Wednesday, 1 May 2024
TheStatesTimes

เชียงใหม่-สมาคมอสังหาริมทรัพย์ เชียงใหม่ จัดสัมมนาใหญ่ ประจำปี 2567 “Chiangmai RE - Future 2024”

สมาคมอสังหาริมทรัพย์ เชียงใหม่ จัดสัมมนาใหญ่ประจำปี 2567 “Chiangmai RE - Future 2024”เพื่อเป็นการให้ข้อมูลกับสมาชิกสมาคม ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และ ธุรกิจที่เกี่ยวข้องในจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดใกล้เคียง  เพื่อสะท้อนมุมมองความท้าทายและโอกาส ท่ามกลางปัญหาทางเศรษฐกิจ โดยมีนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิด และปาฐกถาพิเศษ ถึงมาตราการและแนวทางในการสนับสนุนให้ผู้บริโภคมีโอกาสเข้าถึงที่อยู่อาศัย เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2567 ณ โรงแรม ยู นิมมาน"

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รัฐบาลนั้นได้ตระหนักถึงปัญหาและไม่ได้นิ่งนอนใจ จึงได้มีนโยบายที่จะผลักดัน และประสานกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อที่จะลดปัญหาต่างๆ และเพิ่มความสามารถของผู้บริโภคให้มีโอกาสเข้าถึงการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้าได้อย่างรวดเร็ว

มาตราการด้านภาษีสำหรับผู้บริโภค สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัย บ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว อาคารพาณิชย์ และห้องชุด (ทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสอง) เฉพาะที่มีราคาซื้อขาย และราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 3 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท ต่อสัญญา ในการจดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567

การลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2 % เหลือ 1% ของราคาประเมินหรือราคาขาย การลดค่าธรรมเนียมการจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01% จากยอดเงินกู้ ซึ่งมาตราการนี้กำลังมีการพิจารณาเพิ่มเติมในส่วนราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์จากไม่เกิน 3 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท ต่อสัญญา เป็น 7 ล้านบาท ให้เป็นไปตามภาวะการเพิ่มขึ้นของราคาอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน

การลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้ที่จ่ายเป็นดอกเบี้ยกู้ยืมเงินเพื่อซื้อ เช่าซื้อหรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัยตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท และรัฐบาลได้ดำเนินการขับเคลื่อนผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ โดยเฉพาะธนาคารอาคารสงเคราะห์ เพื่อตอบสนองให้ผู้บริโภคได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยการจัดทำโครงการสำหรับกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลาย

โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยแห่งรัฐหรือโครงการบ้านล้านหลัง ซึ่งเน้นไปที่ราคาที่อยู่อาศัยราคาต่ำเพื่อผู้มีรายได้น้อย  ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาเพื่อเพิ่มวงเงินกู้ต่อรายให้สูงขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับราคาที่อยู่อาศัยที่สูง โครงการ Happy Life เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ปลูกสร้างอาคารหรือซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างอาคารเพื่อต่อเติม ขยายหรือซ่อมแซมอาคาร ไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น

ซึ่งทั้ง 2 โครงการเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เอื้อต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยในภาวะอัตราดอกเบี้ยปัจจุบันและทางรัฐบาลจะช่วยผลักดันให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจออกมาตราการส่งเสริมการมีที่อยู่อาศัย และบรรเทาภาระในการชำระสินเชื่อ

ในส่วนนโยบายของรัฐบาลต่อจังหวัดเชียงใหม่นั้น รัฐบาลจะเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเช่น การจัดงานมหาสงกรานต์ ที่ทางจังหวัดเชียงใหม่ถูกคัดเลือกเป็น 1 ใน 5 จังหวัดเมืองหลัก การชุบชีวิตแหล่งท่องเที่ยว 7 แห่ง น้ำตกห้วยแก้ว สวนสัตว์เชียงใหม่ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี อุทยานหลวงราชพฤกษ์ โบราณสถานเวียงกุมกาม วัดพระธาตุดอยคำ การพัฒนาเส้นทางคมนาคม  ปรับปรุงทางหลวงหมายเลข 121 (วงแหวนรอบ 3 ) ทางหลวงหมายเลข 1004 (ถนนไปดอยสุเทพ) ท่าอากาศยานเชียงใหม่แห่งที่ 2 เพื่อเป็นการกระตุ้นทางเศรษฐกิจ เพื่อสร้างรายได้และกำลังซื้อให้กับประชาชน

