Tuesday, 14 May 2024
TheStatesTimes

‘Audi’ จัดแคมเปญ ลดกระหน่ำ ย้ำ!! ไม่ซื้อตอนนี้ จะไปซื้อตอนไหน ลดให้สูงสุด 2.2 ล้าน หั่นราคารับ Motor Show มีครบ ‘สปอร์ต-เอสยูวี-รถไฟฟ้า’

เมื่อเร็วๆ นี้ Audi Thailand ประกาศมอบส่วนลดให้ลูกค้าสูงสุด 2.2 ล้านบาท หั่นราคาแบบไม่เคยมีมาก่อน ด้วยแคมเปญ ไม่ซื้อ Audi ตอนนี้จะไปซื้อตอนไหน ไฮไลต์เด่นในบูธ Audi ที่นำมาจัดแสดงในงาน เช่น รถยนต์สันดาปภายใน รถยนต์ไฟฟ้า รวมไปถึงรถพลังงานผสมปลั๊กอินไฮบริด และรถสมรรถนะสูงตระกูล RS ในสีพิเศษที่ไม่เคยจัดแสดงที่ไหนมาก่อนกว่า 20 รุ่น ครั้งแรกที่ Audi นำรถนำเข้าทั้งคัน (CBU) มาตรฐานเยอรมัน คุณภาพประกอบพรีเมียมมาลดราคาพิเศษ ส่วนลดสูงสุดในแคมเปญ Motor Show ถึง 2.2 ล้านบาท

· RS e-tron GT ลดเหลือ 7.99 ล้านบาท
· TT Coupé Final Icon Black ลดเหลือ 3.199 ล้านบาท
· Q8 e-tron 50 quattro ลดเหลือ 4.399 ล้านบาท
· Q7 60 TFSI e quattro S line Black Edition ลดเหลือ 4.449 ล้านบาท
· Q5 55 TFSI e quattro S line ลดเหลือ 3.299 ล้านบาท

ไฮไลต์ในงานนอกจากส่วนลดสูงสุด 2.2 ล้านบาท Audi ยังมีการเปิดตัว Audi TT Coupé Final Icon Black X Benzilla Edition1/1 ที่มีเพียงคันเดียวในประเทศไทย เป็นการทำงานร่วมกับ 'Benzilla' ศิลปิน Street Artist ชื่อดังของประเทศไทย เจ้าของคาแรกเตอร์ LOOOK มนุษย์ต่างดาวสามตาที่กำลังได้รับความนิยม และมีผลงานร่วมกับแบรนด์ชั้นนำมากมาย มาร่วมสร้างสรรค์ผลงานศิลปะบนตัวรถ ด้วยสีที่เป็นเฉดสีของ Audi TT Coupé เท่านั้น เช่น Glacier white, Mythos black, Chronos grey, Tango red, Turbo blue และ Python yellow เพิ่มความโดดเด่นให้กับความเป็น 'Iconic design' ของ Audi TT Coupé พิเศษสำหรับแฟน Audi ที่อยากเป็นเจ้าของ Audi TT Coupé Final Icon Black X Benzilla Edition1/1 ที่มีเพียงคันเดียวในประเทศไทย พร้อมเปิดให้จอง ในวันที่ 27 มีนาคมนี้ เวลา 12.00 น. สำหรับลูกค้า 5 ท่านแรก ที่จอง Audi TT Coupé ในงานมอเตอร์โชว์ รับสิทธิพิเศษเลือก Customed Design TT X Benzilla Special Edition ในแบบที่คุณต้องการ และลูกค้าทุกท่านที่จองรถอาวดี้ทุกรุ่นในงาน Motor Show รับของขวัญสุดพิเศษจาก Audi X Benzilla Collection (จำนวนจำกัด)

สนใจสามารถเข้าชมรถทุกรุ่นได้ที่ บูธ Audi ในงานมอเตอร์โชว์ พร้อมทดลองขับได้ตั้งแต่วันที่ 27 มีนาคม จนถึงวันที่ 7 เมษายน 2567

'รัดเกล้า' เผย!! สศค.เล็งทบทวน มาตรการช่วยอสังหาฯ เพิ่มเงินกู้บ้านล้านหลังเป็น 2 ล้านบาท พร้อมลดค่าจด-โอน เหลือ 0.01%

(30 มี.ค.67) นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง เตรียมพิจารณาทบทวนมาตรการช่วยเหลือภาคอสังหาริมทรัพย์ ให้เติบโตขึ้น โดยพิจารณามาตรการลดค่าจดทะเบียนการโอนจากเดิม 2% เหลือ 1% คำจดจำนองจากเดิม 1% เหลือ 0.01% สำหรับอสังหาฯที่ราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 3 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน3 ล้านบาท โดยจะขยายให้ราคาซื้อขายเกิน 3 ล้านบาทมีสิทธิเข้าร่วมมาตรการด้วย แต่ให้สิทธิเฉพาะ 3 ล้านบาทแรก

ส่วนมาตรการการเงิน โครงการบ้านล้านหลัง เฟส 3 ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ที่กำหนดให้กู้ได้เฉพาะผู้ซื้อบ้านก่อสร้างและวงเงินกู้สูงสุดต่อรายต่อหลักประกันไม่เกิน1.5 ล้านบาทนั้น จะขยายเป็นราคาสูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท เพราะที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท หาได้ยากและไม่ได้เสี่ยงมาก ส่วนการทบทวนภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้มา 5-6 ปีแล้ว กระทรวงการคลัง และกระทรวงมหาดไทย กำลังศึกษาร่วมกันเพื่อทบทวนให้เหมาะสม เช่นการจัดระเบียบประเภทที่ดินให้ชัดเจนมากขึ้นรวมทั้งการให้อำนาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ที่ปัจจุบันให้ อปท. ใช้ดุลพินิจได้ตามความเหมาะสม เช่น ที่ดินเปล่าที่เจ้าของปลูกต้นไม้ทำสวน แต่ไม่ถึงเกณฑ์เป็นที่ดินเพื่อการเกษตรนั้นได้ให้ อปท.ตัดสินใจได้เลยว่าจะเข้าเกณฑ์ใดส่วนอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างยังไม่มีแนวคิดปรับเพิ่มขึ้น ทั้งนี้การปรับมาตรการกล่าว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ โดย นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ได้สั่งการให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เตรียมรายละเอียดเพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุมครม.ในเร็ว ๆ นี้

อดีตสมาชิกกลุ่มแบ่งแยกดินแดน ชี้ การต่อสู้ ความรุนแรง ขัดแย้งกับคำสอน ย้ำ!! ถ้าคิดแต่จะต่อต้านรัฐบาล เราจะก้าวไปข้างหน้าไม่ได้

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าว Utusan TV ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของ อดีตสมาชิกกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย โดยได้ระบุว่า...

