Monday, 29 April 2024
TheStatesTimes

‘NBM’ แจง!! เหตุ ‘ชิ้นส่วน’ ร่วงใส่รถเก๋ง จนท.เทศกิจ หลังถูกร้องเรียน ชี้ ไม่ใช่อุปกรณ์จาก ‘รถไฟฟ้าสายสีชมพู’ แต่เป็นของจักรยานยนต์รุ่นหนึ่ง

(29 มี.ค.67) ฝ่ายประชาสัมพันธ์ บริษัท นอร์ทเทิร์น บางกอกโมโนเรล จำกัด (NBM) ผู้รับสัมปทาน โครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู ช่วงแคราย - มีนบุรี ชี้แจงกรณี เจ้าหน้าที่เทศกิจร้องเรียนสื่อว่า มีวัตถุปริศนาจากรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู ร่วงใส่รถเก๋งขณะพาลูกกลับบ้านว่า โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 มี.ค.67 ซึ่งเจ้าหน้าที่เทศกิจคนดังกล่าวได้เข้ามาร้องเรียน และเขียนใบคำร้องที่สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี (PK01) ในเวลา 8.30 น. ของวันที่ 27 มีนาคม 2567

อย่างไรก็ดี ทางเจ้าหน้าที่หน่วยงานความปลอดภัย (Safety) และเจ้าหน้าที่สถานี ได้ชี้แจงและทำความเข้าใจกับผู้ร้องเรียนไปแล้วว่าไม่ใช่ชิ้นส่วนของรถไฟฟ้ามหานคร สายสีชมพู เป็นเพียงชิ้นส่วนจากรถจักรยานยนต์รุ่นหนึ่งเท่านั้น ซึ่งผู้ร้องเรียนก็ได้รับทราบข้อเท็จจริงทั้งหมดแล้ว และยังยืนยันร่วมกันว่าน่าจะเป็นชิ้นส่วนของรถจักรยานยนต์มากกว่า และขอนำชิ้นส่วนดังกล่าวกลับไป

สตม.รวบนักธุรกิจไต้หวันคาคอนโดหรูหลังพบประวัติสวมบัตรตุ๋นนักลงทุนร่วมชาติก่อนเชิดเงินหนี มูลค่าความเสียหายกว่า 600 ล้าน

สืบเนื่องจาก สตม. ได้รับการประสานข้อมูลจากกรมการสอบสวน กระทรวงยุติธรรมไต้หวัน ผ่านทางสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย แจ้งข้อมูล MRS.MEILEE (นามสมมติ) อายุ 66 ปี สัญชาติไต้หวัน ผู้ต้องหาตามหมายจับของไต้หวันรายสำคัญ ซึ่งได้ก่ออาชญากรรมในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน โดยได้ชักชวนหลอกลวงนักลงทุนชาวไต้หวันให้มาลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ก่อนเชิดเงินลงทุนหนี ผู้เสียหายทั้งหมด 88 ราย มูลค่าความเสียหายรวม 608 ล้านบาท

พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.ต.ประสาธน์ เขมะประสิทธิ์ ผบก.ตม.1 และ พ.ต.อ.กาจภณ ปฐมัง ผกก.สส.บก.ตม.1 พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนรวบรวมข้อมูลจนทราบว่า MRS.MEILEE ได้เข้ามาประกอบธุรกิจให้กับบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยในตำแหน่งรองประธานกรรมการฯ ซึ่งจากการตรวจสอบบริษัทดังกล่าวพบความผิดปกติ ไม่ตรงตามหลักเกณฑ์หลายประการ ผบก.ตม.1 จึงได้ดำเนินการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของ MRS.MEILEE พร้อมกับได้สั่งการให้ชุดสืบสวนเฝ้าติดตามสืบสวนหาข่าวจนพบเบาะแสสำคัญจากสายลับในพื้นที่ว่า MRS.MEILEE มีบุตรสาว 1 คน ที่พำนักอยู่ในประเทศไทย ชื่อ น.ส.แสงดาว (นามสมมติ) ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลการเดินทางเข้าออกประเทศไทยและทะเบียนราษฎร์ ของ น.ส. แสงดาว พบว่า น.ส.แสงดาว เป็นคนไทย มีบัตรประชาชนแต่ได้ยื่นคำขอมีบัตรประชาชนเมื่อปี พ.ศ.2543 ในอายุประมาณ 18 ปี มีมารดาเป็นคนไทยชื่อนางดุจเดือน (นามสมมติ) แต่ไม่ปรากฏภาพถ่ายของนางดุจเดือนในฐานข้อมูล ชุดสืบสวนจึงได้ประสานงานกับสำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง เพื่อขอภาพถ่ายของนางดุจเดือนขณะทำบัตรประชาชนไทยครั้งแรกในช่วงประมาณปี พ.ศ.2542 จากการตรวจสอบพบว่าภาพถ่ายของนางดุจเดือนมีความคล้ายคลึงกับ MRS.MEILEE ชาวไต้หวัน ชุดสืบสวนจึงได้มุ่งประเด็นการสืบสวนหาตัว MRS.MEILEE ไปที่ น.ส.แสงดาว จนกระทั่งทราบว่าทั้งคู่ได้พักอาศัยอยู่ในคอนโดหรูแห่งหนึ่งย่านสุขุมวิท เจ้าหน้าที่จึงได้เฝ้าสังเกตการณ์จนกระทั่งได้พบ MRS.MEILEE จึงได้แจ้งหนังสือการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้ทราบและนำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. ดำเนินการตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ต่อไป

