Thursday, 2 May 2024
TheStatesTimes

'อิหร่าน' ขู่!! ถล่มที่ตั้งนิวเคลียร์ของ 'อิสราเอล' ลั่น!! รู้ว่าซ่อนอยู่ตรงไหนบ้าง ปราม!! อย่าแหยมอีก

(19 เม.ย. 67) เจ้าหน้าที่ระดับสูงรายหนึ่งของกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน เตือนเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ว่า เตหะรานทราบดีถึงตำแหน่งที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของอิสราเอล และมีศักยภาพโจมตีที่ตั้งนิวเคลียร์ของรัฐยิว ในกรณีที่พวกเขาถูกโจมตีก่อน ตามรายงานของสื่อมวลชนท้องถิ่น

ความตึงเครียดโหมกระพือหนักหน่วงขึ้นในตะวันออกกลางในเดือนนี้ ตามหลังเหตุโจมตีสถานกงสุลของอิหร่านประจำกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย เมื่อวันที่ 1 เมษายน ซึ่งว่ากันว่าเป็นฝีมือของอิสราเอล สังหารสมาชิกกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลาม 7 นาย เตหะรานแก้แค้นในสัปดาห์ที่แล้ว ด้วยการปล่อยโดรนและยิงขีปนาวุธห่าใหญ่เล่นงานอิสราเอล แต่ส่วนใหญ่ถูกสอยร่วงโดยรัฐยิวและบรรดาชาติตะวันตก ผู้สนับสนุนของอิสราเอล

แม้ขณะนี้อิสราเอลยังตกลงกันไม่ได้ว่าจะใช้วิธีการใดตอบโต้การโจมตีของอิหร่าน แต่วิธีหนึ่งที่กำลังสร้างความกังวลไปทั่วโลก นั่นคือการโจมตีโครงการนิวเคลียร์ในอิหร่าน ซึ่งความเป็นไปได้ดังกล่าวนี้เองกระตุ้นให้เตหะรานออกมาขู่กลับเช่นกัน

"ทำเลที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของอิสราเอลถูกพบแล้ว และเรามีข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมดเกี่ยวกับเป้าหมายต่าง ๆ ที่เราต้องการกำจัดในปฏิบัติการตอบโต้ของเรา" พันเอกอาห์หมัด ฮักตาลับ แห่งกองกำลังพิทักษ์การปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านกล่าว ตามรายงานของทาสนิม สื่อมวลชนกึ่งรัฐ "มือของเราอยู่บนไกปืน ที่จะลั่นไกปลดปล่อยขีปนาวุธทรงพลังงานและทำลายเป้าหมายเหล่านั้น"

เตหะราน กล่าวว่า พวกเขากำลังหาทางคลี่คลายสถานการณ์ แต่ทางอิสราเอลประกาศจะโจมตีตอบโต้โดยไม่เปิดเผยว่าจะดำเนินการแบบไหนและเมื่อไหร่ ในเรื่องนี้ พันเอกฮักตาลับ เชื่อว่าอิสราเอลกำลังพิจารณาปฏิบัติการทางทหารเพิ่มเติม เป็นไปได้ว่าจะเล็งเป้าอุตสาหกรรมทางนิวเคลียร์ของอิหร่าน และหากเป็นเช่นนี้ อุตสาหกรรมนิวเคลียร์ของอิสราเอลจะถูกเล่นงานในการโจมตีแก้แค้นเช่นกัน

ที่ผ่านมา อิสราเอลไม่เคยยืนยันหรือปฏิเสธเกี่ยวกับการครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ แต่ทางสถาบันวิจัยสันติภาพนานาชาติสตอกโฮล์ม (SIPRI) ประเมินว่าอิสราเอลน่าจะมีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ราว 80 ลูก ในนั้นเป็น gravity bombs จำนวน 30 ลูก และหัวรบนิวเคลียร์สำหรับขีปนาวุธพิสัยกลาง 50 ลูก ในขณะที่ พันเอกฮักตาลับ ไม่ได้เจาะจงว่าที่ตั้งทางนิวเคลียร์ใดบ้างที่อิหร่านเล็งไว้สำหรับปฏิบัติการโจมตีตอบโต้

อิสราเอล กล่าวหา อิหร่าน ว่าลอบพัฒนาแสนยานุภาพทางนิวเคลียร์ของตนเองแบบลับ ๆ มานานหลายทศวรรษแล้ว และ กิลาด เออร์ดาน ผู้แทนทูตอิสราเอลประจำสหประชาชาติ กล่าวอ้างเมื่อวันอาทิตย์ (14 เม.ย.) ว่าเตหะรานเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่สัปดาห์ในการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ลูกหนึ่งสำเร็จ เขาเร่งเร้าให้บรรดาสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ พิจารณาว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าอิหร่านเปิดฉากโจมตีประเทศของพวกเขาด้วยระเบิดนิวเคลียร์ อย่างไรก็ตาม คำกล่าวอ้างนี้ถูกปฏิเสธโดยทบวงพลังงานปรมาณูสากล

พันเอกฮักตาลับ เปิดเผยด้วยว่า พวกผู้นำอิหร่านเน้นย้ำพวกเขามองอาวุธทำลายล้างสูงทุกชนิดเป็นสิ่งที่เข้ากันไม่ได้กับโลกอิสลาม แต่มีความเป็นไปได้ที่เตหะรานจะพิจารณาทบทวน ‘ยุทธศาสตร์และนโยบายทางนิวเคลียร์’ หากว่าอิสราเอลยังคงคุกคามที่ตั้งทางนิวเคลียร์ของพวกเขา

