Tuesday, 14 May 2024
TheStatesTimes

ตำรวจภาค 4 ตรวจเข้มสถานบริการทั่วอีสานเหนือ สร้างความเชื่อมั่นนักท่องเที่ยวก่อนเทศกาลสงกรานต์

พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 ได้สั่งการให้ตำรวจภาค 4 ตรวจสอบสถานบริการ และแหล่งอบายมุข ต่างๆในพื้นที่ 12 จังหวัดภาคอีสานตอนบน โดยนำกำลังตำรวจประกอบด้วย ตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์, ขอนแก่น, นครพนม, บึงกาฬ, มหาสารคาม, มุกดาหาร, ร้อยเอ็ด, เลย, สกลนคร, หนองคาย, หนองบัวลำภู, อุดรธานี และตำรวจจาก บก.สส.ภ.4 ทั้งในและนอกเครื่องแบบ รวมทั้งฝ่ายปกครอง เข้าร่วมปฏิบัติการด้วย เน้นตรวจสอบจับกุมสถานบริการที่ผิดกฎหมาย ยาเสพติด เด็กและเยาวชนที่เข้ามาเที่ยวสถานบริการ อาวุธปืน และแหล่งอบายมุข รวมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติการประมาณ 1,000 นาย ร่วมกันตรวจสถานบริการในพื้นที่รับผิดชอบ ตั้งแต่กลางดึก ของคืนวันที่ 29 มี.ค.67 ถึงเวลาประมาณ 02.00 น.ของวันที่ 30 มี.ค.67  

ผลการปฏิบัติ ได้ทำการตรวจสอบใบอนุญาตสถานบริการ 32 แห่ง พบว่ามีใบอนุญาต ตรวจสอบสารเสพติดผู้มาใช้บริการกว่า 1,000 คน ตรวจสอบอายุนักเที่ยวในสถานบริการกว่า 2,700 คน  นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ตรวจตราดูแลความปลอดภัยประชาชนที่ไปเที่ยว และประชาสัมพันธ์ กำชับผู้ประกอบการทุกแห่ง มิให้จัดให้มีการมั่วสุม จำหน่ายหรือมีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด, ระมัดระวัง มิให้มีการพกพาอาวุธ โดยเฉพาะอาวุธปืน มีด หรือสิ่งที่จะเป็นอันตรายแก่ผู้อื่น เข้าไปในสถานบริการ, มิให้บุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าใช้บริการและปิดสถานบริการตามเวลาที่กฎหมายกำหนด

พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ภ.4 กล่าวว่า ปฏิบัติการครั้งนี้เป็นไปตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. ที่ให้กวดขันปราบปราม จับกุมสถานบริการผิดกฎหมาย อีกทั้งยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว ที่จะมาเที่ยวภาคอีสานในช่วงเทศกาลสงกรานต์อีกด้วย สำหรับในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่ใกล้จะถึงนี้ ตนได้สั่งกำชับให้ตำรวจทุกพื้นที่เข้มงวดในการตรวจตราสถานบริการ จับกุมแหล่งอบายมุข ยาเสพติด อาวุธปืน และดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนให้ดีที่สุด พล.ต.ท.สรายุทธ กล่าวทิ้งท้าย

‘กรมควบคุมโรค’ ชี้ ‘แบคทีเรียกินเนื้อ’ ระบาดใน ‘ญี่ปุ่น’ แต่ที่ไทย ยังไม่รุนแรง เน้น มาตรการป้องกัน เหมือนโรคโควิด ‘สวมหน้ากาก-ล้างมือ’ สงสัยให้โทร.1422

(30 มี.ค.67) กรมควบคุมโรค ออกแถลงการณ์ชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่อง การเพิ่มขึ้นของโรคแบคทีเรียกินเนื้อที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย 'สเตรปโตคอคคัส ชนิดเอ' ในประเทศญี่ปุ่น ว่า

กรณีที่ในขณะนี้ ข่าวการเพิ่มขึ้นของโรคแบคทีเรียกินเนื้อที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย 'สเตรปโตคอคคัส ชนิดเอ' ในประเทศญี่ปุ่น ที่ทางการญี่ปุ่นกำลังสืบค้นหาสาเหตุของการเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากการผ่อนคลายมาตรการป้องกัน โควิด 19 ร่วมกับอาจมีสาเหตุอื่นๆ ร่วมด้วยนั้น

กรมควบคุมโรค ขอเรียนชี้แจงเบื้องต้นว่า เชื้อแบคทีเรีย 'สเตรปโตคอคคัส ชนิดเอ' นี้ เป็นเชื้อก่อโรคที่มีมานานแล้ว และมีมากกว่า 200 สายพันธุ์ ก่อให้เกิดอาการแสดงของโรคได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่อาการน้อยหรือปานกลาง ได้แก่ การติดเชื้อของคอหอย ต่อมทอนซิล และระบบทางเดินหายใจ หรืออาจก่อให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังและเนื้อเยื่อชั้นใต้ผิวหนัง ส่วนหนึ่งของผู้ป่วยอาจมีอาการรุนแรง (ซึ่งพบเป็นส่วนน้อย) ได้แก่