อนึ่ง จากการประสานข้อมูลกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องล่าสุด ทราบว่าได้มีการจำหน่ายบัตรประชาชนของ นางดุจเดือน ออกจากระบบเป็นที่เรียบร้อยก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนของการได้มาซึ่งบัตรประชาชนของบุคคลรายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง สตม. จะได้ดำเนินการสืบสวนขยายผลอย่างต่อเนื่องต่อไป สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิด ในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิม  พระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ต.บ้านใหม่  อ.ปากเกร็ด จว.นนทบุรี 11120 หรือติดต่อตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดในพื้นที่ หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง
 

'ศาลอาญา' ยกฟ้องพันธมิตรฯ ชุด 2 คดีปิดสนามบิน เหตุทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม เป็นประโยชน์ต่อชาติ

(29 มี.ค. 67) ที่ห้องพิจารณาคดี 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีม็อบ พธม.บุกสนามบินดอนเมือง หมายเลขดำ อ.1087 /56 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ฟ้องนายสุริยันต์ ทองหนูเอียด,นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์, น.ส.สโรชา พรอุดมศักดิ์, นายการุณ ใสงาม, นายวีระ สมความคิด, พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์, น.ส.ศิริลักษณ์ ผ่องโชค หรือจอย อดีตนักแสดงชื่อดัง ร่วมกับพวกรวม 67 คน เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันชุมนุมปลุกปั่นยุยงก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ

กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 24 พ.ย.- 3 ธ.ค.2551 พวกจำเลยที่ 1-14 ได้ร่วมกันชักชวนให้ประชาชนมาร่วมชุมนุมใหญ่โดยกระจายไปตามพื้นที่ต่าง ๆ และปิดล้อมอาคารวีไอพี ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งอยู่ในความครอบครองของสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และอยู่ในความดูแลของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) หรือทอท. และนำจานรับสัญญาณโทรทัศน์ของจำเลยไปติดตั้งใกล้เครื่องรับสัญญาณเรด้าร์ ของบริษัท วิทยุการบินฯ ปิดกั้นสะพานกลับรถ ตรวจค้นตัวจนท.บริษัท การบินไทย ร่วมกันขู่เข็ญใช้กำลังประทุษร้ายบุคคลและทรัพย์สิน ทำลายทรัพย์สินของบริษัท ของท่าอากาศยานไทยฯ เสียหาย 627,080 บาทเพื่อกดดันให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้นลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ

โดยก่อนฟังคำพิพากษา นายปานเทพ เปิดเผยว่า วันนี้ศาลนัดจำเลยในการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่สนามบินเมื่อปี 2551 ซึ่งใช้เวลาการพิจารณาคดีตั้งแต่เริ่มเกิดเหตุรวมแล้วเป็นปีที่ 15 การต่อสู้ในคดีรอบที่ผ่านมาแบ่งเป็นสองกลุ่มโดยกลุ่มที่หนึ่งถูกพิพากษาไปแล้วในชั้นศาลอาญา แกนนำบางส่วนถูกปรับ 20,000 บาท ที่เหลือยกฟ้องในทุกข้อหา สำหรับชุดที่สองเป็นคดีที่ต่อเนื่องกันแต่เนื่องจากมีจำเลยเป็นจำนวนมาก เป็นเหตุทำให้ศาลแบ่งออกเป็นสองคดี ทางเราก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลที่ เราต่อสู้มาในรอบหลายปีเพื่อมาสู่จุดนี้ว่าพวกเราทั้งหมดไม่เคยหนี ไม่เคยขอร้องอภิสิทธิ์ใด และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพในกระบวนการยุติธรรม แต่ในชั้นพิจารณาคดีจนถึงในชั้นการพิพากษาแม้กระทั่งการอยู่ในเรือนจำ

ส่วนคดีพันธมิตรไม่เคยได้รับอภิสิทธิ์ เพิ่งจะมีเมื่อวานนี้ที่อัยการไม่ฎีกาเป็นครั้งแรก ในกรณีของการชุมนุมที่หน้ารัฐสภาศาลชั้นต้นอุทธรณ์ได้ยกฟ้องทั้งหมด ที่เหลืออุทธรณ์ฎีกาทั้งหมดไม่เคยได้รับอภิสิทธิ์ และมีหลายคนต้องถูกโทษจำคุกไปแล้วในคดีการชุมนุมที่หน้าสถานีโทรทัศน์ NBT รวมไปถึงการชุมนุมในทำเนียบรัฐบาล และทั้งหมดก็พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเราทั้งหมดไม่ได้รับการอภิสิทธิ์ ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายตามกฎหมายทุกอย่าง

"อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้ต้องการอภิสิทธิ์ให้กับใครแม้กระทั่งกับพวกเราเอง แต่ตนอยากเรียกร้องให้คนที่รับอภิสิทธิ์ทั้งหลายได้รับโทษตามกฎหมาย ที่มาวันนี้ไม่เคยเรียกร้องอภิสิทธิ์ใด เพียงแต่เรียกร้องให้ทุกคนเท่าเทียมกันในกระบวนการยุติธรรม และชุดนี้เป็นชุดสุดท้ายในคดีของสนามบิน ซึ่งบางส่วนมีการฟ้องร้องกันยังไม่สิ้นสุดระหว่างการบินไทยมีการฟ้องร้องในคดีความแพ่งกับผู้ชุมนุมสนามบิน ส่วนคดี เรื่องของท่าอากาศยาน ฟ้องไปแล้วสิ้นสุดไปแล้วยึดทรัพย์บางส่วน แต่คดีนี้รอผลลัพธ์ทางคดีอาญาให้จบสิ้นก่อนเพราะมีการเรียกร้องในคดี ทั้งนี้ตนได้กล่าวทิ้งท้ายว่าวันนี้ต้องฟังคำพิพากษาก่อนว่าศาลจะว่าอย่างไร ถ้ามีผลเป็นลบต่อทางจำเลยทางเราต้องใช้สิทธิ์อุทธรณ์ และถ้ามีผลเป็นบวกไม่มีใครถูกลงโทษจะต้องรอดูว่าอัยการจะอุทธรณ์หรือไม่ หากอัยการอุทธรณ์ทางเราก็จะยื่นคำร้องแก้อุทธรณ์เช่นเดียวกัน และคาดว่าไม่เกินกลางปีนี้จะรู้ผลทุกอย่าง" นายปานเทพ กล่าว

ด้าน นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ อดีต รมว. อุตสาหกรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในจำเลยที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแกนนำของกลุ่มพันธมิตร กล่าวว่า ก่อนเข้ารับฟังคำพิพากษาในวันนี้ว่า จากคำตัดสินของชุดแรกก็รู้มีความมั่นใจว่าวันนี้ศาลจะตัดสินยกฟ้องเหมือนชุดแรก เพราะกลุ่มที่ 2 มีจำเลยทั้งหมด 67 คน ถูกเรียกว่าเป็นกลุ่มแนวร่วม ไม่ใช่กลุ่มแกนนำหลัก คาดว่าศาลน่าจะพิจารณาไปในทิศทางเดียวกัน แต่ส่วนคดีทางอาญาก็ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐานเฉพาะบุคคล

ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรได้เดินทางมาที่ศาลอาญาในวันนี้ด้วยเพื่อเป็นกำลังใจให้กับจำเลยชุดที่ 2 เนื่องจาก นายสนธิเป็นจำเลยในชุดแรก ที่ถูกพิจารณาคดีไปแล้วโดยการฟังคำพิพากษาวันนี้ศาลจะอ่านคำพิพากษาเมื่อจำเลยทั้ง 67 คนมาครบจำนวน ส่วนผู้ป่วยสามารถใช้สิทธิ์โดยรายงานตัวผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ได้

โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่าพวกจำเลย เป็นกลุ่มผู้ชุมนุมมาจากหลายอาชีพ ทั้งศิลปิน นักร้อง ดารา สื่อมวลชน อดีตเอกอัครราชทูตมาชุมนุม เพื่อคัดค้านการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งเป็นน้องเขยของนายทักษิณ ชินวัตร มีการทุจริตเชิงนโยบาย และศาลฎีกาแผนกอาญาองผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้พิพากษาจำคุกนายทักษิณ ชินวัตรหลายคดี โดยเป็นการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ ชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธไม่เป็นความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ฐานชุมนุมก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองฯ มาตรา 116 และพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไม่ผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง และข่มขืนใจผู้อื่น จึงมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมดทุกข้อหา

จากนั้นเวลา 11.30 น. ภายหลังการเข้าฟังคำพิพากษาโดยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตโฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้สัมภาษณ์ ว่า ในวันนี้ศาลอาญาพิจารณาประเด็นสำคัญ 5 ประเด็น ความยาว 51 หน้า มีข้อเท็จจริงยุติ 10 หน้า โดยสรุปแล้ว 

ข้อหาการฟ้องซ้ำ ศาลเห็นว่าด้วยพฤติการณ์ บุคคล ข้อหาคดีที่เคยมีการฟ้องร้องก่อนหน้านี้และจำเลยหนึ่งราย ร้องเป็นการฟ้องซ้ำการลงโทษจะซ้ำซ้อนหรือไม่ ศาลพิพากษาเห็นว่าพฤติการณ์ ข้อหา บุคคลที่เกี่ยวข้อง ระยะเวลาและสถานที่ เป็นคนละสถานที่ศาลจึงมีคำพิพากษาว่าไม่ได้เป็นการฟ้องซ้ำ และศาลมีสิทธิ์ที่จะพิจารณา