ทั้งนี้ พันเอกฮักตาลับ บอกว่าปกติแล้วที่ตั้งทางนิวเคลียร์มักถูกพิจารณาอยู่นอกเหนือปฏิบัติการทางทหาร แต่การที่อิสราเอลโจมตีสถานกงสุล สำนักงานทางการทูตที่ได้รับการคุ้มครองในระดับนานาชาติ เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า อิสราเอลไม่ได้สนใจเล่นตามกฎใด ๆ

'สนง.สลากฯ-มูลนิธิสถาบันพระปกเกล้าฯ' เปิดตัว 'SEED PROJECT ปี 4' มุ่งสร้างจิตสำนึกเยาวชนรักบ้านเกิด พัฒนาท้องถิ่น 5 ภาคทั่วไทย

เมื่อวานนี้ (18 เม.ย. 67) สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล มูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม และเครือข่ายเยาวชน SEED Thailand ได้จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ SEED Project ปี 4 สร้างผู้นำเยาวชน พาท้องถิ่นสู่สากล ณ โรงภาพยนตร์ ลิโด้ กรุงเทพมหานครฯ 

โดยงานนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถาบันหลักของชาติ ผ่านการสัมมนาอบรมเชิงปฏิบัติการ เพื่อเปิดพื้นที่แกนนำเยาวชนให้รู้จักปรับการใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสม และมีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรม สร้างเครือข่ายเยาวชนให้มีจิตใจสำนึกรักบ้านเกิด ให้มีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนท้องถิ่น และสร้างพื้นที่ให้เยาวชนได้นำเสนอความคิดเกี่ยวการทำโครงการ กิจกรรมในการพัฒนาชุมชนในบ้านเกิด พร้อมปฏิบัติโครงการนำร่องในภูมิภาคต่าง ๆ จำนวน 5 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคใต้ตอนบน ภาคใต้ตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคกลาง 

โดยภายในงานแถลงข่าว ได้มีช่วงเสวนาโดยตัวแทนเยาวชน SEED Thailand ที่ได้ทำโครงการเพื่อสังคม และชุมชน ดำเนินรายการโดย นางสาวธนธร ศิระพัฒน์ ต่อจากนั้นช่วงต่อได้มีการดำเนินการแถลงข่าว เปิดตัวโครงการ SEED Project ปี 4 My Future Hometown สร้างผู้นำเยาวชน พาท้องถิ่นสู่สากล โดยผู้ร่วมแถลงข่าว ประกอบด้วย พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ประธานมูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม และ ดร.ดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ กรรมการและเลขานุการ มูลนิธินักศึกษาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อสังคม 

ช่วงสุดท้ายได้มีการเสวนา เรื่อง พลเมืองยุคนี้ต้อง Ready to be Citizen New Gen ประกอบด้วยผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ นายพชรพรรษ์ ประจวบลาภ เลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย นางสาวชนนิกานต์ สุพิทยาพร นางสาวไทยประจำปี 2566 นายชลวิศว์ วงศ์ศรีวอ พิธีกร ผู้สื่อข่าวและสื่อมวลชน และนายเวหา ตั้งสมบูรณ์ ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มระบบ SEED ID ร่วมเสวนาในประเด็นการเป็นคนรุ่นใหม่ที่สามารถเป็นพลเมืองที่ดีของสังคมท่ามกลางเทคโนโลยีและสื่อที่สามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ เสร็จการเสวนาจากนั้นจึงมีการร่วมถ่ายภาพหมู่ และเสร็จสิ้นการแถลงข่าว

โครงการ SEED Project ปี 4 ได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยมีภารกิจและเป้าหมาย จะมีการดำเนินโครงการนำร่องในภูมิภาคต่าง ๆ จำนวน 5 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคใต้ตอนบน ภาคใต้ตอนล่าง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง และจะมีโครงการนำร่องจากเยาวชนในแต่ละภูมิภาคเพื่อพัฒนาชุมชน ทั้งหมด 25 โครงการ  

เครือข่ายเยาวชน SEED Thailand มีจุดมุ่งหมายเพื่อต้องการพัฒนาและส่งเสริมเยาวชนในระดับท้องถิ่นทั่วประเทศให้กลายเป็นเยาวชนพลังบวกที่มีจิตสำนึกรักบ้านเกิดและมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสถาบันหลักของชาติ โดยสร้างเครือข่ายเยาวชนรุ่นใหม่ภายใต้สังคมยุคดิจิทัล ผ่านการเปิดพื้นที่สาธารณะในการนำเสนอความคิดและวิธีการในการพัฒนาชุมชนบ้านเกิดและประเทศชาติให้เจริญยิ่งขึ้น 

โดยหยิบยกอัตลักษณ์ท้องถิ่นมาต่อยอดให้เกิดเป็นวิสาหกิจชุมชนรูปแบบใหม่ เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้และความมั่นคงในชีวิตให้กับท้องถิ่นและประเทศชาติ รวมถึงมุ่งหวังที่จะสร้างเครือข่ายเด็กและเยาวชนให้มีความเข้าใจต่อสถาบันหลักของชาติ อย่างถูกต้อง และเติบโตเป็นเมล็ดพันธุ์อันดีงามที่พร้อมจะเติบโตและส่งต่อพลังบวกให้เยาวชน โดยภารกิจของ SEED Thailand มีดังนี้ 

