Tuesday, 21 May 2024
TheStatesTimes

กระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชา เผยตัวเลขนักท่องเที่ยว 21.70 ล้านคน ส่วนใหญ่งงตัวเลข เนื่องจากมากกว่าประชากร 17 ล้านคน

(18 เม.ย. 67) เพจ 'World Forum ข่าวสารต่างประเทศ' เผย กัมพูชา โดยกระทรวงการท่องเที่ยวกัมพูชา ได้เปิดเผยตัวเลขนักท่องเที่ยว ช่วงเทศกาลปีใหม่เขมร 4 วัน ตั้งแต่วันที่ 13-16 เมษายน 2567 ว่า...

ตัวเลขนักท่องเที่ยว 21.70 ล้านคน
นักท่องเที่ยวต่างชาติ 110,000 คน

🌊เมือง-จังหวัดยอดนิยม 5 อันดับแรก 

1.จังหวัดกำปงจาม 
 *นักท่องเที่ยว 5,349,297 คน
 *นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 514 คน

2.จังหวัดเปรยแวง  
* นักท่องเที่ยว 229,867 คน
* นักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 คน

3.จังหวัดกำปงสปือ 
* นักท่องเที่ยว 2,102,247 คน
* นักท่องเที่ยวต่างชาติ 1,668 คน

4.จังหวัดพระตะบอง 
* นักท่องเที่ยว 1,731,432 คน
* นักท่องเที่ยวต่างชาติ 3,197 คน

5.จังหวัดกำปอต
* นักท่องเที่ยว 1,400,375 คน
* นักท่องเที่ยวต่างชาติ 3,122 คน

🌊:จากความเห็นในสื่อออนไลน์  ส่วนใหญ่ยังงงตัวเลข เนื่องจากตัวเลขมากกว่าประชากร 17 ล้านคน  และบางคนบอกทำงานไม่ได้ไปเล่น   

🌊*หากยึดหลักการปี 2022-2023  
นักท่องเที่ยว 1 คนสามารถไปหลายจังหวัดจะถูกนับ 1 ทันที ที่ผ่านเขตจังหวัด

จากภาพกัมพูชาเริ่มใช้คำว่า 
Sangkrant :  สังกรานต์
Maha Sangkrant : มหา สังกรานต์

‘ยูทูบเบอร์ไทย’ ถ่ายรูปติด ‘ผี’ ที่ฮ่องกง เกาะไหล่ชวนหลอน ด้านชาวเน็ตถกจนเป็นไวรัล สงสัย!! สรุปเป็นผีหรือคน

(18 เม.ย.67) จากกรณี ‘แอนตี้’ ยูทูบเบอร์หญิง อัปโหลดคลิปวิดีโอบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการท่องเที่ยวฮ่องกง โดยมีชื่อคลิปว่า ฮ่องกง ‘หลอน’ กว่าที่คิด เมื่อชั้นถ่ายติด… ผ่านช่อง ANNDAY เที่ยวไปวันวัน ซึ่งเธอเล่าว่า ขณะที่เธอกำลังท่องเที่ยวอยู่ที่ Hollywood Road และกำลังจะมุ่งหน้าไปยังพิพิธภัณฑ์และแกลอรี่จัดแสดงงานศิลปะแห่งหนึ่ง ซึ่งเคยเป็นสถานีตำรวจและคุกเก่า ระหว่างทางได้เดินผ่านกำแพงของผับแห่งหนึ่งซึ่งเป็นรูปแมวติด ๆ กัน เธอและแฟนเห็นว่าสวยดีจึงอยากเซลฟี่ผ่านกระจกด้วยมือถือ ซึ่งเมื่อกลับมาดูรูปอีกครั้งพบว่ารูปสุดท้ายที่ถ่ายกับแฟนกลายเป็นใบหน้าของผู้หญิงผมยาว ใบหน้าเศร้าหมอง ทำให้เธอตกเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร

โดยแอนตี้กล่าวต่อว่า ด้านแฟนก็ถามว่ามีคนมาถ่ายรูปด้วยแล้วไม่รู้ตัวหรือเปล่า? แต่เธอก็ยืนยันว่าตนเป็นคนเซนส์ดี หากมีคนมาใกล้อย่างไรก็ต้องรู้แน่นอน นอกจากนี้เธอยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า รูปสุดท้ายซึ่งเป็นรูปถ่ายปกติ และรูปที่มีผี ระยะเวลาห่างกันเพียง 1 นาทีเท่านั้น และเธอยืนยันว่าตนไม่ล้อเล่นแน่นอน เพราะเมื่อนำเรื่องนี้ไปถามคนที่มีเซนส์ ก็ต่างบอกว่าาก็บอกว่า “ใช่ น่าจะผีจริง ๆ” อีกทั้งบางคนที่ได้เห็นรูปนี้ถึงกับร้องไห้ออกมา

ซึ่งเมื่อคลิปวิดีโอดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ก็เกิดเป็นเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง จนเกิดเป็น #ผีฮ่องกง ติดเทรนด์อยู่บนแพลตฟอร์ม X ณ ขณะนี้ ทั้งมองว่าเป็นสิ่งลี้ลับ บ้างก็ว่าเป็นการจัดฉาก อาจจะเป็นคนมาทำโฟโต้บอมบ์แกล้งเข้ามาในกล้องก็ได้

เมื่อวันที่ 17 เมษายน ล่าสุดมีผู้ใช้ทวิตเตอร์ หรือ X รายหนึ่งได้ทวิตถึงความคืบหน้ากรณีดังกล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการเข้าไปพูดคุยกับเจ้าของร้านดังกล่าว ซึ่งทางร้านรับรู้เรื่องแล้ว ซึ่งทางร้านแจ้งว่าตั้งแต่เปิดให้บริการมายังไม่เคยพบเรื่องผีมาก่อน เดี๋ยวจะทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดไขข้องสงสัย แล้วโพสต์ผ่านพลตฟอร์มอินสตาแกรมของร้านเร็ว ๆ นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ตามจากกรณีดังกล่าวส่งผลให้ ยอดผู้ติดตามบนแพลตฟอร์มอินสตาแกรมของร้านดังกล่าวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงไม่กี่ชั่วโมงก็มีผู้เข้าไปกดติดตามแล้วกว่า 6,000 คน