ด้านนายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย กล่าวในการบรรยายพิเศษ ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2567 ปัญหาหลักของธุรกิจอสังหาฯในตอนนี้ คือ ตลาดหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ยอดขายในไตรมาส 1/2567 ลดลง 29% สินค้ารอการขายมีสูงสุดในรอบ 29ปี สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในระดับราคาที่ต่ำกว่า 3 ล้านบาท

นภาพร/เชียงใหม่

'สว.สมชาย' เดือด!! ‘เนชั่น’ ตีข่าวทริป สว.ออนทัวร์ทั่วโลก งบ 81 ล้าน วอน!! เช็กความถูกต้องก่อนลง เพราะตนก็เป็น ปธ.กมธ.เศรษฐกิจอยู่

(18 เม.ย. 67) ดร.สมชาย หาญหิรัญ สมาชิกวุฒิสภา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Somchai Harinhirun' ระบุว่า... 

"ลงข่าวแบบนี้ได้ไงครับ เช็กความถูกต้องหน่อยครับพี่บากบั่น...มั่วไปนะครับ เสียชื่อ Nation หมดครับพี่ กมธ. เศรษฐกิจฯ ผมเป็นประธาน ครับ ถามได้เพ่"

ทั้งนี้ สำนักข่าวเนชั่น ได้นำเสนอภาพกราฟิกในหัวข้อ 'เปิดทริป สว.ออนทัวร์ทั่วโลก' กับงบ 67 จำนวน 81 ล้านบาท สร้างความไม่พอใจต่อผู้รับชมข่าว ที่ออกมาบอกว่า สว. แทบไม่ได้ไปไหนเลย นอกจากไปช่วย รพ.บ้าง วัดบ้าง ถือเป็นการนำเสนอข่าวที่ไม่น่าเชื่อถือ ไม่เป็นกลาง และเป็นสื่อการเมืองเลือกข้าง

สมุทรปราการ- 'วัดมหาวงษ์' จัดพิธีทำบุญตักบาตร สรงน้ำพระ เนื่องในวันสงกรานต์ครอบครัวพาณิชย์พิศาลร่วมงานบุญ

ภายในวัดมหาวงษ์ อ.เมืองจ.สมุทรปราการ จัดพิธีทำบุญตักบาตรข้าวสาร อาหารแห้ง อาหารปรุงสุก เนื่องในเทศกาลวันสงกรานต์ 

ภายในพิธีประกอบไปด้วย การถวายสังฆทานแด่พระภิกษุสงฆ์ การสรงน้ำพระขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคล การขนทรายคืนวัดโดยมีคณะสงฆ์วัดมหาวงษ์ร่วมประกอบพิธี

โดยในช่วงเช้าทางวัดมหาวงษ์ นำโดย พระครูปลัดจริยวัฒน์ หลวงพี่ตุ๋ย ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาวงษ์ นำคณะสงฆ์ จำนวน 9 รูป ร่วมประกอบพิธีสวดมาติกา-บังสุกุล เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้กับอดีตเจ้าอาวาสทุกรูปที่ทำคุณประโยชน์ให้กับทางวัดมหาวงษ์ อาทิ พระครูสุนทรธรรมวงศ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดมหาวงษ์ 

มีคณะศิษย์ยานุศิษย์และประชาชนผู้ใจบุญจำนวนมากร่วมในพิธี นำโดย นายอัครนันท์ พร้อมด้วย นางธัญยธรณ์ นางสาวปิยนุช พาณิชย์พิศาล และครอบครัวพาณิชย์พิศาลเศรษฐีผู้ใจบุญที่ให้การสนับสนุนและพัฒนาวัดมหาวงษ์ให้เจริญรุ่งเรืองเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เป็นประธานจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย 