มีการอักเสบอย่างรุนแรงของผิวหนังชั้นลึก หรือเกิดภาวะช็อกที่อาจมีอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยหนึ่งในอาการแสดงของโรคและอยู่ในระบบเฝ้าระวังของประเทศไทยคือ 'โรคไข้อีดำอีแดง หรือ Scarlet fever' ซึ่งเป็นโรคติดต่อที่ต้อง เฝ้าระวังตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 เกิดได้ทุกช่วงอายุแต่มักเป็นในเด็กวัยเรียน ติดต่อจากคนสู่คนโดยการใกล้ชิดและหายใจรับละอองฝอยของเสมหะ น้ำมูก น้ำลาย ที่มีเชื้อ หรือละอองเชื้อโรคสัมผัสกับตา จมูก ปาก หรือสัมผัสผ่านมือ สิ่งของเครื่องใช้ เช่น จาน ชาม แก้วน้ำ เป็นต้น อาการที่พบ คือ เจ็บคอ ปวดศีรษะ ไข้ และอาจมีผื่นนูนสากๆ ตามร่างกาย (จากเชื้อสร้างสารพิษ) สัมผัสแล้ว มีลักษณะคล้ายกระดาษทราย

กลุ่มเสี่ยงของโรคจะเป็นเด็กวัยเรียน อายุ 5 - 15 ปี ที่อยู่รวมกัน จำนวนมาก เช่น เด็กนักเรียนในโรงเรียน หรือศูนย์เด็กเล็ก ฯลฯ จากข้อมูลการเฝ้าระวังโรคของกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ถึงวันที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2567 พบผู้ป่วย 4,989 ราย ไม่พบรายงานผู้เสียชีวิต สำหรับปี พ.ศ. 2567 ยังไม่พบรายงาน

ส่วนในกรณีอาการรุนแรงนั้น จากระบบโครงสร้างฐานข้อมูลด้านการแพทย์และสุขภาพ (43 แฟ้ม) ของประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 - 2566 กรณี Toxic Shock Syndrome พบว่า มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาเป็นผู้ป่วยในโรงพยาบาล จำนวน 204 ราย เฉลี่ยปีละ 41 ราย และมีแนวโน้มลดต่ำลงในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 โดยในปี พ.ศ. 2566 พบผู้ป่วย จำนวน 29 ราย

ส่วนกรณีโรคแบคทีเรียกินเนื้อหรือโรคเนื้อเน่า (Necrotizing fasciitis) ซึ่งอาจเกิดได้จากแบคทีเรียหลายชนิด (โดย 1 ในเชื้อสาเหตุคือ 'สเตรปโตคอคคัส ชนิดเอ') จากการติดตามใน พ.ศ. 2562 - 2566 มีผู้ป่วยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทั้งสิ้น 106,021 ราย มีจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยภาวะดังกล่าว 1,048 ราย คิดเป็นอัตราป่วยตายประมาณร้อยละ 1.0 แนวโน้มการรายงานผู้ป่วยคงที่และลดลงในปี พ.ศ. 2566 โดยมีอัตราป่วย 27.35 ต่อแสนประชากร (จากเดิมร้อยละ 32.5 ต่อแสนประชากร) พบรายงานผู้ป่วยตลอดทั้งปีแต่สูงสุดในเดือนมิถุนายน - กรกฎาคมของทุกปี

จากการติดตามข้อมูลดังกล่าว ยังไม่พบว่าอุบัติการณ์การติดเชื้อนี้มีการเพิ่มขึ้น หรือรุนแรงขึ้นในประเทศไทย

การติดเชื้อนี้สามารถรักษาได้ด้วยยาปฏิชีวนะ ดังนั้นการไปพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาแต่เนิ่น ๆ การได้รับยาปฏิชีวนะที่ถูกต้อง รวดเร็ว เหมาะสม จะช่วยให้ลดความรุนแรงของโรค และช่วยลดการแพร่เชื้อสู่คนรอบข้างได้ ในรายที่อาการเป็นมากอาจต้องร่วมกับการผ่าตัดเนื้อตายออก กลุ่มเสี่ยงที่อาจจะมีอาการรุนแรง คือ ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือเป็นผู้ที่มีรอยโรคที่ผิวหนังมาก่อน

เนื่องจากการแพร่ระบาดหลักของเชื้อนี้เป็นทางระบบทางเดินหายใจ (โดยอาจร่วมกับการสัมผัสกับสิ่งคัดหลั่งหรือหนองจากแผล ในกรณีมีการติดเชื้อที่ผิวหนัง) และการติดเชื้อนี้พบได้ทุกช่วงอายุ

ดังนั้นมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด 19 จึงสามารถช่วยลดการแพร่ระบาดของเชื้อนี้เช่นกัน การสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือบ่อยๆ การรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล ยังคงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันจำนวนมาก หรือเมื่อต้องเดินทางไปต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ที่มีโรคประจำตัว ควรต้องระมัดระวังควรสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อย ๆ ไม่ใช้ภาชนะ เช่น แก้วน้ำ ช้อน ร่วมกับผู้อื่น และรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด

โดยกรมควบคุมโรคยังคงติดตามสถานการณ์โรคติดเชื้อ 'สเตรปโตคอคคัส ชนิดเอ' ในญี่ปุ่นนี้อย่างต่อเนื่อง ขอประชาชนอย่าตื่นตระหนก แนะนำประชาชน ถ้ามีไข้ เจ็บคอ ร่วมกับมีผื่นสากนูน หรือตุ่มหนองที่ผิวหนัง หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมาก ควรรีบไปพบแพทย์ (โดยเฉพาะถ้าหลังกลับจากต่างประเทศ ภายในช่วง 1 สัปดาห์แรก) เพื่อรับการวินิจฉัย รักษา และแยกโรคอย่างถูกต้อง การเดินทางไปต่างประเทศ ยังคงต้องรักษาสุขอนามัยส่วนบุคคลอย่างสม่ำเสมอ หากมีข้อสงสัยประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422