1.เรื่องเล่าบ้านเรา 
2.ของดีบ้านเรา 
และ 3.พัฒนาบ้านเรา 

โดยในปี 2024 SEED Thailand เครือข่ายได้มีภารกิจใหม่ก็คือ Local to Global เยาวชนไทยพาท้องถิ่นสู่สากล โครงการ SEED Thailand เราได้มีการเริ่มทำมาตลอดระยะเวลา 4 ปีโดยที่ผ่านมาเรามีเครือข่ายเยาวชนผู้นำอยู่ทั่วประเทศทั้งในระดับอุดมศึกษาและมัธยมศึกษา ในปัจจุบันเครือข่ายเยาวชนได้มีเยาวชนกว่า 8,000 คนทั่วประเทศไทย 

'กบน.' ใช้กลไกกองทุนน้ำมันฯ อุ้มราคาดีเซลต่อ แม้สถานะกองทุนติดลบหนักเกินแสนล้านแล้ว

เมื่อวานนี้ (18 เม.ย.67) สำนักงานกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (สกนช.) ได้ติดตามสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลก ซึ่งราคาน้ำมันยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง และยังมีปัจจัยต่าง ๆ ที่จะส่งผลกระทบกับราคาน้ำมันได้ โดยเฉพาะความไม่สงบในภูมิภาคตะวันออกกลางกรณีอิหร่าน-อิสราเอลที่อาจปะทุขึ้นอีก ประกอบกับมาตรการลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 1 บาท/ลิตร กำลังจะสิ้นสุดลงในวันที่ 19 เมษายน 2567 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล สกนช. เห็นว่า เพื่อไม่ให้มาตรการลดภาษีที่สิ้นสุดลงกระทบต่อราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลมากนัก จึงจะเสนอคณะกรรมการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (กบน.) ให้ใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาช่วยดูแลเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนมากจนเกินไปและไม่ให้ราคามีความผันผวนมากจนเกินไปด้วย โดย กบน. จะพิจารณาอัตราการอุดหนุนหรือลดการชดเชยให้เป็นไปตามช่วงเวลาและจังหวะที่เหมาะสม จึงขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงยังคงสามารถรักษาระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงภายในประเทศไม่ให้ผันผวนมากจนเกินไปได้

สำหรับฐานะกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงสุทธิ ณ วันที่ 14 เมษายน 2567 ติดลบ 103,620 ล้านบาท แบ่งเป็นบัญชีน้ำมันติดลบ 56,407 ล้านบาท ส่วนบัญชีก๊าซ LPG ติดลบ 47,213 ล้านบาท

'พลโทนันทเดช' หยัน!! ซื้อบ้านเก่าของปรีดีที่ฝรั่งเศส แค่ละครฉากหนึ่ง ชี้!! เป็นการลงทุนแค่สลึงเดียว แต่คิดจะเอากลับคืนมาเป็นล้าน

(19 เม.ย. 67) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า...

บ้านเก่าของอาจารย์ปรีดี ที่ฝรั่งเศส หรือจะเป็นร้านกาแฟอีกร้านหนึ่งแค่นั้น

การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ เท่ากับเป็นการมองย้อนหลังไปหารากเหง้าของตัวเอง เพราะประวัติศาสตร์ คือ ต้นธารของสังคม และชีวิตผู้คนไม่ว่าจะเป็นไพร่ ผู้ดี หรือชนชั้นปกครอง โดยเฉพาะประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับการปฎิวัติ 24 มิถุนา 2475 ซึ่งในปัจจุบันมีผู้เขียนถึงกันมากมายหลายแง่มุม หลายทัศนะ แล้วแต่ความใกล้ชิดกับผู้คนในประวัติศาสตร์ หรือความเชื่อที่ได้รับมา หรือผลประโยชน์ที่ผูกพันกับตัวเอง จนกล่าวได้ว่า ไม่มีใครเป็นกลางได้จริงในเหตุการณ์ 24 มิถุนา 2475 แค่ดูหนังสือที่ขายในท้องตลาดเกี่ยวกับเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่า มีแต่ผู้เขียนที่แข่งขันกันชื่นชมต่อคณะราษฎรเกือบ 80%

ดังนั้นเหตุการณ์ 24 มิถุนา 2475 จึงถูกนำมาผลิตเป็นหนังสือ ขายแล้วขายเล่า ไม่รู้จักจบสิ้น โดยไม่มีใครสนใจว่าข้อเท็จจริงในประวัติศาสตร์จะเป็นอย่างไร แค่ขอให้ตัวเองเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากชื่อ คณะราษฎร เท่านั้นก็พอ 

การซื้อบ้านเก่าของอาจารย์ ปรีดี ที่ฝรั่งเศส ก็คล้ายคลึงกัน มันเป็นแค่ละครฉากหนึ่งของพรรคการเมือง พรรคหนึ่ง ที่พิมพ์หนังสือออกมาขายเด็ก แล้วไม่มีคนอ่าน จึงลงทุนซื้อบ้านของ อาจารย์ปรีดี ซึ่งอุปมาเหมือนเป็นการลงทุนแค่สลึงเดียว แต่จะเอากลับคืนมาเป็นล้าน ยิ่งกว่าซื้อทองเก็งกำไร เห็นแล้วก็น่าสงสาร คณะราษฎร ที่วันเวลาผ่านมากว่า 90 ปีแล้ว ก็ยังถูกนำมาใช้เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลเพียงบางกลุ่ม ..ก็แค่นั้นเอง

‘กีรติ รัชโน’ ปลัดพาณิชย์ เสียชีวิตอย่างสงบ ในวัย 56 ปี หลังเข้ารับการรักษาตัวจากอาการป่วยวูบ-ล้มในบ้านพัก