จากนั้น ครอบครัวพาณิชย์พิศาล นำคณะศิษย์ยานุศิษย์และประชาชนผู้ใจบุญร่วมถวายภัตตาหารเพลแด่คณะสงฆ์วัดมหาวงษ์ จากนั้น พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถาและเจริญพระพุทธมนต์เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่เดินทางมาร่วมในงานครั้งนี้ 

อีกทั้ง ภายในงานทางคณะศิษย์ยานุศิษย์วัดมหาวงษ์ร่วมรดน้ำขอพร นายอัครนันท์ พร้อมด้วย นางธัญยธรณ์พาณิชย์พิศาล เนื่องในเทศกาลวันสงกรานต์ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ทางวัดมหาวงษ์ได้จัดขึ้น โดยทางครอบครัวพาณิชย์พิศาลได้มอบเงินขวัญถุงแก่คณะศิษย์ยานุศิษย์และสื่อมวลชนที่เดินทางมาร่วมงานคนละ 500 บาท เพื่อเป็นขวัญกำลังใจเป็นเงินขวัญถุงให้กับผู้ที่มาร่วมงานครั้งนี้อีกด้วย

‘สนามบินฮ่องกง’ ครองแชมป์ ‘ขนส่งสินค้า’ มากสุดในโลกปี 2023 จ่อเดินหน้าขยายระบบ เพื่อรับรองสินค้า 10 ล้านตันต่อปีในอนาคต

เมื่อวานนี้ (17 เม.ย. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า สภาสมาคมท่าอากาศยานระหว่างประเทศ (ACI) เปิดเผยว่า ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกงทางตอนใต้ของจีนยังคงครองตำแหน่งท่าอากาศยานที่มีปริมาณการขนส่งสินค้าโดยรวมมากที่สุดในโลกในปี 2023 ซึ่งถือเป็นการครองตำแหน่งดังกล่าวติดต่อกัน 13 ครั้ง เมื่อนับตั้งแต่ปี 2010

ด้าน แจ็ค โซ ประธานการท่าอากาศยานฮ่องกง กล่าวว่า การครองตำแหน่งดังกล่าวพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพอันยอดเยี่ยมและการบริการขนส่งสินค้าระดับโลกของท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกง ซึ่งตอกย้ำความเป็นผู้นำของท่าอากาศยานฯ ท่ามกลางสภาพการณ์อันท้าทาย

ทั้งนี้ การขนส่งสินค้าทางอากาศเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่สนับสนุนการเติบโตของภาคโลจิสติกส์และการพัฒนาเศรษฐกิจโดยรวม โดยการท่าอากาศยานฮ่องกงจะเดินหน้าความพยายามร่วมมือกับอุตสาหกรรมการขนส่งทางอากาศ เพื่อเพิ่มความสามารถทางการแข่งขันของฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางการขนส่งสินค้าระดับโลก

อนึ่ง ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกงกำลังขยายระบบสามรันเวย์ (Three-Runway System) เพื่อตอบสนองความต้องการในระยะยาว โดยระบบดังกล่าวที่มีกำหนดสร้างเสร็จสิ้นภายในปี 2024 จะช่วยให้ท่าอากาศยานฯ สามารถรับรองผู้โดยสาร 120 ล้านคน และสินค้า 10 ล้านตันต่อปี

เจาะกลยุทธ์ ISC สู่ Cash Management ชั้นนำของไทย ‘เทคโนโลยีคุณภาพ-บริการทันใจ’ ดันยอดโตปีนี้แตะ 500 ล้าน

รายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM 93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับคุณศลีนา ศักดิ์เสรี ประธานฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท อินติเกรต ซิสเต้ม (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ ISC ซึ่งเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จในการจัดหา-นำเข้า และจำหน่ายอุปกรณ์นวัตกรรม ด้าน Cash Management มากว่า 35 ปี เมื่อวันที่ 20 เม.ย.67

เริ่มบทสนทนา คุณศลีนา เล่าให้ฟังว่า นวัตกรรมด้าน Cash Management ในระดับโลกนั้น มีจุดเริ่มต้นมาจากยุโรป ส่วนประเทศไทยเริ่มได้รับความนิยมเมื่อ 10 ปีก่อน โดยในส่วนของอุตสาหกรรม Cash Management ในไทย ณ ตอนนี้นั้น ยังถือเป็นการทำตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Marketing) เสียมาก