‘ธนกร’ ย้ำ รธน. มาจากเสียงส่วนใหญ่ หากจะยกร่าง ต้องถามปชช. ยืนยัน ไม่แก้ ‘หมวดความมั่นคง-พระมหากษัตริย์’

(30 มี.ค.67) นายธนกร วังบุญคงชนะ สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวภายหลังรัฐสภาร่วมลงมติเห็นชอบให้รัฐสภา ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 (2) ที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และคณะ เป็นผู้เสนอ ว่า ตนเห็นด้วยที่ให้รัฐสภาสอบถามศาลรัฐธรรมนูญก่อน เพื่อให้เกิดความรอบคอบ จะได้ไม่ขัดหรือแย้งกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ 4 / 2564 ถึงอำนาจหน้าที่ของรัฐสภา ว่าสามารถจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้ หรือมีอำนาจแค่แก้ไขเพิ่มเติมเท่านั้น ตามมาตรา 256 หรือไม่ ซึ่งตนและพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) น้อมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเพราะมีผลผูกพันทุกองค์กร

นายธนกร กล่าวว่า ทั้งนี้ ส่วนตัวเห็นว่า ปัญหาของประชาชนขณะนี้คือปัญหาเศรษฐกิจปากท้องและรายได้ไม่เพียงพอ หนี้สินล้นพ้นตัว สภาผู้แทนราษฎร รวมถึงรัฐบาล ควรมุ่งให้ความช่วยเหลือประชาชนในเรื่องนี้ก่อน ตามที่นายกฯและรัฐบาลกำลังหาแนวทางดำเนินการแก้วิกฤตเศรษฐกิจด้วยมาตรการลดภาระค่าครองชีพในด้านต่าง ๆ และเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หากมีการผลักดันให้มีการแก้ไขหรือร่างรัฐธรรมนูญก่อน ซึ่งจำเป็นจะต้องทำประชามติในช่วงปีนี้ อาจต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล เพราะการทำประชามติ 1 ครั้งใช้งบฯ กว่า 3,200 ล้านบาทแล้ว หากต้องทำ 2-3 ครั้ง จะเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณมากกว่า 9,600 ล้านบาท มองว่าควรเอางบประมาณในส่วนนี้ ลงไปอุดหนุนอุ้มค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน จึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถดำเนินการภายหลังได้

“การจะยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ จำเป็นต้องถามประชาชนก่อน เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันพ.ศ.2560 มาจากความเห็นชอบเสียงส่วนใหญ่กว่า 15 ล้านเสียง ที่ประชาชนไปออกเสียงประชามติมา

หากจำเป็นต้องยกร่างรัฐธรรมนูญทำประชามติกันจริง ๆ ตนและสส.รทสช. ก็ขอย้ำชัดในจุดยืนเดิม ว่า ต้องเขียนคำถามพ่วงให้ชัดเจน ว่าจะไม่มีการแก้ไข ไม่ไปแตะหมวด 1 และหมวด 2 เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และในเนื้อหา ต้องไม่แก้ไขกฎหมายเกี่ยวการทุจริต ประพฤติมิชอบ ที่เขียนไว้อย่างดีรอบคอบแล้ว“ นายธนกร ย้ำ

ตำรวจ - กสทช. - กรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดปฏิบัติการ TAKE DOWN SCAMMER ทลายฐานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ ค้น 3 จุด นครศรีธรรมราช รวบ 63 ต่างชาติ - ไทย ซุกโรงแรม โกดังของมือ 2 ยึดซิมผีนับพัน

จากนโยบายของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กวดขัน ปราบปรามอย่างเด็ดขาดกับอาชญากรรมออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสร้างความเดือนร้อนให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ( รอง ผบ.ตร. ) รักษาราชการแทน ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยตำรวจในพื้นที่บูรณาการหาข่าว ปราบปรามขยายผลให้ถึงผู้บงการ ยึดทรัพย์ และนำตัวมาดำเนินคดีอย่างเคร่งครัด ซึ่งได้ปรากฏทางการสืบสวนพบว่า มีกลุ่มแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติมาตั้งฐานอยู่ทางภาคใต้ จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. บูรณการกำลังเข้าปฏิบัติการ

วันนี้ ( 29 มีนาคม 2567 ) เวลา 16.30 น. ที่ สภ.ฉวาง จว.นครศรีธรรมราช พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ดูแลงานด้านอาชญากรรมเทคโนโลยี ร่วมกับ พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช. ) ด้านกฎหมาย ในฐานะประธานอนุกรรมการบูรณาการบังคับใช้กฎหมายความผิดทางเทคโนโลยีฯ นายไตรรัตน์ วิริยะศิรติกุล รักษาการ เลขาธิการ กสทช. พ.ต.ต. ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทน อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ แถลงผลการปฏิบัติการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขบวนการหลอกลวงประชาชนทางออนไลน์เครือข่ายใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยมี พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี( ผบช.สอท. ) , พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8, พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ภูมิพัฒน์ ภัทรศรีวงษ์ชัย ผบก.สอท.5, พล.ต.ต.สมชาย ซื่อต่อตระกูล ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลง

พล.ต.ท.ธัชชัยฯ เปิดเผยว่า จากการสืบสวนสอบสวนเชิงรุกของตำรวจ ร่วมกับ กสทช.และ กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ผนวกกับการตรวจสอบแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ตำรวจ สอท. 5 จึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติหมายค้นจากศาล เข้าตรวจค้น 3 จุด จุดแรกโรงแรมแห่งหนึ่งในตำบลจันดี อำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรรมราช และอีก 2 จุด คือ บ้านพัก ใน อ.ฉวาง ขยายผลไปยัง โกดังจำหน่ายสินค้าญี่ปุ่นมือสอง ในพื้นที่ อ.นาบอน จ.นครศรีธธรมราช พบผู้ต้องหา และของกลางจำนวนมาก โดยพบความเชื่อมโยงกัน สถานที่ดังกล่าวถูกใช้เป็นฐานของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามชาติ ที่ทำเป็นขบวนการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจน โดยจับกุมผู้ร่วมขบวนการได้ 63 ราย สัญชาติไทย 12 ราย สัญชาติอื่น 51 ราย พร้อมของกลางประกอบด้วย

1. คอมพิวเตอร์ 223 เครื่อง
2. โทรศัพท์มือถือ และซิมการ์ดผี 1,300 รายการ
3. เราเตอร์กระจายสัญญาณ 12 เครื่อง
4 .สมุดบัญชีธนาคาร ( บัญชีม้า )  80 เล่ม

ผู้ช่วย ผบ.ตร. กล่าวว่า ดำเนินคดีกลุ่มผู้ต้องหา ในความผิด ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมืองฯ, พ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าวฯ, พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี, พ.ร.บ.โทรคมนาคมฯ, พ.ร.บ.ศุลกากรฯ และ ประกาศ กสทช. เรื่อง การยืนยันตัวตนและข้อมูลเกี่ยวกับการใช้บริการฯ และจะมีการขยายผลการกระทำผิดไปถึงทุกคนที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งดำเนินการยึดทรัพย์อย่างเด็ดขาด

“แก๊งนี้ถือเป็นองค์กรอาชญากรรมขนาดใหญ่ โดยในครั้งนี้ทางทูตตำรวจจีน และญี่ปุ่น ได้เข้าร่วมตรวจสอบการกระทำผิดเพื่อนำไปสู่การขยายผลการกระทำผิดในประเทศจีนและญี่ปุ่นต่อไป ซึ่งการจับกุมในครั้งนี้เป็นการตอบสนองนโยบายของนายกรัฐมนตรี ซึ่ง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง” พล.ต.ท.ธัชชัยฯ กล่าว 

ด้าน พล.ต.อ.ณัฐธรฯ กล่าวว่า จากการตรวจสอบการสื่อสารข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลที่บันทึกไว้ในระบบคอมพิวเตอร์  และซักถามกลุ่มผู้ต้องหาพบว่าแก๊งหลอกลวงทางออนไลน์แก๊งนี้มีพฤติการณ์ดังนี้

• หาเหยื่อผ่านทางช่องทางโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะแอปพลิเคชันเทเลแกรม
• ชักชวนเหยื่อให้ช่วยแนะนำรีวิวโรงแรม รีสอร์ท ที่พัก ต่าง ๆ โดยล่อลวงว่าจะได้รับรางวัลตอบแทนเป็นที่พัก หรือตั๋วเครื่องบินฟรี
• หลอกให้เหยื่อกรอกข้อมูลส่วนบุคคลต่าง ๆ
• เมื่อเหยื่อหลงกลจะส่งข้อความแนบลิงก์เพื่อยืนยันการรับรางวัล ทั้งที่ความจริงเป็นลิงก์อันตราย ติดตั้งแอปฯ ควบคุมโทรศัพท์มือถือจากระยะไกล ( รีโมท )
• จากนั้นคนร้ายจะใช้ข้อมูลส่วนตัวที่เหยื่อให้ไว้เข้าถึงบัญชีธนาคารผ่านโมบายแบงก์กิ้ง ดูดเงินออกจากบัญชีของเหยื่อ นอกจากนี้ยังมีกลอุบายหลอกให้ลงทุนด้วยวิธีต่าง ๆ ด้วย
 
พล.ต.อ.ณัฐธรฯ กล่าวด้วยว่า ในการจับกุมครั้งนี้ ตำรวจ กสทช. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ  ได้ทำการรื้อถอน และตรวจยึดอุปกรณ์ทางเทคโนโลยี, คอมพิวเตอร์, โทรศัพท์มือถือ, รวมทั้งซิมการ์ด ซึ่งเป็น ซิมผี ไม่ได้ลงทะเบียนหรือลงทะเบียนไม่ถูกต้องตามกฎหมายและประกาศ กสทช.กำหนด ไปตรวจสอบทางเทคนิคเพื่อขยายผลไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีความมุ่งมั่นในการป้องกัน และปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบอย่างจริงจัง เด็ดขาด

ทั้งนี้ขอย้ำเตือนภัยแก่พี่น้องประชาชนขอให้ระมัดระวังไม่หลงเชื่อกลลวงของมิจฉาชีพออนไลน์ ที่ใช้อุบายต่าง ๆ ในการล่อลวง และหากตกเป็นเหยื่อสามารถแจ้งเหตุ อายัดเงินด่วน ได้ทางสายด่วน โทร.1441 ศูนย์ AOC โดยไม่มีช่องทางไลน์ หรือเพจเฟซบุ๊กใด ๆ และสามารถแจ้งความออนไลน์ได้ทางเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th ช่องทางเดียวเท่านั้น โดยไม่มีช่องทางไลน์ หรือเพจเฟซบุ๊ก

ทหารเรือ ทำ pcr ช่วยเหลือชาวต่างชาติหยุดหายใจ รอดชีวิตหวุดหวิด

น้ำใจทหารเรือ ใช้วิชาที่กองทัพเรือ ฝึกสอนการทำ pcr (ปั๊มห้วใจ) ช่วยเหลือชาวเนเธอร์แลนด์ หมดสติรอดชีวิตหวุดหวิด