ส่วนพฤติการณ์ของรัฐบาล เป็นพฤติการณ์ที่เป็นสาเหตุของการชุมนุม โดยศาลวิเคราะห์จึงการวิเคราะห์ตั้งแค่การก่อตั้งของกลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และเหตุในปี 2551 คือความพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อล้มล้างความผิดคดียุพรรคพลังประชาชน ซึ่งทุจริตการเลือกตั้ง มีความพยายามแก้ไขมาตราใน กฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อนำไปสู่การยกเลิกอำนาจการตรวจสอบของคตส. ในคดีทุจริตคอรัปชั่น โดยศาลเห็นว่าทั้งสองประเด็นนี้ เป็นประเด็นของการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ รวมถึงการต่อต้านนำปราสาทเขาพระวิหารไปขึ้นเป็นมรดกโลกให้กับประเทศกัมพูชาแต่เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา นอกจากนั้นศาลยังได้พิจารณาถึงพฤติการณ์ทั้งหมด ว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรนั้น เป็นการชุมนุมภายใต้กรอบที่มีเหตุผลตามรัฐธรรมนูญ เนื่องด้วยตลอดระยะเวลาการชุมนุมจำเลยทั้ง 67 ราย ไม่ได้มีข้อพิสูจน์ใด ๆ ว่าเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบ หรือมีอาวุธอยู่ในครอบครอง ศาลจึงเห็นว่าไม่เข้าข่ายการก่อการร้าย การก่อกบฏ หรือก่อความวุ่นวาย

ส่วนเรื่องท่าอากาศยาน ศาลได้มีการพิจารณาวิเคราะห์ จากหลักฐานทั้งหมดด้วยพยานฝ่ายโจทก์เอง พบว่าไม่สามารถยืนยันว่าจำเลยทั้ง 67 คน ทำความผิดอย่างไรที่ก่อให้เกิดการขัดขวางท่าอากาศยานได้จริงในทางปฏิบัติ แม้แต่ดาวเทียม ซึ่งเป็นทีวีการถ่ายทอดสด ก็ไม่สามารถกระทบต่อสัญญาณการบินได้ และพื้นที่การชุมนุมไม่ได้กระทบต่อการบิน ดังนั้นด้วย พยานฝ่ายโจทก์ประกอบกับการที่พันธมิตรยุติการชุมนุมแล้วไม่เกิดความเสียหายสามารถดำเนินการบินและให้บริการได้ทันทีสะท้อนให้เห็นว่าไม่มีความเสียหาย ศาลเห็นว่าไม่มีความผิดในการขัดขวาง ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการบินและพื้นที่ชุมนุมไม่กระทบ หรือความเสียหายไม่ได้เกิดขึ้น

ส่วนการปะทะ ซึ่งอาจมีเกิดขึ้นระหว่างการชุมนุม เช่น พยามเข้าพื้นที่บางส่วนของผู้ชุมนุม การขัดขวางของเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วเป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวาย ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่เป็นการสั่งการของจำเลย 67 คน แต่อาจการกระทบกระทั่งแต่เป็นวิถีของการเกิดขึ้นเป็นปัจเจกบุคคล ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการสั่งการ การยั่วยุ ให้กระทำการรุนแรง ศาลพิจารณาจำเลยทั้ง 67 คน ล้วนมีเจตนาอย่างชัดเจน ว่าให้การชุมนุมเป็นไปอย่างสงบปราศจากอาวุธ และยับยั้งไม่ให้เกิดความรุนแรง ศาลจึงพิพากษาว่า การกระทำของภาครัฐในเวลานั้นทั้งการทุจริตการเลือกตั้ง การทุจริตคอรัปชั่นทั้งนายทักษิณ ชินวัตรและพวกเป็นเรื่องจริง และมีคำพิพากษาจำนวนมาก รวมถึงศาลพิจารณาการกลับมาของนายทักษิณ ที่หลบหนีไป 15 ปี และการกลับมาขอพระราชทานอภัยโทษ ด้วยข้อความว่าสำนึกผิด ยอมรับการกระทำความผิดแสดงให้เห็นว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร ฯ มีมูลเหตุของการเจตนารมณ์เป็นเรื่องจริง ดังนั้นการชุมนุมจึงไม่ใช่เป็นไปด้วยประโยชน์ส่วนตัวแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