สตม.รวบหนุ่มบราซิล Overstay แอบซุกเกาะพีพี พบประวัติกระทำผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกง หลอกลวงในบราซิล

ตม.จว.กระบี่ จับกุม MR.LUAN หรือนายลวน (นามสมมุติ) อายุ 25 ปี สัญชาติบราซิล โดยกล่าวหาว่า “เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด” (Overstay 54 วัน) นำตัวส่งพนักงานสอบสวน  สภ.เกาะพีพี จว.กระบี่ ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม หน้าร้านแห่งหนึ่งในเกาะพีพี ต.อ่าวนาง อ.เมืองกระบี่ จว.กระบี่

สืบเนื่องจาก ตม.จว.กระบี่ ได้รับเบาะแสว่า มีคนต่างด้าวสัญชาติบราซิล มีพฤติการณ์ต้องสงสัยว่าอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด เข้ามาพักอาศัยอยู่ในพื้นที่เกาะพีพี เจ้าหน้าที่ ตม.จว.กระบี่ จึงได้ลงพื้นที่สืบสวนหาข่าวและเฝ้าติดตามเพื่อจับกุมตัว จนกระทั่งได้สืบทราบรูปพรรณสัณฐานและที่พักอาศัยของคนต่างด้าวดังกล่าว จึงได้เข้าไปตรวจสอบ เมื่อไปถึงพบคนต่างด้าวเพศชายลักษณะรูปพรรณสัณฐานคล้ายกับผู้ต้องสงสัยนั่งอยู่บริเวณหน้าร้านแห่งหนึ่งในเกาะพีพี จึงได้เข้าไปแสดงตัวเป็นเจ้าหน้าที่ และขอตรวจสอบเอกสารหนังสือเดินทาง ทราบชื่อคือ MR.LUAN หรือนายลวน (นามสมมุติ) อายุ 25 ปี สัญชาติบราซิล จากการตรวจสอบข้อมูลในระบบสารสนเทศ สตม. พบว่า การอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรได้สิ้นสุดแล้ว เจ้าหน้าที่ ตม.จว.กระบี่ จึงได้จับกุมดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว และจากการขยายผลพบว่า MR.LUAN หรือนายลวน มีประวัติกระทำความผิดเกี่ยวกับการฉ้อโกง หลอกลวง ในสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ซึ่งจะได้ประสานงานกับสถานเอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐบราซิล ประจำประเทศไทย เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่  อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

สตม.บูรณาการจับเฒ่าโสมขาว หนีคดีซุกคอนโดหรูกลางเมืองหาดใหญ่

ตม.จว.สงขลา ร่วมกับ กก.สส.บก.ตม.6 และ สภ.หาดใหญ่ จับกุมนายควัก (นามสมมติ) อายุ 57 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ โดยกล่าวหาว่า เป็นคนต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.หาดใหญ่ จว.สงขลา ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม ปากซอยเพชรเกษม 18 ต.หาดใหญ่ อ.หาดใหญ่  จว.สงขลา 

ชุดสืบสวน ตม.จว.สงขลา สืบทราบว่ามีคนต่างด้าวสัญชาติเกาหลีใต้ มีพฤติกรรมเก็บตัวอยู่ที่คอนโดมิเนียมหรูแห่งหนึ่งย่าน อ.หาดใหญ่ จว.สงขลา จึงบูรณาการกำลังกับชุดสืบสวน กก.สส.บก.ตม.6 และ สภ.หาดใหญ่ สะกดรอยติดตามจนกระทั่งพบชายคนต่างด้าวต้องสงสัยออกมาจากที่พักมาปรากฎตัวบริเวณปากซอยเพชรเกษม 18 จึงแสดงตัวขอตรวจสอบหนังสือเดินทาง ผลการตรวจสอบพบว่าชายคนดังกล่าวชื่อ นายควัก (นามสมมติ) อายุ 57 ปี สัญชาติเกาหลีใต้ อยู่ในราชอาณาจักรเกินกำหนดอนุญาตกว่า 1,587 วัน (ประมาณ 4 ปีเศษ) จึงจับกุมดำเนินคดีในข้อหาดังกล่าว จากการขยายผลพบว่า ในปี พ.ศ.2549 และปี พ.ศ.2552 นายควักได้กระทำความผิดเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศ รวม 2 คดี ซึ่งจะได้ประสานงานกับสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลี ประจำประเทศไทย เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

สตม.จับกุมผู้บงการ เครือข่ายขนคนต่างด้าว (เครือข่ายเฮียไก่ อรัญฯ) ส่งปลายทางประเทศที่สาม พบความเชื่อมโยงคดีสำคัญหลายคดี

ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศูนย์ปราบปรามคนร้ายข้ามชาติและเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ สตม. สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด   

วันนี้ (18 เม.ย.67) เวลา 10.30 น. ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข  ผบก.สส.สตม., พล.ต.ต.ณัฐกร ประภายนต์ ผบก.ตม.3, พล.ต.ต.ทรงโปรด สิริสุขะ ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.เพลิน กลิ่นพยอม รอง ผบก.ตม.3, พ.ต.อ.จิรพงศ์ รุจิรดำรงชัย ผกก.สส.บก.ตม.๓, พ.ต.อ.ชินวุฒิ ตั้งวงษ์เลิศ ผกก.ตม.จว.สงขลา พ.ต.อ.สรธรรศจ์ เอี่ยมละออ ผกก.ตม.จว.กระบี่, พ.ต.ท.พิระวัตร์ วงศ์ศิริเมธีกุล สวญ.ตม.จว.ชุมพร ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้  

1. สตม.จับกุมผู้บงการ เครือข่ายขนคนต่างด้าว (เครือข่ายเฮียไก่ อรัญฯ) ส่งปลายทางประเทศที่สาม พบความเชื่อมโยงคดีสำคัญหลายคดี 

