวิสาหกิจชุมชนบ้านลาดด้วน และจังหวัดปทุมธานีจัดพิธีส่งมอบอาคารที่ทำการวิสาหกิจชุมชนบ้านลาดด้วน แก่ชุมชน เพื่อเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ พัฒนาทักษะ สร้างอาชีพและรายได้แก่ชุมชนอย่างยั่งยืน

วันนี้ (26 มิถุนายน 2567) นายบุญมา พูชิน ผู้อำนวยการโครงการก่อสร้างระบบส่งเพื่อรับไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชน กฟผ. เป็นประธานในพิธีส่งมอบอาคารที่ทำการวิสาหกิจชุมชนบ้านลาดด้วนแก่ชุมชน เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ของคนในชุมชน โดยมี นายชัยวัฒน์ หมู่เย็น นายกเทศมนตรีตำบลบางเตย เป็นผู้แทนรับมอบ พร้อมด้วย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หน่วยงานราชการ ประชาชน ผู้บริหารและผู้ปฏิบัติงาน กฟผ. เข้าร่วมพิธี ณ วิสาหกิจชุมชนบ้านลาดด้วน อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี

นายบุญมา พูชิน ผู้อำนวยการโครงการก่อสร้างระบบส่งเพื่อรับไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชน กฟผ. เปิดเผยว่า กฟผ. สนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมศักยภาพชุมชนควบคู่กับภารกิจผลิตไฟฟ้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์ความรู้ อันนำไปสู่การพัฒนาบุคลากรของคนในชุมชน เพื่อส่งเสริมการประกอบอาชีพและเป็นแหล่งสร้างรายได้ สร้างคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน สำหรับอาคารวิสาหกิจชุมชนบ้านลาดด้วนที่มอบให้ชุมชนแห่งนี้ กฟผ. มุ่งหวังให้เป็นสถานที่ที่มีความพร้อมในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน ได้รับการยอมรับจากชุมชน รวมถึงเป็นสถานที่ให้หน่วยงานราชการมาใช้บริการ และเปิดโอกาสให้ผู้สนใจเข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้การดำเนินงานของวิสาหกิจชุมชน พร้อมเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ของชุมชนต่อไป

นายชัยวัฒน์ หมู่เย็น นายกเทศมนตรีตำบลบางเตย กล่าวว่า วิสาหกิจชุมชนบ้านลาดด้วน ได้เข้าร่วมโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมศักยภาพชุมชน กับ กฟผ. และจัดตั้งวิสาหกิจฯ ตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา กฟผ. ได้ให้การสนับสนุนงบประมาณ และบุคลากรเป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำจนนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ของชุมชนนานาชนิด อาทิ ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากกระเจี๊ยบสด การผลิตปุ๋ยหมักและน้ำจุลินทรีย์ การผลิตโต๊ะ เก้าอี้ และปูนปั้นทางเท้า เป็นต้น นอกจากนี้ วิสาหกิจชุมชนบ้านลาดด้วนยังมีแผนพัฒนาร่วมกับหน่วยงานราชการในพื้นที่ เพื่อยกระดับเป็นศูนย์เรียนรู้ชุมชน เป็นต้นแบบพร้อมขยายผลสู่ชุมชนอื่น ๆ ต่อไป

เจนกิจ นัดไธสง รายงาน

‘มนุษย์ควัน’ ลุ้นผลศึกษา กมธ. บุหรี่ไฟฟ้าคืบหน้า ย้ำยกเลิกแบนแล้วคุมยกแผง

เพจผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า ‘มนุษย์ควัน’ ชื่นชม ‘คณะกรรมาธิการวิสามัญบุหรี่ไฟฟ้า’ กรณีความคืบหน้าล่าสุด หลังคณะอนุฯเสนอ 3 แนวทางต่อกมธ.ชุดใหญ่ ชี้ดีใจที่ได้เห็นการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมในเรื่องการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ชี้หากปล่อยไว้โดยไม่ดำเนินการปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าจะยิ่งทวีความรุนแรง พร้อมอธิบายบุหรี่ทางเลือกมีหลายชนิด หลายกลไก เสนอคุมยกแผง