เมื่อถามถึงการเผชิญหน้ากับยุค Digital Disruption ที่ธนาคารเปลี่ยนมาให้บริการผ่าน Online, Mobile Application ทำให้การใช้ธนบัตร เหรียญกษาปณ์ลดลง? คุณศลีนา กล่าวว่า “ในอีก 5 ปีข้างหน้า เชื่อว่าธนบัตรและเหรียญกษาปณ์ จะยังคงอยู่กับคนไทยอยู่กับโลก แต่เราต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งปัจจุบันเทคโนโลยีของ Cash Management มีการพัฒนาสอดคล้องกับสังคมไร้เงินสดมากขึ้น (Cashless Society) แต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่จำเป็นต้องใช้เงินสดอยู่ เช่น ผู้สูงอายุ เกษตรกร นักท่องเที่ยว เป็นต้น ฉะนั้นอะไรก็ตามที่จะเข้ามาทดแทนเงินสดได้แบบ 100% คงต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง เนื่องจากยังมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัยเป็นตัวแปรอยู่”

ทั้งนี้ คุณศลีนา ได้เผยถึงการทำตลาดของ ISC ซึ่งไม่ได้เจาะกลุ่มสถาบันการเงินเหมือนในอดีต แต่ขยายไปยังกลุ่ม Startup และ SME ที่เริ่มหันมาใช้เครื่องนับธนบัตร เครื่องนับเหรียญ ตู้เซฟเก็บเงินอัจฉริยะ (Cash Box) กันมากขึ้น เพื่อช่วยลดปัญหาความผิดพลาดของมนุษย์ (Human Error) และป้องกันการทุจริต 

ส่วนยอดขายของบริษัทฯ เมื่อปี พ.ศ. 2566 ประมาณ 200 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายปีนี้คาดแตะ 500 ล้านบาท เติบโตขึ้น 20% เนื่องจากบริษัทฯ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่และได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีในช่วง Q1 ที่ผ่านมา  

เมื่อถามถึงจุดเด่นที่ทำให้ ISC ครองใจลูกค้ามาอย่างยาวนาน? คุณศลีนา กล่าวว่า “เราให้บริการหลังการขายอย่างรวดเร็ว และกล้ารับประกันสินค้าถ้าเครื่องมีปัญหาเราพร้อมบริการภายใน 24 ชั่วโมง (กทม.) และ 48 ชั่วโมง (ต่างจังหวัด) ซึ่งถ้าต้องหยุดใช้งานจริง ๆ ทางบริษัทฯ มีเครื่องใหม่ทดแทนให้ทันที ปัจจุบันเรามีทีมบริการหลังการขายกว่า 100 คนทั่วประเทศ” 

ส่วนหลักการบริหารองค์กร คุณศลีนา กล่าวว่า “เรามองพนักงานและลูกค้าเป็นคนสำคัญเสมอ เหมือนเป็นคนในครอบครัวของเรา ทุกวันนี้พนักงานในบริษัทฯ ตั้งแต่ระดับผู้จัดการถึงแม่บ้าน เรามีเงินส่วนแบ่งให้ด้วย (Commission) ในวันที่ดีเราแบ่งปันกันอย่างเท่าเทียม ในวันที่แย่เราก็ไม่เคยทิ้งกัน เพราะบุคลากรมีส่วนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนมากว่า 35 ปี www.isc.co.th”

เสือปืนไว!! ‘รัฐบาลไทย’ ปรับบทบาทประเทศในเวทีโลก ขานรับประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ‘อินเดีย-จีน’ ใต้ผู้นำยุคที่ 3

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ที่มาร่วมพูดคุยในรายการ Easy Econ ซึ่งออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM 93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES ในหัวข้อ ‘อินเดียและจีน กับประโยชน์ทางเศรษฐกิจของไทย’ เมื่อวันที่ 21 เม.ย.67 ดังนี้…

อินเดียและจีนเป็นยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของโลกที่ประเทศไทยจะต้องให้ความสนใจเพื่อตักตวงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ทั้งสองประเทศก็มีแนวนโยบายและพัฒนาการทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