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กลุ่มแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ของประเทศไทยได้ปลูกฝังความเชื่อที่ศาสนาและชาวมุสลิมในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยนั้นถูกกดขี่ แต่ความจริงก็คือชาวมุสลิมได้รับอิสระในการเผยแพร่คำสั่งสอนศาสนาและความเชื่อที่แท้จริง AFIQ MOHD SHAH นักข่าว พร้อมด้วยช่างภาพ ABDUL RAZAK AID และช่างวิดีโอ WAN AIZZAT JAIL ANI ได้เข้ามาจัดทำรายงานพิเศษ เรื่อง 'ค้นหาสันติภาพในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย' ออกมาตีแผ่สู่สาธารณะ โดยล้วงลึกถึงเรื่องราวของอดีตสมาชิกของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ 'กลับตัว' สู่เส้นทางที่ถูกต้อง คือ สาและ (ชื่อสมมุติ) ผู้ซึ่งได้ตระหนักว่าความเชื่อและอุดมการณ์ที่ 'ปลูกฝัง' ในสมาชิกทุกคนไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของศาสนาอิสลาม 

สาและ ปัจจุบันอายุ 54 ปี ได้เล่าให้ทีมข่าว Utusan TV ฟังว่า "ไม่ว่าการต่อสู้ของเราจะเป็นอย่างไร หากเราหนีจากการต่อสู้ของศาสนทูตของอัลลอฮ์นั้นเป็นการต่อสู้ที่ขัดแย้งกับศาสนา ดังนั้นผมจึงเห็นว่าการต่อสู้ของพวกเขาไม่เหมือนกับการต่อสู้ของศาสนทูตของอัลลอฮ์" 

สาและ ได้เข้าร่วมกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในปี 1992 หลังจากจบการศึกษาด้านศาสนาอิสลาม เดิมที เขาสนใจที่จะเข้าร่วมกลุ่มดังกล่าวที่พยายามต่อสู้เพื่อได้เอกราชให้กับจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย โดยหลังจากเข้าร่วมกลุ่มเขาได้รับมอบหมายให้ปลูกฝังอุดมการณ์ในหมู่คนหนุ่มสาวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยเพื่อยกระดับจิตวิญญาณและการแก้แค้นต่อรัฐบาลไทย 

"ทุกครั้งที่มีการบรรยาย มันจะต้อง เกี่ยวข้อง กับศาสนา จะถูกหรือผิดก็ว่าไปตามอุดมการณ์" อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน ผมก็เริ่มมองหาคนที่มีประสบการณ์และมีความรู้เพื่อเจาะลึกคำสอนที่แท้จริงของ (อิสลาม)

"ตัวอย่าง เช่น ศาสนทูตของอัลลอฮ์เคยกล่าวไว้ว่า เมื่อออกไปทำสงคราม ห้ามฆ่าเด็ก สตรี นักศาสนา และอย่าทำลายการเกษตร แต่ผมเห็นว่าเมื่อการต่อสู้ของกระบวนนี้ ผู้หญิง เด็ก และผู้นับถือศาสนาอื่น ๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน จากการต่อสู้ของศาสนทูตของอัลลอฮ์ " จากจุดนั้นผมเริ่มคิดว่านี่ไม่ใช่การต่อสู้ที่ถูกต้องตามคำสั่งสอนของศาสนทูตของอัลลอฮ์ หนึ่งในนั้นคือการฝึกฝนน้อยลง นั่นคือจุดที่ผมคิดว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด" 

สาและ ได้อธิบายเพิ่มเติมว่า การต่อสู้ที่จุดประกายโดยกลุ่มแบ่งแยกดินแดนนั้นไร้ประโยชน์เพราะศาสนาอิสลามมีอิสระที่จะปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างเต็มที่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนดังกล่าว

"ถ้าผมต้องการต่อสู้เพื่อศาสนา ผมเห็นว่ารัฐบาลสยามได้ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาอย่างเต็มที่ โรงเรียนสอนศาสนาเกิดขึ้นเหมือนเห็ด" ในแง่ของการศึกษา การเผยแพร่ความรู้ด้านศาสนา และ การชักจูงในการประกอบศาสนกิจนั้น ไม่มีอุปสรรคใด ๆ และแม้แต่สำนักงานใหญ่ของ การเผยแพร่ความรู้ด้านศาสนา และการประกอบศาสนากิจ ก็สามารถเปิดได้ ดังนั้นเราต้องคิดให้รอบคอบ มองโลกให้กว้างขึ้น" สาและ กล่าว 

ในเวลาเดียวกัน สาและได้เน้นว่าการละเว้น 'ญิฮาด' ในการก่อความรุนแรงนั้น ญิฮาดสำหรับตัวคุณเองและครอบครัวของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเดือนรอมฎอนนี้จะดีกว่า เขายังต้องการเห็นคนรุ่นใหม่ในภาคใต้ของประเทศไทย เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีคุณภาพ มีความรู้ และสามารถนำไปสู่การเป็นสังคมที่ดีที่สุดได้ "เป็นความหวังของเรา ถ้าไม่มีความรู้เกี่ยวกับ ศาสนาหรือโลก มีแต่ความคิดต่อต้านรัฐบาล เราจะก้าวไปข้างหน้าไม่ได้"  คนที่ต่อสู้เรื่องนี้จริง ๆ มีไม่มากนัก ในบรรดาคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย มี 3 ประเภทนั่นคือ 1) ที่ไม่รู้อะไรเลย 2) ที่ไม่ชอบกลุ่มแบ่งแยกดินแดน  3) ผู้ที่สนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดน และผมเห็นคนที่ไม่รู้อะไรเลย และไม่ชอบพวกเขา (กลุ่มแบ่งแยกดินแดน) นั้นมีมากกว่า

