Monday, 1 July 2024
TheStatesTimes

‘กรมทะเลฯ’ เตือนภัย!! ‘แมงกะพรุนหัวขวด’ พิษร้ายแรง โผล่หาดภูเก็ต ย้ำ นทท.เฝ้าระวัง อาจเสี่ยงถึงตาย พร้อมแนะวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น

(26 มิ.ย.67) กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ออกมาแจ้งเตือนว่า มีการพบแมงกะพรุนหัวขวด (Blue Bottle Jellyfish) ซึ่งเป็นแมงกะพรุนพิษร้ายแรง กลุ่มแมงกะพรุนไฟ ที่อ่าวหลา อ่าวทือ เกาะราชาใหญ่ จ.ภูเก็ต ขอให้นักท่องเที่ยว หรือผู้ทำกิจกรรมทางน้ำระวังการสัมผัส หากสัมผัสโดนแมงกะพรุนจะทำให้มีอาการปวดแสบปวดร้อน อาจส่งผลต่อระบบผิวหนัง ระบบประสาทหัวใจ และอาจเสียชีวิตได้ ล่าสุด รับแจ้งจาก Seafarer Divers Phuket บริษัท ซีฟาร์เรอร์ ไดเวอร์ ภูเก็ต จำกัด ว่า เจ้าหน้าที่เรือ 1 นาย สัมผัสแมงกะพรุนหัวขวดได้รับบาดเจ็บ หายใจติดขัด นำส่งโรงพยาบาล ล่าสุดอาการปลอดภัยแล้ว นอกจากนั้น ยังมีนักดำน้ำ สัมผัสอีก 2 คน

อย่างไรก็ตาม หากสัมผัสควรใช้วัสดุแข็งเขี่ยหนวดออกจากร่างกาย ห้ามใช้มือสัมผัสโดยตรง และห้ามนวดหรือทายาใดๆ ใช้น้ำส้มสายชูราดบริเวณที่สัมผัสอย่างต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 30 วินาที และห้ามใช้น้ำจืดในการล้างแผลโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้พิษกระจายเร็วขึ้น และรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

สำหรับแมงกะพรุนหัวขวด (Blue Bottle Jellyfish) : สกุล Physalia จัดอยู่ในกลุ่มแมงกะพรุนไฟ ไฟลัม Cnidaria คลาส Hydrozoa แมงกะพรุนหัวขวดมีลักษณะส่วนบนลอยโผล่พ้นน้ำคล้ายลูกโป่งรูปร่างรี ยาว คล้ายหมวกของทหารเรือชาวโปรตุเกส มีหนวดยาวสีฟ้าหรือสีม่วง มีเข็มพิษ (nematocyst) สำหรับป้องกันตัวและจับเหยื่อ กระจายอยู่ทุกส่วนของร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหนวด (tentacle) แมงกะพรุนชนิดนี้ทั่วโลกพบ 2 ชนิดคือ แมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส (P. physalis) และแมงกะพรุนไฟเรือรบโปรตุเกสอินโด-แปซิฟิก (P. utriculus)

สำหรับในประเทศไทยมีรายงานพบแมงกะพรุนหัวขวดประปราย ระหว่างเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ บริเวณชายหาดชลาทัศน์ และชายหาดสมิหลา จ. สงขลา ชายหาดแหลมตาชี จ.ปัตตานี หาดนาเทียน หาดละไม และหาดริ้น จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวอ่าวไทยได้รับอิทธิพลของลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้คลื่นลมพัดพาแมงกะพรุนเข้ามาชายฝั่งอ่าวไทยได้

ทั้งนี้ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้จัดทำแอปพลิเคชัน Marine Warning Application on Mobile ระบบเตือนภัยท่องเที่ยวทางทะเล (Marine Tourism Warning System) เป็นระบบแจ้งเตือนภัยนักท่องเที่ยวหรือประชาชนในพื้นที่ใกล้จุดเกิดเหตุ ในการเฝ้าระวังและรวบรวมสถิติการเกิดปรากฏการณ์ภัยทางทะเล เช่น น้ำทะเลเปลี่ยนสี คลื่นย้อนกลับ ปัญหาคราบน้ำมัน จุดที่พบแมงกะพรุนพิษ และการกัดเซาะชายฝั่งในรูปแบบ Web Application และ Mobile Application โดยมีเมนูการใช้งาน ประกอบด้วย แสดงจุดเตือนภัยตามพิกัดที่เกิดเหตุในรัศมีที่กำหนด ระบบแจ้งเตือนบนมือถือ (Notification) พร้อมให้ประชาชนสามารถแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับระบบรับแจ้งเหตุฉุกเฉินเกี่ยวกับภัยพิบัติทางทะเลและชายฝั่ง ดาวน์โหลดติดตั้งฟรีได้แล้ววันนี้

‘รัดเกล้า-มินิ วปอ.รุ่นที่ 1’ ลงพื้นที่ภาคอีสาน 5 จว. รับฟังปัญหา ปชช. พร้อมเดินหน้าเซ็น MOU ผลักดันอุตฯ-ผลิตภัณฑ์เลือดอีสานสู่เวทีโลก

(26 มิ.ย. 67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และคณะสื่อสารของหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรสำหรับผู้บริหารในอนาคต หรือ วปอ.บอ. หรือที่รู้จักกันในนาม ‘มินิ วปอ. รุ่นที่ 1’ ได้เปิดเผยกำหนดการการลงพื้นที่ครั้งที่ 2 ของหลักสูตรที่มีกำหนดการเดินทางต่อเนื่อง 5 วัน ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายนจนถึง วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2567 

โดยการเดินทางครอบคลุม 5 จังหวัดในแดนอีสาน เริ่มต้นตั้งแต่จังหวัดเลย เดินสายต่อไปที่จังหวัดอุดรธานี จังหวัดบึงกาฬ จังหวัดหนองคาย และปิดท้ายด้วยจังหวัดนครราชสีมา 

ซึ่งกำหนดการมีทั้งเนื้อหาของการลงพื้นที่เพื่อเรียนรู้ปัญหาเชิงลึก การฟังการบรรยายในหัวข้อที่หลากหลาย เช่น การพัฒนาการท่องเที่ยวสู่ความยั่งยืน และผลกระทบการบริหารจัดการลุ่มแม่น้ำโขง ที่ได้เรียนรู้ถึงผลกระทบต่อสภาวะโลกร้อนที่มีต่อจังหวัดเลย ที่มุ่งเน้นการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ และเรียนรู้ถึงความกังวลใจของประชาชนที่ใช้ชีวิตอยู่บริเวณชายแดนแม่น้ำโขงที่ได้รับผลกระทบจากโครงการสร้างเขื่อน เพื่อผลิตไฟฟ้าพลังน้ำบนแม่น้ำโขงของประเทศลาว โดยเฉพาะชาวประมงที่จะพบเจอการเปลี่ยนแปลงของระบบนิเวศที่ส่งผลให้มีจำนวนปลาน้อยลง จำนวนสาหร่ายเพิ่มขึ้น เป็นต้น

