Wednesday, 3 July 2024
TheStatesTimes

'อลงกรณ์' เปิดตัว 'เอฟเคไอไอ.' ดันไทยสู่มหาอำนาจอาหารโลก ผนึก 'หอการค้า-สภาอุตสาหกรรมฯ' ขับเคลื่อนนวัตกรรมพลิกโฉมประเทศ

“…เราต้องกำหนดเกมและนำประเทศเข้าสู่สนามแข่งที่เราเก่งมีศักยภาพ นั่นคือเกษตรและอาหาร… “
อลงกรณ์….

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานสถาบันเอฟเคไอไอ ไทยแลนด์ เปิดเผยวันนี้ (27 มิ.ย.67) ว่า 

สถาบันเอฟเคไอไอ ไทยแลนด์ (FKII Thailand) ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วและจะเป็นหนึ่งการงัด อัปเกรดประเทศไทยสู่มหาอำนาจอาหารโลกโดยนวัตกรรม เทคโนโลยีและการวิจัยด้วยแพลตฟอร์มความร่วมมือกับทุกภาคีภาคส่วน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

“ประเทศไทยส่งออกสินค้าอาหารเป็นอันดับ 12 ของโลก และเป้าหมายต่อไปคือการก้าวสู่ท็อปเทนเพื่อเป็นมหาอำนาจอาหารของโลก โดยสถาบันเอฟเคไอไอ.องค์กรเครือข่ายนวัตกรรมพร้อมจับมือกับหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาเอสเอ็มอี. องค์กรเอกชน องค์กรเกษตรกร ศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC) สถาบันการศึกษาและหน่วยงานภาครัฐพัฒนาอาหารและเกษตรมูลค่าสูง ยกระดับรายได้ของเกษตรกรและผู้ประกอบการ เพิ่มจีดีพี.ของประเทศด้วยขีดความสามารถในการแข่งขันและศักยภาพใหม่ของประเทศ ซึ่งในเฟสแรกของการทำงานเอฟเคไอไอ.จะโฟกัสกิจกรรมส่งเสริมต่อยอดด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกษตร อาหาร อีคอมเมิร์ซ ไครเมทเทค เอไอและดิจิตอล เทคโนโลยีภายใต้ 12 อุตสาหกรรมแห่งอนาคตและแนวทางเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) เศรษฐกิจคาร์บอน (Carbon Economy) เศรษฐกิจนวัตกรรม (Innovation Economy)และ เศรษฐกิจดิจิตอล (Digital Economy) เพื่อตอบโจทย์อนาคตทั้งโอกาสและภัยคุกคามเช่นภาวะโลกรวนโลกร้อนทะเลเดือด ปัญหาความมั่นคงทางอาหาร การเพิ่มของประชากรและสังคมสูงวัย ประเด็นเอไอ.-เทคโนโลยี ดิสรัปชั่น สงครามและความขัดแย้งในภูมิรัฐศาสตร์และภูมิเศรษฐศาสตร์ ผมเชื่อว่า โอกาสมีอยู่ในทุกวิกฤติและหนึ่งในโอกาสของประเทศไทยคือภาคเกษตรและอาหาร เราต้องกำหนดเกมและนำประเทศเข้าสู่สนามแข่งที่เราเก่งมีศักยภาพ “

ทั้งนี้ในงานเปิดตัวสถาบันเอฟเคไอไอ.เมื่อวานนี้ที่หอประขุมสวนเสียงไผ่ ทาวน์อินทาวน์มีการปาฐกถาและบรรยายพิเศษเช่น หัวข้อ : FKII กับ เศรษฐกิจนวัตกรรมสู่การอัพเกรดประเทศไทยโดยอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ
หัวข้อ : นวัตกรรมอุตสาหกรรมเพื่อการรับมือความท้าทายของโลกยุคใหม่
โดยนายวิวรรธน์ เหมมณฑารพ
รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

หัวข้อ : ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของไทยกับโอกาสในโลกยุคใหม่ 
โดยดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ 
รองประธานหอการค้าไทย
และนายธรรศ ทังสมบัติ
รองประธานหอการค้าไทย

หัวข้อ : Innovation ใน carbon credit สำหรับประเทศไทย 
โดย นายจิรวัฒน์ ตั้งกิจงามวงศ์ 
นายกสมาคมธุรกิจไม้

หัวข้อ : สถานการณ์ล่าสุด ความท้าทาย และ ทางออกของ AI eCommerce ไทย 
โดยนายภาวัต พุฒิดาวัฒน์ 
ประธานกรรมการบริหารบริษัท GoShip จํากัด

หัวข้อ : Value Chain ของการสร้างเกษตรมูลค่าสูงสู่ตลาดโลก
โดยนส.ภัททดา สามัคคี 
กรรมการผู้จัดการบริษัท PDI Trading จํากัด อุปนายกสมาคมผู้ประกอบการพืชผักผลไม้ไทย

หัวข้อ : ข้อเสนอต่อก้าวใหม่ของานFKII
โดยนายกฤชฐา โภคาสถิตย์ 
เลขาณุการคณะทํางานฯ  FKII Thailand 

หัวข้อ : แผนการดําเนินงานของ FKII Thailandกับโจทย์อนาคตของโลกและของไทยโดยนายชยดิฐ หุตานุวัชร์ ผู้อำนวยการสถาบันเอฟเคไอไอ.และ
ประธานสถาบันทิวา
โดย ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ประธานคณะที่ปรึกษาเอฟเคไอไอ.กล่าวสรุป
ถึงวิสัยทัศน์การพัฒนาประเทศด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่และนวัตกรรม