กก.สส.บก.ตม.3 ร่วมกับ ตม.จว.สระแก้ว, กก.สส.ภ.จว.สระแก้ว จับกุม นายไก่ (นามสมมุติ) อายุ 42 ปี สัญชาติไทย ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญในคดีเครือข่ายลักลอบขนคนต่างด้าวของ บก.ตม.3 และ บก.ตม.6 ตามหมายจับ  ศาลจังหวัดสระแก้ว ที่ 28/2567 ลงวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2567 ต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่บุคคลต่างด้าว (ชาวบังกลาเทศ) ที่ตนรู้ว่าหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อให้พ้นการจับกุม นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.คลองหาด จว.สระแก้ว ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บ้านคลองสาระพา ต.วังน้ำเย็น อ.วังน้ำเย็น จว.สระแก้ว 

สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2566 เวลาประมาณ 05.00 น. เจ้าหน้าที่ ตม.จว.สระแก้ว และชุดจับกุม ได้ร่วมกันจับกุมชาวบังกลาเทศที่หลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย จำนวน 11 ราย ซึ่งโดยสาร มากับรถยนต์กระบะ โตโยต้า รุ่น รีโว่ สีดำ ทะเบียน XXX กรุงเทพมหานคร โดยขณะเกิดเหตุนายทวีศักดิ์ (นามสมมุติ) ผู้ขับขี่ได้หลบหนีไป และเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจในภายหลัง จากการสืบสวนขยายผลพบว่ามี นายไก่ เป็นผู้สั่งการ และจ้างวานให้นายทวีศักดิ์ขนคนต่างด้าวกลุ่มดังกล่าว กก.สส.บก.ตม.3 จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานและจัดทำรายงานการสืบสวนเข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.คลองหาด จว.สระแก้ว จนนำไปสู่การออกหมายจับนายไก่ และจับกุมได้ในเวลาต่อมา 

จากการสืบสวนร่วมกันระหว่าง บก.ตม.3 บก.ตม.6 และ บก.สส.สตม. พบว่า นายไก่เป็นผู้สั่งการรายสำคัญในเครือข่ายลักลอบขนชาวกัมพูชาและบังกลาเทศ โดยทำหน้าที่ประสานงานบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในการลักลอบนำพาชาวบังกลาเทศผ่านช่องทางธรรมชาติ ในพื้นที่ จว.สระแก้ว ผ่านภาคตะวันออก ภาคกลาง ไปยังภาคใต้ โดยมีจุดหมายที่ประเทศมาเลเซีย โดยนายไก่ยังมีหมายจับของศาลจังหวัดสงขลา ที่ จ.111/2567 ลงวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ในข้อหา “ร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่ตนรู้ว่าหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อให้พ้นการจับกุม” และยังปรากฏหลักฐานความเชื่อมโยงนายไก่กับการก่อเหตุขนชาวบังกลาเทศในภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคใต้ หลายพื้นที่ โดยให้การรับสารภาพว่าได้ติดต่อประสานงานกับนายใหญ่ นายหน้าชาวกัมพูชา ให้ลักลอบนำพาชาวบังกลาเทศเข้ามาจากประเทศกัมพูชามายังประเทศไทย เพื่อเดินทางไปยังประเทศมาเลเซีย โดยกระทำในลักษณะดังกล่าวมาแล้วหลายครั้ง ทั้งนี้ ชุดสืบสวนของ สตม. จะได้ร่วมกันสืบสวนหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อมาดำเนินคดีกับผู้ร่วมขบวนการรายอื่นต่อไป 

สรุปผลการจับกุมเครือข่ายเฮียไก่อรัญ จับกุมจำนวน 5 คดี จับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 14 ราย เป็นการขยายผลออกหมายจับ 5 หมายจับ ผู้ต้องหา 3 ราย จับกุมคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง 56 ราย ตรวจยึดยานพาหนะ 11 คัน (รถเก๋ง 5 กระบะ 3 ตู้ทึบ 3)

‘ตลาดแรงงานมาเลฯ’ ให้ความสำคัญทักษะด้านภาษา มากกว่าใบปริญญา ยิ่งสื่อสาร ‘จีน-เกาหลี-ญี่ปุ่น-อารบิก’ ได้ดี ยิ่งมีโอกาสหางานได้มากกว่า

ตลาดแรงงานมาเลฯ เริ่มมองหา ‘คนทำงานรุ่นใหม่’ ที่มีทักษะ ขยันเรียนรู้ มากกว่าใบเกรด และหากยิ่งรู้ภาษาจีน ก็ยิ่งได้เปรียบ

สมัยก่อน อาจจะกล่าวได้ว่า มีใบปริญญา สามารถการันตีโอกาสในการหางานที่ดีกว่าได้ ยิ่งเป็นใบปริญญาจากสถาบันที่มีชื่อเสียง ก็ยิ่งมีโอกาสมากกว่าคนอื่น 

แต่ในยุคสมัยใหม่ที่กระแสค่านิยมและเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก จนความรู้เชิงวิชาการเพียงอย่างเดียว ดูจะไม่เพียงพอเสียแล้ว เมื่อนายจ้างเริ่มพิจารณาคนทำงานที่มีคุณสมบัติอื่น ๆ มากกว่า โดยเฉพาะ ทักษะประสบการณ์ทำงานจริง, ความรู้เรื่องวัฒนธรรม รวมถึงจรรยาบรรณในการทำงาน 

วิค สิทธสนาน ผู้อำนวยการของ Jobstreet by Seek Malaysia แสดงความเห็นว่า การพัฒนาด้านอาชีพกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยได้ยกรายงานจาก Hiring Compensation and Benefits Report for 2024 ซึ่งบ่งชี้ว่ามีนายจ้างมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่เน้นคัดเลือกบุคลากรที่เคยผ่านการฝึกอบรมวิชาชีพ หรือ หลักสูตรที่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง ตามทักษะที่นายจ้างต้องการ มากกว่าใบปริญญาแล้ว 