นางรัดเกล้า เผยเพิ่มเติมว่า วันนี้ (26 มิ.ย. 67) พลโท ศักดิ์สิทธิ์ แสงชนินทร์ ที่ปรึกษาสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กรรมการบริหารการศึกษา และ ผู้อำนวยการหลักสูตร วปอ.บอ. นำทัพเดินทางมาจังหวัดบึงกาฬเพื่อฟังการบรรยายเรื่อง ‘ประตูการค้าสู่อินโดจีน’ และคณะนักศึกษาได้ประกอบกิจกรรมเพื่อพัฒนาสังคม (CSR) รวมถึงการลงนามเซ็นในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ (MOU) ในการให้คำปรึกษาเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าและบริการของจังหวัดบึงกาฬไปสู่เวทีโลกภายใต้แนวคิด Connect to the future: Moving forward together ซึ่งจะเป็นการลงนามระหว่าง 5 ฝ่ายได้แก่ หลักสูตร วปอ.บอ. จังหวัดบึงกาฬ องค์การบริหารส่วนจังหวัดบึงกาฬ หอการค้าจังหวัดบึงกาฬ และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดบึงกาฬ 

นางสาวธนนนท์ นิรามิษ ประธานคณะกรรมการฝ่ายพัฒนาสังคม CSR นักศึกษาหลักสูตร วปอ.บอ. รุ่นที่ 1 ชี้แจงภายหลังจากการร่วมลงนามใน MOU ว่า สาระสำคัญใน MOU คือการทำงานร่วมกันเชิงบูรณาการ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าหรือบริการของจังหวัดบึงกาฬไปสู่เวทีโลก อันจะนำไปสู่การพัฒนาความมั่นคงทางเศรษฐกิจของจังหวัดบึงกาฬอย่างยั่งยืน 

โดยนักศึกษา วปอ.บอ. รุ่นที่ 1 จะช่วย Connect จังหวัดบึงกาฬไปสู่อนาคตที่สดใส ภายใต้แนวคิด Moving forward together ขับเคลื่อนทำงานร่วมกันกับอีก 4 ฝ่ายในจังหวัดบึงกาฬ ผ่านการให้คำปรึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์สินค้าหรือบริการของจังหวัดที่ประสบปัญหาในการสร้างรายได้ให้สามารถเพิ่มรายได้อย่างยั่งยืนและเป็นที่รู้จักในระดับประเทศและนานาชาติ ร่วมกันให้คำปรึกษาในการพัฒนาและขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ของไทยไปสู่เวทีโลก รวมถึงการขยายช่องทางการค้าและส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกันอีกด้วย

"ในอีก 2 วันที่เหลือของการเดินทาง คณะจะเดินทางไปหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) เพื่อฟังการบรรยายเกี่ยวกับ ‘การรักษาความสงบตามแม่น้ำโขง’ และ ‘การจัดการและพัฒนาแหล่งน้ำทรัพยากรและผลกระทบลุ่มแม่น้ำโขง’ ตามด้วยการทำ MOU อีกฉบับร่วมกับจังหวัดหนองคาย จังหวัดอุดรธานี สภาอุตสาหกรรมจังหวัดหนองคาย และสภาอุตสาหกรรมจังหวัดอุดรธานี ในการผลักดันกลุ่มอุตสาหกรรมลุ่มแม่น้ำโขงสู่เวทีโลก โดยในการลงพื้นที่ก่อนหน้านี้ได้มีการเซ็น MOU ลักษณะเดียวกันที่จังหวัดสุโขทัยและจังหวัดตากอีกด้วย จะเห็นได้ว่าการลงพื้นที่ของ หลักสูตร วปอ.บอ. จะมีกำหนดการและเนื้อหาสาระที่อัดแน่น และมีการพ่วงกิจกรรมเพื่อพัฒนาสังคมทุกครั้ง เหตุเพราะหลักสูตร วปอ.บอ. นี้เป็นการรวมตัวของผู้นำแห่งอนาคตที่มุ่งหวังรวมตัวกันทำการดี เป็นการสร้างเครือข่ายคนรุ่นใหม่ที่ต้องการร่วมกันพัฒนาประเทศไทยที่ดีขึ้น" นางรัดเกล้า กล่าวเสริม

รู้จัก 'จูเลียน อาสซานจ์' หมาเฝ้าโลก แห่งองค์กร WikiLeaks  แวะเติมน้ำมันดอนเมือง ก่อนมุ่งหน้าไปขึ้นศาลที่สหรัฐฯ

(26 มิ.ย.67) จากเฟซบุ๊ก วินทร์ เลียววาริณ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ และนักเขียนเจ้าของรางวัลซีไรต์ ได้โพสต์ข้อความเล่าถึง ‘จูเลียน อาสซานจ์’ หลังเกิดข่าวใหญ่ทั่วโลก ผ่านเพจเฟซบุ๊กของตัวเอง โดยมีเนื้อความว่า…

เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก แต่ดูเหมือนในบ้านเราหลายคนยังไม่รู้ว่า จูเลียน อาสซานจ์ คือใคร ทำอะไร เล่าย่อ ๆ ให้ฟังก็แล้วกันว่า เกิดอะไรขึ้น

หน้าที่ของนักข่าวคือคุ้ยหาความจริง แล้วเผยแพร่ เราจึงเรียกนักข่าวว่าหมาเฝ้าบ้าน แต่เราอาจเรียก จูเลียน อาสซานจ์ ว่าหมาเฝ้าโลก เพราะเขาและองค์กร WikiLeaks คุ้ยข่าวทั่วโลก พวกที่ทำงานคุ้ยข่าวแบบนี้เรียกว่า The Fifth Estate

จูเลียน อาสซานจ์ (Julian Assange) เป็นแฮกเกอร์ชาวออสเตรเลีย หนึ่งในผู้ก่อตั้ง WikiLeaks ในปี 2006 เขาเป็นมนุษย์ที่อยู่ในพื้นที่สีเทา เคยเป็นแฮกเกอร์ที่ต้องคดีมากมาย โทษ 290 ปี แต่ในข้อเขียนนี้จะเล่าเฉพาะด้านของคดีความระหว่างอาสซานจ์กับสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อมาสิบกว่าปี

WikiLeaks คือเว็บที่ตั้งใจปล่อยข่าวรั่ว (leaks) ออกไปสู่สาธารณะ ทั้งหมดเป็นข้อมูลลับขององค์กรประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอาชญากรรมสงครามที่ทหารสหรัฐฯ ก่อในประเทศอื่น

ข้อมูลจำนวนมากของสหรัฐฯ มาจากเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ปล่อยออกมาให้ คือ Chelsea Manning ซึ่งติดคุกไปเรียบร้อยแล้ว

ผลงานนี้ทำให้อาสซานจ์ได้รับรางวัลด้านสื่อสารมวลชนหลายสำนักไป เพราะทำหน้าที่หมาเฝ้าโลก แต่สหรัฐฯ ไม่ปลื้ม ต้องการลากหมาตัวนี้ไปเข้าคุก