เหตุการณ์ รายนี้ถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อ วันที่ 29 มี.ค.67 ระหว่างเวลา 16.00 น. - 17.000 น.  ในขณะที่ พ.จ.ท.นิวัฒน์ กังหัน กำลังพลในสังกัด ร.ล.บางปะกง กองเรือฟริเกตุที่ 2 กองเรือยุทธการ กองทัพเรือ (กฟก.2 กร.)  ได้พบเห็นเหตุการณ์ชาวต่างชาติหมดสติในรถยนต์ บริเวณลานจอดรถห้างแมคโคร สาขาสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรีโดยมีภรรยาชาวไทย ของชาวต่างชาติคนดังกล่าวเข้ามาขอความช่วยเหลือ พ.จ.ท.นิวัฒน์ฯ และภรรยา จึงเข้าไปทำการช่วยเหลือ 

จากการสังเกตอาการในเบื้องต้น พบชายชาวต่างชาติ ทราบชื่อภายหลัง นายซาคาเรียส ครกเค่ สัญชาติเนเธอร์แลนด์ นอนหมดสติอยู่ภายในรถยนต์ลักษณะนอนหงาย ไม่รู้สึกตัว พ.จ.ท.นิวัฒน์ฯ และภรรยา จึงได้ขอความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง ในการนำ นายซาคาเรียส ลงจากรถมาในพื้นที่โล่งแจ้ง อาการเบื้องต้นไม่หายใจ ไม่มีชีพจร 

พ.จ.ท.นิวัฒน์ฯ เริ่มทำการ cpr และรีบโทร. แจ้ง 1669 เพื่อขอความช่วยเหลือ หลังจากการทำ cpr นายซาคาเรียส เริ่มหายใจได้เอง เริ่มมีชีพจร แต่ยังไม่ได้สติ จึงจับนอนตะแคง แต่นายซาคาเรียส หยุดหายใจอีกครั้ง จึงได้ทำการ cpr ต่อในครั้งที่ 2 หลังจากนั้น มีพยาบาลมาช่วยสังเกตอาการ 2 คน พบว่ามีชีพจรได้สักพักก็หยุดหายใจอีกครั้ง ต่อมามีกำลังพลของกองทัพเรือ ในบริเวณนั้น เข้ามาช่วยทำ cpr อีกครั้ง จนกระทั่งรถพยาบาลฯ มาถึงและรีบนำตัวส่ง รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ อย่างเร่งด่วน

ปัจจุบัน นายซาคาเรียส ครกเค่ รักษาตัวอยู่ในหอผู้ป่วยวิกฤติโรคหัวใจ (CCU) รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ฯ ซึ่งทางญาตไม่สะดวกที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับการรักษาตัวและบันทึกภาพ

จากการสอบถามทราบว่า พ.จ.ท.นิวัฒน์ ฯ เป็นอาสาสมัครกู้ชีพของ กฟก.2 รุ่นที่ 2 ตามโครงการอาสาสมัครกู้ชีพ กฟก.2 ที่จัดอบรมที่ รพ.อาภากรเกียรติวงษ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ เดือนละ 60 นาย จึงมีความมั่นใจในการช่วยเหลือชีวิตผู้ประสบเหตุดังกล่าว 

ซึ่งการปฏิบัติดังกล่าว นับเป็นกำลังพลของกองทัพเรือ ที่ใช้ความรู้ความสามารถที่ได้รับการฝึกอบรมมา ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างสูงยิ่งในการช่วยเหลือชีวิตเพื่อนมนุษย์ สมควรได้รับการยกย่องและเป็นแบบอย่างที่ดีต่อกำลังพลของกองทัพเรือ ตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารเรือ ที่มอบไว้ แก่หน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือ มุ่งสู่เป้าหมาย “กองทัพเรือที่ประชาชนเชื่อมั่น และภาคภูมิใจ – The Trusted Navy”

อดีตผู้สมัคร สส.รทสช. โพสต์ ถ้าจะแก้ รธน. ให้แก้เป็นรายมาตรา ชี้ ร่างใหม่ทั้งฉบับ สิ้นเปลือง ชวนปชช. จับตา อย่าให้ใครเข้ามา หาประโยชน์

เมื่อวานนี้ (30 มี.ค.67) นายณัฐนันท์ กัลยาศิริ หรือ ทนายบอน อดีตผู้สมัคร สส.กทม. พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กว่า …

"รัฐธรรมนูญถ้าจะแก้เพื่อประชาชน แก้เป็นรายมาตราครับ เอาให้ชัดเลยจะแก้ตรงไหน เพื่ออะไร

ร่างใหม่ทั้งฉบับสิ้นเปลือง และไม่เห็นความจำเป็นอะไร นอกจากเพื่อหา สสร. เป็นพวกตัวเอง หาเสียงให้ตัวเอง หรือเพื่อหาช่องทางแสวงหาอำนาจให้ตัวเอง ... โดยอ้างประชาชน

จะแก้อะไรว่ากันให้ชัด ๆ เป็นจุด ๆ ประชาชนจะได้จับตาดู อย่าอาศัยลูกชุลมุนแสวงหาประโยชน์ให้ตัวเองครับ"

สามเณร 17 ปี สอบผ่านเปรียญ 9 สำเร็จ ทำสถิติ อายุน้อยที่สุด ในประวัติศาสตร์ ของคณะสงฆ์ไทย