อินเดีย ซึ่งมีการเลือกตั้งในวันที่ 19 เมษายนนี้ และมีผู้มีสิทธิออกเสียงเกือบ 1,000 ล้านคน ถือเป็นการเลือกตั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก โดยการเลือกตั้งครั้งนี้ยังผลให้ Narendra Modi กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 3 อันจะสามารถสานต่อนโยบายเศรษฐกิจเดิม ซึ่งจะนำพาความสำเร็จให้แก่อินเดียได้กลายเป็นยักษ์ใหญ่อันดับ 5 ของโลก ภายใต้นโยบายเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน การลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมหาศาล รวมถึงการต้อนรับการลงทุนจากต่างประเทศและการเป็นมิตรกับธุรกิจภายใต้ Modi

ในขณะที่จีนภายใต้ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง ซึ่งเข้าสู่วาระที่ 3 เช่นกันนั้น กลับมีนโยบายที่ค่อนข้างจะตรงกันข้าม กล่าวคือ ความแข็งกร้าวและการไม่ยอมรับระเบียบที่กำหนดโดยโลกตะวันตก การแทรกแซงและความไม่เป็นมิตรกับธุรกิจเอกชน การปล่อยปละละเลยให้เกิดฟองสบู่ในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จนฟองสบู่แตกกลายเป็นปัญหาหนี้สินในปัจจุบัน

แน่นอนว่า Supply Chain ของโลกกำลังย้ายถิ่นฐานกันขนานใหญ่ ภูมิภาคที่จะได้รับอานิสงส์สูงสุดคงไม่พ้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และวันนี้ประเทศไทยก็ไม่ได้เป็นแค่จุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจีนประสงค์จะมาเที่ยวเท่านั้น แต่ประเทศไทยได้เป็นจุดหมายปลายทางด้านการลงทุนที่กำลังได้รับความสนใจสูงสุดจากนักธุรกิจจีนอีกด้วย 

สังเกตได้ว่าการลงทุนจากจีนกำลังหลั่งไหลเข้าไทยในทุกอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมยานยนต์ EV และแบตเตอรี อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมพลังงานทดแทน เป็นต้น และในอนาคตอันใกล้ ก็เป็นไปได้สูงที่จีนจะเข้ามาลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์ และอุตสาหกรรมบริการ โดยเฉพาะสถานบันเทิงครบวงจรที่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทย จึงเป็นหน้าที่รัฐบาลที่จะต้องเตรียมรับมือกับธุรกิจจีนที่กำลังถาโถมเข้ามา เพราะการลงทุนจีนจะมีรูปแบบและลักษณะแตกต่างจากการลงทุนของญี่ปุ่นและชาติตะวันตก

ดังนั้น ภายใต้เครื่องชี้วัดหลายประการที่เริ่มบ่งบอกถึงความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในโลกนั้น อาจกลายเป็นโอกาสทองทางเศรษฐกิจของไทย และก็ถือเป็นข่าวดีที่ตลอด 6-7 เดือนที่ผ่านมานี้ รัฐบาลของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน กำลังปรับเปลี่ยนบทบาทประเทศไทยในเวทีโลก เพื่ออ้าแขนรับโอกาสทางเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้นนี้แล้วด้วย

‘สุวรรณภูมิ’ ขยับขึ้นสู่อันดับ 58 สนามบินที่ดีที่สุดในโลก ด้าน ‘ดอนเมือง’ ไม่น้อยหน้า!! ติด Top 10 โลว์คอสต์ดีที่สุด

(18 เม.ย. 67) ดร.กีรติ กิจมานะวัฒน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (AOT) กล่าวว่า ตามที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตั้งเป้าหมายการผลักดันท่าอากาศยานของไทยให้ติดอันดับ 1 ใน 50 สนามบินที่ดีที่สุดในโลกภายใน 1 ปี และติดอันดับ 1 ใน 20 ของโลกภายใน 5 ปี ซึ่งนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้ดำเนินการขับเคลื่อนนโยบายในการพัฒนาอุตสาหกรรมการบินของประเทศไทย เพื่อส่งเสริมการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว สร้างรายได้ฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ นั้น