ทั้งนี้ หลังจากแยกตัวออกจากกลุ่มแบ่งแยกดินแดน สาและได้ตัดสินใจ 'ยอมมอบตัว' ต่อรัฐบาลไทย และถูกจัดให้อยู่ในศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพ โดยไม่มีการกดดันหรือถูกทรมานใด ๆ 

ประสบการณ์ เดียวกันนี้ ยังได้ถูกบอกเล่าผ่านอดีตสมาชิกอีกคนหนึ่งของฝ่ายแบ่งแยกดินแดนที่รู้จักกัน ในชื่อ 'มัต' วัย 34 ปี 'มัต' เล่าว่าเขามีส่วนร่วมในเหตุการณ์การเผารถยนต์และรถประจำทาง เขาได้ตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่มดังกล่าวบนพื้นฐานของการแก้แค้น เพราะเขาเห็นเพื่อนชาวบ้านหลายคนเสียชีวิตซึ่งเข้าใจว่า ถูก 'กดขี่' แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว หลังจากที่มัตหนีไปมาเลเซียและอาศัยอยู่ในรัฐยะโฮร์เป็นเวลา 4 ปีอย่างผิดกฎหมายโดยการข้ามเข้าไปทางเส้นทางธรรมชาติ "หลังจากใช้ชีวิตในรัฐยะโฮร์เป็นเวลา 4 ปี 'มัต' เล่าว่า ตนรู้สึกไม่สบายใจ เพราะคิดถึงพ่อแม่ที่แก่ชรา และคิดว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาในหมู่บ้านตนจะไม่มีเวลาขอโทษพวกเขา จากนั้นผมก็ตัดสินใจกลับไปที่หมู่บ้านและไม่ทำอะไรเลยเป็นเวลา 3 เดือน และบอกกับแม่ว่าต้องการมอบตัว" 

บนพื้นฐานของความรักที่มีต่อพ่อแม่ของเขา 'มัต' ตัดสินใจยอมจำนนและถูกจัดให้อยู่ในศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพเช่นเดียวกันกับ 'สาและ' 'มัต' หวังเพียงว่าเพื่อนและชาวบ้านที่ยังคง 'ภักดี' ต่อกลุ่มแบ่งแยกดินแดนจะคิดถึงอนาคตของตัวเองและครอบครัว 

"ตอนแรกผมไม่เชื่อ เพราะผมกลัวว่าเจ้าหน้าที่รัฐจะทรมานเมื่อถูกส่งมาที่นี่ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป ทันทีที่ผมมาถึงสถานที่แห่งนี้ เจ้าหน้าที่รัฐไม่เพียงแต่ไม่จะหลอก แต่ยังให้ความช่วยเหลือมากมาย รวมถึงให้เบี้ยเลี้ยง บางคนถึงกับพาครอบครัวมาอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่มีการกดดันหรือการทรมานใด ๆ จากเจ้าหน้าที่รัฐ เราสามารถเข้า-ออก และ ได้รับเบี้ยเลี้ยง" มัตกล่าว

นี่คือคำสัมภาษณ์และเรื่องราวจริง‼️ ของอดีตสมาชิกกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย ที่ 'กลับตัว' สู่เส้นทางที่ถูกต้อง ที่ออกมาถ่ายทอดเรื่องราวสู่สาธารณะชน

‘ตั๊ก มยุรา’ สวยของแทร่!! ไม่พึ่งมีดหมอ ลงโพสต์ หน้าใสตอนวัย 40 ปี ขณะที่เป็นพิธีกร ‘แสบคูณสอง’

(30 มี.ค.67) สวยจริงโดยไม่พึ่งมีดหมอ สำหรับ ‘ตั๊ก มยุรา เศวตศิลา’ ตำนานสวย 2,000 ปีไม่เกินจริง ล่าสุดเจ้าตัวย้อนคลิปตัวเองเมื่อ ตอนอายุ 40 ปี ซึ่งสวยและดูหน้าเด็กมากๆ ขณะกำลังเป็นพิธีกรในรายการ ‘แสบคูณสอง’ ที่หลายคนต้องกราบกับความสวยแบบธรรมชาติของนางเอก-พิธีกรรุ่นใหญ่

โดยตั๊ก มยุราเผยแคปชันในอินสตาแกรม ระบุว่า “คุณอ้วน รีเทิร์น ได้กรุณาแชร์มาให้ @aun8 เมื่อครั้งยังเป็นพิธีกรวัยเอ๊าะ ฟาดไป 40 ขวบ นานนนนนนนจัดเลย”

'รองโฆษก รทสช.' ซัด 'ก้าวไกล' ทำตัวเหมือนผี ชอบเล่นเกม นับองค์ประชุม อยากเอาชนะ หวังให้สภาล่ม หวังทำคอนเทนต์ เพื่อเล่นงานฝั่งตรงข้าม

(30 มี.ค.67) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวชี้ให้เห็นถึงธาตุแท้ของพรรคก้าวไกลมีเนื้อหาระบุว่า...