(19 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งมีอาการป่วยวูบและล้มที่บ้านพัก เมื่อคืนวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา ก่อนส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดีนั้น

ล่าสุดทางครอบครัวรัชโน แจ้งให้ทราบว่า “พ่อจั่น ได้จากไปแล้วอย่างสงบ ในวันที่ 19 เม.ย. 2567 เวลา 03.28 น. ก่อนที่พ่อจั่นจะจากไป พระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ได้เทศน์นำทางก่อนลมหายใจสุดท้ายผ่านทางโทรศัพท์”

“ร่างกายเสมือนเป็นบ้าน บ้านของคุณกีรติตอนนี้กำลังจะผุพัง เราจึงไม่ควรไปห่วงหาอาลัยในบ้านที่กำลังจะพังทลายหลังนี้ เมื่อถึงเวลาที่บ้านพังลงมาแล้วก็ขอให้สละบ้านหลังนี้ เพื่อไปยังบ้านหลังใหม่ที่ดีกว่า บ้านที่สร้างจากคุณงามความดีตลอดชีวิตที่คุณกีรติได้สั่งสมมา”

“คุณกีรติไม่ต้องเป็นห่วงคนในครอบครัว ทั้งคุณแม่ ภรรยา และลูกทั้งสองคน ทุกคนจะสามารถอยู่ได้อย่างดีด้วยคุณงามความดีที่คุณกีรติได้ทำไว้ แม้ว่าคุณกีรติจะไม่อยู่แล้ว”

“ตอนนี้คุณกีรติกำลังจะต้องเดินทางไกล สัมภาระอะไรต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นก็ไม่ต้องเอาไป ความห่วงใยกังวลใจทั้งหลายก็ทิ้งเอาไว้ ขอให้เอาพระรัตนตรัยเป็นสิ่งนำทางในการเดินทางไกลครั้งนี้ สิ่งที่ติดตัวไปคือความดีและบุญกุศลที่สร้างสมมา”

“พ่อจั่นได้อยู่ท่ามกลางครอบครัวอย่างใกล้ชิดจนลมหายใจสุดท้าย และพ่อจั่นได้เดินทางไปสู่สุคติแล้ว หมายกำหนดงานศพจะแจ้งให้ทุกท่านทราบอีกครั้งหนึ่ง”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้สมัยที่ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายกีรติ ได้ขอย้ายออกจากตำแหน่ง เนื่องจากมีปัญหาสุขภาพ พบว่า เส้นเลือดในสมองมีปัญหา แต่ต่อมาได้กลับเข้ารับราชการอีกครั้ง เมื่อปี 2564 ในตำแหน่งรองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ก่อนจะขึ้นดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงพาณิชย์ แทนปลัดกระทรวงคนเก่าที่เกษียณอายุ 30 ก.ย. 2565

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 17 เม.ย.67 บุตรสาวของนายกีรติ โพสต์ข้อความว่า “ขออนุญาตรายงานอาการปัจจุบันของคุณพ่อค่ะ วันนี้คุณพ่อมี ชีพจรเร็ว ความดันต่ำ สาเหตุจากการติดเชื้อในกระแสเลือดค่ะ ซึ่งอาการอยู่ช่วงที่วิกฤต ทางครอบครัวอยากใช้เวลากับคุณพ่อให้ได้มากที่สุด จึงขออนุญาตงดเยี่ยมคุณพ่อในช่วงนี้ค่ะ ทางครอบครัวขอขอบคุณความห่วงใยและกำลังใจจากทุกท่าน และขออภัยในความไม่สะดวกค่ะขอบพระคุณค่ะ”

สำหรับประวัติ นายกีรติ รัชโน เกิดเมื่อวันที่ 25 พ.ย. 2510 ปัจจุบันอายุ 56 ปี มีชื่อเลนว่า ‘จั่น’ จบชั้นประถมจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล, ชั้นมัธยมศึกษาจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย , ปริญญาตรี คณะรัฐศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาสังคมวิทยา, จบปริญญาโท คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สาขาการคลัง สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และระดับปริญญาเอก บริหารธุรกิจ ยูไนเต็ด สเตตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล ยูนิเวอร์ซิตี้ สาขาธุรกิจระหว่างประเทศ และการตลาดระหว่างประเทศ

>> ประสบการณ์การทำงาน

ปัจจุบัน - ปลัดกระทรวงพาณิชย์
พ.ศ. 2564 - 2565 รองปลัดกระทรวงพาณิชย์
พ.ศ. 2562 - 2563 อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
พ.ศ. 2561 - 2562 ผู้ตรวจราชการกระทรวงพาณิชย์
พ.ศ. 2559 - 2562 รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์
พ.ศ. 2556 - 2559 ผู้อำนวยการกองบริหารการค้าสินค้าทั่วไป กรมการค้าต่างประเทศ
พ.ศ. 2554 - 2556 ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสินค้าข้อตกลง กรมการค้าต่างประเทศ
พ.ศ. 2553 - 2554 ผู้อำนวยการกองนโยบายการค้าและพัฒนาระบบบริหาร

>> ผ่านการอบรม

- หลักสูตรนักบริหารระดับสูง : ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และคุณธรรม (นบส.) รุ่น 79
- หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้านการค้าและการพาณิชย์ (TEPCoT) รุ่นที่ 11
- หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 63 (วปอ.63)

>> เครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดที่ได้รับ

- มหาวชิรมงกุฎ
- ประถมาภรณ์ช้างเผือก

วิเคราะห์ทุนนิยมสไตล์ 'อเมริกัน' VS 'จีน' ฝ่ายหนึ่งละ ฝ่ายหนึ่งแทรกแซงกิจการชาติอื่น