นอกจากนี้มีผู้บริหารภาครัฐภาคเอกชนภาควิชาการภาคประชาสังคมและเกษตรกรกว่า120คนร่วมงานอย่าง คึกคักเช่น นพ.บุญเทียม เขมาภิรัตน์ อดีตรมช.คมนาคม ดร.เอกพร รักความสุข อดีตรมช.แรงงาน นายเกียรติ สิทธิอมร อดีตประธานผู้แทนการค้า ประเทศไทย ดร.สถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัด กระทรวงการคลัง ดร.ปราจิน เอี่ยมลำเนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (GPI) ดร.เกษมสันต์ วีระกุล ประธานบริษัทSE-ED ม.ล สุภาพ ปราโมช สมาคมการค้าไทย-จีนและเศรษฐกิจเอเชีย พลเอก พลเอก ดร.กิตติศักดิ์ รัฐประเสริฐ นายกสมาคมภาคีเครือข่ายธรรมาภิบาลแห่งชาติ นายราม คุรุวาณิชย์ นักวิชาการอิสระและเซเลปTikTok ชื่อดังดร.สุวิทย์ ชัยเกียรติยศ ที่ปรึกษาและอดีตผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร นายประพันธ์ บุณยเกียรติ อดีตประธานกรรมการการยางแห่งประเทศไทย นาง ลักขณา นะวิโรจน์ ภัทรประสิทธิ์ ผู้บริหารกลุ่มบริษัทThe mall - ตลาดไท - กูรเมย์ นายมงคล เจริญสุข ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย ผศ.ดร.นิคม แหลมสัก รองอธิการบดีฝ่ายนวัตกรรมและกิจการเพื่อสังคม นายพรพล เอกอรรถพร อดีตผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ ดร.ไพจิตร วิบูลย์ธนสาร รองประธานและเลขาธิการหอการค้าไทยในจีน นายจิรวัฒน์ ตั้งกิจงามวงศ์ นายกสมาคมธุรกิจไม้ ประธานผลิตภัณฑ์ไม้ Asian อุปนายกสมาคมเครื่องเรือนไทย นายตฤณ วุ่นกลิ่นหอม นายกสมาคมดิจิตอลเทรด ดร.สุทัศน์  ครองชนม์  นายกสมาคมไทย IoT นายเมฆินทร์ เอี่ยมสอาด อดีตคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรและสหกรณ์ นายณฐกร สุวรรณธาดา อดีตกรรมการคณะกรรมการองค์การตลาดเพื่อการเกษตร นายสุเมฆ ปัณฑรานุวงศ์ ประธานมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย นายสานิตย์ จิตต์นุพงศ์ สำนักงานโครงการข้าวรักษ์โลก ฯลฯ

'รมว.ปุ้ย' โชว์ตัวเลขโรงงานเปิดใหม่ พบสูงกว่าปิดถึง 74% เงินลงทุนใหม่เฉียด 1.5 แสนล้าน เงินหยุดกิจการหาย 1.4 หมื่นล้าน

(27 มิ.ย. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยถึงกรณีกระแสข่าวการปิดกิจการโรงงานในปัจจุบันว่า จากข้อมูลของกรมโรงงานอุตสาหกรรม ณ วันที่ 12 มิถุนายน 2567 ประกอบกับการวิเคราะห์ข้อมูลโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม พบว่า...

ภาพรวมในปี 2567 ตั้งแต่มกราคม-พฤษภาคม 2567 มีโรงงานปิดกิจการ 488 โรงงาน ขณะเดียวกันมีโรงงาน 'เปิดกิจการใหม่' ถึง 848 โรงงาน โดยจำนวนโรงงานเปิดใหม่ 'สูงกว่าปิด' ถึงร้อยละ 74 และเมื่อพิจารณามูลค่าเงินลงทุนจากการเลิกประกอบกิจการ พบว่า มีจำนวน 14,042 ล้านบาท 

ในขณะที่การเปิดโรงงานใหม่มีเงินลงทุนถึง 149,889 ล้านบาท ซึ่งมีเงินลงทุนมากกว่าปิดกิจการกว่า 10 เท่า และในด้านการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรม การปิดกิจการมีการเลิกจ้างงาน 12,551 คน ในขณะที่การเปิดโรงงานใหม่มีการจ้างงานถึง 33,787 คน ซึ่งมีความต้องการแรงงานมากกว่า 21,236 คน 

นอกจากนี้ เมื่อรวมกับโรงงานเดิมที่มีการขยายกิจการจะมีอีกจำนวนกว่า 126 โรงงานเกิดการลงทุนเพิ่มขึ้น 11,748  ล้านบาท และเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นกว่า 4,989 คน

‘ลาว’ เตรียมออก ‘ฟรีวีซ่า’ เอาใจนักท่องเที่ยวจีน หวังปลุกกระแสการท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีหลัง

(27 มิ.ย.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า ดารานี พมมะวงสา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสารสนเทศ วัฒนธรรม และการท่องเที่ยว เผยว่านโยบายดังกล่าวจะมุ่งเป้าไปที่กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางมากับบริษัทนำเที่ยว และรัฐบาลลาวยังวางแผนให้บริการวีซ่าสำหรับเข้าออกหลายครั้ง รวมถึงขยายระยะเวลาการพำนักสำหรับนักเดินทางต่างชาติเพิ่มขึ้นจาก 30 วันเป็น 60 วัน 

ดารานี กล่าวว่า “รัฐบาลกำลังยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางถนนในพื้นที่การเดินทาง และปรับปรุงถนนหนทางในการเดินทางเข้าสู่สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมต่าง ๆ เพื่อส่งมอบประสบการณ์การเดินทางของนักท่องเที่ยวให้ดียิ่งขึ้น”

กระทรวงฯ เดินหน้าทำงานร่วมกับหน่วยงานระดับแขวงและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียด้านการท่องเที่ยวตามแนวทางรถไฟจีน-ลาว เพื่อปรับปรุงสถานที่ท่องเที่ยวให้เป็นไปตามมาตรฐานการท่องเที่ยว และติดตั้งป้ายบอกทางสถานที่ที่มีชื่อเสียงตามเส้นทางการเดินทาง

นอกจากนั้น กระทรวงฯ ยังทำงานร่วมกับนักลงทุนภาคเอกชนในการสำรวจและพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มเติมเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว

‘ผู้บริหาร LINE MAN’ อ้าแขน!! รับ 'ไรเดอร์-ร้านค้า' Robinhood ลั่น!! "เราเป็นผู้เล่นสัญชาติไทยรายเดียวที่เหลืออยู่"

(27 มิ.ย.67) โรบินฮู้ด (Robinhood) เตรียมประกาศปิดบริการในวันที่ 31 ก.ค.2567 ผ่านการดำเนินงานมา 4 ปี และขาดทุนสะสมกว่า 5.5 พันล้านบาท แม้จะได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากกลุ่ม SCBX อย่างเต็มที่

ฟู้ดดิลิเวอรีสตาร์ตอัปเจ้านี้เปิดตัวในช่วงการระบาดของโควิด-19 ด้วยแนวคิด ‘แอปเพื่อคนตัวเล็กที่ยั่งยืน’ ไม่เก็บค่า GP จากร้านค้า แต่ไม่สามารถแข่งขันกับยักษ์ใหญ่อย่าง GrabFood และ LineMan ที่ครองส่วนแบ่งตลาดรวมกันกว่า 100% (GrabFood 56% และ LineMan 53%) ในขณะที่โรบินฮู้ดมีส่วนแบ่งเพียง 5%