หากจับตัวได้ มีหวังถูกขังตายในคุกแน่นอน เพราะสหรัฐฯ ตั้งข้อหาจารกรรมยาวเหยียด

แต่ประเด็นคือ อาสซานจ์ไม่ได้ทำผิดกฎหมายสหรัฐฯ เขาเผยแพร่ข้อมูลในประเทศอังกฤษ ขณะที่ Chelsea Manning ทำผิดในสหรัฐฯ

อาสซานจ์ไปหลบในสถานทูตเอกวาดอร์อยู่หลายปี ไม่สามารถออกนอกประตูสถานทูตได้ ก็เท่ากับอยู่ในคุกนั่นเอง

ต่อมาเขาก็ถูกอังกฤษลากตัวไปขัง สหรัฐฯ ก็ขอให้อังกฤษส่งตัวไปขึ้นศาลสหรัฐฯ คดีลากยาวคาราคาซัง

ในสายตาของคนทำข่าวทั่วโลก อาสซานจ์เป็นวีรบุรุษ เพราะเขาทำหน้าที่ของนักข่าวเต็มร้อย

นักข่าวในโลกตะวันตกมีหน้าที่คุ้ยข่าวเสมอ ที่โดดเด่น เช่น กรณีวอชิงตันโพสต์เผยเรื่องวอเตอร์เกต จนประธานาธิบดีนิกสันต้องลาออก หรือกรณีเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ Daniel Ellsberg แฉความเลวร้ายของสหรัฐฯ ในสงครามเวียดนาม ในเอกสารลับที่เรียกว่า Pentagon Papers เขาถูกฟ้องข้อหาบ่อนทำลายชาติ แต่ศาลยกฟ้อง (เรื่องนี้เป็นหนัง The Post โดยสปีลเบิร์ก)

แล้วทำไมสหรัฐฯ ต้องการจัดการอาสซานจ์แบบเล่นไม่เลิก?

มีการวิเคราะห์ว่า นี่เป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู ส่งสัญญาณให้นักข่าวทั่วโลกรู้ว่า ถ้าเล่นสหรัฐฯเรื่องนี้ จะโดนดีแน่

คดีนี้สามารถจบได้ในไม่กี่ปี แต่สหรัฐฯ ตั้งใจลากยาว จนเมื่อปีก่อน นายกฯ ออสเตรเลียบอกไบเดนว่า "Enough is enough." พอทีเถอะ พวกคุณเล่นเขานานไปแล้ว

สหรัฐฯ อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถ้าไม่เล่นงานอาสซานจ์ ก็เสียหน้า ถ้าเล่นงานไม่สำเร็จก็เสียหน้า จนใครคนหนึ่งเสนอความคิดอันปราดเปรื่องว่า ให้ปล่อยตัวอาสซานจ์ แลกกับการที่เขาเซ็นยอมรับความผิดสักกระทง ซึ่งมีบทลงโทษห้าปี บังเอิญว่าเท่ากับเวลาที่อาสซานจ์ติดคุกอังกฤษพอดี เรียกว่าจบสวย

อาสซานจ์ในสภาพร่างกายเสื่อมโทรม หลังจากอยู่ในสภาพนรกมาสิบกว่าปี ก็ยอมเซ็น จะได้ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่งั้นก็คงตายเร็วแน่

ในคุกอังกฤษ The Fifth Estate ถูกขังเดี่ยวเข้มงวดกว่าอาชญากร มีเวลาเบรกหนึ่งชั่วโมงต่อวัน สภาพของเขาทรุดโทรมมาก

สำหรับสหรัฐฯ จบแบบนี้ก็ถือว่าไม่เสียหน้า อาจประกาศได้ด้วยซ้ำว่าชนะ เพราะอาสซานจ์สารภาพและติดคุก (ในอังกฤษ)

เหตุการณ์นี้แปลว่าอะไร? มันแปลว่าต่อไปนี้ใครจะเผยข้อมูลสหรัฐฯ ก็ต้องคิดให้ดี เพราะอาจไม่คุ้ม หมาเฝ้าบ้านมีโอกาสถูกส่งข้ามแดนไปดำเนินคดี

หากสหรัฐฯ สามารถทำให้อาสซานจ์ต้องยอมสารภาพว่าทำผิด นักข่าวที่เหลือในโลกจะมีอะไรเหลือหรือ

เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน เคยกล่าวว่า "เมื่อการแฉอาชญากรรมถูกจัดเป็นการก่ออาชญากรรม คุณก็ถูกปกครองโดยอาชญากร"

แต่โลกเราก็ถูกปกครองด้วยอาชญากรเสมอมา

ป.ล. หลายปีก่อนมีหนังเรื่อง The Fifth Estate อาสซานจ์รับบทโดย Benedict Cumberbatch

'กินเนสบุ๊ก' บันทึก!! 'The Golden Boy’ แฮมเบอร์เกอร์ราคาแพงที่สุดในโลก ไม่เน้นขายความใหญ่ แต่เน้นใส่ใจในรสชาติ เผย!! ชิ้นแรกขายได้ ทำบุญหมด

(26 มิ.ย. 67) ‘The Golden Boy’ ได้รับการรับรองจากกินเนสส์ฯ ให้เป็น ‘แฮมเบอร์เกอร์ราคาแพงที่สุดในโลก’ ราคาสูงถึงชิ้นละ 5,000 ยูโร

ถ้าพูดคำว่า ‘The Golden Boy’ คนไทยอาจนึกถึงโบราณวัตถุที่เพิ่งกลับคืนสู่แดนมาตุภูมิเมื่อเร็ว ๆ นี้ หรือบางคนอาจแปลว่ากุมารทอง แต่ที่เนเธอร์แลนด์ นี่คือชื่อของเมนูแฮมเบอร์เกอร์ที่เพิ่งได้รับการรับรองจากกินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ด (Guinness World Records) ว่าเป็น ‘แฮมเบอร์เกอร์ราคาแพงที่สุดในโลก’

ถามว่าแพงขนาดไหน ขอบอกเลยว่าไม่ใช่เล่น ๆ เพราะแฮมเบอร์เกอร์ The Golden Boy ถูกตั้งราคาไว้ชิ้นละที่ 5,000 ยูโร หรือราว 196,000 บาทเลยทีเดียว

แฮมเบอร์เกอร์ที่แพงที่สุดในโลกนี้อยู่ในเมนูของร้าน ‘The Daltons’ ในหมู่บ้านวูร์ธายเซน (Voorthuizen) เมืองเฮลเดอร์ลันด์ (Gelderland) ประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยเชฟ ร็อบเบิร์ต ยาน เดอ วีน

ราคาที่สูงเกิดจากส่วนผสมคุณภาพสูงที่ร็อบเบิร์ตนำมาใช้ เขาเกิดแนวคิดนี้ขึ้นมาในช่วงที่เกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 และคืนหนึ่งขณะกำลังฝึกอบรมผู้จัดการคนใหม่ เขาบังเอิญไปเจอโพสต์บนเฟซบุ๊กเกี่ยวกับแฮมเบอร์เกอร์ที่แพงที่สุด

ร็อบเบิร์ตมองว่า แฮมเบอร์เกอร์ที่แพงที่สุดตอนนั้นเป็นเพราะขนาดที่ใหญ่เกินไป เขาจึงตัดสินใจท้าทายตัวเอง ด้วยการคิดค้นเบอร์เกอร์ขนาดมาตรฐานที่สามารถสร้างสถิติโลกได้