แม้การพิจารณาคัดเลือกพนักงานจากวุฒิการศึกษายังคงมีอยู่ แต่ก็จะถูกลดความสำคัญลงไป เมื่อนายจ้างยุคใหม่ต้องการคนที่ผ่านการฝึกอบรมเฉพาะทางที่ตรงกับสายงานมากกว่า และจำเป็นต้องนำมาใช้งานได้จริงด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น ผู้บริหารเว็บไซท์ที่ให้บริการรับสมัคร, จัดหางานอันดับ 1 ในมาเลเซีย ยังเน้นอีกว่า ‘ภาษาอังกฤษ’ มีความสำคัญ แต่ยังไม่พอ 

เนื่องจากมาเลเซียมีเศรษฐกิจที่ผูกพันกับทางจีนอย่างมาก ความต้องการบุคลากรที่มีความสามารถในการสื่อสารภาษาจีนจึงพุ่งสูงขึ้นในตลาดแรงงานมาเลเซีย โดยเฉพาะในตำแหน่งผู้บริหารระดับกลาง ที่หลายบริษัทระบุเลยว่าต้องการผู้ที่พูดภาษาจีน หรือสามารถพูดได้หลายภาษา

ความเห็นของผู้บริหาร Jobstreet สอดคล้องกับ ดาตุ๊ก ดร.ซาอีด ฮัซเซน ซาอีด ฮัสมาน ประธานสหพันธ์นายจ้างมาเลเซีย ที่ได้กล่าวว่า ปัจจุบัน นายจ้างสนใจผู้สมัครที่จบวุฒิสายอาชีพ (TVET) มากกว่า เพราะมีทักษะหลายอย่างที่สามารถนำมาประยุกต์ในการทำงานจริงได้โดยตรง โดยนายจ้างก็มีแนวโน้มประเมินผู้สมัครแบบองค์รวมมากขึ้น

และถึงแม้ว่าภาษาอังกฤษยังอยู่ในห้าอันดับแรกของทักษะที่เป็นที่ต้องการ แต่ ดร.ซาอีด ฮัซเซนเห็นเช่นเดียวกับ วิค สิทธสนาน ว่าทักษะภาษาจีนกลางเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน 

ซึ่งนอกจากภาษาจีนแล้ว ผู้ที่เชี่ยวชาญทักษะภาษาอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่น, เกาหลี และ อารบิก ก็เป็นที่ต้องการสูงเช่นกัน ทั้งนี้เพราะมาเลเซียเป็นหนึ่งในประเทศศูนย์กลางการลงทุนของบริษัทข้ามชาติ จึงมองหาบุคลากรที่สามารถสื่อสารได้หลายภาษา นอกเหนือจากภาษาอังกฤษ 

จึงสรุปได้ว่า ไม่ว่าจะมี ‘ความรู้’ แบบใดมาจากระบบการศึกษาแบบดั้งเดิม แต่สิ่งที่เจ้าของกิจการมองหาคือ ‘ทักษะ’ ที่หมายถึง ‘ความสามารถ’ ในการใช้งานได้จริง ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษา ด้านงานช่าง งานเทคนิค ฯลฯ รวมถึงเข้าใจในการทำงานในวัฒนธรรมที่แตกต่างหลากหลายด้วย ซึ่งทักษะเหล่านี้ ไม่อาจพิจารณาจากใบปริญญาได้ ต้องพิสูจน์ด้วยตัวเองที่หน้างานเท่านั้น 

“ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง 
ฉันจึง มาหา ความหมาย
ฉันหวัง เก็บอะไร ไปมากมาย 
สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว

แค่ปริญญา ไม่พอจริง ๆ”

'รมว.ปุ้ย' ยัน!! แผน 'หลัก-รอง' ขนย้ายกากแคดเมียมไป จ.ตาก พร้อม!! ชี้!! มีความรัดกุมทุกขั้นตอน 'ถุงบรรจุ-รถขน-เส้นทาง-หน้าบ่อกลบ'

(18 เม.ย. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงการขนย้ายกากแคดเมียมไปยัง จ.ตาก ว่า ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีข้อสั่งการให้ตั้งคณะทำงานแก้ไขปัญหาการตรวจสอบการขนย้ายกากแคดเมียม ตลอดจนการสืบหาข้อเท็จจริงและข้อบกพร่องในแต่ละขั้นตอนร่วมกับ 6 กระทรวง โดยมีกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเจ้าภาพหลักและให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธานกรรมการนั้น 

ทั้งนี้เพื่อความรวดเร็ว กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ตั้งคณะกรรมการ ขึ้นมาอีก 1 ชุด คือคณะกรรมการอำนวยการขนย้ายกากแคดเมียมและสังกะสี โดยมีผู้ตรวจราชการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน โดยตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา คณะกรรมการฯ ชุดดังกล่าว ได้ประชุมทุกวัน และได้เรียกบริษัท เบาด์ แอนด์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) มาหารือถึงขั้นตอนในการเตรียมการขนย้าย ซึ่งตนได้ย้ำว่า จะต้องคำนึงถึงความปลอดภัย เป็นไปตามกระบวนการ EIA และถูกต้องตามกฎหมาย จนได้ข้อสรุปวันขนย้าย รวมถึงวิธีการขนส่ง ซึ่งกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ได้ลงไปดูพื้นที่หน้างานแล้ว โดยเฉพาะบ่อที่รับกากแคดเมียม มีความแข็งแรงทนทาน เพื่อทำการฝังกลบหรือไม่ ซึ่งในวันนี้จะมีการรายงานมายังตนเอง

ส่วนคำสั่งนายกรัฐมนตรี ที่ให้มีการดำเนินการจัดการเรื่องการเคลื่อนย้ายกากแคดเมียมและการตรวจสอบข้อเท็จจริงนั้น นางสาวพิมพ์ภัทรา กล่าวว่า ล่าสุดได้สั่งการปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมลงพื้นที่ดูหน้างาน และปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ตั้งคณะกรรมการมาตรวจสอบข้อเท็จจริง ซึ่งคณะกรรมการเป็นคนของกระทรวงอุตสาหกรรม แต่ส่วนตัวอยากให้มีองค์ประกอบที่หลากหลาย จึงขอเพิ่มคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหน่วยงานภายนอกด้วย 