ยอด ชินสุภัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai ให้สัมภาษณ์กับกรุงเทพธุรกิจว่า ภาพรวมของธุรกิจฟู้ดดิลิเวอรี (Food Delivery) หรือธุรกิจบริการส่งอาหาร ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เพราะไทยมีผู้เล่นหลายรายอยู่ในตลาด หรือถ้าส่งผลกระทบก็ยังคงเป็นเชิงบวก เพราะทำให้การแข่งขันมีผู้เล่นน้อยลง โดยได้กล่าวว่า…

“เมื่อโรบินฮู้ดปิดตัวลง ไลน์แมน วงใน กลายเป็นฟู้ดดิลิเวอรีสัญชาติไทยรายสุดท้ายที่เหลืออยู่ เพราะเป็นบริษัทโดยคนไทยเป็นเจ้าของ ผมได้คุยกับทีมงานโรบินฮู้ด คุยถึงเรื่องว่าพนักงานคนไหนที่ไลน์แมน วงในสามารถรับเข้าทำงานต่อได้บ้าง” 

“ไรเดอร์ที่อยู่ในแพลตฟอร์มของโรบินฮู้ดสามารถที่จะเข้ามาสมัครทำงานกับ ไลน์แมน วงใน ต่อได้เลย โดยเราจะช่วยรับคนเท่าที่จะรับได้เพราะกำลังขยายการเติบโต ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม บางพื้นที่อาจจะยังไม่เข้าถึงบริการ บางพื้นที่อาจต้องรอการเพิ่มบริการ” 

ส่วนร้านค้า 98% ที่อยู่ในแพลตฟอร์มโรบินฮู้ดก็ได้อยู่กับไลน์แมน วงใน ด้วยแล้ว แต่ร้านค้าไหนที่ประสบปัญหาทางบริษัท ก็ยินดีต้อนรับเสมอ และพร้อมที่จะช่วยเหลือร้านค้าอย่างใกล้ชิด อาจจะพูดได้ว่าการเป็นภารกิจที่ต้องรับไม้ต่อจากโรบินฮู้ด”

สำหรับแนวโน้มของการเติบโตของตลาดดิลิเวอรี คุณยอด ระบุว่า ตลาดดิลิเวอรีปี 2567 นี้ค่อนข้างที่จะเติบโต แม้กำลังซื้อโดยรวมในประเทศไทยอาจจะไม่มากนัก แต่กำลังซื้อออนไลน์ยังมีอยู่ โดยคาดการณ์ว่าตลาดดิลิเวอรีไทยในปีนี้จะโตถึง 10% แต่ไลน์แมน วงในอาจโตมากกว่านั้น

“การเติบโตของไลน์แมน วงใน สำหรับฟู้ดดิลิเวอรียังคงเติบโต เรียกได้ว่าเป็นลำต้นที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะมี product ใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่วนของไลน์เพลย์ (LINE Play) ที่เพิ่มบริการเข้ามาเมื่อปีที่แล้วก็มีมูลค่าธุรกิจที่เติบโตถึง 2 เท่า”

“ผมอยากให้มองฟู้ดดิลิเวอรีเป็นเหมือนอีคอมเมิร์ซของร้านอาหาร แต่เดิมเราต้องเดินไปกินที่ร้าน ซึ่งในตอนนี้เราสั่งมากินที่บ้านหรือที่ไหนก็ได้ แม้โควิดจบคนก็ยังใช้อยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะกลายเป็นนิสัยของคนไปแล้ว”

“หากจะบอกว่าธุรกิจดิลิเวอรีทำกำไรไม่ได้เลย หรือไม่มีวันจะทำกำไรได้ ก็คงคิดว่าไม่ใช่ เพราะอย่างผมเห็นตัวเลขกำไรที่วิ่งหลังบ้านทุกวัน คาดว่าในอนาคตก็อาจทำกำไรได้อีกขึ้นอยู่กับสภาพโดยรวมของตลาดด้วย”

“ตลาดต่างประเทศที่มีผู้เล่นน้อยราย เช่น จีน มีผู้เล่นเพียง 2 ราย ซึ่งทั้งสองรายก็สามารถทำกำไรจากกิจการดิลิเวอรีได้ ฝั่งอเมริกาก็มีอีกหลายบริษัทที่สามารถทำกำไรได้ ดังนั้น มันจึงขึ้นอยู่กับสภาพของตลาด จำนวนผู้เล่น และสภาพเศรษฐกิจของประเทศ แต่สุดท้ายแล้ว ฟู้ดดิลิเวอรีจะเป็นหนึ่งในธุรกิจที่หลายผู้เล่นสามารถทำกำไรได้” 

คุณยอด ยังได้กล่าวถึงโครงการดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล มองว่าหากสามารถใช้จ่ายออนไลน์หรือแพลตฟอร์มฟู้ดดิลิเวอรีตัดยอดเงินจากเงินตรงนี้ได้ ก็จะทำให้ช่วยร้านค้ารายย่อยหรือร้านค้าที่ไม่ได้มีหน้าร้านได้มากขึ้น เพราะเป็นการเพิ่มจำนวนยอดขาย

“ผมได้อ่านความเห็นของกลุ่มสตาร์ตอัป ซึ่งผมก็เห็นด้วยบางรายโดยเฉพาะนายกสมาคมสตาร์ตอัปไทย เขาตั้งคำถามเรื่องการ subsidize ของสตาร์ตอัปหรือบริษัทใหญ่ ๆ ที่ลงมาทำสตาร์ตอัปเอง 

โดยผมมองว่า หากรัฐบาลจะช่วยเหลือโรบินฮู้ด อยากให้พิจารณาอย่างรอบคอบว่าทำไมถึงต้องให้การสนับสนุน (subsidize) และจะทำในรูปแบบใด รวมถึงควรพิจารณาว่าการช่วยเหลือควรจำกัดเฉพาะวงการนี้หรือไม่” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร LINE MAN Wongnai กล่าวทิ้งท้าย 

อย่างไรก็ดี การปิดตัวลงของโรบินฮู้ด ได้แสดงให้เห็นว่าธุรกิจฟู้ดดิลิเวอรียังเผชิญความท้าทายหลายประการ ทั้งการแข่งขันที่รุนแรง ต้นทุนดำเนินการสูง และความยากในการรักษาฐานลูกค้า

นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องค่า GP ที่สูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อร้านอาหารขนาดเล็ก และผู้บริโภค ในสภาวะที่ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น นักลงทุนเริ่มไม่อดทนกับธุรกิจที่ขาดทุนต่อเนื่อง ส่งผลให้หลายแพลตฟอร์มต้องปรับตัว ควบรวมกิจการหรือพยายามครองตลาดเพื่อความอยู่รอด

‘ศาลอุทธรณ์’ ลดโทษ ‘สุเทพ-ถาวร’ เหลือจำคุก 1 ปี ปม กปปส. นำมวลชนชัตดาวน์กรุงเทพฯ ปี 57

(27 มิ.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีกบฏ กปปส.ชุดใหญ่ สำนวนหลัก หมายเลขดำ อ.247/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส. กับพวกแกนนำและแนวร่วม กปปส.รวม 39 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันเป็นกบฏ, ก่อการร้าย, ยุยงให้หยุดงานฯ, กระทำให้ปรากฏด้วยวาจาหรือวิธีการอื่นใดฯ ทำให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในราชอาณาจักรฯ, อั้งยี่, ซ่องโจร, มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองฯ, บุกรุกในเวลากลางคืนฯ และร่วมกันขัดขวางการเลือกตั้งฯ 

คดีนี้อัยการโจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 23 พ.ย. 2556 - 1 พ.ค. 2557 ต่อเนื่องกัน นายสุเทพ จำเลยที่ 1 ได้จัดตั้งคณะบุคคล ชื่อ “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” หรือกลุ่ม กปปส. มีนายสุเทพ เป็นเลขาธิการ โดยร่วมกันมั่วสุมเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร กองกำลังแบ่งหน้าที่กันกระทำก่อความผิดต่อความมั่นคงของรัฐภายในราชอาณาจักร ฐานเป็นกบฏเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ทั้งอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ โดยร่วมกันยุยง ปลุกระดมให้ประชาชนทั่วประเทศกระด้างกระเดื่องร่วมชุมนุมขับไล่ ก่อความไม่สงบเพื่อขับไล่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) ให้ออกจากตำแหน่ง รวมทั้งขัดขวางการเลือกตั้ง ส.ส.ทั่วไป เพื่อมิให้นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่เข้าบริหารประเทศ ให้ข้าราชการระดับสูงรายงานตัวกับกลุ่ม กปปส. จากนั้นจะแต่งตั้งคณะบุคคลเข้าบริหารประเทศเป็นรัฐบาลประชาชน เป็นรัฏฐาธิปัตย์ ซึ่งจะออกคำสั่งแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี และ ครม. โดยจะนำรายชื่อขึ้นกราบบังคมทูลเอง รวมทั้งจัดตั้งกองกำลังส่วนหนึ่งพร้อมอาวุธเข้าไปบุกยึดสถานที่ราชการและหน่วยงานสำคัญต่าง ๆ หลายแห่ง เช่น ทำเนียบรัฐบาล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจนครบาล สำนักงานเขตหลักสี่ ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง) เพื่อไม่ให้รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินได้ รวมทั้งการปิดกั้น ขัดขวางเส้นทางคมนาคมขนส่ง เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน

นอกจากนี้ ช่วงระหว่างวันที่ 13 ม.ค. - 2 มี.ค. 2557 พวกจำเลยได้บังอาจปิดกรุงเทพมหานครด้วยการตั้งเวทีปราศรัยทั่วกรุงเทพฯ รวม 7 จุด ปิดกั้นเส้นทางการจราจร จัดตั้งกองกำลังรักษาพื้นที่ วางเครื่องกีดขวาง ไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง การกระทำของพวกจำเลยล้วนไม่ชอบด้วยบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 เพื่อล้มล้างหรือเปลี่ยนแปลงอำนาจบริหารตามรัฐธรรมนูญ

‘เหตุเกิดในกรุงเทพมหานคร และอีกหลายท้องที่ทั่วราชอาณาจักรเกี่ยวพันกัน
นายสุเทพกับพวกจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธต่อสู้คดี และได้รับการประกันตัว’

ต่อมาวันที่ 24 ก.พ. 2564 ศาลอาญามีคำพิพากษาจำคุกจำเลยรายสำคัญ โดยศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ในส่วนความผิดฐานกบฏและก่อการร้าย พฤติการณ์ชุมนุมไม่มีการใช้กำลังประทุษร้ายบุคคลใด เพื่อล้มล้างการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ นิติบัญญัติ อำนาจบริหาร จึงไม่เป็นความผิดฐานกบฏ และก่อการร้าย เเต่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ และจำเลยอื่นรวม 26 คน ศาลตัดสินจำคุกในความผิดฐานยุยงให้เกิดการหยุดงานเพื่อบังคับรัฐบาล, ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา, ร่วมกันมั่วสุม 10 คนขึ้นไป, ร่วมกันบุกรุกสำนักงานผู้อื่นในเวลากลางคืน, ร่วมกันบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น และร่วมกันกระทำการโดยไม่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย

ในช่วงเช้าวันนี้ นายสุเทพ อดีต เลขาธิการ กปปส.และแกนนำ กปปส.ทั้ง 37 คน ต่างทยอยเดินทางมาฟังคำพิพากษาตามนัด โดยมีมวลชนและบุคคลใกล้ชิดกว่า 100 คน เดินทางมาให้กำลังใจ

สำหรับการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในวันนี้ ศาลไม่ได้ให้สื่อมวลชนเข้าฟังการอ่านในช่วงเช้านี้เนื่องจากมีบุคคลจำนวนมากโดยจะมีการเเจ้งผลคำพิพากษาให้ทราบภายหลังกระบวนการอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น นายสุเทพ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ว่า ไม่รู้สึกกังวล ไม่ว่าคำพิพากษาจะออกมาเป็นอย่างไรก็พร้อมน้อมรับ ตอนที่มีคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งตนเองถูกสั่งจำคุก ก็ได้เข้าไปนอนเรือนจำ 2 คืนก่อนได้รับการประกันตัวออกมา หากคราวนี้ถูกสั่งจำคุกอีก ก็เตรียมเสื้อผ้า ชุดกางเกงขาสั้น มาไว้พร้อมแล้ว พร้อมยกมือไหว้ขอบคุณมวลชนที่ยังคงให้กำลังใจมาจนถึงทุกวันนี้