เมื่อพูดถึงเรื่องของ ‘ทุนนิยม’ ผู้คนต่างก็มักจะมองไปยังโลกตะวันตกโดยเฉพาะ ‘สหรัฐอเมริกา’ โดยลืมไปว่า ‘สาธารณรัฐประชาชนจีน’ ก็มีระบบเศรษฐกิจที่มีความเป็น ‘ทุนนิยม’ เฉกเช่นเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่มีระบอบการปกครองที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงคือ ‘คอมมิวนิสต์’ กับ ‘ประชาธิปไตย’ 

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่จีนก้าวขึ้นมาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับสองตามติดสหรัฐอเมริกาชนิดหายใจรดต้นคอได้ก็ด้วยเพราะ ระบบเศรษฐกิจแบบ ‘ทุนนิยม’ นับตั้งแต่ท่านเติ้งเสี่ยวผิง ผู้นำจีนในยุค 1980 ได้นำหลักการตามแนวคิด ‘ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ขอเพียงจับหนูได้ ก็คือแมวที่ดี’ มาใช้ขับเคลื่อนประเทศ

ด้วยระบบเศรษฐกิจแบบ ‘ทุนนิยม’ นี้เองที่ทำให้จีนใช้เวลาเพียงไม่ถึง 40 ปี ในการเปลี่ยนแปลงประเทศจากความล้าหลังมากมาย จนกลายเป็นความล้ำสุด ๆ และที่สำคัญที่สุดคือ ‘กลายเป็นโรงงานอุตสาหกรรมของโลก’ ได้เกือบทุกชนิดในราคาที่ต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ โดยมี ‘สหรัฐอเมริกา’ ประเทศที่ขนาดเศรษฐกิจอันดับหนึ่งเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่สุด

ทั้งนี้ หากนำความหมายของคำว่า ‘ทุนนิยม’ (Capitalism) อันเป็นระบบเศรษฐกิจซึ่งนายจ้างเป็นเจ้าของปัจจัยในการผลิต ควบคุมการค้า อุตสาหกรรม และวิถีการผลิต โดยมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรในเศรษฐกิจแบบตลาดเสรี จะมีลักษณะที่สำคัญดังนี้...

(1) เอกชนสามารถถือครองทรัพย์สินได้มากเท่าที่จะหามาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย 
(2) การแข่งขันเสรี ซึ่งจะทำให้ผู้ขายเสนอราคาที่เหมาะสมที่สุดด้วยศักยภาพการผลิตที่ดีที่สุด 
(3) ใช้ระบบเศรษฐกิจแบบตลาด ซึ่งอนุญาตให้เอกชนสามารถลงทุนในการผลิตหรือใช้จ่ายเงินเพื่อหาซื้อสินค้าและบริการได้ตามความสามารถและความต้องการ โดยไม่มีกฎระเบียบหรือข้อบังคับจากรัฐบาล ด้วยเชื่อว่าที่สุดแล้วจะทำให้ราคาของสินค้าและบริการอยู่ในจุดสมดุลที่ผู้ซื้อและผู้ผลิตเห็นตรงกันว่าราคาอยู่ในช่วงที่เหมาะสม 
(4) มีความอิสระในการบริหาร โดยปราศจากการแทรกแซงของรัฐบาล 

ด้วยบริบทดังกล่าวนี้ที่ว่ามานี้ ทำให้ระบบ ‘ทุนนิยม’ ของจีนและสหรัฐอเมริกา จึงไม่ได้มีความแตกต่างกันแต่อย่างใดเลย

นับตั้งแต่จีนปล่อยให้ระบบเศรษฐกิจเป็นไปตามแนวทาง ‘ทุนนิยม’ ระบบเศรษฐกิจของทั้งจีนและสหรัฐฯ ต่างก็เกื้อหนุนกันมาโดยตลอด ระบบเศรษฐกิจของจีนโดยรวมก็เติบโตและมีความแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ขณะที่สหรัฐฯ เองบรรดาผู้ประกอบการ ผู้นำเข้า และนักลงทุนในจีนต่างก็ได้ประโยชน์อย่างต่อเนื่องเช่นกัน 

ทว่า ก็มีความแตกต่างจากประโยชน์ของสองประเทศที่ได้รับ อาทิ จีนเกิดขึ้นกับระบบเศรษฐกิจโดยภาพรวมกับประชาชนทุกระดับชั้น ในขณะที่สหรัฐฯ กลับอยู่กับเพียงคนกลุ่มเดียว (ผู้ประกอบการ ผู้นำเข้า และนักลงทุนในจีน) ในขณะที่ประชาชนชาวอเมริกันได้ประโยชน์เพียงการได้บริโภคสินค้าราคาถูกจากจีน 

อย่างไรก็ตาม ระบบ ‘ทุนนิยม’ ของสองประเทศนี้ต่างก็สร้างผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อชาวโลก 

ถึงกระนั้น หากดูหากภูมิหลัง ความต่อเนื่อง และบริบท ฯลฯ จะพบบทบาทและลักษณะที่เกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจของโลกที่มีความแตกต่างกันจากทั้งสองประเทศ ดังนี้...