(30 มี.ค.67) ที่วัดสามพระยา กองบาลีสนามหลวง ประกาศผลสอบบาลีสนามหลวง ประจำปี 2567 ในชั้นเปรียญเอก ได้แก่ ประโยค ป.ธ.9 สอบผ่าน 76 รูป ประโยค ป.ธ.8 สอบผ่าน 165 รูป และประโยค ป.ธ.7 สอบผ่าน 226 รูป

สำนักเรียนที่มีผู้สอบผ่านในรับเปรียญ 9 มากที่สุดได้แก่สำนักเรียนวัดโมลีโลกยาราม มีพระภิกษุและสามเณรสอบได้มากที่สุดรวม 25 รูป

ในจำนวนนี้มีสามเณรภานุวัฒน์ กองทุ่งมน อายุ 17 ปี สอบผ่านได้ด้วย นับเป็นสามเณรอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกบาลีชั้นสูงสุด

'เปอร์-โอลอฟ คินด์เกรน' มือกีตาร์คลาสสิก ผู้ชื่นชมเพลงพระราชนิพนธ์ ในหลวง ร.9 ขอตัดใจไม่เล่นเพลงพระราชนิพนธ์อีก เหตุเพราะถูกบางกลุ่ม 'ยัดเยียดความรัก'

(30 มี.ค.67) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'ดำรงค์ นาวิกไพบูลย์' อินฟลูเอนเซอร์ทางการเมืองชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความชวนคิด ระบุว่า...

เห็นภาพนี้แล้วคุณอาจจะงง ตาฝรั่งนี่ใครวะ

เขาคือ เปอร์-โอลอฟ คินด์เกรน (Per-Olov Kindgren) มือกีตาร์คลาสสิกชาวสวีเดน ที่มีชื่อเสียงมากในยูทูบยุคแรกเริ่ม และก็มีคนติดตามแกมากถึง 2.23 คนเลยทีเดียว

เมื่อ 16 ปีที่แล้ว แกเลือกหยิบเพลงพระราชนิพนธ์ H.M. Blue (ชะตาชีวิต) ของในหลวงรัชกาลที่ 9 มาบรรเลง ซึ่งเขาก็ให้เครดิตในหลวงในฐานะผู้พระราชนิพนธ์ และเมื่อเผยแพร่ออกไปแล้ว ก็มีฝรั่งหลายคนเขามาแสดงความชื่นชม ทั้งตัวเขาและบทเพลง

บางคนถึงกับอุทานว่า "กษัตริย์ไทยต้องเป็นกษัตริย์ที่เจ๋งที่สุดในโลกแน่ๆ"

เสียงตอบรับโคตรดีย์

ดี 

ดีมาก 

ดีสุด ๆ

จนกระทั่ง #มีสลิ่มมาปักเข่า

----

คือ คินด์เกรน เขาก็บอกนะฮะว่า เขานั้นไม่รู้จักในหลวงของเราเลย เพียงบังเอิญได้รับฟังเพลง HM Blue แล้วชอบ ถึงได้เพิ่งรู้ว่าผู้แต่งเป็นกษัตริย์

แต่เขานั้นเป็นนักดนตรี เขาสนใจเฉพาะดนตรี

แต่สลิ่ม ก็ยังคงความเป็นสลิ่ม คลั่งใคล้เจ้าแบบไม่ลืมหูลืมตา ไปพยายาม "ยัดเยียดความรัก" ในในหลวงให้คนต่างชาติที่ไม่ได้รู้เรื่อง หรือเกี่ยวข้องอะไรด้วยเลย

พูดกันแบบแฟร์ๆ ตา คินด์เกรน เขาเป็นคนสวีเดน ที่ประเทศของเขาก็มีสถาบันพระมหากษัตริย์ของเขา ซึ่งมันก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะมาจงรักภักดีกับกษัตริย์ชาติอื่น ที่ไม่ใช่ราชวงศ์สวีเดนอยู่แล้ว

แต่สิ่งที่เราทำได้ คือการให้ความรู้กับคนต่างชาติว่า ในหลวงของเรานั้น ทรงเป็นผู้ประเสริฐ เพียรพยายามให้ความช่วยเหลือพสกนิกรผู้ยากจนและทุกข์ยากของพระองค์ ให้สามารถลืมตาอ้าปาก นำมาซึ่งความผาสุขและความเจริญให้แก่ประชาชน ผู้คน และมวลมนุษยชาติมากเพียงไหน 

ซึ่งการเป็นคนดี สร้างคุณูประการให้แก่ผู้อื่น ให้แก่เพื่อนมนุษย์ เป็นสิ่งที่ผู้คนทุกผู้นาม ทุกเชื้อชาติ ต่างก็ให้การยอมรับโดยดุษฎี อยู่แล้ว

ผมเองเมื่อครั้งอยู่ที่ออสเตรเลีย เพื่อนจากหลายชาติที่ไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ชอบถามว่า “ทำไมคนไทยรักในหลวงของคุณจัง ?” ผมตอบว่า “ถ้ามีใครสักคนที่อุทิศตนทำงานเพื่อสังคมส่วนรวมมาตลอดระยะเวลากว่า 50 ปี คุณจะรักและเทิดทูนเค้ามั้ย? นั่นแหละเหตุผลว่าทำไมคนไทยรักในหลวงของพวกเรา”

คำตอบแบบนี้ ไม่ว่าใครก็ต่างให้การยอมรับ และเห็นว่าชอบด้วยเหตุผล

---

แต่สิ่งที่สลิ่มไปทำต่อ ตาคินด์เกรน นั้นไม่ใช่แบบผม 

พอเขาไม่รู้จักในหลวง ก็ไปด่าเค้าว่าทำไมคุณไม่รู้ - ไม่รู้ได้ไง – ทำไมคุณไม่รักในหลวง