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว พิพากษาแก้โทษ รวมโทษจำคุก นายสุเทพ จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 1 ปี ,จำคุก นายชุมพล จำเลยที่ 3 เป็นเวลา 1 ปี 8 เดือน ,จำคุกนายพุทธิพงษ์ จำเลยที่ 4 เป็นเวลา 1 ปี ,จำคุกนายอิสสระ จำเลยที่ 5 เป็นเวลา 1 ปี 8 เดือน ,จำคุกนายถาวร จำเลยที่ 7 เป็นเวลา 1 ปี ,จำคุกนายณัฎฐพล จำเลยที่ 8 เป็นเวลา 1 ปี 8 เดือน ,จำคุกนายสมศักดิ์ จำเลยที่ 15 เป็นเวลา 1 ปี ,จำคุกนายสุวิทย์ จำเลยที่ 16 เป็นเวลา 1 ปี 8 เดือน ,จำคุกเรือตรีแซมดิน จำเลยที่ 24 เป็นเวลา 1 ปี 8 เดือน,จำคุกนายคมสัน จำเลยที่ 26 เป็นเวลา 1 ปี ,จำคุกนายสาวิทย์ จำเลยที่ 29 เป็นเวลา 1 ปี ,จำคุกนายสำราญ จำเลยที่ 33 เป็นเวลา 8 เดือน, จำคุกนายอมร จำเลยที่ 34 เป็นเวลา 1 ปี ,จำคุกนายกิตติชัย จำเลยที่ 37 เป็นเวลา 1 ปี ,จำคุกน.ส.อัญชะลี จำเลยที่ 10 เป็นเวลา 1 ปี ปรับ 8,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา ,จำคุกนายถนอม จำเลยที่ 14 เป็นเวลา 1 ปี ปรับ 8,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา,จำคุกนายสาธิต จำเลยที่ 17 เป็นเวลา 1 ปี โทษจำคุกให้รอลงอาญา ปรับ 8,000 บาท ,จำคุกนางทยา จำเลยที่ 38 เป็นเวลา 8 เดือน ปรับ13,333 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา (รวมไม่รอลงอาญา 14 คน รอลงอาญา 4 คน) ส่วนจำเลยที่เหลืออีก 19 คนให้ยกฟ้อง

ภายหลังคำพิพากษา นายสวัสดิ์ เจริญผล ทนายความของ สุเทพ เทือกสุบรรณ เผยว่าวันนี้ศาลอุทธรณ์อ่านคำพิพากษามีรายละเอียดค่อนข้างมากเเต่เท่าที่จดมาทันคือศาลอุทธรณ์ยกฟ้องในข้อหากบฏเเละก่อการร้ายพิพากษาลดโทษจำคุก นายสุเทพกับพวก ที่เดิมโดนตั้งเเต่ 4 -9ปีกว่าก็ลดกันมาเหลือคนละ 1 ปี -1ปีเศษ เเบบนายสุเทพกับนายถาวร เสนเนียม เหลือคนละ 1 ปี เเต่ไม่รอลงอาญา เหตุผลที่ศาลอุทธรณ์ลดโทษเนื่องจากมองว่าเป็นการกระทำกรรมเดียวเหตุต่อเนื่องกัน ต่างจากศาลชั้นต้นที่มองเป็นการกระทำหลายกรรมโทษเลยสูง โดยที่พิพากษาจำคุกไม่รอลงอาญาทั้งหมด 14 คน ส่วนรายอื่นก็มีพิพากษาเเก้ยกฟ้อง เเละมีเพิ่มโทษ จำเลยที่ไม่รอลงอาญาขณะนี้อยู่ระหว่างยื่นประกันในชั้นฎีกา ซึ่งคาดว่าศาลจะมีคำสั่งได้ในวันนี้เลยเรื่องจากศาลชั้นต้นสามารถสั่งเองได้เเต่ขึ้นอยู่กับดุลพินิจว่าจะส่งศาลฎีกาหรือไม่ หลักทรัพย์เดิมเราเตรียมไว้พร้อมเเล้ว

สำหรับรายชื่อจำเลยทั้งหมดในคดี กปปส.ชุดใหญ่ในวันนี้ 39 รายประกอบด้วย

1.นายสุเทพ เทือกสุบรรณ
2.นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย
3.นายชุมพล จุลใส
4.นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์
5.นายอิสสระ สมชัย
6.นายวิทยา แก้วภราดัย
7.นายถาวร เสนเนียม
8.นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ
9.นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์
10.น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก
11.พลเอกปรีชา เอี่ยมสุพรรณ
12.นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์
13.นายยศศักดิ์ โกไศยกานนท์
14.นายถนอม อ่อนเกตุพล
15.นายสมศักดิ์ โกศัยสุข
16.พระพุทธะอิสระ หรือนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ
17.นายสาธิต เซกัล
18.นางสาวรังสิมา รอดรัศมี
19.พลอากาศโทวัชระ ฤทธาคนี
20.พลเรือเอกชัย สุวรรณภาพ
21.นายแก้วสรร อติโพธิ
22.นายไพบูลย์ นิติตะวัน
23.นายถวิล เปลี่ยนศรี
24.เรือตรีแซมดิน เลิศบุศย์
25.นายมั่นแม่น กะการดี
26.นายคมสัน ทองศิริ
27.พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์
28.นายนายพิภพ ธงไชย
29.นายสาวิทย์ แก้วหวาน
30.นายสุริยะใส กตะศิลา
31.นายสุริยันต์ ทองหนูเอียด
32.พ.ต.ท.ภัทรพงศ์ สุปิยะพาณิชย์
33.นายสำราญ รอดเพชร
34.อมร อมรรัตนานนท์
35.นายพิเชษฐ พัฒนโชติ
36.นายสมบูรณ์ ทองบุราณ 3
37.นายกิตติชัย ใสสะอาด
38.นางทยา ทีปสุวรรณ
39.นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง

สื่อมวลชนได้ 'เฮ' นายก 2 สมาคมฯ 'ไชยยงค์' ได้รับเลือกตั้ง สว. สื่อมวลชนได้รับอนิสงค์