ความเป็น ‘ทุนนิยม’ ของสหรัฐฯ มีมาต่อเนื่องยาวนานกว่าร้อยปี จึงมีพัฒนาการและการแผ่ขยายและแพร่กระจายที่เห็นได้ชัดเจนกว่า โดยสหรัฐฯ ตั้งอยู่บนทวีปอเมริกาเหนือและเชื่อมต่อกับทวีปอเมริกาใต้ การขยายตัวด้านเศรษฐกิจและการค้าทางภาคพื้นดินจึงทำได้เพียงสองประเทศ 

ในขณะที่จีนตั้งอยู่ในทวีปเอเชีย ซึ่งเป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและประชากรมากที่สุด ทั้งยังสามารถขยายตัวด้านเศรษฐกิจและการค้าทางภาคพื้นดินได้จนถึงทวีปยุโรปซึ่งอยู่ติดกัน อันเป็นที่มาของนโยบาย ‘หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative (BRI) หรือ One Belt One Road (OBOR))’ เพื่อเชื่อมจีนกับสังคมโลกด้วยระบบเศรษฐกิจเครือข่าย

กลับกัน สหรัฐฯ ซึ่งหากจะเชื่อมต่อกับทวีปอื่น ๆ จำเป็นต้องใช้การขนส่งทางน้ำและทางอากาศ สหรัฐฯ จึงยังคงใช้นโยบาย ‘เรือปืน’ (Gunboat Diplomacy) ด้วยการมีฐานทัพทางทหารอยู่ทั่วโลกกว่า 800 แห่ง มีกำลังทางเรือและกำลังทางอากาศที่สามารถปฏิบัติการได้ทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง 

ดังนั้น หากมองพัฒนาการ ‘ทุนนิยม’ ของสหรัฐฯ ที่มีความต่อเนื่องยาวนานกอปรกับนโยบาย ‘เรือปืน’ ปฏิสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับประเทศคู่ทั่วโลก จึงมีความเป็นระบบมากกว่า และดำเนินการโดยบริษัทการค้าข้ามชาติของสหรัฐฯ ขนาดใหญ่ และได้รับการสนับสนุนด้านนโยบายที่เอื้อประโยชน์ในด้านต่าง ๆ จากรัฐบาลอเมริกัน 

จากนั้น บริษัทอเมริกันต่าง ๆ จึงสามารถดำเนินธุรกิจระหว่างประเทศได้อย่างสะดวกสบายโดยมีรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นหลังพิง (Back-up) ตราบใดที่ยังคงเสียภาษีให้กับรัฐอย่างถูกต้อง ไม่ทำผิดกฎหมายสหรัฐฯ (และให้การสนับสนุนพรรคการเมืองใหญ่ของอเมริกันทั้งสองพรรค) 

ทั้งนี้ หากมองปฏิสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า ซึ่งเป็นไปในระดับบนหรือระดับชาติเป็นส่วนใหญ่นั้น เพราะสหรัฐฯ เองเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่มากเกือบเท่ากับจีน แต่กลับมีประชากรเพียงหนึ่งในสี่ของประชากรจีน ประกอบด้วยรัฐต่าง ๆ จึงแทบจะไม่เห็น พ่อค้า นักธุรกิจ ชาวอเมริกันมาประกอบธุรกิจขนาดเล็กในประเทศต่าง ๆ 

ขณะที่จีน ซึ่งมีพลเมืองกว่า 1.4 พันล้านคน จะพบว่ามีพ่อค้า นักธุรกิจ ชาวจีนออกมาประกอบธุรกิจมากมายหลายอย่าง ตั้งแต่ธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยของเรา

ฉะนั้น ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือ พ่อค้า นักธุรกิจ ชาวจีน จะออกมาประกอบธุรกิจการค้าในต่างแดน โดยไม่มีรัฐบาลจีนเป็นหลังพิง (Back-up) เหมือนกับบรรดาบริษัทอเมริกันทั้งหลาย จึงต้องทำตามกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติของตามแต่ละประเทศนั้น ๆ 

แน่นอนว่า ในประเทศที่ผู้บังคับใช้กฎหมายเคร่งครัดในการปฏิบัติ ก็จะไม่มีปัญหาในการลักลอบกระทำผิดกฎหมายของคนเหล่านั้น แต่กลับกันในประเทศที่ในประเทศที่ผู้บังคับใช้กฎหมายหย่อนยาน ไม่เคร่งครัด ในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ละโมบ โลภมาก ก็จะมีปัญหาในการลักลอบกระทำผิดกฎหมายเกิดขึ้น ดังเช่นเรื่อง 'จีนเทา' ที่เกิดขึ้นในบ้านเรา ซึ่งต้องยอมรับว่า เกิดจากความหย่อนยานในการปฏิบัติ ความละโมบโลภมาก เห็นแก่อามิสสินจ้าง ความเกรงกลัวต่ออิทธิพลของผู้มีอำนาจ ฯลฯ ของเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบเหล่านั้น 

อันที่จริงเรื่องของการกระทำผิดกฎหมาย อาชญากรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนในสังคม หากเราทราบเรื่อง มีเบาะแส เกี่ยวกับความไม่ถูกต้องที่เกิดขึ้นทั้งหลายทั้งปวง ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบดำเนินการทันที 

...และหากเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเพิกเฉยละเลย ในปัจจุบันก็มีช่องทางมากมายในการติดตามหรือเร่งรัด ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์ดำรงธรรมประจำจังหวัด, กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.), สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (สำนักงาน ป.ป.ท.), คณะกรรมาธิการที่เกี่ยวข้องของรัฐสภา, สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน และศาลปกครอง เป็นต้น