มารุมถล่มเยอะๆ เข้า โดยที่ไม่มีการให้ความรู้อะไรกับเค้าเลย (เพราะสลิ่มไม่มีความรู้ ผิดกับคนรักสถาบันที่มีสติสัมปชัญญะ)

ตาคินด์เกรนเลยประกาศว่า “จากนี้ไปกูจะไม่เล่นเพลงพระราชนิพนธ์แล้ว (โว้ย)” ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาเขียนคอมเมนต์บอกแฟนคลับของเขา (ก่อนที่สลิ่มจะมา) ว่ายังมีเพลงพระราชนิพนธ์เจ๋ง ๆ อีกนะ เดี๋ยวจะทยอยเล่นให้ฟัง

Chief หายเลยทีนี้

และ 16 ปีนับจากนั้น คินด์เกรน ก็ไม่เล่นเพลงพระราชนิพนธ์อีกเลย (เนื่องจากรำคาญสลิ่ม)

----

นี่คือตัวอย่างของภัยร้ายจาก “#สันดานสลิ่ม” และเป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงควรจะแยกสลิ่มออกจากคนรักสถาบัน

ไม่ต้องกลัวเลยว่าจะแพ้ก้าวไกล เพราะยังไงสลิ่มก็ไม่มีทางชนะ

เด็กรุ่นใหม่ เป็นรุ่นที่เกิดมาไม่ทันเห็นในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงงานอย่างหนัก เพราะเวลานั้นทรงชราภาพมากแล้ว ดังนั้นเด็กรุ่นใหม่จะไม่อิน

แต่ถ้าได้รับการถ่ายทอดเรื่องราวที่ดีจากคนรักสถาบันที่มีความรู้ คนรุ่นใหม่ก็พร้อมจะเข้าใจ และรักในสถาบันและราชวงศ์จักรี

ในขณะที่ สันดานแบบสลิ่ม ไปบังคับขู่เข็ญให้เขารัก จะมีแต่ทำให้คนรุ่นใหม่นั้นถอยห่าง วิ่งเข้าไปหาก้าวไกล

สุดท้ายแล้ว กลุ่มคนที่จะเอาชนะกระแสพรรคก้าวไกลได้ ก็คือ กลุ่มคนรักสถาบัน ที่ไม่มีพวกสลิ่มไปปนอยู่ในนั้น และเราควรปล่อยให้พวกสลิ่มนั้น ตายไปพร้อมกับความแก่ชราของพวกเขาได้แล้ว

ส่อง 'ประเทศ-เมือง' ที่มีเศรษฐีพันล้านเหรียญมากที่สุดในโลก ไทยติดอันดับ 12 ส่วน 'กรุงเทพฯ' ติดอันดับ 11

(30 มี.ค.67) Business Tomorrow รายงานว่า ศูนย์วิจัยหูรุ่น (Hurun Research) เปิดเผยรายชื่อเมืองเศรษฐีโลก โดยเมืองมุมไบของประเทศอินเดียกลายเป็นเมืองหลวงของเหล่าเศรษฐีพันล้านแห่งเอเชีย แซงเมืองปักกิ่งของจีนเป็นที่เรียบร้อย เป็นครั้งแรกที่อินเดียสามารถขึ้นไปสู่อันดับหนึ่งเอเชียได้

📌อันดับโลกเมืองที่มีเศรษฐีพันล้านมากที่สุด
อันดับ 1 นิวยอร์ก สหรัฐฯ (119 คน)
อันดับ 2 ลอนดอน อังกฤษ (97 คน)
อันดับ 3 มุมไบ อินเดีย (92 คน)
อันดับ 4 ปักกิ่ง จีน (91 คน)
อันดับ 5 เซี่ยงไฮ้ จีน (87 คน)

📌อันดับโลกประเทศ
อันดับ 1 จีน 814 คน
อันดับ 2 สหรัฐอเมริกา 800 คน
อันดับ 3 อินเดีย 271คน
อันดับ 4 สหราชอาณาจักร 146 คน
อันดับ 5 เยอรมนี 140 คน

รายงานนี้บอกถึงภาพรวมของโลกว่า ในช่วง 1 ปีล่าสุด (จาก 16 มกราคม 2023 ถึง 15 มกราคม 2024) โลกมีมหาเศรษฐีที่มีความมั่งคั่ง 1 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 36,400 ล้านบาท) ขึ้นไป เพิ่มขึ้น 167 คน รวมเป็นจำนวน 3,279 คน

รายงานนี้รวมรายชื่อมหาเศรษฐีที่มีความมั่งคั่ง 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (Billionaire) ขึ้นไปจากทั่วโลก โดยการคำนวณความมั่งคั่งอัปเดตถึงวันที่ 15 มกราคม 2024

ในส่วนของไทย กรุงเทพมหานครติดอันดับที่ 11 ของโลกในเมืองที่มีเศรษฐีพันล้านมากที่สุดที่ 49 คน ส่วนอันดับประเทศ ไทยติดที่อันดับ 12 ที่ 49 คนเช่นเดียวกับกรุงเทพมหานคร

นายจ้างเยียวยาให้ญาติผู้เสียชีวิต 7 ราย กรณีโรงงานหลอมเหล็กเครนถล่ม  ด้าน ตร.เร่งสอบต่อ ปมแอบฝังศพนับร้อย ด้านหลังโรงงานสะพัด

(31 มี.ค.67) จากกรณีโรงงานเครนถล่ม ตำรวจเตรียมตรวจสอบกรณีมีข้อมูลว่า มีการแอบฝังศพแรงงานต่างด้าวที่เสียชีวิตจากการทำงาน บริเวณเนินเขาหลังโรงงาน