และประเด็นสุดท้าย หลังศาลพิจารณาว่าเป็นการชุมนุมด้วยความสงบและปราศจากอาวุธศาลยังได้พิจารณา เรื่องการประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ศาลพิจารณาว่ารัฐธรรมนูญรับรองสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การออกพรก.ฉุกเฉิน ที่กระทำการลงไปเพื่อขัดขวาง งดเว้นสิทธิเสรีภาพของประชาชน จะต้องเป็นไปด้วยความชอบธรรมโดยเฉพาะการชุมนุมของพันธมิตรฯ แม้กระทบต่อการบินบ้างแต่ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมที่ยิ่งใหญ่ ดังนั้นศาลจึงเห็นว่าการกระทำความผิดพรก. ฉุกเฉินจึงไม่เข้าข่าย เพราะว่าได้รับการยืนยันว่าในเวลาต่อมา มีการหลบหนีคำพิพากษาของนายทักษิณ และการยอมรับความผิด แม้จำเลยจะกระทบต่อประชาชน ผู้ใช้สนามบินอยู่บ้าง แต่ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ จึงไม่เป็นความผิดฐาน ศาลจึงมีคำพิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด 67 คน

คำพิพากษาเป็นคดีประวัติศาสตร์ ซึ่งตนสรุปเพียงใจความสำคัญบางส่วนเท่านั้น แต่ความงดงามและความครบถ้วนของเนื้อหาไม่สามารถจะตัดทอนได้จากคำพิพากษาชุดนี้ จนอาจจะบอกว่าเป็นการเยียวยาความรู้สึกของพวกเราในฐานะผู้ที่ถูกกระทำมา 17 ปี ว่าพวกเราเป็นผู้ที่ถูกกล่าวหาด้วยโทษที่รุนแรง โทษถึงขั้นประหารชีวิตหรือการก่อการร้าย ทั้งที่คนเหล่านี้เป็นแค่พิธีกรเป็นประชาชน เป็นศิลปิน แต่คนที่อ้างเรื่องสิทธิเสรีภาพความเสมอภาค ไม่เคยออกมาเรียกร้องหรือเห็นใจของการชุมนุมของพวกเรา แต่คำพิพากษานี้ให้ความเป็นธรรมกับพวกเราที่ต่อสู้และเคารพขบวนการกระบวนการยุติธรรมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนทำให้จำเลยจำนวนมากที่มาฟังคำพิพากษา น้ำตาซึม และน้ำตาไหลออกมา เพราะพวกเขาเหล่านั้นได้รับความเป็นธรรมจากการพิสูจน์ตัวเองมายาวนาน 17 ปี

เมื่อถามว่าถูกริดรอนสิทธิ์มานานกว่า 10 ปี หากอัยการไม่ยื่นอุทธรณ์ จะมีการฟ้องกลับหรือไม่ นายปานเทพ กล่าวว่า ตั้งแต่การประทับรับฟ้องจำเลยทั้งหมดใช้สิทธิ์ในการชุมนุมเท่านั้น แม้ไม่ใช่แกนนำแต่ถูกกวาดดำเนินคดีอย่างไม่เป็นธรรมตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และพวกเขาเหล่านั้นสูญเสียอิสรภาพ ถูกตราหน้ามาตลอด 17 ปีว่าเป็นผู้ก่อการร้าย ผู้ยึดสนามบินผู้ ก่อความไม่มั่นคงทำลายประเทศชาติ เมื่ออ่านคำพิพากษาและพิสูจน์ความจริง เราได้พิสูจน์ตัวเองด้วยการสู้คดีและในคดีนี้แม้แต่ตนเองที่ไม่ใช่นักกฎหมายแต่ซักคัดค้านด้วยตนเองในสิ่งที่กระทบต่อตนเพื่อพิสูจน์ความจริง ดังนั้นพวกเราไม่ใช่อภิสิทธิ์ชน เราต่อสู้ในทุกประเด็นที่เราสู้ได้ ซึ่งศาลพิพากษาในคดีนี้ นอกจากการตราหน้าแล้วเราสูญเสียการเดินทางไปต่างประเทศ ต้องเสียเงินหลายแสนบาทเพื่อที่จะเดินออกไป ทั้งถูกบันทึกตลอดว่าพวกเราเป็นอาชญากร ทั้งที่พวกเราเป็นคนที่ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติและประชาชนคำนึงถึงการต่อต้านการทุจริตการเลือกตั้ง และการทุจริตคอรัปชั่น ซึ่งถือว่าเป็นคำพิพากษาที่งดงามที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา

‘Xiaomi’ ท้าชน!! เปิดตัว NEV รุ่น SU7 ที่พัฒนาเองครั้งแรก ราคาเริ่มต้น 1.1 ล้านบาท ครบครันทั้งสมรรถนะ-เทคโนโลยี

(29 มี.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เสียวหมี่ (Xiaomi) บริษัทเทคโนโลยีของจีน เปิดตัวรถยนต์พลังงานใหม่ที่พัฒนาขึ้นเองเป็นครั้งแรก รุ่นเอสยู7 (SU7)

โดยรถยนต์รุ่นดังกล่าวมาใน 3 รุ่นย่อย ได้แก่ เอสยู7, เอสยู7 โปร (SU7 Pro) และเอสยู7 แม็กซ์ (SU7 Max) ซึ่งจะจำหน่ายในท้องตลาดในราคา 215,900-299,900 หยวน (ราว 1.1-1.53 ล้านบาท)