สส.ก้าวไกลเหมือนผี...รู้ว่ามีแต่ไม่แสดงตน 

หวังทำ 'สภาล่ม' แต่ล้มไม่เป็นท่า

คืนที่ผ่านมาถือว่า น่าตื่นตาทีเดียวกับบรรยากาศประชุมสภาเรื่องพิจารณาเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่ฝ่ายค้านดิ้นสุดฤทธิ์ที่จะดึงเกมให้สภาล่ม และสุดท้ายฝ่ายรัฐบาลก็รวมใจกันชนะโหวต ด้วยการแสดงตนในสภา ด้วยวาจา '253 ต่อ 0 เสียง' งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 2

ขณะที่พรรคก้าวไกล ผู้ประกาศก้องว่าพรรครุ่นใหม่ รักและศรัทธาประชาธิปไตย แต่พร้อมใจหายตัวเป็นวิญญาณ ไม่เหลือสักตัวยามแสดงตน

"ว้ายมา 2 ก็เคยแล้ว"... รอบนี้เหลือศูนย์จะเป็นไรไป ไม่แสดงตนไปเลยแบบเมื่อคืนจบๆ พรรครุ่นใหม่เล่นเกมได้ทุกองศา หากต้องการเอาชนะ ตอนหลังแถลงข่าวเสียงอ่อยว่า เห็นด้วยกับคาสิโน ไม่ใช่ไม่เห็นด้วย..คืออะไร?

สรุปแล้ว:

- ยอมหักดิบยอมผิดคำพูด ข้อตกลงวิปรัฐบาล-วิปฝ่ายค้าน
- ยอมถ่วงความเจริญ ปัดตกญัตติเปลี่ยนส่วยคาสิโน เป็นภาษี
- ยอมทำสภาล่ม หวังทำคอนเทนต์เล่นงานฝั่งตรงข้าม

ทุกความพยายามในการทำ 'สภาล่ม' จากสภาสมัยที่แล้ว จนถึงสมัยนี้ ด้วยวิธีเดิมๆ ขอนับองค์ประชุมแบบเด็กอยากเอาชนะ ไม่ต่ำกว่า 30-40 ครั้ง เสียหายครั้ง 4.1 ล้านบาท โดยไม่สนว่าจะเป็นการลงมติที่มีประโยชน์กับบ้านเมือง หรือกำลังแก้ปัญหาปชช.แต่อย่างใด

ไร้ซึ่งเจตจำนงทำงานเพื่อประชาชน

ไร้ซึ่งเกียรติในการทำงานประสานความร่วมมือ

จึงไม่น่าแปลกใจ ว่าทำไม 'ว่าว' นายกฯ

เพราะขนาดอยากทำ 'สภาล่ม' ยังว่าวไม่เป็นท่า

‘Mazda’ เปิดบูธภายใต้ธีม ‘Love of Cars’ ในงาน Motor Show พร้อมอวดโฉม ‘MX-30 e-SKYACTIV R-EV’ ที่ ‘สะดวกสบาย-ไปได้ไกลว่า’

เมื่อเร็วๆ นี้ มาสด้าเนรมิตบูธจัดแสดงรถยนต์ ภายใต้ธีม Love of Cars เพื่อถ่ายทอดความมุ่งมั่นของมาสด้าในการพัฒนาเทคโนโลยีและผลิตภัณฑ์แห่งอนาคตที่กำลังดำเนินไปตามกรอบระยะเวลา ตอบสนองความต้องการของลูกค้าผู้ที่หลงใหลในการขับขี่และรักในรถยนต์ โดยแบ่งโซนจัดแสดงบอกเล่าเรื่องราวที่มีลูกค้าอยู่ในทุกช่วงเวลา และมีรถยนต์มาสด้าเป็นพาร์ตเนอร์ในทุกประสบการณ์ ตอกย้ำการให้ความสำคัญที่มีลูกค้าเป็นหนึ่งในทุกการเติบโต สื่อสารอารมณ์ความรู้สึก ความสนุกสนานในการขับขี่ ความสุขในการใช้ชีวิต และอนาคตที่รถยนต์มีส่วนช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คน รวมถึงเปิดโอกาสให้ผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์ได้แบ่งปันความทรงจำที่มีต่อรถยนต์ร่วมกัน เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์อันดีระหว่างลูกค้าและแบรนด์มาสด้าให้แนบแน่นยิ่งขึ้น พร้อมปลุกตำนานโรตารี่ด้วยการจัดแสดงเทคโนโลยีแห่งอนาคต Mazda MX-30 e-SKYACTIV R-EV ที่ผสานการทำงานร่วมกันระหว่างระบบไฟฟ้ากับเครื่องยนต์โรตารี่ กลายเป็น Plug-in Hybrid ที่ให้ทุกการเดินทางสะดวกสบายและไปได้ไกลกว่า มาให้คนไทยได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด

มร. ทาดาชิ มิอุระ ประธานบริหาร บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปีนี้มาสด้าออกแบบบูธใหม่ทั้งหมด ภายใต้ธีม Love of Cars ได้แรงบันดาลใจจากการมีลูกค้าเป็นส่วนหนึ่งในทุกประสบการณ์ของการเดินทาง เป็นศูนย์รวมความสุขของผู้ที่รักในรถยนต์ โดยแบ่งโซนการจัดแสดงออกเป็น โซนแกลเลอรี่วอลล์ ที่ลูกค้าส่งภาพความประทับใจกับรถยนต์คันโปรด You and Mazda Moments ถ่ายทอดประสบการณ์ความสุขในทุกช่วงเวลาของลูกค้า ซึ่งเป็นปณิธานที่เรามุ่งหวังและตั้งใจที่จะส่งมอบให้กับลูกค้าทุกคน และยังได้รับการสนับสนุนจากผู้ที่รักในรถยนต์ 'The Memorable Love of Cars' เสียสละรถโมเดลผ่านทางมาสด้า เพื่อส่งต่อให้กับเด็กๆ เยาวชนที่ขาดแคลน ซึ่งมีผู้สละเข้ามามากกว่า 500 คัน และมาสด้าเพิ่มเติมอีก 1,000 คัน โดยจะเร่งส่งต่อรถโมเดลเหล่านี้ให้ถึงมือเด็กๆ โดยเร็วที่สุด