วันนี้ 27 มิถุนายน 2567 รายงานจากสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้แห่งประเทศไทย ( สนต.) อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ว่ามีสมาชิกสมาคมหนังสือพิมพ์ภาคใต้ และ สมาคมนักหนังสือพิมพ์ภูมิภาคแห่งประเทศไทย(สนพท.)หลายร้อยคนได้ร่วมแสดงความยินดีกับนายไชยยงค์ มณีรุ่งสกุล นายกสมาคมฯทั้ง 2 สมาคมฯ  ที่ได้รับความไว้วางใจด้วยการเลือกเป็นว่าที่สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ซึ่งมีเพื่อนร่วมวิชาชีพสื่อสารมวลชนในกลุ่ม 18 อีก 9 คน

นายไชยยงค์ฯ เปิดเผยว่า การเลือกตั้ง สว.ปี 67 เหนื่อยต้องใช้ความอดทนสูง กว่าผ่านด่านแต่ละด่านอยากเย็นแสนเข็นมาก เมื่อได้รับความไว้วางใจจากผู้สมัคร สว.ทั้ง 20 กลุ่มอาชีพแล้ว จะทำหน้าที่ในสภา ตามบทบาทและหน้าที่ที่กฏหมายกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญให้ดีที่สุด ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ การศึกษา ศิลปวัฒนธรรม และผู้อยู่ในแวดวงวิชาชีพสื่อมวลชนให้มีสวัสดิภาพ และสวัสดิการเช่นเดียวกับวิชาอาชีพอื่นๆ

“โดยเฉพาะปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งตนคลุกคลีพื้นที่มา 20 กว่าปี เพื่อสะท้อนให้รัฐบาลหรือหน่วยงานภาครัฐรับรู้ในบางสิ่งบางอย่าง เพื่อจะได้ช่วยกันแก้ปัญหาและพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้ ด้วยการนำเอาความรู้และประสบการณ์ที่อยู่ในแวดวงการวิชาชีพสื่อมวลชนมา 40 กว่าปี”

‘เจ๊จุก’ ลั่น!! โชคดีของประเทศไทย หลัง ‘ตัวตึง 3 นิ้ว’ ตกรอบเลือก สว.

เมื่อวานนี้ (26 มิ.ย.67) มีผู้สมัคร สว. ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าสู่การเลือกระดับประเทศ ทยอยเดินทางมาเพื่อเข้ารายงานตัวนั้น มีผู้สมัคร สว. ชายรายหนึ่ง เดินเข้ามาถึงจุดที่มีสื่อมวลชนรอเก็บภาพ ได้ชูมือขึ้นเหนือหัว แสดงสัญลักษณ์ 3 นิ้ว ซึ่งกรณีดังกล่าว นายอิทธิพร บุญประคอง ประธาน กกต. ได้ให้สัมภาษณ์ว่า การชู 3 นิ้วโดยหลักแล้วไม่มีอะไรห้าม แต่เราไม่อยากให้ทำอะไรที่ทำให้เกิดคำถาม เราถ่ายรูปก็ชอบทำท่านั้น ท่านี้ อยู่แล้ว ซึ่งตนคิดว่า เป็นเรื่องปกติ

จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่า ชายที่ชู 3 นิ้ว นั้น คือผู้สมัครหมายเลข 48 กลุ่มที่ 17 นายธัชพงศ์ แกดำ จากจังหวัดปทุมธานี

ล่าสุด ‘เจ๊จุก คลองสาม’ โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่า “ชัดขนาดนี้ ปั๊ดโธ่ คิดว่าคนจะแXก ส้ม ทั้งประเทศเหรอคะ”

ต่อมาได้โพสต์ข้อความอีกครั้ง ระบุว่า…

“โชคดีของประเทศไทย ที่เราไม่ได้คนที่เคยชูนิ้วกลางใส่ สว. และโดนคดี 112 ไปเป็นผู้ทรงเกียรติในสภา ชาวบ้านเขาคงรู้กำพืดแหละคะ เขาถึงไม่เลือกมัน ซึ่งแม้กระทั่งส้มด้วยกันเองก็ยังยี้เลย”

เปิดใจ 'วสวัตติ์ ระวังวงศ์' คนเก่งผู้คว้า 'ทุนคิง' สานฝันสู่ MIT เผย!! "เพราะความพยายาม จึงมีโอกาสเข้า ม.อันดับ 1 ของโลกได้"

จากรายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยเด็กเก่งระดับประเทศ 'วสวัตติ์ ระวังวงศ์' หรือ 'น่านน้ำ' ซึ่งสามารถสอบทุนเล่าเรียนหลวง หรือ King’s Scholarship (ทุนเล่าเรียนหลวง หรือ 'ทุนคิง' คือ ทุนการศึกษาที่ให้นักเรียนมัธยมปลายที่ศึกษาในไทยไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีในต่างประเทศ)

เกี่ยวกับเรื่องนี้ น่านน้ำ เล่าว่า ขณะนี้กำลังเตรียมตัวไปเรียนต่อที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology) หรือ MIT ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ในช่วงเดือนกันยายนนี้ โดยตั้งใจเรียนสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ (Computer Science) ซึ่งเป็นสาขาเทคโนโลยีแห่งอนาคต 

สำหรับเส้นทางการศึกษาของ 'น่านน้ำ' เจ้าตัวเล่าให้ฟังว่า เรียนจบระดับชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย และมาต่อระดับมัธยมศึกษาตอนปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ปทุมวัน ซึ่งส่วนตัวชอบเรียนวิชาคณิตศาสตร์มาก และมีโอกาสเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าร่วมการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ และคว้าเหรียญทองและเหรียญเงินมาให้ประเทศไทยได้ จึงเป็นการจุดประกายแนวคิดในการศึกษาต่อต่างประเทศ โดยเลือกสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวง ซึ่งต้องเตรียมตัวอย่างมาก เนื่องจากมีการสอบหลายวิชา อาทิ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และวิชาสังคม ซึ่งต้องทำคะแนนให้ได้ทั้งหมด ซึ่งผลปรากฏว่าสามารถชิงทุนเล่าเรียนหลวงได้ 

เมื่อถามถึงแนวทางในการเรียนให้ประสบความสำเร็จ? น่านน้ำ เล่าว่า "โดยส่วนตัวไม่ได้กำหนดว่าจะต้องฝึกโจทย์ หรือ ต้องอ่านหนังสือวันละกี่ชั่วโมง เวลาอ่านหนังสือแล้วเหนื่อยก็พักโดยการเล่นกีตาร์เพื่อปรับเปลี่ยนอารมณ์ ผมรู้สึกว่าจะเรียนเก่งไม่ได้เลยถ้าไม่มีความอยากเรียนวิชานั้นต่างหาก เพราะฉะนั้นต้องสร้างความอยากเรียน ต้องสร้างแรงจูงใจ (Motivation) ให้ตัวเองอยากเรียน หรือเรียนตามความสนใจ ดีกว่าเรียนเพื่อสอบเพียงอย่างเดียว" 

เมื่อถามถึงกำลังใจสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จในวันนี้? น่านน้ำ เผยว่า "ผมต้องขอบคุณพ่อแม่มาก ๆ ถ้าไม่สนับสนุนผมก็คงมาไม่ถึงจุดนี้ เนื่องจากพ่อแม่ดูแลใกล้ชิดและหาโอกาสในการเรียนรู้เพิ่มเติมให้ผมเสมอ รวมถึงคุณครูอาจารย์ทุกท่านที่ช่วยสอนและพัฒนาผมมาเรื่อย ๆ และเพื่อน ๆ ที่พากันเรียนทำให้ได้เรียนรู้จากเพื่อนเก่ง ๆ ที่แชร์ความรู้ร่วมกัน"

สุดท้าย น่านน้ำ ได้ขอบคุณทุนเล่าเรียนหลวง หรือ King’s Scholarship โดยเจ้าตัวกล่าวด้วยความตื้นตันว่า ถ้าไม่มีทุนนี้ ก็ไม่มีโอกาสได้เรียนต่างประเทศ ไม่ได้เข้า MIT ไม่ได้หาประสบการณ์ใหม่ ๆ เพื่อมาพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต

‘ท่องเที่ยวเกาหลีใต้’ ร้องรัฐฯ ทบทวนมาตรการคัดกรอง นทท. หลังยอด ‘นักท่องเที่ยวไทยตัวจริง’ ลดฮวบ แต่ ‘ผีน้อย’ กระฉูด

(27 มิ.ย.67) ทางเว็บไซต์หนังสือพิมพ์เดอะโคเรียไทมส์ รายงานอ้างการเปิดเผยของกระทรวงยุติธรรมเกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 67 ว่า คนไทย ครองสัดส่วนอันดับ 1 ผู้ที่พำนักอาศัยอยู่อย่างผิดกฎหมาย หรือ ผีน้อย

ข้อมูลถึงช่วงปลายเดือน พ.ค. มีถึง 145,810 คน คิดเป็น 35.1% แซงหน้าผีน้อยจากประเทศเวียดนาม 79,366 ราย, จีน 64,151 ราย, ฟิลิปปินส์ 13,740 ราย, อินโดนีเซีย 12,172 ราย, กัมพูชา 10,681 ราย

ทำให้ระบบตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวดของเกาหลีใต้ ทางออนไลน์ K-ETA ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวไทยลดลงมากในปีนี้

จากข้อมูลเดือน ม.ค.-เม.ย. 2567 มีนักเดินทางชาวไทยเพียง 119,000 คน ลดลงถึง 21.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

กระทรวงยุติธรรม หน่วยงานที่พิจารณาคำขอของระบบ K-ETA ไม่ได้เปิดเผยเหตุผลที่ปฏิเสธคำขอการเดินทางเข้าเกาหลีใต้ แต่เจ้าหน้าที่กระทรวงยุติธรรมยืนยันว่าใช้หลักเกณฑ์เดียวกันหมดกับทุกประเทศ

การท่องเที่ยวเกาหลีใต้ จึงได้ร้องขอให้กระทรวงยุติธรรม ยกเว้นประเทศไทยไม่ต้องขอ K-ETA ชั่วคราวไปจนถึงสิ้นปี 2567 เนื่องจากมีเป้าหมายดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้ได้ 20 ล้านคนในปีนี้

กระทรวงยุติธรรมเปิดเผยกับสำนักข่าวยอนฮับว่า จำเป็นต้องใช้แนวทางที่ระมัดระวัง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าวอาจส่งผลให้จำนวนชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่อย่างผิดกฎหมายในเกาหลีใต้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ช่วงเดือน พ.ย.ปีที่แล้ว กระทรวงยุติธรรมได้กล่าวปกป้องระบบคัดกรองคนเข้าเมืองนี้ โดยระบุว่ามีคนไทยมากถึง 78% ที่พำนักอยู่ในเกาหลีใต้อย่างผิดกฎหมาย เป็นหน้าที่โดยชอบธรรม ของกระทรวงยุติธรรมที่จะลดจำนวนผู้ลักลอบอาศัยอย่างผิดกฎหมาย

ทางด้าน อริญชยา เลิศวัฒนชัย ผู้จัดการฝ่ายการตลาดองค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี KTO (Korea Tourism Organization) กล่าวว่า ปัจจุบันเทรนด์การท่องเที่ยวเกาหลีของนักท่องเที่ยวไทยมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบจากการซื้อแพ็กเกจทัวร์ เป็นการวางแผนเดินทางด้วยตนเอง

"ปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อย คือ นักท่องเที่ยวไทย ไม่ผ่าน ตม. ขณะที่ ผีน้อยไทย ผ่าน นักท่องเที่ยวไทยจึงลดจำนวนลงเรื่อย ๆ เพราะไม่อยากเสี่ยงถูกส่งกลับ และหาสาเหตุไม่ได้ว่า ทำไมตัวเองถึงไม่ผ่าน ไม่ได้เข้าประเทศ"

ผู้จัดการฝ่ายการตลาด องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเกาหลี กล่าวเสริมว่า “เราได้ส่งคอมเมนต์ไปทางเกาหลีที่สำนักงานใหญ่ ว่า อยากให้ปรับปรุงระบบของ K-ETA ในการคัดกรองนักท่องเที่ยวให้ดีขึ้น เพราะมีประเด็นว่า นักท่องเที่ยวจริง พอยื่นแล้วเข้าไม่ได้ หรือขอ K-ETA ไม่ผ่าน เราก็ทำเรื่องไปที่สำนักงานใหญ่ให้เขาช่วยคุยกับหน่วยงานนี้หน่อย ให้คัดกรองให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งเราก็ทำได้แค่นี้"

มีคนกล่าวว่า “ผีน้อยที่ผ่าน อาจเพราะมีเอเจนซี่ มีการสอนมาอย่างดี ขณะที่นักท่องเที่ยว คิดว่าตัวเองเป็นนักท่องเที่ยว ก็แค่ถ่ายรูปพาสปอร์ตลงไป รูปไม่สวยบ้าง ไม่ตรงปกบ้าง”

"ที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวบางคนขอ K-ETA แล้วไม่ผ่าน ก็ท้อใจ บอกว่าเกาหลีเข้ายาก ไม่ไปเกาหลีดีกว่า”