รถยนต์เอสยู7 และเอสยู7 แม็กซ์ ถูกออกแบบให้มีพิสัยวิ่งขั้นต่ำ 700 กิโลเมตร โดยจะเริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าภายในปลายเดือนเมษายน ส่วนเอสยู7 โปร จะเริ่มส่งมอบภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม

เหลยจวิน ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของเสียวหมี่ กล่าวในงานเปิดตัวว่าบริษัทฯ สร้างความก้าวหน้าในการพัฒนาทางเทคโนโลยีในหลายสาขาสำคัญ เช่น การออกแบบโมเดล แบตเตอรี่ การขับขี่อัจฉริยะ และห้องคนขับอัจฉริยะ

ทั้งนี้ เสียวหมี่เข้าสู่ภาคส่วนยานยนต์พลังงานใหม่ในปี 2021 และสร้างโรงงานบนพื้นที่มากกว่า 700,000 ตารางเมตรในกรุงปักกิ่ง

ข้อมูลจากสมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศจีน ระบุว่าปริมาณการผลิตยานยนต์พลังงานใหม่ในจีนสูงถึง 1.25 ล้านคัน และมีการจัดจำหน่ายรถประเภทนี้ 1.21 ล้านคันในช่วงสองเดือนแรก (มกราคม-กุมภาพันธ์) ของปีนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.2 และร้อยละ 29.4 เมื่อเทียบปีต่อปี ตามลำดับ

‘เพจดัง’ แฉ!! ‘ร้านสุดโหด’ ทำโทษพนักงานมาสาย คว้าไม้เรียวฟาดกระหน่ำ แทนหักเงินนาทีละ 5 บาท

(29 มี.ค. 67) กลายเป็นประเด็นที่กำลังถูกพูดถึงไปทั่วโลกในขณะนี้ เมื่อทางบัญชี @RedSkullxxx ออกมาโพสต์คลิปวิดีโอผ่านทางเอ็กซ์ (X) เผยเหตุการณ์สุดช็อก

โดยระบุข้อความว่า “ลูกน้องเข้าสายปรับนาทีละ 5 บาท ถ้าไม่ให้หักเงินก็เปลี่ยนเป็นตีแทน นี่โกรธผัวแล้วมาลงกะลูกน้องป่าววะ หมดยุคทาสแล้วอิ…”

พร้อมแนบคลิปวิดีโอ หญิงสาวรายหนึ่ง ใช้ไม้เรียว กำลังฟาดชายคาดว่าเป็นพนักงานแบบรัว ๆ เสียงดังฟังชัด ท่ามกลางพนักงานคนอื่น ๆ ที่ยืนดู

ทั้งนี้ เมื่อโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป ก็กลายเป็นไวรัลไปทั่วโลกโซเชียล มีชาวเน็ตเข้ามาแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์กันยกใหญ่ มองว่าการกระทำดังกล่าวรุนแรงเกินกว่าเหตุ และเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะเป็นการทำร้ายร่างกาย วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และกรมแรงงานเข้าตรวจสอบ

>> ความคิดเห็นส่วนหนึ่งจากชาวเน็ต : 

- “มาอีกคนละคิดว่าทำแบบนี้แล้วไม่ผิด จะหักเงินเดือน หรือ ให้พักงานอะไรก็ทำไป แต่ทำแบบนี้ผิดแน่นอน ต่อให้เจ้าตัวยินยอมก็เถอะ เดี๋ยวก็จะมีเหตุผลหรือตรรกะแปลก ๆ ที่เข้าข้างตัวเองอีก”
- ลูกน้องก็ยอมเนอะ อยากถามว่า คนหรือxวายที่ยอมให้เขาตี ส่วนอีคนที่ออกกฎกับคนที่ตีxึงเป็นคนแบบไหน แล้วหักนาทีละ 5 บาท xึงจ่ายเงินเขาวันละเท่าไหร่ ถ้าวันละ 300 มาสาย 60 นาที เท่ากับไม่ได้ค่าแรง แล้วxึงจะทำงานทำไม แถมผิดกฎหมายด้วย เป็นxูแค่เห็นกฎ xูก็เดินออกจากร้านแล้ว คนนะไม่ใช่xวาย!

- นี่ ที่ทำงานรึ ? ถึงจะมีข้อตกลงกันไว้ ขอเถอะอย่าลงโทษกันด้วยการตีเลย ให้น้อง ๆ เขาทำเลยเวลาให้ ทำอย่างอื่นทดแทน ให้หักเงินก็ไม่มีใครอยากให้หักหรอก เขาถึงยอมให้ตีไง เพราะ 5 บาท 10 บาท มันก็คือเงิน สำคัญมากสำหรับคนที่มีรายได้รายวัน ซื้อน้ำกินก็ยังดี แต่น้อง ๆ เองก็ปรับปรุงตัวอย่างไปสายอีก
- มันตั้งกฎได้นะ ทำนองว่าสายกี่ครั้ง ๆ ก็ใบเตือน สะสมไปเรื่อย ๆ ไว้หักโบนัส เบี้ยขยัน อะไรก็ว่าไป ใช้แบบนี้พนักกงานฟ้องกรมแรงงานได้นะว่าใช้ความรุนแรงในสถานที่ประกอบการ