ร็อบเบิร์ตสร้างสรรค์สูตรตั้งแต่เริ่มต้น โดยตั้งใจที่จะพัฒนาเบอร์เกอร์ที่ไม่เพียงแต่มีราคาแพง แต่ยังอุดมไปด้วยรสชาติ

แฮมเบอร์เกอร์ The Golden Boy ใช้ขนมปังไวน์ที่ทำจากแชมเปญ ดอม เปริญง (Dom Perignon) และปิ้งเล็กน้อยแต่ยังคงความนุ่มอยู่ด้านใน และปิดด้วยทองคำเปลว ส่วนตัวเบอร์เกอร์ทำจากเนื้อวากิวชุ่มฉ่ำ เสริมด้วยปูยักษ์และคาเวียร์ นอกจากนี้ยังมีหัวหอมที่ชุบแชมเปญด้วย

ผู้ที่เคยชิมบอกว่า รสชาติของมันออกมาหวาน เปรี้ยว เค็ม ขม และกลมกล่อมอูมามิ

ร็อบเบิร์ตกล่าวถึงการสร้างเบอร์เกอร์ The Golden Boy ว่า “มีความท้าทายอยู่บ้าง ผมไม่ได้โกหกเกี่ยวกับเรื่องนั้น ความท้าทายสำคัญอย่างแรกคือ เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเบอร์เกอร์ชิ้นนี้จะมีรสชาติสุดยอด”

ร็อบเบิร์ตเสริมว่า “ผมหมายถึงว่า มันง่ายมากที่จะนำส่วนผสมราคาแพง ๆ 2-3 อย่างมาใส่ในเบอร์เกอร์ แต่สำหรับผม การที่เบอร์เกอร์มีรสชาติอร่อยนั้นสำคัญมากเช่นกัน ผมอยากจะเห็นว่าเราจะไปได้ไกลแค่ไหน เราจะทุ่มลงไปได้แค่ไหน และยังคงต้องแน่ใจว่ารสชาติทั้งห้านั้นสอดคล้องกันอย่างสมบูรณ์แบบ”

ร็อบเบิร์ต ยังบอกอีกว่า “ความท้าทายใหญ่ประการที่สองคือ การจัดหาวัตถุดิบ ตัวอย่างเช่น ส่วนผสมบางอย่างในเบอร์เกอร์นี้ไม่มีขายในเนเธอร์แลนด์ แต่ผมได้รับความช่วยเหลืออย่างดีจากซัพพลายเออร์”

ร็อบเบิร์ตกล่าวว่า เพื่อน ครอบครัว และทีมงานของเขาต่างร่วมมือกันเพื่อพยายามทำเบอร์เกอร์นี้ และกระแสตอบรับของสาธารณชนต่อการเปิดตัวเบอร์เกอร์ที่แพงที่สุดในโลกก็ออกมาดี

เขายังใช้เบอร์เกอร์นี้เพื่อปลุกจิตสำนึกเรื่องความยากจนในเนเธอร์แลนด์อีกด้วย โดยเงินที่ได้จากการขาย The Golden Boy ชิ้นแรกเขานำไปบริจาคให้ธนาคารอาหารในท้องถิ่นทั้งหมด เงินดังกล่าวถูกใช้เพื่อจัดทำแพ็กเกจอาหาร 1,000 ห่อสำหรับครอบครัวหรือผู้ยากไร้ที่ต้องการความช่วยเหลือ

เชียงใหม่-หอการค้าเชียงใหม่ เตรียมจัดงาน “หอการค้าแฟร์ 2567 CCC Fair 2024

เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2567 นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย นายจุลนิตย์ วังวิวัฒน์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ นางนัยนภัส สังขนุกิจ พาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ และนายปรกฤษฎิ์ สายหัสดี กรรมการเลขาธิการหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ ร่วมกันแถลงข่าว หอการค้าแฟร์ 2567 CCC Fair 2024 ณ ชั้น 1 อาคารตันตราภัณฑ์ บริษัท ชอยส์มินิสโตร์ จํากัด ( สํานักงานใหญ่

นายวีรพงศ์ ฤทธิ์รอด รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า การจัดงานแสดงนวัตกรรมและจำหน่ายสินค้า Lanna Expo 2024 ภายใต้แนวคิด BCG Creative LANNA   ภายในงานจะพบกับสุดยอดนวัตกรรม สินค้า และงานบริการ กว่า 800 คูหา โดยร่วมบูรณาการกับหน่วยงานให้เที่ยวชม มากกว่า 10 โซน

พร้อมทั้งกิจกรรมเจรจาธุรกิจเชื่อมโยงระหว่างผู้ประกอบการในกลุ่มภูมิภาค ขยายฐานการตลาดสู่ระดับนานาชาติ พร้อมสนุกสนานไปกับกิจกรรมบันเทิง และร่วมลุ้นรับของรางวัลมากมายภายในงาน ระหว่างวันที่ 8 – 14 กรกฎาคม 2567 ตั้งแต่เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา จังหวัดเชียงใหม่

นายจุลนิตย์ วังวิวัฒน์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่  กล่าวว่าหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่  ในฐานะที่ส่งเสริมการดำเนินธุรกิจของสมาชิก สนับสนุนและส่งเสริมการค้า การลงทุน ตลอดจนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของจังหวัดมาอย่างต่อเนื่องอย่างเป็นรูปธรรม ในปีนี้ทางหอการค้ามาในคอนเซ็ปต์ Local Food Good Taste เน้นไปที่อาหารพร้อมทาน อาหารปรุงสดใหม่ สะอาด ถูกหลักอนามัย โดยในปีนี้ได้เสียงตอบรับของบรรดาผู้ประกอบการจองบูธเข้ามาอย่างรวดเร็ว โดยมีโซนอาหารพร้อม เครื่องดื่ม ของทานเล่น  โซนเสื้อผ้า ของใช้ สินค้า บริการ ต่างๆมากมาย

ซึ่งภายในโซนหอการค้าแฟร์จะมีไฮไลท์ภายในงานที่ดึงดูด และกระตุ้นการซื้อขายนั่นก็คือการไลฟ์สินค้าภายในงานของผู้ประกอบ สำหรับผู้ที่อยู่ต่างที่ต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ก็สามารถสั่งซื้อสินค้าภายในงานได้เช่นเดียวกัน ถือได้ว่าเป็นการนำเอาเทคโนโลยีใกล้ตัว มาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างง่ายได้ อีกทั้งกิจกรรมเวิคช็อป DIY สุดสร้างสรรค์อาทิเช่น เวิคช็อปทำน้ำหอมที่บ่งบอกความเป็นตัวคุณ เวิคช็อปร้อยลูกปัด เวิคช็อปทำบาธบอมบ์ เวิคช็อปแต่งหน้าเค้ก จัดดอกไม้ Coding เด็ก