ส่วนไฮไลต์สำคัญ คือ การจัดแสดงเทคโนโลยี Multi-Solution มุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน ส่งมอบเทคโนโลยีที่มีความหลากหลายและมีความเหมาะสมในแต่ละภูมิภาค เพิ่มทางเลือกให้กับผู้ที่กำลังมองหารถยนต์ไฟฟ้า ในยุคที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากพลังงานเชื้อเพลิงไปสู่พลังงานไฟฟ้า หลายคนคงจดจำเครื่องยนต์โรตารี่ สัญลักษณ์แห่งการไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และความคิดสร้างสรรค์ นี่คือหนึ่งใน Multi-Solution เทคโนโลยีแห่งอนาคตจากมาสด้า การนำเทคโนโลยี e-SKYACTIV R-EV มาใช้กับรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดนี้ เป็นการปลุกฟื้นคืนชีพตำนานเครื่องยนต์โรตารี่ ต้นกำเนิดรถสปอร์ตมาสด้าหลากหลายรุ่นในอดีต ที่ถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงปัจจุบันกลายเป็นดีเอ็นเอสายพันธุ์สปอร์ตที่ทั่วโลกให้การยอมรับ

หัวใจหลักสำคัญของการพัฒนา MAZDA MX-30 e-SKYACTIV R-EV คือเครื่องยนต์โรตารี่ทำหน้าที่ปั่นกระแสไฟกลับเข้าสู่แบตเตอรี่ เครื่องยนต์ขนาด 830 ซีซี เล็กกว่าเครื่องยนต์ลูกสูบทั่วไปที่ให้กำลังใกล้เคียงกัน ให้พละกำลังสูงสุดถึง 170 แรงม้า ที่ 9,000 รอบต่อนาที ลูกสูบหมุน 1 โรเตอร์ ทำจากวัสดุอะลูมิเนียม น้ำหนักเบาเพียง 15 กก. ประกอบกับแบตเตอรี่ลิเที่ยมไอออนขนาด 17.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง เมื่อวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียวได้ระยะไกลถึง 85 กิโลเมตร ที่เกิดจากจากการชาร์จเพียงครั้งเดียว ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานในเมือง และเมื่อได้รับการปั่นเป็นพลังงานไฟฟ้ากลับเข้ามาจากเครื่องยนต์โรตารี่จะทำให้เพิ่มระยะทางในการขับขี่ได้ไกลกว่า 600 กิโลเมตร ทำให้ลูกค้าไม่ต้องกังวลกับการเดินทางไกลเพื่อออกไปหาประสบการณ์ใหม่ในการดำเนินชีวิต ซึ่งเกิดจากประสิทธิภาพของเครื่องยนต์โรตารี่ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงขนาดถัง 50 ลิตร มาผสานการทำงานของระบบมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวขยายระยะทางในการขับขี่ กลายเป็นเทคโนโลยี ปลั๊ก-อิน ไฮบริด ที่สมบูรณ์แบบที่มีต้นกำเนิดจากการทำงานของเครื่องยนต์โรตารี่ อันเกิดจาก 'จิตวิญญาณแห่งความท้าทาย' หรือ 'Challenger Spirit' อันมีเอกลักษณ์เฉพาะของมาสด้า

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า รถยนต์มาสด้าทุกรุ่นที่นำมาจัดแสดงภายในงานฯ ล้วนเป็นยนตรกรรมได้รับการถ่ายทอดปรัชญาของมาสด้า เพื่อยกระดับประสบการณ์ความสุขในทุกการขับขี่ และการใช้ชีวิตประจำวันในทุกๆ ด้านให้กับลูกค้าทุกคน ซึ่งรวมถึง การนำ NEW MAZDA MX-5 รถสปอร์ตโรดสเตอร์แบรนด์ไอคอนยอดนิยม ที่ได้รับการพัฒนาปรับปรุงใหม่ด้วยการผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ล้ำสมัย กับเทคโนโลยีที่ช่วยอำนวยความสะดวกในด้านการเชื่อมต่อ และเทคโนโลยีในการขับขี่ เพื่อถ่ายทอดปรัชญา จินบะ-อิตไต (Jinba-Ittai) ให้โดดเด่นสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ซึ่งผู้ขับขี่จะสามารถสัมผัสได้ถึงอัตราเร่ง และการควบคุมพวงมาลัยที่ตอบสนองได้อย่างดีเยี่ยม ฉับไว ไม่ว่าจะขับรถในเมือง ทางโค้ง หรือขับในสนามแข่ง

โดยเฉพาะในระบบเกียร์แมนนวลที่มาพร้อม DSC-TRACK ซึ่งเป็นระบบควบคุมเสถียรภาพและการทรงตัวของรถ (Dynamic Stability Control: DSC) ใหม่ ที่ใส่เพิ่มเติมเข้าในรถรุ่นนี้ เพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้เหมือนกับการขับรถแข่งในสนามแข่ง โดยระบบจะยอมให้เกิด Understeer หรือ Oversteer เพียงเล็กน้อย และระบบจะเข้ามาช่วยเหลือในกรณีที่ผู้ขับขี่ไม่สามารถควบคุมรถได้ หรือก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์รถหมุนเท่านั้น เพื่อช่วยควบคุมรถเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน จึงสามารถมอบความปลอดภัยให้กับผู้ขับขี่ได้ดียิ่งขึ้น และขับขี่ได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น ตอกย้ำถึงแนวทางในการพัฒนารถยนต์ของมาสด้าได้เป็นอย่างดี ในด้านการยกระดับคุณค่าประสบการณ์ของลูกค้าให้ครบทุกมิติ วางราคาจำหน่าย 3,029,000 บาท ดอกเบี้ย 2.49%1 ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี2 ฟรี โปรแกรมคุ้มครองและดูแลรถ 5 ปี Mazda Ultimate Service (MUS)3 ขยายการรับประกันคุณภาพเป็น 5 ปี และฟรีบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง 5 ปี