- คุกแน่นอน
- แล้วก็คือยอมให้เขาตี?
- แจ้งทำร้ายร่างกายได้ไหมอะ
- เป็นxูจะถีบให้
- แบบนี้ก็ได้เหรอ
- ฟ้องทำร้ายร่างกายเลย

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก เรื่องนี้จะจบลงอย่างไร คงต้องติดตามกันต่อไป

สัญญาณจาก ‘จ.จักรภพ’ ถึง ‘จ.จารุพงศ์’ ได้เวลากลับบ้าน เติมสีสัน ‘จันทร์ส่องหล้า’

“ผมได้คิดหลังจากเวลาผ่านไป ได้คิดว่าคนไทยจะมัวขัดแย้งกันอีกทำไม โลกมันเปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว...”

“ผมอยู่ข้างนอกนานพอแล้ว ครับ ขออนุญาตกลับบ้าน...” 

จักรภพ เพ็ญแข กล่าวผ่านติ๊กต็อก ขณะนั่งรถไปขึ้นเครื่องที่สนามบิน เดินทางกลับจากดูไบสู่มาตุภูมิที่จากไปนาน 15 ปี

วันพฤหัสบดีที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ไปรายงานตัวที่กองปราบปรามในฐานะผู้ต้องหาคดีข้อหาอั้งยี่ อาวุธปืน อะไรประมาณนั้น ภาพประทับใจของใครหลายคนก็คือ ภาพที่จักรภพก้มกราบพระบรมฉายาลักษณ์ ในหลวงรัชกาลที่ 10…

ขณะนี้จักรภพมีคดีติดตัวแค่ 2 คดีคือ ไม่ไปรายงานตัวกับ คสช. และ อั้งยี่/อาวุธปืน ส่วนคดีมาตรา 112 นั้นยกฟ้องไปนานแล้ว

จักรภพมั่นใจ เขาน่าจะต่อสู้คดีความ กลับมาเป็นอิสระและทำงานการเมืองและรับใช้ชาติได้ แต่จะไม่ให้กระทบกับพรรค (เพื่อไทย) และรัฐบาล หากกระทบก็จะอยู่เบื้องหลัง…

นับเป็นท่าทีท่วงทำนองที่ต้องยอมรับว่า...รู้ตัวตน รู้ประมาณ ลดอีโก้ที่ในอดีตเราเคยพบว่าจักรภพมีอยู่พอประมาณ และแน่นอนว่าถ้ามีโอกาสจักรภพก็น่าจะเป็นทรัพยากรคนสำคัญของพรรคเพื่อไทยหรือบ้านจันทร์ส่องหล้าได้…

จักรภพยังประกาศที่จะเป็นผู้ประสานให้เพื่อนพ้องน้องพี่ (คนเสื้อแดง) ที่มีคดีความอยู่ต่างประเทศเดินทางกลับบ้าน…ซึ่งตนเปรียบเสมือน ‘หนูลองยา’ ที่อาจทำให้หลายคนมีความมั่นใจที่จะกลับมา…

ก็นับว่าเป็นเจตนาดีของจักรภพ…แต่ก็ต้องกล่าวให้สิ้นกระแสความว่า จักรภพซึ่งมี ‘นายใหญ่’ จันทร์ส่องหล้าอุปการะอยู่นั้น คดีความไม่ได้หนักหนาสาหัสเหมือนอีกหลายคนที่ติดบ่วงคดีมาตรา 112 รวมอยู่ด้วย..ซึ่งนั่นดูเหมือนประตูโอกาสจะปิดเพราะยากที่จะชนะ…

ดังนั้นคนที่จะกลับบ้านได้แบบมีโอกาสหลุดรอดคดีได้ ต้องไม่มีคดี 112 เช่น จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ และจารุวงศ์ ผู้เป็นลูกชาย 

โดยจารุพงศ์นั้นเคยเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยและรมว.มหาดไทย...ที่เคยตั้งขบวนการเสรีไทยเพื่อสิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตย รับบทเลขาธิการ จักรภพรับบทผู้ประสานงาน ต่อสู้กับรัฐบาล คสช.

‘เล็ก เลียบด่วน’ ไล่เลียงดูแล้ว คนที่จะกลับมายกเว้นสองพ่อลูกเรืองสุวรรณแล้ว คนอื่น ๆ ที่อยู่ในสหรัฐฯ-ยุโรป ส่วนใหญ่ก็คงไม่กลับและกลับไม่ได้…เพราะส่วนใหญ่หนีคดีมาตรา 112

ขณะเดียวกันอย่างรายของ ‘จอม เพ็ชรประดับ’ อดีตสื่อมวลชนคนดัง แม้มีเพียงคดีเดียวคือไม่รายงานตัวต่อ คสช. แต่ก็เป็นผู้ลี้ภัยไปแล้ว และไม่เอาทักษิณ ก็คงไม่กลับมา…รวมทั้ง ‘สุนัย จุลพงศธร’ ก็เป็นผู้ลี้ภัยไปแล้วและหลายปีมานี้หาเลี้ยงชีพด้วยการ ‘ด่าเจ้า’ ก็คงไม่กลับมา…