กิจกรรม Workshop ที่เป็นงาน Craft ต่าง ๆ การนำเอาวัสดุเหลือใช้มาสร้างสรรค์ผลงานใหม่ ๆ เพื่อสร้างการรับรู้ในเรื่อง BCG สอดคล้องกับวัตถุประสงค์หลักในการจัดงาน รวมถึงกิจกรรมการแสดงบนเวที ทั้งการแสดงดนตรี Cover Dance และ แฟชั่นโชว์ จากหลากหลายโรงเรียนในจังหวัดเชียงใหม่ เพื่อส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพให้กับคนรุ่นใหม่

ด้าน นางนัยนภัส สังขนุกิจ พาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า สำหรับงาน Lanna Expo 2024 ในปีนี้ คอนเซปต์คือ BCG Creative LANNA โดยในปีนี้ทางเราได้เตรียมความพร้อม ความร่วมมือกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ต้องคัดสรรสินค้าและบริการ เพื่อยกระดับการจัดงานให้มีความน่าสนใจ มีความเป็นสากล และสามารถพัฒนาให้กลายเป็นงานระดับนานานชาติในอนาคต

ซึ่งในปีนี้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงใหม่ ได้ประสานความร่วมมือกับกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อเชิญชวนผู้ซื้อ หรือ Buyer เข้าร่วมเจรจาธุรกิจการค้ากับผู้ประกอบการกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 1 ที่เข้าร่วมจัดแสดงและจำหน่ายสินค้าในงาน  Lanna Expo 2024 ซึ่งคาดว่าจะช่วยผลักดันการเติบโตทางการค้า และการลงทุนเพิ่มมากขึ้น ทั้งยังเป็นการส่งเสริมศักยภาพของผู้ประกอบการ สร้างโอกาสการเข้าสู่ตลาด และขยายช่องทาง การตลาดสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น ด้วยทางจังหวัด ภายในงานพบกับสุดยอดนวัตกรรมสินค้าและงานบริการกว่า 800 คูหา โดยร่วมบูรณาการกับหน่วยงานต่างๆมีมากกว่า 10 โซน พ้อมทั้งมีกิจกรรมเจรจาธุรกิจเชื่อมโยงระหว่างผู้ประกอบการในกลุ่มภูมิภาค ขยายฐานการตลาดสู่ระดับนานาชาติ

นายปรกฤษฎิ์ สายหัสดี กรรมการเลขาธิการหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่กล่าวอีกว่า หอการค้า ยังได้เล็งเห็นถึงความสำคัญและตระหนักถึงเทรนด์ที่กำลังเป็นที่น่าจับตามอง และควรให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง จึงเป็นที่มาของความพิเศษภายในโซนของหอการค้าแฟร์ เราจะเน้นการตกแต่งด้วยวัสดุเหลือใช้จากธรรมชาติ  นำมาตกแต่งเป็นฉากเวที นอกจากนี้ยังเพิ่มจุดแยกขยะที่มีมากถึง 20 กว่าจุด เพื่อรองรับให้เพียงต่อการบริการของผู้ที่มาจับจ่าย ซื้อของภายในงาน  และทางหอการค้าเองยังร่วมกับทางบางจาก ตั้งจุดบริการรับซื้อน้ำมันที่ใช้แล้วจากบรรดาพ่อค้า แม่ค้า เพื่อลดการใช้ซ้ำ และยังเป็นการนำน้ำมันไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อไป

นภาพร/เชียงใหม่

‘ชาวเน็ตเกาหลี’ วิจารณ์ ‘ลิซ่า ROCKSTAR’ ฉีกกฎ K-POP พร้อมจุดประเด็น ‘Blackfishing’ ฉกฉวยอัตลักษณ์สีผิว

เมื่อวานนี้ (25 มิ.ย. 67) จากช่องยูทูบ ‘Hello Lisa Day’ โพสต์คลิปวิดีโออัปเดตเรื่องราวของสาว ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า BlackPink’ หลังจากได้ปล่อยโปสเตอร์ ROCKSTAR ออกมา ซึ่งสร้างเสียงฮือฮาและเป็นไวรัลต่าง ๆ ไปทั่วโลก แถมฝั่งอินเตอร์ก็ยังชื่นชมเกี่ยวกับสีผิวของลิซ่า ที่ดูสวย ดูอิ่มน้ำ ดูผิวน้ำผึ้ง ผิวแทน ซึ่งเหมาะมาก ๆ อย่างไรก็ตามนี่คือส่วนหนึ่งที่ทางฝั่งอินเตอร์ชื่นชม เพราะว่าในเกาหลีนั้นกลับมองว่าการทําสีผิวแบบนี้ของลิซ่า ถือว่าเป็นการฉกฉวยวัฒนธรรม เรียกได้ว่าเป็นการตั้งกระทู้ที่ค่อนข้างจะรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องราวของวัฒนธรรมและสีผิว 

ซึ่งในทางโพสต์ของกระทู้นี้ มีการบอกเอาไว้ว่าภาพถ่ายนั้นได้เผยแพร่ออกมา และดูเหมือนว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนอย่างรุนแรงของภาพลักษณ์ไอดอล K-POP อย่างลิซ่า ซึ่งรูปภาพนี้ลิซ่าแสดงออกด้วยความกล้าหาญและเฉียบคม พร้อมด้วยทรงผมแบบวูฟคัต และโทนสีผิวที่เปลี่ยนไปอย่างมาก โดยการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงนี้ทําให้เกิดความตื่นเต้นและก็เกิดชนวนความขัดแย้งเกิดขึ้นเช่นกัน ซึ่งอาจจะพูดได้ว่าภาพหนึ่งภาพนี้ปรับเปลี่ยนมุมมองของลิซ่าตลอด 7 ปีที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง…

โดยหลายคนเชื่อว่าเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อเข้าสู่ภาพลักษณ์ระดับโลก ตามสไตล์คอนเซ็ปต์ที่เรียกว่า ‘Rockstar’ ที่ลิซ่าได้ปล่อยออกมา ซึ่งชาวเน็ตบางกลุ่มบอกว่าการทําแบบนี้นั้นอาจจะได้รับอิทธิพลจากบุคคลสําคัญ อย่างเช่น รีฮันนา หรือ บียอนเซ่ เป็นต้น เพื่อให้ภาพลักษณ์ของเพลง หรือการคัมแบ็กครั้งนี้ดูเป็นสากลมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ในโลกออนไลน์ตอนนี้ชาวเน็ตเกาหลี ได้ออกมาพูดว่าการทําผิวสีแทนหรือว่าผิวสีน้ำผึ้งของลิซ่านั้น ดูเหมือนเป็นการจุดประเด็นอย่างเรื่องของ ‘Blackfishing’ ขึ้นมารึเปล่า? 