ในปี 2024 นี้ เว็บไซต์ Skytrax ซึ่งเป็นเว็บไซต์จัดอันดับการให้บริการของสนามบินได้ประกาศสนามบินที่ดีที่สุดในโลก (World’s Best Airport) ประจำปี 2024 ซึ่งท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ติดอันดับที่ 58 ขยับขึ้นจากอันดับที่ 68 โดยขึ้นมา 10 อันดับจากปี 2023

ขณะที่ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ติดอันดับ 10 ของสนามบินสำหรับสายการบินต้นทุนต่ำที่ดีที่สุดในโลก (World’s Best Low-Cost Airline Terminals) ซึ่งผลการจัดอันดับดังกล่าวมาจากการสำรวจความคิดเห็นของผู้เดินทางด้วยเครื่องบินทั่วโลก ภายใต้การสำรวจที่ชื่อว่า World’s Airport Survey จัดทำโดยบริษัท Skytrax ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและที่ปรึกษาด้านการบินชั้นนำของประเทศอังกฤษที่มีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์คุณภาพการให้บริการของสายการบินและสนามบินทั่วโลก โดยคำนึงถึงหมวดการให้บริการสนามบิน เช่น การเดินทาง สภาพแวดล้อมและการออกแบบ เจ้าหน้าที่สนามบิน สิ่งอำนวยความสะดวก และการให้บริการ เป็นต้น

ทั้งนี้ AOT มีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาและผลักดันให้บริการท่าอากาศยาน เพื่อให้ท่าอากาศยานในความรับผิดชอบของ AOT เป็นท่าอากาศยานที่มีมาตรฐานสากล มีความสะดวกสบาย ผู้โดยสารได้รับการบริการที่รวดเร็ว และปลอดภัย โดยอาคารเทียบเครื่องบินหลังที่ 1 (Satellite 1: SAT-1) ทสภ.ได้รับการประเมิน 4 ดาว จากด้านสถาปัตยกรรม ความสะอาด บรรยากาศโดยรวม และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตลอดจนมีการนำเทคโนโลยีและระบบอัตโนมัติมาอำนวยความสะดวกผู้โดยสาร อีกทั้งได้รับความร่วมมือจากสายการบินในการใช้เครื่องเช็กอินด้วยตนเองอัตโนมัติ (Common Use Self Service: CUSS) เครื่องโหลดกระเป๋าสัมภาระอัตโนมัติ (Common Use Bag Drop: CUBD) ระบบประตูทางออกขึ้นเครื่องอัตโนมัติ (Self-Boarding Gate: SBG) และระบบตรวจสอบยืนยันตัวตนผู้โดยสาร (Passenger Validation System: PVS)

นอกจากนี้ ทสภ.ได้มีการปรับปรุงกระบวนการ ณ จุดตรวจค้น และเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ ณ จุดตรวจหนังสือเดินทาง ทำให้สามารถลดระยะเวลารอของผู้ใช้บริการลง โดยระยะเวลาการใช้บริการในกระบวนการผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศในภาพรวมเฉลี่ย 26 นาทีต่อคน (เป้าหมายที่ AOT กำหนดไว้ที่ 40 นาทีต่อคน) และกระบวนการผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศในภาพรวมเฉลี่ย 37 นาทีต่อคน (เป้าหมายที่ AOT กำหนดไว้ที่ 55 นาทีต่อคน) ขณะที่กระบวนการผู้โดยสารขาเข้าภายในประเทศในภาพรวมเฉลี่ย 15 นาทีต่อคน (เป้าหมายที่ AOT กำหนดไว้ที่ 35 นาทีต่อคน) และกระบวนการผู้โดยสารขาออกภายในประเทศในภาพรวมเฉลี่ย 25 นาทีต่อคน (เป้าหมายที่ AOT กำหนดไว้ที่ 40 นาทีต่อคน) สำหรับ ทดม. มีให้บริการด้วยการใช้เทคโนโลยีทำให้การเดินทางปลอดภัยและสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ตั้งแต่ระบบ CUSS CUBD SBG และ PVS ทำให้ผู้โดยสารไม่ต้องรอคิวนาน ตามคอนเซ็ป ‘Fast and Hassle Free Airport’

ตร.สรุปผลการปฏิบัติและปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2567 ภาพรวมอุบัติเหตุลดลง 7.22% พร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคนที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็ง และขอบคุณ ปชช.ที่เป็นส่วนสำคัญทำให้อุบัติเหตุลดลง

วันนี้ (18 เมษายน 2567) เวลา 13.30 น. พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นประธานการประชุมและแถลงปิดศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2567 ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. ชั้น 20 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยศูนย์ดังกล่าวได้มีการดำเนินการตั้งแต่วันที่ 10 - 18 เมษายน 2567 ในการขับเคลื่อนบูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางถนนทุกมิติ ตลอดจนการบังคับใช้กฎหมายและสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนน 

โดยการอำนวยความสะดวกและจัดการจราจรช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา มีการจัดกำลังตำรวจกว่า 30,000 นาย ดูแลการจราจรตลอด 7 วัน มีปริมาณรถเข้า-ออกจากกรุงเทพมหานคร บนทางหลวงสายหลักและมอเตอร์เวย์ จำนวน 6,882,802 คัน (ออกจาก กทม. จำนวน 3,469,720 คัน และเข้า กทม. จำนวน 3,413,082 คัน) วันที่ประชาชนเดินทางออกจากกรุงเทพมหานคร มากที่สุดคือ วันที่ 12 เมษายน 2567 วันที่ประชาชนเดินทางเข้ากรุงเทพมหานครมากที่สุดคือ วันที่ 17 เมษายน 2567

มีการเปิดช่องทางพิเศษ (Reversible Lane) จำนวน 108 ครั้ง (ระบายรถขาออก 63 ครั้ง / ขาเข้า 45 ครั้ง) ,รถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป ที่ขออนุญาตเดินรถในช่วงเวลาห้าม ผ่านระบบออนไลน์ จำนวน 36,423 คัน อนุญาตให้เดินรถได้ 35,632 คัน รถที่ได้รับอนุญาตมากที่สุดคือ รถบรรทุกน้ำมันหรือแก๊ส รองลงมาคือรถบรรทุกอาหาร เครื่องอุปโภค บริโภค มีรถที่ไม่ได้รับอนุญาตจำนวน 791 คัน และพบผู้ฝ่าฝืนเดินรถในเวลาห้าม จำนวน 785 ราย เนื่องจากเป็นสาเหตุให้การจราจรติดขัด

สำหรับการบังคับใช้กฎหมาย 10 ข้อหาหลัก มีการตั้งจุดตรวจทุกวันเพื่อบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่ฝ่าฝืนทั่วประเทศ แบ่งเป็น จุดกวดขันวินัยจราจร 11,883 จุด, จุดตรวจแอลกอฮอล์ 7,953 จุด พบผู้ที่ฝ่าฝืนทั้งสิ้น 281,602 ราย ข้อหาขับรถในขณะเมาสุรา 21,670 ราย ข้อหาไม่สวมหมวกนิรภัย 31,234 ราย และข้อหาขับรถเร็วเกินกฎหมายกำหนด จำนวน 119,816 ราย โดย 10 ข้อหาหลักนี้ จะก่อให้เกิดอันตรายอย่างยิ่งต่อผู้ใช้รถใช้ถนนรายอื่น จึงจำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด

ส่วนการป้องกันและลดอุบัติเหตุ รัฐบาลกำหนดค่าเป้าหมายให้จำนวนครั้งการเกิดอุบัติเหตุ จำนวนผู้เสียชีวิต และจำนวนผู้บาดเจ็บ ต้องลดลงไม่น้อยกว่า 5% เมื่อเทียบกับสถิติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง (สงกรานต์ 2564-2566) โดยการเกิดอุบัติเหตุ 7 วันของเทศกาลสงกรานต์ 2567 เกิดจำนวน 2,044 ครั้ง ลดลงจำนวน 159 ครั้ง (ลดลง 7.22%) จำนวนผู้เสียชีวิต มีจำนวน 287 ราย เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 23 ราย (เพิ่มขึ้น 8.71%) จำนวนผู้บาดเจ็บ มีจำนวน 2,060 คน ลดลง 148 คน (ลดลง 6.7%) และการดำเนินคดีข้อหาเมาขับซ้ำสอง มีจำนวน 96 ราย