ทั้งนี้ มาสด้าจะยังคงเดินหน้าในการส่งมอบ ความสุขในการขับขี่ Joy of Driving ต่อไป ภายใต้คุณค่าหลัก ที่ให้ความสำคัญกับการมุ่งเน้น 'มนุษย์เป็นศูนย์กลาง' และมุ่งมั่นที่จะส่งมอบ 'ความสุขในการดำเนินชีวิต' ด้วยการสร้างสรรค์ประสบการณ์ความสุขให้กับชีวิตประจำวันของทุกคน

‘จอย ศิริลักษณ์’ ทำบุญให้ ‘ตั้ว ศรัณยู-ผู้เสียชีวิต’ ระหว่างชุมนุมพันธมิตร ย้ำ!! ศาลฯ ‘ยกฟ้อง’ ให้กับทุกท่าน ที่ทำความดี เพื่อประเทศชาติ

(30 มี.ค.67) หลังจากศาลพิพากษา 'ยกฟ้อง' คดีที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมปิดล้อมสนามบิน ช่วงปี 2551 โดยยกฟ้องจำเลยทั้ง 67 คนทุกข้อหา

ล่าสุดนักแสดงสาว 'จอย ศิริลักษณ์ ผ่องโชค' หนึ่งในผู้ต้องหาคดีดังกล่าว ได้ออกมาโพสต์ภาพทำบุญตักบาตรพระ เพื่อเป็นสิริมงคลและอุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับจากการชุมนุมผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว ด้วยแคปชันว่า

“ข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลนี้ให้ พี่ตั้ว ศรัณยู น้องโบว์ สารวัตรจ๊าบ 'ผู้เสียชีวิตระหว่างชุมนุมพันธมิตร' และ 'ผู้เสียชีวิตระหว่างต่อสู้คดี' ขอให้ทุกท่านโปรดรับรู้ว่า ศาลพิพากษา 'ยกฟ้อง' ท่านได้กระทำคุณงามความดีเพื่อประเทศชาติโดยแท้ ขอให้กุศลที่ท่านทั้งหลายได้เสียสละจนวาระสุดท้ายนั้น จงเป็นบารมีหนุนนำทุกท่านตลอดไป ทุกภพชาติ สาธุ”

ม่วนคัก! 'ระเบียบวาทะศิลป์-รัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์' เข้าร่วมคณะซอฟต์พาวเวอร์

เสริมทัพคณะซอฟต์พาวเวอร์ ให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม มีการอัพเดตจากทางคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านดนตรี โดยเพจเฟสบุ๊ก THACCA บอกข่าวว่า 'ทีมหมอลำ' เข้าร่วมเป็นหนึ่งของการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ประเทศไทย เพราะนี่คือส่วนผสมสำคัญที่ทำให้คนรู้จัก 'ไทย' ผ่านดนตรีในอีกมุมมอง สำหรับรายชื่อคณะอนุกรรมการฯ ชุดใหม่ ที่เข้ามาเสริมทีม ประกอบด้วย 

- สุมิตรศักดิ์ พลล้ำ ประธานภาคีหมอลำ และเจ้าของวงหมอลำ 'ระเบียบวาทะศิลป์' 
- ปราณี พระจันทร์ ผู้บริหารวงหมอลำ 'รัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์' 

สำหรับ 'ระเบียบวาทะศิลป์' และ 'รัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์' เป็นวงหมอลำที่เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง ได้รับการยอมรับว่าเป็นสุดยอดวงหมอลำแห่งยุคสมัย รวมถึงเป็นทีมเครือข่ายภาคีหมอลำประเทศไทยด้วย

โดยรายชื่อ คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม “ด้านดนตรี” ประกอบด้วย

1. วิเชียร ฤกษ์ไพศาล (ประธาน) - ประธานและผู้ร่วมก่อตั้งบริษัทเวย์-ที ครีเอชั่น จำกัด, ผู้ก่อตั้ง จีนี่ เร็คคอร์ดส์ และอดีตผู้บริหารบริษัทจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)
2. ชลากรณ์ ปัญญาโฉม - ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานดิจิทัล บริษัท เวิร์คพอยท์ เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน) และ ผู้บริหาร บริษัท ทีป๊อป อินคอร์ปอเรชั่น จำกัด
3. ภาวิต จิตรกร - ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม มิวสิค จำกัด (มหาชน) และ กรรมการบริหาร บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน)
4. พรพรรณ เตชรุ่งชัยกุล - ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาร์เอส มิวสิค จำกัด
5. ณฐพล ศรีจอมขวัญ - ประธานกรรมการ บริษัทลิขสิทธิ์ดนตรี ประเทศไทย จำกัด และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทสไปร์ซซี่ดิสก์ จำกัด

6. พงศ์นรินทร์ อุลิศ - ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แคทเรดิโอ จำกัด
7. สามขวัญ ตัมสมพงษ์ - กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอท เดอะ ดั้ก มิวสิค จำกัด
8. คาล คงขำ – กรรมการผู้จัดการ บริษัท วอร์นเนอร์ มิวสิค (ประเทศไทย) จำกัด
9. สุมิตรศักดิ์ พลล้ำ - ประธานภาคีหมอลำ ผู้บริหารวงหมอลำระเบียบวาทะศิลป์
10. ปราณี พระจันทร์ - ผู้บริหารวงหมอลำรัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์

11. พลกฤต ศรีสมุทร - กรรมการผู้จัดการ บริษัท วายยูพีพี เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด และ บริษัท แร็พอิสนาว จำกัด
12. พิเศษ จียาศักดิ์ - กรรมการเครื่องหมายการค้า และ ที่ปรึกษา บจ.ลิขสิทธิ์ดนตรี (ประเทศไทย) จำกัด
13. อนุชา โอเจริญ – ผู้ก่อตั้งค่ายเพลง Rats Records
14. อรศิริ ประวัติยากูร - หัวหน้าฝ่ายโปรเจ็กต์ต่างประเทศ ค่ายสมอลล์รูม และ อดีตผู้อำนวยการฝ่ายคอนเทนต์, เทนเซ็นต์ ไทยแลนด์ (สื่อ, บันเทิง)
15. พงศ์สิริ เหตระกูล - ผู้บริหารค่ายเพลง NO1R และสื่อ Nylon Bangkok
16. นัดส์ เจดีย์ - ผู้ก่อตั้ง Loudly Prefer
17. อนันต์ ลือประดิษฐ์ - ผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการอำนวยการสื่อ The People
18. ปิยะพงษ์ หมื่นประเสริฐดี - ผู้ร่วมก่อตั้งและกรรมการบริษัท ฟังใจ จำกัด 
19. ลลิส วรพชิรากูร (เลขานุการ) - ที่ปรึกษาและนักวางแผนกลยุทธ์เชิงพาณิชย์และการมีส่วนร่วมด้วยนวัตกรรม (ธุรกิจสร้างสรรค์และบันเทิง)