นายสาริษฏ์ สิทธิเสรีชน เจ้าของเฟซบุ๊กเพจ “มนุษย์ควัน” ที่มีผู้ติดตามกว่า 2.6 หมื่นคน ให้ความเห็นเกี่ยวกับความคืบหน้าล่าสุดของกมธ.พิจารณากฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าว่า “ปัญหาบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นปัญหาที่เรื้อรังและทวีความรุนแรงมานับทศวรรษ ส่วนตัวผมคิดว่าหากไม่มีการดำเนินการที่เป็นชิ้นเป็นอัน ปัญหานี้ก็จะยิ่งทวีความรุนแรงไปเรื่อยๆ ดังนั้นผมจึงยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นความคืบหน้าจากคณะกรรมาธิการวิสามัญบุหรี่ไฟฟ้า นับว่าเป็นก้าวที่สำคัญสำหรับการจัดการเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทยให้ชัดเจน และสะท้อนให้เห็นนโยบายที่ก้าวหน้า (Progressive Policy) ของพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่สอดคล้องกับความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่อยากเห็นความเปลี่ยนแปลง” “ดังที่ประธาน กมธ. จากพรรคเพื่อไทยกล่าวไว้ วันนี้บุหรี่ไฟฟ้าในไทยแม้จะผิดกฎหมายแต่ก็ใช้กันแพร่หลายมาก กมธ. จึงต้องเร่งหามาตรการทางกฎหมายที่เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ ความเป็นจริง และบริบทของประเทศ” สำหรับประเด็นแนวทางและข้อเสนอแนะของคณะอนุฯ นั้น นายสาริษฏ์ได้กล่าวว่า “สังคมต้องเข้าใจก่อนว่าบุหรี่ทางเลือกนั้นมีหลายแบบมาก จำแนกง่ายๆ คือแบบที่ใช้ใบยาสูบ และไม่ใช้ใบยาสูบ และยังมีแยกย่อยไปอีกในเรื่องของกลไกการทำงานของอุปกรณ์ ส่วนประกอบ รวมถึงระดับผลกระทบทางสุขภาพองค์กรระหว่างประเทศเช่น องค์การอนามัยโลก องค์การศุลกากรโลก องค์การมาตรฐานสากล (ISO) ต่างก็กำหนดนิยามไว้แตกต่างกันอย่างชัดเจน และต่างจากบุหรี่ธรรมดา” “ในมุมมองของผู้บริโภค ผมเชื่อว่าการเลือกแบนทุกอย่างเบ็ดเสร็จนั้นชัดเจนด้วยหลักฐานตลอด 10 ปีที่ผ่านมาแล้วว่าไม่เป็นผล หรือหากรัฐเลือกที่จะใช้กฎหมายควบคุมผลิตภัณฑ์แบบใดแบบหนึ่ง และยังคงให้แบนผลิตภัณฑ์ที่เหลือต่อไป ก็น่ากังวลว่าผลิตภัณฑ์กลุ่มที่ถูกแบนนั้นจะนำมาซึ่งปัญหาลักษณะเดิม ตั้งแต่ตลาดใต้ดิน การลักลอบซื้อขาย การเข้าถึงของเด็กและเยาวชน มาตรฐานผลิตภัณฑ์ รวมถึงรายได้ภาษีที่รั่วไหล ดังนั้น การนำทุกอย่างขึ้นมาระบุและจำแนกให้ชัดเจน แล้วควบคุมทั้งแผงไปเลย น่าจะตอบโจทย์และมีประสิทธิภาพสูงสุด แต่หากยังแบนต่อไปประเทศไทยก็ยังย่ำอยู่ที่เดิม”     นายสาริษฏ์กล่าวปิดท้าย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top