พล.ต.ท.กรไชยฯ กล่าวว่า การอำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน เทศกาลสงกรานต์ 2567 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นไปตามนโยบายของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. ที่ต้องการให้ตำรวจอำนวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชนเดินทางโดยสวัสดิภาพ ลดอุบัติเหตุ และการเสียชีวิตให้ได้มากที่สุด โดยจากสถิติพบว่าปีนี้การเกิดอุบัติเหตุลดลงมากกว่าเป้าที่ตั้งไว้ โดยลดลงถึง 7.22% แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือร่วมใจของพี่น้องประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนในการดูแลตนเอง คนรอบข้าง และสังคม มีวินัยจราจร ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้อุบัติเหตุทางถนนลดลง นอกจากนี้ ขอขอบคุณข้าราชการตำรวจทั่วประเทศ และเจ้าหน้าที่ภาคีเครือข่ายต่างๆ ที่ร่วมแรงร่วมใจปฏิบัติหน้าที่อำนวยความสะดวกการจราจร และดูแลผู้ใช้ทางอย่างเต็มกำลังความสามารถตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งหลังจากนี้จะมีการสรุปข้อมูล วิเคราะห์สภาพปัญหาและถอดบทเรียน ปัญหาการปฏิบัติทุกๆ ด้าน เพื่อเตรียมความพร้อมในช่วงเทศกาลสำคัญต่อไป

มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ จับมือ มูลนิธิยังมีเรา สถานีข่าวท๊อปนิวส์ และ กลุ่มไทยสมายล์กรุ๊ป มอบทุนการศึกษา หวังสร้างอนาคตที่ดีให้กับเยาวชนไทย

วันที่ 18 เมษายน 2567 นางเธียรรัตน์ นะวะมะวัฒน์ ประธานมูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์  นางสาวนภสร ลำธารทอง รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการสื่อสารแบรนด์และสื่อสารองค์กร และ ทีมงานสื่อสารองค์กร กลุ่มไทยสมายล์ กรุ๊ป มอบทุนการศึกษาให้กับกลุ่มนักเรียนที่เรียนดีแต่ขาดโอกาส และมีฐานะทางครอบครัวยากจน ผ่านโครงการ สานฝันการศึกษา ประจำปี 2567 ของมูลนิธิยังมีเรา ณ สถานีข่าวท็อปนิวส์ โดยมี นายชยธร ธนวรเจต  ประธานมูลนิธิยังมีเราและคณะ เป็นผู้รับมอบ

นางเธียรรัตน์  เปิดเผยว่ามูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ได้ร่วมสนับสนุนทุนการศึกษา ทุนละ 6,000 บาท จำนวน 50 ทุน รวมเป็นเงินจำนวน 300,000 บาท (สามแสนบาทถ้วน) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก กลุ่มบริษัท ไทย สมายล์ กรุ๊ป (รถและเรือโดยสารสาธารณะพลังงานไฟฟ้า) เพื่อช่วยเหลือ แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายทางการศึกษา ให้กับกลุ่มนักเรียนที่เรียนดีแต่ขาดโอกาส และมีฐานะทางครอบครัวยากจน โดยนักเรียนจะต้องยังเรียนอยู่ในระบบการศึกษาตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่าและอุดมศึกษา ผ่านโครงการสานฝันการศึกษา ประจำปี 2567 ของมูลนิธิยังมีเรา สถานีข่าวท็อปนิวส์ การที่มูลนิธิหัวใจบริสุทธิ์ ได้ร่วมสนับสนุนทุนการศึกษา ผ่านโครงการสานฝันการศึกษา 2567 ในครั้งนี้ ถือเป็นกิจกรรมหนึ่ง สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของมูลนิธิในด้านการสร้างสาธารณประโยชน์ต่อชุมชน สังคม และที่สำคัญจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับเด็กนักเรียนและเยาวชน ซึ่งเขาเหล่านี้จะเติบโตเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top