‘ดีอี - สธ.’ จับมือพัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุข เชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพประชาชนไว้บนระบบเดียวกัน ยกระดับ 30 บาท

เมื่อวานนี้ (29 มี.ค.67) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) และนายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันเปิดโครงการ ‘พัฒนาระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขของประเทศไทย’ ภายใต้กิจกรรมที่ 1 ‘การพัฒนาบริหารจัดการการแลกเปลี่ยนข้อมูลสุขภาพทั่วประเทศ’ โดยมีนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี พร้อมด้วยนายภุชพงค์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายธีรวุฒิ ธงภักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตลอดจนคณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กระทรวงดีอีและกระทรวงสาธารณสุข พร้อมผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมงาน ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว กรุงเทพฯ โดยภายในงานได้มีการเสวนา ในหัวข้อ ‘ความเป็นมาของโครงการ เป้าหมาย การใช้บริการ Cloud การ Exchange ข้อมูล’ ซึ่งมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ นายธีรวุฒิ ธงภักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และนายแพทย์สุรัคเมธ มหาศิริมงคล ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ กระทรวงสาธารณสุข

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอี โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สดช.) มุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งระบบคลาวด์กลางด้านสาธารณสุขเป็นสิ่งสำคัญและมุ่งมั่นให้บริการแก่ประชาชน โดยจัดให้มีระบบคลาวด์กลาง GDCC เพื่อให้บริการด้านการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลที่ปลอดภัยสำหรับหน่วยงานภาครัฐ สนับสนุนบริการภาครัฐตามยุทธศาสตร์ชาติ ทั้งนี้ การพัฒนาระบบสารสนเทศแพลตฟอร์มกลางบนคลาวด์มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับ รพ.สต.ทั่วประเทศ ที่ขาดแคลนบุคลากรด้านคอมพิวเตอร์และงบประมาณ ซึ่งระบบนี้จะได้รับการดูแล ปรับปรุงและพัฒนาจากหน่วยงานส่วนกลางแบบออนไลน์ เป็นการลงทุน สำหรับการพัฒนาและดูแลระบบที่มีต้นทุนต่ำ แต่สามารถเชื่อมโยงการดูแลสุขภาพทุกระดับ ระบบสารสนเทศจะมีระบบประมวลผลแบบกลุ่มเมฆ (Cloud Computing) ในรูปแบบ Private Cloud ที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งาน มีการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ ช่วยลดงบประมาณให้กับภาครัฐ ในระยะยาวได้ โดยกระทรวงดีอีจะดำเนินการจัดหา พัฒนา ดูแลระบบคลาวด์กลางสำหรับข้อมูลสุขภาพที่มีความปลอดภัย พร้อมกับการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

“สดช. และ สธ. ในฐานะหน่วยงานรัฐผู้ดำเนินงานให้บริการโครงการคลาวด์กลาง เชื่อมั่นว่าระบบนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการดูแลสุขภาพของประชาชน และเป็นการขับเคลื่อนสู่ Health 4.0 อย่างเป็นระบบ ซึ่งโครงการนี้ไม่เพียงแค่เป็นการปรับปรุงการบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพเท่านั้น แต่ยังเป็นการลงทุนที่สำคัญในการเดินหน้าของประเทศไทยสู่ Health 4.0 ที่จะช่วยสร้างพื้นที่ในการพัฒนาและส่งเสริมนวัตกรรมในด้านสุขภาพอย่างยั่งยืน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวย้ำ 

ขณะที่ นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มีนโยบายเร่งผลักดันการพัฒนาระบบสุขภาพระดับชาติ เพิ่มขีดความสามารถด้านสาธารณสุข สร้างบทบาทของนวัตกรรมด้านสุขภาพ รวมถึงสร้างสภาพแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐานด้านสุขภาพดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนทุกคน ทุกพื้นที่ มีโอกาสเข้าถึงบริการทางการแพทย์ได้อย่างเท่าเทียมกัน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีการพัฒนาระบบสุขภาพดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือ ‘แอปพลิเคชันหมอพร้อม’ แพลตฟอร์มสุขภาพดิจิทัลที่มีผู้ใช้งานกว่า 25.4 ล้านคน รวมถึงการพัฒนาโรงพยาบาลในสังกัดให้เป็นโรงพยาบาลอัจฉริยะ นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการให้บริการ มีการเชื่อมต่อข้อมูลสุขภาพของประชาชนบนฐานข้อมูลที่มีความปลอดภัย ช่วยให้ประชาชนเข้ารับบริการได้อย่างสะดวก รวดเร็วลดการรอคอยและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้