สำหรับ ‘Blackfishing’ หากพูดกันง่าย ๆ ก็คือ การที่เรายกอัตลักษณ์ของกลุ่มชนกลุ่มหนึ่งออกมาทําเพื่อล้อเลียน หรือทำเพื่อความสนุกสนาน ถ้าพูดให้เห็นภาพ อย่างเช่น ตะวันตก ชาวยุโรป ที่ทําตาหรือดึงตาให้ดูเหมือนกับตาชั้นเดียว เพื่อเป็นการล้อเลียนชาวเอเชีย รวมไปถึงการทำเมคอัพต่าง ๆ ที่แต่งหน้าแต่งกาย ทาสีผิวเพื่อเป็นสีดำ ถักเดทร็อค ซึ่งในจุด ๆ นี้ลิซ่าเคยโดนติงในเรื่องของการถักเดทร็อคมาแล้ว 1 ครั้ง ในการคัมแบ็กอย่างเพลง Money และมาตอนนี้ครั้งล่าสุดลิซ่าก็ถูกจ้องมองเกี่ยวกับเรื่องราวของการใช้สีผิวสีแทน หรือว่าสีผิวสีน้ำผึ้งนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวทั้งหมดนี้ ทางฝั่งแฟนคลับและฝั่งนักวิจารณ์ หรือผู้เชี่ยวชาญต่าง ๆ ก็ได้ออกมาพูดถึงว่า การพูดเชิงประมาณนี้อาจจะเป็นการพูดที่เกินจริงไปก็ได้เกี่ยวกับเรื่องราวการเหยียดสีผิว หรือการล้อเลียนของวัฒนธรรม เพราะว่าสิ่งที่ลิซ่าทํานั้น ไม่ใช่เป็นการทําเพื่อล้อเลียน หรือทำเพื่อความสนุกสนานเฮฮา แต่เป็นการทําเพื่อบริบทต่าง ๆ ของคอนเซ็ปต์ใน ‘Rockstar’ และการถ่ายภาพนั้นอาจเป็นคอนเซ็ปต์ หรือเป็นซิกเนเจอร์ของช่างแต่งภาพคนนั้นนั่นเอง ซึ่งไม่ได้มีเจตนาล้อเลียน และทำการเหยียด ทั้งเชื้อชาติหรือสีผิวแต่อย่างใด 

‘โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ’ ประกาศถอนตัวจาก ‘ประกันสังคม’ ในปีหน้า หลังโดนผู้ประกันตนเจ้าเล่ห์ รักษาที่อื่น แต่ให้รพ.รับผิดชอบกว่า 8 หมื่นบาท

(26 มิ.ย.67) พล.ต.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ ออกประกาศ เรื่อง การเตรียมการถอนตัวออกจากการเป็นโรงพยาบาลคู่สัญญากับสำนักงานประกันสังคม ระบุว่า เนื่องจากคณะกรรมการอุทธรณ์ตาม พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 คําวินิจฉัยที่ 235/2567 ลงวันที่ 29 ก.พ. 2567 ได้แจ้งให้สํานักงานประกันสังคมกรุงเทพมหานครพื้นที่ 9 มีคําสั่งให้ รพ.มงกุฎวัฒนะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลของผู้ประกันตนรายหนึ่ง จํานวน 80,295.20 บาท ทั้ง ๆ ที่เป็นกรณีผู้ประกันตนตั้งใจไปรับการรักษากับ รพ.นอกสิทธิเอง แต่ผู้ประกันตนกลับร้องเรียนให้ รพ.มงกุฎวัฒนะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล ซึ่งเป็นการใช้สิทธิของผู้ประกันตนโดยไม่ถูกต้อง

ทั้งนี้ คณะกรรมการอุทธรณ์ฯ ได้พิจารณาอุทธรณ์จากเอกสารและการสอบถามผู้ร้องเรียนเพียงฝ่ายเดียว การฟังความข้างเดียวดังกล่าวทําให้เกิดการวินิจฉัยที่ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรมต่อ รพ.มงกุฎวัฒนะ ทั้งยังกล่าวหาว่า รพ.มงกุฎวัฒนะให้การตรวจวินิจฉัยรักษาอาการเจ็บป่วยของผู้ประกันตนไม่เหมาะสมตามมาตรฐานทางการแพทย์ และไม่เป็นไปตามสัญญาให้บริการทางการแพทย์ อีกทั้งยังมีมติบังคับให้ รพ.มงกุฎวัฒนะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลส่วนเกินนอกเหนือจากการจ่ายค่ารักษาพยาบาลตามระบบ Adjust RW ถึงแม้จะเป็นเงินจํานวนน้อยแค่ 80,295.20 บาทก็ตาม แต่กรณีนี้จะกลายเป็นบรรทัดฐานให้ผู้ประกันตนที่เจ้าเล่ห์ไม่ประสงค์ใช้สิทธิกับ รพ.ตามสิทธิอ้างอิงคําวินิจฉัยที่ 235/2567 ลงวันที่ 29 ก.พ. 2567 เพื่อเป็นบรรทัดฐานในการไปรักษากับ รพ.นอกสิทธิตามอําเภอใจ แล้วร้องเรียนให้ รพ.ตามสิทธิตามจ่ายค่ารักษาพยาบาลโดยไม่ถูกต้อง บรรทัดฐานดังกล่าวจะก่อให้เกิดการพิพาทร้องเรียน รพ. จากกรณีผู้ประกันตนเจ้าเล่ห์ในลักษณะเช่นนี้อีกอย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุด

ดังนั้น ในกลางปีหน้า พ.ศ. 2568 รพ.มงกุฎวัฒนะจะขอถอนตัวออกจากการเป็นคู่สัญญากับสํานักงานประกันสังคม การที่ รพ.มงกุฎวัฒนะประกาศขอถอนตัวแต่เนิ่น ๆ ตั้งแต่บัดนี้ก็เพื่อให้ผู้ประกันตนจํานวนมากกว่า 100,000 คนที่ขึ้นทะเบียนกับ รพ.มงกุฎวัฒนะได้เตรียมการล่วงหน้าเพื่อย้ายสิทธิไปยัง รพ.อื่น ๆ โดยผู้ประกันตนยังสามารถใช้บริการกับ รพ.มงกุฎวัฒนะไปได้อย่างต่อเนื่องไปอีก 18 เดือน จนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2568 หรือสิ้นปีหน้า อย่างไรก็ตาม รพ.มงกุฎวัฒนะขอแนะนําให้ผู้ประกันตนเริ่มพิจารณา รพ.แห่งใหม่ตั้งแต่บัดนี้ หากท่านสามารถย้ายสิทธิได้แต่เนิ่น ๆ ก็จะทําให้ท่านไม่ประสบปัญหาฉุกละหุกในช่วงกลางปีหน้า พ.ศ. 2568 ไปแล้ว ทั้งนี้ ผู้ประกันตนสามารถติดต่อ ขอรับสรุปประวัติการรักษาของท่านได้ที่แผนกเวชระเบียน (ประกันสังคม) อาคาร 1 ชั้น 6 ได้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 67 เป็นต้นไป

🔎เปิด 10 ธุรกิจสร้างรายได้มากที่สุดในไทย ประจำปี 2566 💸

เมื่อวานนี้ (26 มิ.ย. 67) นางอรมน ทรัพย์ทวีธรรม อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กรมได้นำข้อมูลนิติบุคคลที่มีรอบปีบัญชีสิ้นสุด 31 ธ.ค. 2566 และได้ส่งงบการเงินภายในวันที่ 31 พ.ค. 2567 จำนวน 581,856 ราย คิดเป็น 86.6% จากนิติบุคคลที่ต้องส่งงบการเงินทั้งหมด 671,823 ราย และคงเหลือนิติบุคคลที่ไม่ได้นำส่งอีกจำนวน 89,967 ราย คิดเป็น 13.4% 