นอกจากนี้ ยังได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นใหม่อีกหนึ่งชุด และให้ นายดนัยณัฏฐ์ โชคอำนวย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นประธาน

“คณะกรรมการฯ ชุดนี้ ประกอบด้วย กรมสอบสวนคดีพิเศษ, ปปง., บก.ปทส. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งถือเป็นองค์กรที่มีความชำนาญ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และให้หายคลางแคลงใจ ทั้งนี้ ขอยืนยันว่า จะขนย้ายให้เร็วที่สุด โดยวางไว้เบื้องต้นในวันที่ 7 พฤษภาคมและจะพยายามทำให้ได้รวดเร็ว แต่ขั้นตอนการเตรียมการมีค่อนข้างเยอะ เช่น ถุงที่บรรจุแคดเมียมต้องแข็งแรง รถขนส่งก็ต้องเป็นรถเฉพาะที่ใช้ขนส่งวัตถุอันตราย เส้นทาง และจำนวนรถ ที่ต้องทำให้ถูกต้องตามระบบความปลอดภัยของ EIA โดยความตั้งใจจริงอยากทำให้รวดเร็ว แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานความปลอดภัย และถูกต้องตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมด วันนี้สามารถทำได้เร็วขึ้นคือการเพิ่มจำนวนรถให้มากขึ้น แต่หน้าบ่อที่จังหวัดตาก ก็ต้องมีความพร้อมเช่นกัน ยืนยันว่า มีแผนหลัก และแผนสำรองในการขนย้าย” รมว.อุตสาหกรรม กล่าว

21 เมษายน พ.ศ. 2325 วันสถาปนา ‘กรุงเทพมหานคร’ เมืองหลวงของประเทศไทยในปัจจุบัน

รู้หรือไม่? วันที่ 21 เมษายนของทุกปี ถือเป็นวันกำเนิดเมืองหลวงของไทย นั่นคือ ‘กรุงเทพมหานคร’ โดยมีพิธียกเสาหลักเมืองขึ้นในวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 เวลา 6.54 น. จากวันนั้นถึงวันนี้กรุงเทพฯ ก็มีอายุครบ 242 ปีแล้ว

ทั้งนี้ กรุงเทพมหานคร เป็นเมืองหลวงและนครที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศไทย เป็นศูนย์กลางการปกครอง การศึกษา การคมนาคมขนส่ง การเงิน การธนาคาร การพาณิชย์ การสื่อสาร และความเจริญของประเทศ ตั้งอยู่บนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำเจ้าพระยา มีแม่น้ำเจ้าพระยาไหลผ่านและแบ่งเมืองออกเป็น 2 ฝั่ง คือ ฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรี

ย้อนกลับไปในสมัยที่เกิดเหตุการณ์เสียกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. 2310 หลังจากนั้นมีการกอบกู้อิสรภาพจากพม่า โดยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ครั้นสิ้นรัชกาลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ต่อมาสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้ขึ้นเสวยราชสมบัติ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่1) ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี

ต่อมารัชกาลที่ 1 ทรงมีพระราชดำริว่า ฟากตะวันออกของกรุงธนบุรีมีชัยภูมิดีกว่าตะวันตก เพราะมีลำน้ำเป็นขอบเขต หากข้าศึกยกมาถึงชานพระนคร ก็จะต่อสู้ป้องกันได้ง่ายกว่า จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาให้เป็นราชธานีแห่งใหม่ โดยสืบทอดศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมจากพระราชวังหลวงของกรุงศรีอยุธยา

พระองค์ทรงประกอบ ‘พิธียกเสาหลักเมือง’ เมื่อวันอาทิตย์ เดือน 6 ขึ้น 10 ค่ำ ย่ำรุ่งแล้ว 9 บาท (54 นาที) ปีขาล จ.ศ.1144 จัตวาศก ซึ่งตรงกับวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2325 เวลา 6.54 น. และทรงประกอบพระราชพิธีปราบดาภิเษกในวันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2325

ทั้งนี้ พื้นที่ของเมืองหลวงแห่งนี้ แต่เดิมเป็นที่ตั้งของเมืองธนบุรีศรีมหาสมุทร ชาวต่างชาติเรียกกันว่า ‘บางกอก’ มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และที่มาของคำว่า ‘บางกอก’ นั้น มีข้อสันนิษฐานว่าอาจมาจากการที่แม่น้ำเจ้าพระยาคดเคี้ยวไปมา บางแห่งมีสภาพเป็นเกาะเป็นโคก จึงเรียกกันว่า ‘บางเกาะ’ หรือ ‘บางโคก’ หรือไม่ก็เป็นเพราะบริเวณนี้มีต้นมะกอกอยู่มาก จึงเรียกว่า ‘บางมะกอก’ ต่อมากร่อนคำลงจึงเหลือแต่คำว่า ‘บางกอก’

ต่อมาเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2514 รัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร ได้รวมจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรี เข้าด้วยกันเป็น ‘นครหลวงกรุงเทพธนบุรี’ และภายหลังการปรับปรุงการปกครองใหม่เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2515 จึงได้เปลี่ยนเป็นชื่อเป็น กรุงเทพมหานคร แต่นิยมเรียกกันว่า กรุงเทพฯ 

ต่อมามีการตั้งชื่อเมืองว่า ‘กรุงเทพมหานคร’ แปลว่า ‘พระนครอันกว้างใหญ่ดุจเทพนคร’ มาจากชื่อเต็มว่า กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์