“สำหรับโครงการพัฒนาระบบคลาวด์กลางฯ ซึ่งเป็นความร่วมมือของกระทรวงสาธารณสุข โดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และ กระทรวงดีอี โดยสำนักงานคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ริเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2565 เป้าหมายสำคัญคือ การพัฒนาระบบบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพของโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั้งปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ตติยภูมิ และส่วนกลาง ให้อยู่บนระบบเดียวกัน รวมทั้งยกระดับการทำงานหน่วยงานรัฐด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัย พร้อมระบบรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ตามมาตรฐานสากล ISO 27001 ช่วยป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลหรือถูกโจรกรรม และสามารถนำข้อมูลสำคัญมาวิเคราะห์เพื่อวางแผนในการบริหารจัดการด้านการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทยได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งยังรองรับการขับเคลื่อนนโยบายยกระดับ 30 บาท รักษาทุกที่ด้วยบัตรประชาชนใบเดียว ที่ต้องมีการเชื่อมโยงข้อมูลสุขภาพจากโรงพยาบาลภาครัฐ โรงพยาบาลเอกชน คลินิก ร้านยา ร้านแล็บที่เข้าร่วมโครงการ ทำให้ผู้ให้บริการทางการแพทย์ทราบข้อมูลสุขภาพชุดเดียวกัน เช่น ประวัติการแพ้ยา แพ้อาหาร การรักษาที่ผ่านมา ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ สามารถให้การรักษาผู้ป่วยได้อย่างเหมาะสม” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าว

อนุชุมชนฯ ลงพื้นที่ฉะเชิงเทรา ขับเคลื่อนการเชื่อมโยงประโยชน์จากการลงทุนสู่ประชาชนและชุมชนในพื้นที่ อีอีซี

เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2567 คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการเชื่อมโยงประโยชน์จากการลงทุนสู่การพัฒนาพื้นที่และชุมชน นำโดย รองศาสตราจารย์มณฑล แก่นมณี ประธานอนุกรรมการ พร้อมด้วย นายธนาคม จงจิระ รองประธานฯ และอนุกรรมการ รวมทั้งผู้บริหาร สกพอ. นางธัญรัตน์ อินทร รองเลขาธิการฯ สายงานพื้นที่และชุมชน และเจ้าหน้าที่ สกพอ. นายอาทร เสริมศักดิ์ศศิธร ประธาน YEC และผู้ผแทน YEC ได้เดินทางลงพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อเรียนรู้แนวทางการช่วยเหลือเกื้อกูลกันของนิคมอุตสาหกรรม ฯ และชุมชนรอบโครงการอย่างเป็นรูปธรรม และการยกระดับผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาท้องถิ่นให้มีมูลค่าสูงขึ้นของวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ รวมถึงร่วมประชุมหารือกับหน่วยงานในพื้นที่และผู้นำท้องถิ่นเกี่ยวกับแนวทางการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกผ่านโครงการ EEC Tambon Mobile Team คณะอนุกรรมการฯ ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของ สกพอ. ได้ลงพื้นที่ประชุมหารือและศึกษาแนวทาง การดำเนินงาน 'เขาดิน โมเดล' 

ซึ่งเป็นตัวอย่างความสำเร็จของการช่วยเหลือเกื้อกูลและสนับสนุนส่งเสริมกันของนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ และชุมชนรอบโครงการทั้งด้านที่ดิน ด้านอาชีพ และด้านสิ่งแวดล้อม ณ ศูนย์เรียนรู้ “ทุ่งสมุนไพรป่าชายเลน” แห่งแรกของประเทศไทย โดยมีนางสาวกุลพรภัสร์ วงค์มาจารภิญญาประธานผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทคซิตี้ ให้การต้อนรับ ทั้งนี้ ได้มีการหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับแนวทางส่งเสริมผลิตภัณฑ์สมุนไพรในชุมชนให้มีมูลค่าสูงขึ้น และสามารถขยายช่องทางการตลาดได้มากขึ้น ซึ่งจะนำไปขยายผลในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมอื่น ๆ ต่อไป จากนั้น ได้เข้าเยี่ยมชมโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนและระบบกักเก็บพลังงานแบบครบวงจร ของบริษัท บริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นโรงงานที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน เกิดจากการร่วมลงทุนระหว่างกลุ่มบริษัทพลังงานบริสุทธิ์ กับ บริษัท อมิตา เทคโนโลยี (ไต้หวัน) ผลผลิตของโรงงานแห่งนี้ถือเป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญในการขับเคลื่อนการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ อีอีซี  

นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการฯ ได้ร่วมประชุมหารือร่วมกับนายศักรินทร์ ศรีสมวงศ์ นายอำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา และผู้นำท้องถิ่น ประกอบด้วย นายหิรัญ หริ่มเจริญ กำนันตำบลหนองตีนนก นายสมศักดิ์ ไหลไผ่ทอง ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ที่ 4 และนายเมืองแมน มนจ้อย ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 5 ตำบลหนองตีนนก และนายวิลาศ สุวินัย นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองตีนนก เป็นต้น เกี่ยวกับแนวทางการทำงานร่วมกันในการสร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับการพัฒนาพื้นที่ อีอีซี รวมทั้งการเตรียมพื้นที่และชุมชนให้มีความพร้อมและศักยภาพที่จะรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ผ่านโครงการ EEC Tambon Mobile Team จากนั้น ได้เข้าเยี่ยมวิสาหกิจชุมชนเกษตรผสมผสานและการแปรรูปตำบลหนองตีนนก ซึ่งได้รับรางวัลชมเชยจากการประกวดวิสาหกิจชุมชนดีเด่น ระดับจังหวัด ประจำปี 2567 วิสาหกิจชุมชนแห่งนี้เกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มกันของประชาชนในชุมชนเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารให้แก่สมาชิก ด้วยการปลูกผักและเลี้ยงสัตว์ด้วยวิธีการธรรมชาติ ให้สมาชิกมีอาหารที่ปลอดภัยอย่างเพียงพอ ส่วนรายได้ที่เกิดจาการจำหน่ายผลผลิตทางการเกษตรจะนำมาปันผลให้แก่สมาชิก และช่วยเหลือสมาชิกยามเจ็บป่วย มีการนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อลดต้นทุนการผลิตและรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งสอดคล้องกับการประกอบธุรกิจแบบ BCG โดยคณะอนุกรรมการฯ จะนำข้อมูลและบทเรียนแห่งความสำเร็จไปเป็นแนวทางในการขับเคลื่อนการเชื่อมโยงจากการลงทุนสู่พื้นที่และชุมชน ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญของคณะอนุกรรมการฯ ต่อไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top