โดยได้นำข้อมูลนิติบุคคลที่ส่งงบการเงินมาวิเคราะห์ในเชิงธุรกิจ พบว่า รายได้ของนิติบุคคลทั่วประเทศมีจำนวนกว่า 57.86 ล้านล้านบาท และมีผลกำไรกว่า 2.34 ล้านล้านบาท โดยกลุ่มภาคการผลิต สามารถทำรายได้สูงสุดจำนวน 23.72 ล้านล้านบาท คิดเป็น 41.00% ของรายได้ทั้งหมด เป็นผลกำไรจำนวน 1.10 ล้านล้านบาท คิดเป็น 47.03% ของกำไรสุทธิทั้งหมด

รองลงมาคือกลุ่มภาคขายส่ง/ปลีก ทำรายได้ 23.32 ล้านล้านบาท คิดเป็น 40.30% ของรายได้ทั้งหมด ทำกำไรอยู่ที่ 0.46 ล้านล้านบาท คิดเป็น 19.57% ของกำไรสุทธิทั้งหมด และกลุ่มภาคบริการ ทำรายได้จำนวน 10.82 ล้านล้านบาท คิดเป็น 18.70% ของรายได้ทั้งหมด เป็นผลกำไรจำนวน 0.78 ล้านล้านบาท คิดเป็น 33.40% ของกำไรสุทธิทั้งหมด

นอกจากนี้กรมฯ ยังได้วิเคราะห์รายธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้สูงสุด 10 อันดับแรกใน ปี 66 ได้แก่

1.ธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากโรงกลั่นปิโตรเลียม ทำรายได้ 3.84 ล้านล้านบาท
2. ธุรกิจขายส่งนาฬิกาและเครื่องประดับ ทำรายได้ 3.12 ล้านล้านบาท
3. ธุรกิจร้านขายปลีกเครื่องประดับ ทำรายได้ 2.39 ล้านล้านบาท   

4. ธุรกิจผลิตรถยนต์ส่วนบุคคล ทำรายได้ 1.56 ล้านล้านบาท
5. ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ สำหรับยานยนต์ ทำรายได้ 1.55 ล้านล้านบาท
6.ธุรกิจขายยานยนต์ใหม่ชนิดรถนั่งส่วนบุคคลฯ ทำรายได้ 1.45 ล้านล้านบาท

7. ธนาคารพาณิชย์ ทำรายได้ 1.11 ล้านล้านบาท
8. ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำรายได้ 1.07 ล้านล้านบาท
9. ธุรกิจขายปลีกเชื้อเพลิงยานยนต์ในร้านเฉพาะสถานีบริการน้ำมัน ทำรายได้ 1.02 ล้านล้านบาท
10. ธุรกิจขายส่งเชื้อเพลิงเหลว ทำรายได้ 0.96 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ธุรกิจทั้ง 10 อันดับที่กล่าวมาข้างต้นส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดไซซ์ L ที่สามารถทำรายได้สูงสุดในธุรกิจแต่ละประเภท

นางอรมน กล่าวว่า สำหรับการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจเดือน พ.ค. 2567 มีการจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจใหม่จำนวน 7,499 ราย เพิ่มขึ้น 969 ราย เพิ่มขึ้น 0.83% เมื่อเทียบกับ พ.ค. 66 มีมูลค่าทุนจดทะเบียน 21,887.12 ล้านบาท ลดลง 22.97% การที่จดทะเบียนจัดตั้งใหม่เพิ่มขึ้น โดยประเภทธุรกิจที่มีการจดทะเบียนจัดตั้งนิติบุคคลสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป และธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร

ในขณะที่จำนวนการจดทะเบียนเลิก 1,004 ราย เพิ่มขึ้น 194 ราย คิดเป็น 23.95% เมื่อเทียบกับ เม.ย. 67 และลดลง 230 ราย คิดเป็น 18.64% เมื่อเทียบกับ พ.ค. 66 มีมูลค่าทุนจดทะเบียน 54,804.37 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49,707.54 ล้านบาท 

ทั้งนี้ มูลค่าทุนจดทะเบียนเลิกสูงผิดปกติเป็นผลมาจากการเลิกประกอบกิจการของ 2 บริษัทขนาดใหญ่ ได้แก่ บริษัทกรุงเทพอินเตอร์เทเลเทค จำกัด (มหาชน ) และบริษัทเซ็นทรัลพัฒนา เรียลตี้ จำกัด เนื่องจากมีการปรับโครงสร้างการดำเนินงานของธุรกิจให้คล่องตัวยิ่งขึ้น โดยธุรกิจที่เลิกประกอบกิจการ 3 อันดับแรก ได้แก่ ธุรกิจก่อสร้างอาคารทั่วไป 98 ราย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 59 ราย และธุรกิจให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการอื่น ๆ 25 ราย

สำหรับภาพรวมการจดทะเบียนจัดตั้ง 5 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-พ.ค.) มีจำนวน 39,032 ราย ลดลง 1.58 % ทุนจดทะเบียน 117,099 ล้านบาท ลดลง 69.89 ซึ่งมีอัตราการจัดตั้งลดลงเล็กน้อยจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ส่วนการจดทะเบียนเลิกกิจการ 5 เดือนแรกมีจำนวน 4,623 ราย ลดลง 14.99 % ทุนจดทะเบียนเลิก  71,844 ล้านบาท เพิ่ม 65.89% 

อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงมีความกังวลกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า เสถียรภาพทางการเมือง และความขัดแย้งทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังคงยืดเยื้อ ส่งผลให้การคาดการณ์ยอดจดทะเบียนธุรกิจ ทั้งปี 2567 มีอัตราที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน (ปี 2566) 

ทั้งนี้ จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้คาดการณ์ตัวเลข การจดทะเบียนจัดตั้งธุรกิจในครึ่งปีแรกของปี 2567 อยู่ที่ 44,000 - 47,000 ราย และทั้งปี 90,000 - 98,000 ราย

ปัจจุบัน (31 พ.ค. 2567) มีธุรกิจที่จดทะเบียนนิติบุคคลรวมทั้งสิ้น 1,916,267 ราย โดยจำนวนนี้เป็นนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่จำนวน 916,634 ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 22.26 ล้านล้านบาท แบ่งออกเป็นบริษัทจำกัดจำนวน 714,143 ราย คิดเป็น 77.91% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียน 16.02 ล้านล้านบาท ห้างหุ้นส่วนจำกัดและห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลจำนวน 201,031 ราย คิดเป็น 21.93% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียน 0.47 ล้านล้านบาท และบริษัทมหาชนจำกัด จำนวน 1,460 ราย คิดเป็น 0.16% ของจำนวนนิติบุคคลที่ดำเนินกิจการอยู่ทั้งหมด ทุนจดทะเบียน 5.77 ล้านล้านบาท