“ซึ่งการตรวจคัดกรองของเขาควรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตม. ก็เช่นกัน ควรตรวจคัดกรองให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เราไม่สามารถไปแก้ไขมาตรการต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเราเอง เพราะการคัดกรองเข้าประเทศ มันเป็นสิทธิ์ของแต่ละประเทศอยู่แล้ว สิ่งที่เราทำได้ คือ เสนอเขาไป”

สำนักงานตำรวจแห่งชาติพร้อมภาคีเครือข่าย มอบรางวัลพลเมืองดีส่งคลิปผู้ขับขี่ฝ่าฝืนกฎหมายตาม “โครงการอาสาตาจราจร” ผู้ช่วย ผบ.ตร.เน้นย้ำเคารพกฏเพื่อลดอุบัติเหตุ “จราจรสอนวินัยชาติ”

วันนี้ (27 มิ.ย. 67) เวลา 10.00 น. ณ ห้องสารสิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย นพ.แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ , คุณกานดา วัฒนายิ่งสมสุข ที่ปรึกษาฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) , คุณนิตยา ลีธีระกุล ผู้แทน สถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์ สวพ.91 , คุณอัจฉรา บัวสมบูรณ์ ผู้แทน สถานีวิทยุ จส.100 ร่วมแถลงผลการมอบรางวัล และเกียรติบัตรโครงการอาสาตาจราจร โดยมอบรางวัลให้กับประชาชนเจ้าของคลิปกล้องหน้ารถ ที่บันทึกอุบัติเหตุทางถนนหรือการกระทำผิดกฎจราจรที่สำคัญ ประจำเดือนเมษายน และพฤษภาคม 2567 รวมรางวัลทั้งสิ้น 20 รางวัล เงินรางวัลสูงสุด 20,000 บาท รวมเงินรางวัลที่จะมอบในวันนี้ เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 100,000 บาท โดยบริษัท วิริยะประกันภัย เป็นผู้สนับสนุนเงินรางวัล

เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ กล่าวว่า โครงการนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยในการสร้างการตระหนักรู้ในการขับขี่ปลอดภัย ให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎจราจร การมีส่วนร่วมดังกล่าวเป็นการสร้างมาตรฐานทางสังคมให้เกิดความยับยั้งชั่งใจในการกระทำความผิด

พล.ต.ท.กรไชยฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งร่วมขับเคลื่อนสังคมให้น่าอยู่ โดย “จราจรสอนวินัยชาติ” โครงการนี้ทำให้กระตุ้นเตือนภาคประชาชนที่ใช้รถใช้ถนนให้มีความระมัดระวัง ทุกวินาทีมีผู้เสียชีวิตได้เสมอ และต้องขอขอบคุณภาคีเครือข่ายทุกองค์กรที่ร่วมสนับสนุนโครงการมาโดยตลอด นับแต่เริ่มโครงการมาจนถึงปัจจุบัน สังคมมีความตื่นตัว มีคลิปการกระทำผิดกฎจราจรจากภาคประชาชนส่งมาให้คณะทำงานพิจารณาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลเบาะแสเหล่านี้ แสดงถึงความสนใจ ใส่ใจกับปัญหาการจราจร และจะเป็นการขับเคลื่อนที่สำคัญในการแก้ไขปัญหาการจราจร เพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนนให้กับผู้ใช้ทาง สำหรับผู้กระทำผิดที่ถูกบันทึกคลิปวิดีโอเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำไปตรวจสอบและติดตามมาดำเนินคดี โครงการนี้มุ่งหวังให้ผู้ขับขี่ ยับยั้งชั่งใจในการกระทำความผิด เพื่อมุ่งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น

นอกจากนี้ พล.ต.ท.กรไชยฯ กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่อยากจะฝากพี่น้องประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนคือ เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้ต้องการไปจับกุมใคร หรือให้ใบสั่งใคร แต่จะเน้นการเตือน จดชื่อ-นามสกุล หมายเลขทะเบียนรถ เก็บไว้ในระบบ หากพบการกระทำผิดเกิน 3 ครั้ง จึงจะดำเนินการจับปรับ ซึ่งผู้ที่ถูกจับกุมนั้นจะสามารถตรวจสอบประวัติของตนเองได้ด้วย ตำรวจเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งในเรื่องของการควบคุมและบังคับใช้กฎหมาย เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ ทุกครั้งที่เกิดอุบัติเหตุคือความเสี่ยง ที่อาจสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินได้

และในช่วงนี้เป็นช่วงเปิดภาคการเรียน สำนักงานตำรวจแห่งชาติขอความร่วมมือประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนน เพิ่มความระมัดระวังในขณะขับขี่บริเวณโดยรอบสถานศึกษา โดยเฉพาะบริเวณทางข้าม หรือ ทางม้าลาย ขอให้ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด ลดความเร็วในการขับขี่ ชะลอความเร็วเมื่อเข้าเขตทางข้าม และหยุดรถให้ นักเรียน นักศึกษา และคนเดินเท้า ทุกครั้ง สำหรับผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ทั้งผู้ปกครอง และเยาวชนให้สวมหมวกนิรภัยทุกครั้งเพื่อป้องกันและลดความรุนแรงเมื่อเกิดอุบัติเหตุ โดยขอให้สถานศึกษาทุกแห่งมีมาตรการกระตุ้นเตือน จัดกิจกรรมส่งเสริมให้นักเรียน นักศึกษา ใช้รถใช้ถนนตามกฎแห่งความปลอดภัย

สำหรับผู้ที่ต้องการเข้าร่วมกิจกรรม สามารถส่งคลิปผู้ฝ่าฝืนกฎจราจรมายังช่องทางที่หลากหลาย ได้แก่ เพจอาสาตาจราจร เพจตำรวจทางหลวง  เพจกองบังคับการตำรวจจราจร รวมถึงเพจเครือข่ายที่ร่วมโครงการ ทั้งเพจมูลนิธิเมาไม่ขับ สวพ.91 และ จส.100  คลิปที่มีเนื้อหาน่าสนใจผ่านการคัดเลือก นอกจากได้รับเงินรางวัลแล้ว ยังได้รับใบประกาศเกียรติคุณจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะพลเมืองดี ช่วยส่งพยานหลักฐานเพื่อช่วยคนดีชี้คนผิด เป็นส่วนหนึ่งในการลดอุบัติเหตุทางถนน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top