อย่างไรก็ตาม กรุงเทพมหานคร เป็นเขตปกครองพิเศษของประเทศไทย ไม่ได้มีสถานะเป็นจังหวัด มีพื้นที่ทั้งหมด 1,568.737 ตร.กม. มีประชากรในพื้นที่กรุงเทพฯ ประมาณ 6 ล้านคน ทำให้กรุงเทพมหานครจัดเป็นเอกนคร (Primate City) มีผู้กล่าวว่า กรุงเทพมหานครเป็น ‘เอกนครที่สุดในโลก’ เพราะมีประชากรมากกว่านครที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ถึง 40 เท่า อีกทั้งเป็นเมืองที่มีตึกระฟ้ามากที่สุดเป็นอันดับที่ 11 ของโลกในปี พ.ศ. 2563 

สตม.จับกุมผู้ประสานงานขบวนการขนชาวบังกลาเทศ/เมียนมา ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย (เครือข่ายชาลิสา)

ตม.จว.ชุมพร, ร่วมกับ กก.ปอพ.บก.สส.สตม., สภ.บ้านมาบอำมฤต จว.ชุมพร จับกุม นายยุธพงษ์ฯ (นามสมมติ) อายุ 47 ปี สัญชาติไทย ตามหมายจับศาลจังหวัดชุมพร ที่ จ.86/2567 ลงวันที่ 4 มีนาคม 2567 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน ช่วยเหลือ ซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใด ๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่ตนรู้ว่าหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อให้พ้นการจับกุม นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ้านมาบอำมฤต จว.ชุมพร ดำเนินคดีตามกฎหมาย สถานที่จับกุม บริเวณหน้าบ้านพักแห่งหนึ่งใน ต.บางใหญ่ อ.บางใหญ่ จว.นนทบุรี

สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2567 ตม.จว.ชุมพร ร่วมกับเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจยานพาหนะ บ้านพละ อ.ปะทิว จว.ชุมพร จับกุมนายกรวิทย์ (นามสมมติ) ขณะขับรถยนต์ส่วนบุคคล (รถเก๋ง) บรรทุกคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง สัญชาติบังกลาเทศ 4 ราย จากการตรวจสอบเบื้องต้นทราบว่าชาวบังกลาเทศทั้งหมดได้ลักลอบเข้ามาทางชายแดนไทย-กัมพูชา พบพยานหลักฐานเป็นการติดต่อสั่งการว่าจ้างขนคนผ่านทางไลน์กับ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก (นามสมมติ) และพบหลักฐานการโอนเงินเป็นค่าน้ำมัน และค่าจ้างขนคนต่างด้าวฯ โดยก่อนเกิดเหตุกลุ่มของผู้ต้องหารับคนต่างด้าวฯ จากพื้นที่ อ.บางปะกง จว.ฉะเชิงเทรา เพื่อไปส่งที่ อ.บางกล่ำ จว.สงขลา ตกลงค่าจ้างคนละ 2,500 บาท ซึ่ง น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก จะโอนค่าจ้างบางส่วนซึ่งเป็นค่าน้ำมันมาให้ก่อนออกเดินทาง และจะได้ค่าจ้างทั้งหมดเมื่อถึงปลายทาง จากการขยายผลพบว่าในวันเกิดเหตุกลุ่มผู้ต้องหาขนชาวบังกลาเทศมาทั้งสิ้น ๑๒ คน โดยใช้ขบวนรถเก๋ง ๓ คัน คันละ ๔ คน มีการเคลื่อนที่จาก จว.ฉะเชิงเทรา มายังถนนพระราม ๒ และเข้าถนเพชรเกษม โดยมีนายปรีชา (นามสมมติ) ขับรถนำทาง และนายยุธพงษ์ฯ ขับรถขนคนต่างด้าวฯ อีกคัน ซึ่งทั้งหมดมีการติดต่อกันผ่านแอปพลิเคชัน Zello ในระหว่างขนคนต่างด้าวฯ เพื่อหลบเลี่ยงด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ในเส้นทาง ชุดสืบสวน ตม.จว.ชุมพร จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานส่งพนักงานสอบสวนเพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับ และต่อมาศาลจังหวัดชุมพรได้อนุมัติหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ที่ร่วมกระทำความผิดในฐานความผิดช่วยเหลือซ่อนเร้น หรือช่วยเหลือด้วยประการใดๆ แก่บุคคลต่างด้าวที่ตนรู้ว่าหลบหนีเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อให้พ้นการจับกุม ดังนี้ (1) น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก ผู้ว่าจ้าง (2) นายปรีชาฯ ทำหน้าที่ขับรถนำ (3) นายยุธพงษ์ หรือต๋อย ทำหน้าที่ขับรถขน คนต่างด้าว และ กก.ปอพ.บก.สส.สตม. ได้จับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ได้ในเวลาต่อมา

จากข้อมูลของ บก.สส.สตม. ยังพบว่า นายกรวิทย์ฯ (นามสมติ)/ผู้ต้องหา เป็นหัวหน้าทีมขนคนในพื้นที่ ภาคกลางโดยจะติดต่อรับงานมาจาก น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก และนายสมชายฯ (นามสมมติ) ซึ่งทั้งสองจะทำหน้าที่ประสานงานและจัดหารถเพื่อจัดส่งคนไปยังพื้นที่ภาคใต้ โดยพบว่า น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก ยังมีความเกี่ยวข้องกับคดีลักลอบขนคนต่างด้าวฯ เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 สภ.รัตภูมิ จว.สงขลา ซึ่งจับกุมนายสำฤทธิ์ (นามสมมติ) และ นายยุธพงษ์ฯ พร้อมชาวบังกลาเทศหลบหนีเข้าเมือง 10 ราย ซึ่งนายยุธพงษ์ฯ ได้รับการติดต่อว่าจ้างมาจากนายกรวิทย์ฯ และ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก ให้ขนชาวบังกลาเทศจาก จว.ฉะเชิงเทรา ไปยัง จว.สงขลา โดยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สงขลา ได้รวบรวมพยานหลักฐานและจัดทำรายงานการสืบสวนส่งพนักงานสอบสวนเพื่อยื่นต่อศาลออกหมายจับ จำนวน 3 ราย ได้แก่ นายบุญเชิด (นามสมมติ) ทำหน้าที่รถนำ, นายกรวิทย์ฯ ผู้ว่าจ้าง และ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก ผู้ว่าจ้าง ซึ่งทั้ง 3 รายอยู่ระหว่างรอออกหมายจับ นอกจากนี้ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก และนายกรวิทย์ฯ ยังมีความเชื่อมโยงในคดีช่วยเหลือ ซ่อนเร้นฯ อีก 3 คดี ดังนี้

1. คดีเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2567 สภ.พะวอ จว.ตาก จับกุม นายสุริยงค์ฯ และ น.ส.ฐิติกานต์กมล (นามสมมติ) ขณะลักลอบขนชาวเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง 2 ราย จากการสืบสวนขยายผล พบว่าผู้ต้องหามีความเชื่อมโยงกับทีมรถขนคนของนายกรวิทย์ฯ
2. คดีเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2567 สภ.หนองปลิง จว.นครสวรรค์ จับกุมนายนิรันดร์ฯ (นามสมมติ) พร้อมชาวเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง จำนวน 25 ราย โดยจากการสืบสวนขยายผลของ ตม.จว.นครสวรรค์ ร่วมกับ บก.สส.ภ.6สามารถออกหมายจับ 1.นายกรวิทย์ฯ (นามสมมติ) 2.นายสุริยงค์ (นามสมมติ) 3.นายอนุภัทรฯ (นามสมมติ) 4.นายวิโรจน์ฯ (นามสมมติ) ซึ่งนายกรวิทย์ฯ /ผู้ต้องหาตามหมายจับ มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายลักลอบขนชาวบังกลาเทศของ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก ซึ่งผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ถูกจับกุมได้ทั้งหมด
3. คดีเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 สภ.เมืองชุมพร จับกุมนายณัฐวัฒน์ฯ (นามสมมติ) ผู้ต้องหาตามหมายจับความผิดฐาน ช่วยเหลือซ่อนเร้นฯ จำนวน 2 คดีในพื้นที่ สภ.เสวียด จว.สุราษฎร์ธานี และ สภ.วัฒนานคร จว.สระแก้ว พร้อมคนต่างด้าวชาวไต้หวันหลบหนีเข้าเมือง เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.ชุมพร ได้รวบรวมพยานหลักฐานส่งพนักงานสอบสวนเพื่อขออนุมัติศาลออกหมายจับ นายสมชายฯ (นามสมมติ) ต่อมา กก.สส.บก.ตม.3 ได้จับกุมนายสมชายฯ ในพื้นที่ สภ.บางศรีเมือง จว.นนทบุรี ซึ่งจากการสืบสวนพบว่านายสมชายฯ ทำหน้าที่ติดต่อประสานงานเรื่องรับส่งคนต่างด้าวกับ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก และนายกรวิทย์ฯ ร่วมกันมาแล้วหลายครั้ง

เมื่อวิเคราะห์แผนประทุษกรรมในเครือข่าย น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก นั้น น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก จะทำหน้าที่   เป็นนายหน้าประสานงานและจัดหารถขนคนเช่นเดียวกับนายสมชายฯ โดยมีนายกรวิทย์ฯ ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมรถขนคนต่างด้าว คอยจัดหาขบวนรถประกอบไปด้วย รถนำทางและรถขนคน โดยจะมีการจัดหารถขนคนทั้งจากพื้นที่ภาคกลาง ไปยังพื้นที่ภาคใต้ เมื่อคนต่างด้าวถึงพื้นที่ จว.สงขลา จะมีนายหน้าจังหวัดชายแดนใต้ จัดหารถขนคนมารับที่จุดพักคอย ซึ่งจะเป็นโรงแรมขนาดเล็กหรือพื้นที่รกร้างที่อยู่ริมถนนหลวง เพื่อนำไปยัง จว.นราธิวาส และลักลอบเดินทางไปยังประเทศมาเลเซีย ซึ่ง น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก จะได้รับค่าจ้างขนคนต่างด้าวมาจากนายหน้าตามแนวชายแดน ฝั่งประเทศกัมพูชา ซึ่งใช้บัญชีร้านแลกเงินที่อยู่ตามแนวชายแดน เป็นจำนวน 4,000 บาท/คน ก่อนจะหักไว้ 500 บาท/คน และติดต่อว่าจ้างนายกรวิทย์ฯ ในราคา 3,500 บาท/คน ก่อนที่นายกรวิทย์ฯ จะจัดหารถขนคน และหักส่วนต่างไว้ 500 บาท/คน โดยในเส้นทาง ฉะเชิงเทรา-สงขลา รถขนคนจะได้รับค่าจ้าง 2,500 - 3,000 บาท/คน เมื่องานสำเร็จขบวนรถขนคนจะได้รับค่าจ้างเป็นเงินโอนจากบัญชีของนายกรวิทย์ฯ ซึ่งนายกรวิทย์ฯ จะได้รับค่าจ้างมาจากบัญชีของ น.ส.ชาลิสา หรือเจ๊นก

สรุปผลการปฏิบัติการจับกุมมีความเชื่อมโยง 5 คดี จับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 12 ราย เป็นการขยายผลออกหมายจับ 8 หมายจับ ผู้ต้องหา 8 ราย / จับกุมคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง 42 ราย / ตรวจยึดยานพาหนะ 6 รายการ (กระบะ 1 ตู้ทึบ 1 รั้วคอก 1 รถเก๋ง 3)

‘ศาลฮ่องกง’ ตัดสินจำคุก ‘นักศึกษาฮ่องกง’ วัย 22 ฐานฟอกเงินทุนที่ช่วยผู้ประท้วงที่ถูกจับกุมเมื่อปี 2019


Yu Yan-yuk นักศึกษาวิทยาลัยจีนจากฮ่องกงวัย 22 ปี ซึ่งขณะก่อเหตุนั้นอายุเพียง 17 ปี ได้ถูกตัดสินจำคุก 16 เดือน หลังถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาฟอกเงินเกือบ 600,000 ดอลลาร์ฮ่องกง (76,620 ดอลลาร์สหรัฐฯ) จากการใช้ Spark Alliance HK แพลตฟอร์มระดมทุนสำหรับใช้ช่วยเหลือผู้ประท้วงที่ถูกจับกุมในช่วงเหตุการณ์ความไม่สงบต่อต้านรัฐบาลในปี 2019 โดยศาลแขวง WANCHAI ของฮ่องกง ได้ตัดสินว่า เขาเป็นผู้จัดการเงินสดในฐานะอาสาสมัครของ Spark Alliance HK