แรงงานเมียนมา ลุกฮืออีกรอบ หลังยอมรับข้อเสนอการเยียวยาไปแล้ว แต่ยังไปพังรถนักข่าว ก่อนจะรวมตัวกดดันนายจ้างเพื่อขอความเป็นธรรมเรื่องหักเงินประกันสังคมแต่ไม่เข้ากองทุน โดยมีการปักหลักชุมนุมเรียกร้องกันภายในโรงงาน จนกระทั่ง รองผู้ว่าราชการจังหวัด ต้องเข้ามาร่วมรับฟังด้วย จนได้ข้อยุติ

เหตุการณ์สงบลง โดยแรงงานชาวเมียนมาหลายพันคน ยอมยุติการชุมชน หลังนายกำธร เวหน รองผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง เปิดแถลงที่หน้าสำนักงาน ไซต์ก่อสร้าง โรงหลอมเหล็ก ซินเคอหยวน ต.ตาสิทธิ์ อ.ปลวกแดง จ.ระยอง

ต่อหน้าแรงงานเมียนมาที่ปักหลักชุมนุมมาตั้งแต่เช้า หลังได้ให้ตัวแทน แรงงานเมียนมา ฝ่ายนายจ้าง และภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เข้าหารือร่วมกัน เพื่อหาข้อสรุปจากข้อเรียกร้องทั้งหมด โดยใช้เวลากว่า 3 ชั่วโมง

ได้ไปเจรจากับกลุ่มแรงงานชาวเมียนมาโรงงานหลอมเหล็กเครนถล่ม ที่ลุกฮือประท้วงรอบสอง   นานกว่า 3 ชั่วโมง จนได้รับความพอใจตามความประสงค์ ทั้ง 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายผู้แทนบริษัท ฝ่ายหน่วยงาน และฝ่ายแรงงานญาติผู้เสียชีวิตโดยผลการหารือได้ข้อสรุป 8 ข้อ ดังนี้

1.เยียวยาให้ญาติผู้เสียชีวิต จำนวน 7 ราย รายละ 1.6 ล้านบาท โดยวันที่ 29 มีนาคม 2567 ได้มอบเงินสดให้กับญาติของผู้เสียชีวิตไปแล้วราย ๆ ละ 5 แสนบาท คงเหลือ 1,100,000 บาท

2.นายจ้าง รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการจัดการศพ ให้กับลูกจ้างผู้เสียชีวิตทั้ง 7 ราย

3. กรณีฝ่ายลูกจ้างมีข้อเรียกร้องว่าเงินสมทบประกันสังคมที่นายจ้างหักจากลูกจ้างแต่ไม่ได้นำส่งเข้ากองทุนประกันสังคมสำนักงานประกันสังคมจะติดตามให้เป็นรายบุคคลใน 2 สัปดาห์ 

4.กรณีฝ่ายลูกจ้างมีข้อเรียกร้องว่าลูกจ้างประสบอันตรายสูญเสียอวัยวะและยังไม่ได้รับการช่วยเหลือสำนักงานประกันสังคมจะติดตามให้นายจ้างนำส่งเอกสารเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและรายละเอียดภายใน 2 สัปดาห์

5. กรณีฝ่ายลูกจ้างส่งเอกสารค่ารักษาพยาบาลเบิกกับนายจ้างแต่ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือสำนักงานประกันสังคมจะดำเนินการตรวจสอบ ภายใน 2 สัปดาห์ 

6.กรณีหนังสือเดินทางของลูกจ้างทั้งสองฝ่ายประสงค์ตรงกันจะเก็บเอาไว้ที่บริษัทและจะถ่ายเอกสารให้กับลูกจ้าง แต่จะให้คือ เมื่อลาออก 

7. กรณีลูกจ้าง 3 คนซึ่งมีข้อสงสัยว่านายจ้างจะเลิกจ้างสำนักงานสวัสดิการแรงงานและคุ้มครองแรงงานจังหวัดระยองจะตรวจสอบให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนด 

8.นายจ้างรับว่าจะปฏิบัติต่อลูกจ้างชาวเมียนมาให้ได้รับสิทธิตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน

ทั้งนี้ หลังการแถลงข้อสรุป นายทูลิน เจ้าหน้าที่สหภาพแรงงานเมียนมา ได้สื่อสารภาษาเมียนมาในข้อสรุปทั้งหมด ต่อหน้าแรงงานที่ปักหลักชุมนุม หลังจากกล่าวจบ ทุกคนต่างปรบมือ และ พอใจกับข้อสรุป และ เลิกชุมนุม

ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ เตรียมตรวจสอบกรณีที่มีข้อมูลว่ามีการแอบฝังศพแรงงานต่างด้าวที่เสียชีวิตจากการทำงาน บริเวณเนินเขาหลังโรงงาน โดยนายชินอ่อง แรงงานเมียนมาที่มาจาก กทม.เพื่อช่วยเพื่อนร่วมชาติ กล่าวถึงกรณีมีศพถูกฝังว่า ก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้

ขณะที่นายอัง โก ลิน หนึ่งในตัวแทนแรงงานเมียนมา และเป็นล่าม ได้ยกมือไหว้ขอโทษเจ้าหน้าที่กู้ภัยและนักข่าวที่ถูกพังรถ 

สำหรับพิธีศพของผู้เสียชีวิตทั้ง7ราย เตรียมติดต่อรับศพหลังการชันสูตร ไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีที่วัดภายใน อ.ปลวกแดง ต่อไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top