นอกจากนี้กรมยังได้วิเคราะห์ธุรกิจที่ต้องจับตามอง โดยเห็นว่า กระแส Art Toy ของเล่นสะสมที่สร้างสรรค์งานศิลปะโดยศิลปินจากต่างประเทศและศิลปินไทยก็กำลังเป็นที่นิยมทั่วโลก ส่งผลให้ ‘ธุรกิจของเล่น’ กลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าจับตามอง แม้ในช่วง 5 ปี ย้อนหลังที่ผ่านมา (พ.ศ. 2562-2566) ธุรกิจของเล่นจะมีการเติบโตที่ผันผวนเพราะมีปัจจัยด้านการแพร่ระบาดของโควิด-19 มาส่งผลกระทบเชิงลบ แต่เมื่อสถานการณ์สงบลงธุรกิจของเล่นก็ใช้เวลาไม่นานที่สามารถกลับมาพลิกฟื้นธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว

โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็ก (S) ที่ครองตลาดส่วนใหญ่มากถึง 1,024 ราย แบ่งเป็นกลุ่มผู้ผลิตจำนวน 220 ราย และกลุ่มขายจำนวน 804 ราย คิดเป็น 93.7% จากจำนวนธุรกิจของเล่นที่มีจำนวน 1,093 ราย แบ่งเป็นกลุ่มผู้ผลิตจำนวน 238 ราย และกลุ่มขายจำนวน 855 ราย มีมูลค่าทุนจดทะเบียนทั้งหมด 5,692.21 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มผลิตจำนวน 2,909.61 ล้านบาท และกลุ่มขายจำนวน 2,782.60 ล้านบาท สำหรับปี 2566 ธุรกิจของเล่นสามารถสร้างรายได้รวมถึง 19,677.21 ล้านบาท และทำกำไรได้ 467.62 ล้านบาท การเติบโตของธุรกิจของเล่น ส่วนสำคัญเป็นผลมาจากการเกิดกลุ่มในวงการของเล่นที่เรียกว่า Kidult ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ใหญ่ที่มีความนิยมในการสะสมของเล่นและมีกำลังการซื้อสูงเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองในวัยเด็ก การสะสมเพื่อสร้างรายได้ในอนาคต

เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ เปิดศูนย์ฝึกอบรมภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์

พลเรือโท ณัฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ให้เกียรติเป็นประธาน กล่าวเปิดและตัดริบบิ้น เปิดศูนย์ฝึกอบรมภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ พร้อมกันนี้ ได้ปฏิบัติตามนโยบายและแนวทางปฏิบัติงาน ผู้บัญชาการทหารเรือ ประจำปี งบประมาณ 2567 เรื่อง การเพิ่มขีดความสามารถการกู้ชีพขั้นพื้นฐานให้กับ กำลังพลกองทัพเรือ และนโยบายเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ประจำปีงบประมาณ 2567 เรื่อง การพัฒนาศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการด้านการแพทย์ฉุกเฉินทาง ทะเล ให้สมบูรณ์ ได้มาตรฐาน มีความยั่งยืน และต่อยอดการพัฒนางานด้าน เวชศาสตร์ทางทะเลอย่างเป็นรูปธรรม
เพื่อเป็นการตอบสนองนโยบายดังกล่าว พลเรือตรี สรรชัย เลิศวีระศิริกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอาภากร เกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ มีดำริให้จัดทำโครงการพัฒนาทักษะการกู้ชีพโรงพยาบาล อาภากรณ์เกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ เพื่อดำเนินการฝึกอบรมการกู้ชีพขั้นพื้นฐาน (CPR) และการใช้เครื่องฟื้นคืนคลื่นหัวใจด้วยไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ (AED) ให้แก่กำลังพลกองทัพเรือ และประชาชน ตั้งแต่ วันที่ 6 ตุลาคม 2566 จนถึงปัจจุบัน

เพื่อให้การดำเนินกิจกรรมดังกล่าว เป็นการรองรับการพัฒนากำลังพลกองทัพเรือ และเครือข่ายการแพทย์ฉุกเฉิน พื้นที่ชายฝั่งและอ่าวไทยตอนบน 11 จังหวัดชายทะเล เพื่อให้เกิดความเหมาะสมตรงตามวัตถุประสงค์สอดคล้องกับภารกิจที่หน่วยดำเนินการ จึงได้ขออนุมัติ เปิดศูนย์ฝึกอบรมภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 ซึ่งได้ดำเนินการฝึกอบรมให้แก่กำลังพลกองทัพเรือ เกินค่าเป้าหมาย 10,000 คน ในการนี้ กรมแพทย์ทหารเรือ ขอชื่นชมและแสดงความภาคภูมิใจ จากกรณีที่กำลังพลกองทัพเรือได้ช่วยชีวิตชาวต่างชาติโดยการทำ CPR ทำให้ผู้ป่วยได้รับการช่วยเหลืออย่างทันท่วงทีและทำการส่งต่อ เพื่อทำการรักษาจนปลอดภัย และได้มีการมอบโล่ห์ประกาศเกียรติคุณให้กับ พันจ่าเอก นิวัฒน์ กังหัน ผู้ให้การช่วยเหลือชาวต่างชาติจนปลอดภัย และมอบใบประกาศนียบัตรให้กับหน่วยที่ผ่านการอบรม โดยได้กระทำพิธีดังกล่าว ณ ห้องศูนย์ฝึกอบรม ภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ โรงพยาบาล อาภากรณ์เกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645

เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ เปิดมูลนิธิ โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์

พลเรือโท ณัฐ อิศรางกูร ณ อยุธยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวเปิดพร้อมทั้งตัดริบบิ้น ในพิธีเปิดมูลนิธิโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ พลเรือตรี ประทีป ตังติสานนท์ รองเจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ ในฐานะประธานมูลนิธิโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ กล่าวถึงความเป็นมาและวัตถุประสงค์การจัดตั้งมูลนิธิในครั้งนี้ว่า เพื่อให้การส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาสวัสดิการบุคลากรรวมถึงพัฒนาระบบบริการทางการแพทย์และกิจกรรมต่างๆ ของโรงพยาบาล  เพื่อให้การส่งเสริมและสนับสนุนการรักษาพยาบาลผู้ป่วยของโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ ให้มีประสิทธิภาพในการรักษาพยาบาลดียิ่งขึ้น และเพื่อดำเนินการด้านสาธารณประโยชน์และให้ความร่วมมือกับองค์การการกุศล โดยไม่ดำเนินการเกี่ยวข้องกับการเมืองแต่ประการใด โดยมูลนิธิโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ได้จดทะเบียนถูกต้องตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งในการนี้ ได้มีหน่วยงานราชการ พ่อค้า ประชาชน รวมถึงผู้มีจิตอันเป็นกุศล ได้ร่วมในพิธีดังกล่าวและได้ร่วมบริจาคเงินเพื่อเป็นสายธารบุญให้แก่มูลนิธิ โดยได้จัดพิธีรับมอบเงินบริจาค ณ ห้องประชุมลุมพิกานนท์ และ จัดพิธีเปิดมูลนิธิโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ณ ห้องมูลนิธิฯ บริเวณส่วนตรวจโรคผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ชลบุรี 0909535645


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top