สำหรับบ้านเราแล้ว ปัญหาจาก ‘ทุนนิยม’ จีน สามารถจัดการแก้ไขได้ง่ายกว่าปัญหาจาก ‘ทุนนิยม’ อเมริกัน เพราะในเรื่องของการทำผิดกฎหมายแล้ว รัฐบาลจีนจะไม่เข้ามายุ่งเกี่ยวแทรกแซงกับกิจการภายในของประเทศที่ชาวจีนหรือบริษัทไปสร้างปัญหาหรือทำผิดกฎหมาย ถ้ากระบวนการยุติธรรมของประเทศนั้น ๆ เป็นไปด้วยความถูกต้องและเที่ยงธรรม 

หากแต่ถ้าเป็นประเทศตะวันตกอย่างเช่น สหรัฐอเมริกาแล้ว รัฐบาลอเมริกันพร้อมที่จะเข้าไปแทรกแซงยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของประเทศที่ชาวอเมริกันหรือบริษัทอเมริกันไปสร้างปัญหาหรือทำผิดกฎหมายในเรื่องของเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน ไม่ว่ากระบวนการยุติธรรมของประเทศนั้น ๆ เป็นไปด้วยความถูกต้องและเที่ยงธรรมหรือไม่ก็ตาม 

น้ำท่วมหนัก 'นครดูไบ' กระทบ 'ไฟฟ้า-น้ำประปา' ใช้งานไม่ได้ ด้านผู้ประสบภัยเซ็ง ยังไม่มีหน่วยงานราชการใดเข้ามาช่วยเหลือ

(19 เม.ย.67) น้ำท่วมหนักนครดูไบยังคงวิกฤติ ไฟฟ้าและน้ำประปายังใช้งานไม่ได้ ด้านผู้ประสบภัยบอกว่า ยังไม่มีหน่วยงานราชการใดเข้ามาช่วยเหลือ

สถานการณ์น้ำท่วมหนักในนครดูไบยังคงวิกฤติ อาสาสมัครนำเรือยางออกไปช่วยรับส่งประชาชนตามอาคารต่าง ๆ ซึ่งต้องเดินทางสัญจรไปบนท้องถนนที่จมอยู่ใต้น้ำ ในขณะที่ไฟฟ้าและน้ำประปายังใช้งานไม่ได้ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาขาดแคลนอาหาร เนื่องจากปัญหาการขนส่ง ด้านผู้ประสบภัยบอกว่า ยังไม่มีหน่วยงานราชการใดเข้ามาช่วยเหลือ ขณะที่สื่อของทางการรายงานว่า ประธานาธิบดีชีค โมฮัมเหม็ด บิน ซาเยด อัล นาห์ยัน สั่งให้ทางการประเมินความเสียหาย และเร่งให้การช่วยเหลือครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม 

สุนัข ‘ซาร่า’ ขาดใจอย่างทรมาน เพราะเทศบาลจับผิดวิธี แต่ปิดบังความจริง แล้วบอกว่า “หมาหลุด หนีหายไป”

(19 เม.ย. 67) กรณีโซเชียลประกาศตามหาหมาไทยเพศผู้ วัย 4 ปี ชื่อ 'ซาร่า' หลังเจ้าของบ้านติดต่อให้เทศบาลมาจับตัวไป ด้วยเหตุผลที่ว่าซาร่ากัดเจ้าของ ต่อมาหมาซาร่าหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในขณะขนย้าย กลุ่มคนรักสัตว์จึงประกาศตามหา พร้อมตั้งเงินรางวัลหลักแสน

ล่าสุด มูลนิธิวอชด็อก ไทยแลนด์ Watchdog Thailand Foundation - WDT รายงานว่า นายชูเกียรติ บุญมี นายกเทศมนตรี ต.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ได้เปิดเผยแล้วว่า สุนัชชื่อ 'ซาร่า' ตายแล้ว เพราะการจับผิดวิธีของเจ้าหน้าที่เทศบาล ซึ่งมีทีมจับ 5 ราย

“สุนัขตกใจดิ้นสะบัด ทีมจับกดหัวลงพื้นเพื่อจับสุนัข อีกคนช่วยกดปากกดตัวเพื่อให้สุนัขนิ่ง ระหว่างนั้นหมาช็อกหยุดหายใจ ทีมเทศบาลต่างกลัวความผิดที่ทำหมาตายจึงนำร่างไปฝัง แล้วปิดบังความจริงด้วยการบอกว่า หมาหลุด หนีหายไป”

ทั้งนี้เพจรักสัตว์ ‘มะลิ กะปิ’ ได้โพสต์แสดงความเสียใจเกี่ยวกับประเด็นนี้ นายกเทศบาลรับสารภาพแล้วว่า ซาร่าตายตั้งแต่วันแรกที่ถึงเทศบาล

จากการจับผิดวิธี นั่นคือจุดเริ่มต้นของการโกหกปิดบัง ประชาชนคนรักสัตว์ทั้งประเทศ นี่ไงความจริง ความจริงตามที่เราบอก อยู่ที่ว่าจะยอมรับเมื่อไหร่ สุดท้ายก็ต้องยอมรับ  

‘วันนอร์’ ลั่น!! ไม่เคยยึดติดตำแหน่ง แต่รับไม่ได้ ปรับครม.ลามเปลี่ยนปธ.สภาฯ

(19 เม.ย. 67) ที่รัฐสภา นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา ให้สัมภาษณ์กรณีกระแสการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีการเชื่อมโยงมาถึงการเปลี่ยนตำแหน่งประธานสภาฯ มีการส่งสัญญาณมาหรือไม่ ว่า ยังไม่มีสัญญาณอะไร แต่การปรับ ครม.กับตำแหน่งประธานสภาฯ เป็นคนละเรื่องกัน การปรับ ครม.เป็นอำนาจนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ ส่วนตำแหน่งประธานสภาฯ ต้องมีการเสนอชื่อเพื่อเลือกในที่ประชุมสภาฯ มีผู้รับรอง แล้วนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ขณะที่วาระการดำรงตำแหน่งประธานสภาฯเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ รวมถึงข้อบังคับการประชุมสภาฯ