ทั้งนี้ Spark Alliance HK แพลตฟอร์มนี้ตั้งขึ้นหลังเหตุการณ์จลาจลที่มงก๊กเมื่อปี 2016 เพื่อช่วยจับกุมหรือจำคุกนักเคลื่อนไหว

อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาระบุว่า Yu Yan-yuk ได้ฝากเงิน 23 ครั้ง และถอนเงินจากบัญชีธนาคารของเขามากกว่า 90 ครั้ง ในช่วง 6 เดือน ระหว่างเดือนมิถุนายนถึงธันวาคม 2019 ระหว่างการประท้วงต่อต้านรัฐบาล และจัดการฟอกเงินประมาณ 585,000 ดอลลาร์ฮ่องกง จากแพลตฟอร์ม Spark Alliance HK

“ระยะเวลาการฟอกเงินและจำนวนเงินที่เกี่ยวข้องค่อนข้างน้อยและระยะเวลาค่อนข้างสั้นเมื่อเทียบกับคดีที่คล้ายกัน และไม่มีองค์ประกอบของการฟอกเงินข้ามแดน” ผู้พิพากษากล่าว

ผู้พิพากษากล่าวเสริมอีกว่า “ไม่มีหลักฐานที่แสดงว่า เงินสดที่ถูกฟอกนั้นเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางอาญา หรือ Yu Yan-yuk จัดการเงินนั้นแม้จะรู้ว่าเกี่ยวข้องกับความผิดทางอาญา แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ช่วยบรรเทาโทษได้ และจำเลยไม่เพียงแต่ให้บัญชีของเขาแก่ผู้อื่นเท่านั้น แต่เขาเป็นผู้ดำเนินการบัญชีแต่เพียงผู้เดียว เขาไม่เชื่อว่าคำกล่าวอ้างของจำเลยที่ว่าเงินดังกล่าวเป็นการบริจาคให้กับ Spark Alliance HK เพื่อใช้ในการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม เนื่องจากองค์กรมีบัญชีธนาคารเอง และจะไม่ใช้บัญชีของอาสาสมัคร” 


Yu Yan-yuk ซึ่งขณะนั้นอายุ 17 ปี เป็น 1 ใน 4 คนที่ถูกจับกุมเมื่อเดือนธันวาคม 2019 ด้วยหลักฐานที่มีความเกี่ยวข้องกับการสอบสวนกลุ่มไม่แสวงหาผลกำไร (NGO) เขาไม่ยอมรับผิดฐานฟอกเงิน แต่ถูกตัดสินว่ามีความผิดตามคำพิพากษาของศาลแขวงเมื่อเดือนที่แล้ว Fiona Nam Hoi-yan ทนายจำเลยแถลงในศาลเพื่อขอให้บรรเทาโทษว่า Yu Yan-yuk เชื่อว่าเงินดังกล่าวมาจากแหล่งที่ถูกกฎหมาย และขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาลงโทษเขาในสถานกักกันเป็นการชั่วคราว เพราะขณะก่ออาชญากรรมเขาอายุเพียง 17 ปี

ทางด้านทนายจำเลยได้เสนอให้กักขังเขาในศูนย์กักกันสำหรับผู้กระทำผิดชายที่มีอายุตั้งแต่ 14-24 ปีเท่านั้น ซึ่งเป็นอีกทางเลือกหนึ่งนอกเหนือจากการจำคุกในเรือนจำ โดยศูนย์กักกันเน้นที่การใช้แรงงานและวินัยเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้กระทำความผิดที่เป็นเยาวชนก่ออาชญากรรมอีก 

สำหรับผู้กระทำผิดที่มีอายุระหว่าง 21-24 ปี ระยะเวลาการควบคุมตัวในศูนย์กักกันคือตั้งแต่ 3 เดือนถึง 12 เดือน โดยจะมีการคุมประพฤติอีก 1 ปี หลังจากได้รับการปล่อยตัว โดยมีข้อจำกัด เช่น การถูกกำหนดเวลาเคอร์ฟิว 

“พ่อแม่และแฟนสาวของจำเลยอธิบายว่า เขาเป็นคนเรียบง่าย ชอบช่วยเหลือ และมีความกระตือรือร้น” ทนายจำเลยกล่าวและยังชี้อีกว่า ขณะก่อเหตุอายุของจำเลยในขณะนั้นเพียง 17 ปี และเขาได้เรียนรู้บทเรียนจากประสบการณ์ดังกล่าวแล้ว “เขาได้ไตร่ตรองการกระทำของเขาอย่างลึกซึ้ง และกล่าวว่า หากสามารถย้อนเวลากลับไปได้ เขาจะไม่กระทำเช่นนี้อีก” ทนายจำเลยกล่าวเสริม “จำเลยยังกล่าวอีกว่าเขาเสียใจที่ทำให้คนที่เขารักกังวล และเข้าใจถึงความรุนแรงของอาชญากรรมของเขา เมื่อเขาพลาดงานศพของคุณยายขณะถูกคุมขัง”

แต่ผู้พิพากษาปฏิเสธข้อเสนอแนะให้กักขังในศูนย์กักกัน และตัดสินว่า ลักษณะของข้อกล่าวหาและความร้ายแรงของพฤติการณ์นั้นมีความร้ายแรง แต่ได้ลดโทษในการตัดสินโทษจาก 18 เดือนเหลือ 16 เดือน เนื่องจาก Yu Yan-yuk มีผลการสอบที่ยอดเยี่ยมเมื่อเขาสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อีกครั้ง และได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยของจีน แม้ว่าจะถูกกดดันอย่างมากนับตั้งแต่เขาถูกจับกุมในปี 2019


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top