“ในส่วนตัวของผม ไม่เคยติดยึดกับตำแหน่งใด ๆ ถ้าทำได้เพื่อประโยชน์ของประชาชน ผมก็ต้องทำเต็มที่ แต่ถ้าทำไม่ได้ หรือไม่สามารถทำได้ ผมก็ไม่ติดยึด พร้อมที่จะไป แต่ผมขอเรียนว่าตำแหน่งประธานสภาฯ เป็นตำแหน่งที่มีเกียรติเป็นเสาหลักประชาธิปไตย ต้องทำหน้าที่เป็นกลาง ไม่สามารถมีใครมาแทรกแซงได้ นอกจากนี้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน กำหนดชัดเจน ประธานและรองประธานสภาฯ ต้องไม่เป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองใด ๆ เพื่อไม่ให้เกิดความผูกพัน หรือมีการแทรกแซงจากพรรคการเมือง ยืนยันอีกครั้งว่าการปรับครม.เป็นเรื่องของนายกฯ แต่ตำแหน่งประธานสภาฯ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ และข้อบังคับฯ ผมไม่มีอะไรส่วนตัว แต่เกียรติศักดิ์ศรีสภาฯ ผมในฐานะประมุขฝ่ายนิติบัญญัติต้องรักษาไว้” นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว

เมื่อถามว่าตำแหน่งประธานสภาฯ เลือกมาจากที่ประชุมฯ จึงไม่มีเหตุใดที่จะต้องเปลี่ยนกลางคัน? นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า “ประเพณีที่เคยปฏิบัติมาไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง ตำแหน่งประธานสภาฯ ต้องมีความเป็นกลาง ไม่ใช่เครื่องมือของพรรคการเมืองใด”

เมื่อถามว่ายืนยันจะทำหน้าที่นี้ต่อไปหรือไม่? นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าวว่า “เป็นหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องปฏิบัติ ถ้าตนละเลย เท่ากับว่าตนไม่รักษาระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนมอบให้ไว้ ยืนยันอีกครั้งว่าไม่มีใครส่งสัญญาณมา ถึงส่งสัญญาณก็เป็นสัญญาณที่รับไม่ได้”

“มันไม่มีเหตุใด ๆ ที่จะต้องเปลี่ยนตำแหน่ง ถ้าปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้ก็ต้องไปเอง ผมถือว่าต้องให้ประโยชน์ประชาชนเกียรติศักดิ์ศรีสภาฯ เดินไปให้ตรงแนวทาง จะมาบิด ๆ เบี้ยว ๆ เพื่ออย่างใดอย่างหนึ่งผมว่าไม่ถูก ถ้าถามว่าให้ประเมินว่าผมยังทำหน้าที่ได้หรือไม่ ผมประเมินเองไม่ได้ สื่อและประชาชนจะเป็นคนประเมิน” นายวันมูหะมัดนอร์ กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีกระแสวิพากษ์วิจารณ์การใช้งบประมาณของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ที่มีใช้งบฯจำนวนมากเดินทางไปดูงานต่างประเทศ? นายวันมูหะมัดนอร์ ในฐานะประธานรัฐสภา ปฏิเสธที่จะตอบคำถาม โดยกล่าวว่า “ต้องขออภัย เรื่องนี้เป็นเรื่องของวุฒิสภา ดังนั้นต้องเป็นอำนาจหน้าที่ของประธานวุฒิสภา”

‘โตโยต้า’ เรียกคืนรถรุ่น Prius กว่า 1.3 แสนคัน ในญี่ปุ่น หลังพบความเสี่ยง ‘ประตู’ อาจเปิดอ้าระหว่างขับขี่

เมื่อวานนี้ (18 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ป เปิดเผยการเรียกคืนรถยนต์ไฮบริด รุ่นพรีอุส (Prius) ในญี่ปุ่น จำนวน 135,305 คัน เนื่องจากพบความเสี่ยงว่าประตูอาจเปิดอ้าออกระหว่างขับขี่

ทั้งนี้ รายงานการเรียกคืนรถยนต์ที่โตโยต้ายื่นต่อกระทรวงคมนาคมของญี่ปุ่น เมื่อวันพุธ (17 เม.ย.) ระบุว่า ปัจจุบันมีการร้องเรียน 3 กรณีที่เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของมือจับประตูด้านหลัง แต่ยังไม่มีรายงานยืนยันพบการเกิดอุบัติเหตุ

โดยโตโยต้า เปิดเผยว่า รถรุ่นที่พบปัญหาคือรุ่นที่ผลิตระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2022 จนถึงเดือนเมษายน 2024 พร้อมเสริมว่า บริษัทจะระงับการผลิตและหยุดรับคำสั่งซื้อจากตัวแทนจำหน่ายจนกว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาได้

ด้านกระทรวงฯ กล่าวว่า ระดับการกันน้ำที่ไม่เพียงพออาจส่งผลให้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของประตูรถเกิดไฟฟ้าลัดวงจรได้หากโดนน้ำ ซึ่งอาจทำให้ประตูเปิดออกในขณะที่รถกำลังขับเคลื่อนอยู่


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top