หันมามองคนใกล้ตัวเพื่อไทยและทำมาหากินอยู่ใกล้ไทยคือ…กัมพูชา อย่าง กี้ อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง, วันชนะ เกิดดี และนิสิต สินธุไพร ที่โดนคดีจำคุก 4 ปี ไม่รอลงอาญา คดีล้มประชุมอาเซียนที่พัทยา เมื่อปี 2552 ก็คงไม่กลับมาเช่นเดียวกัน...ยกเว้นมีการออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมและกฎหมายครอบคลุมถึง…

ก็เอาเหอะ...ถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับว่า ‘หนูลองยา’ อย่างจักรภพ ก็หวังดีต่อเพื่อนพ้องน้องพี่ ซึ่งวันนี้หลายคนได้ก้าวไกลไปไกลจนยากจะก้าวใหม่แล้ว เพราะ กู่ไม่กลับ หลับไม่ตื่น ฟื้นไม่มี...เอวัง!!

‘กางเกงหอย’ ซอฟต์พาวเวอร์-อัตลักษณ์ ประจำหัวหิน นทท.แห่จอง-ซื้อติดมือเกลี้ยง เตรียมหยิบไปเล่นสงกรานต์

(29 มี.ค.67) นายกิติพงษ์ สิริเพชรเกษม ประธานกลุ่มเราเพื่อนกัน อ.หัวหิน จ.ประจวบฯ เปิดเผยว่า จากที่ กลุ่มเราเพื่อนกัน ร่วมกับ การการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานประจวบฯ อำเภอหัวหิน และเทศบาลเมืองหัวหิน

จัดกิจกรรม เดิน-วิ่ง ‘หัวหิน รักษ์เล#2 หัวหินถิ่นมีหอย HUA HIN THE CITY OF SHELLFISH’ ครั้งที่ 2 ขึ้น เมื่อเดือน ก.พ.67 ที่ผ่านมา พร้อมกับเปิดตัว ‘กางเกงหอย’ สื่อเรื่องราวหัวหินถิ่นมีหอยลงบนกางเกงในรูปแบบเดียวกับกางเกงช้าง โดยมีต้นแบบมาจากกางเกงแมวของโคราช

เพื่อให้เป็น Soft Power และเป็นอัตลักษณ์ของเมืองหัวหินอีกทางหนึ่ง และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากประชาชนนักท่องเที่ยว ทำให้มียอดจำหน่าย ‘กางเกงหอย’ ดีอย่างต่อเนื่องนับพันตัว และล่าสุดได้ไปเปิดจำหน่าย ‘กางเกงหอย’ ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ศูนย์การค้าหัวหินมาร์เก็ต วิลเลจ และได้รับความสนใจจากประชาชนนักท่องเที่ยวจำนวนมาก สั่งจองและซื้อติดมือเพื่อไปเล่นสาดน้ำในช่วงเทศกาลสงกรานต์นี้

“ขณะนี้ทางกลุ่มฯ ได้สั่งเพิ่ม ‘กางเกงหอย” ไปกับทางโรงงานอีกราวหนึ่งพันตัว โดยจากเดิมที่เป็นสีเขียว จะมีสีน้ำตาลอ่อนเพิ่มอีกหนึ่งสี เพื่อเป็นทางเลือกของของผู้สวมใส่ เนื่องจากมีประชาชนสอบถามเป็นจำนวนมาก โดย ‘กางเกงหอย’ ล็อตใหม่คาดว่า จะได้ราวสิ้นเดือนเมษายนนี้ ขณะที่ในปีนี้ที่ อ.หัวหิน ได้จัดงานเทศกาลสงกรานต์

“สงกรานต์ คอกระเช้า เสื้อลายดอก สืบสานประเพณีอันดีงามของไทย รับมรดกโลก และมีกิจกรรมมากมาย ที่ตลาดนัดแพไม้ รวม 3 วัน ตั้งแต่ 11-13 เม.ย.นี้ จึงขอเชิญชวนประชาชนนักท่องเที่ยวร่วมเล่นสาดน้ำสงกรานต์ได้ โดยเฉพาะคนที่สวมใส่ ‘กางเกงหอย หัวหิน’ มาเที่ยวภายในงาน ทางเราจะมีของที่ระลึกมอบให้ด้วย” นายนายกิติพงษ์ กล่าว

'ธรรมชาติทรายแก้ว' สร้างสิ่งแวดล้อมยั่งยืน ต่อยอดองค์กรหลากมิติสู่เป้าหมาย Net Zero

เหมืองแร่ธรรมชาติทรายแก้ว บูรณาการร่วมทุกหน่วยงาน ขับเคลื่อนองค์กรสู่เป้าหมาย Net Zero ตอกย้ำคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ดี วิจัยเพื่อใช้ 'ธรรมชาติบำบัด' บริหารจัดการน้ำเสีย ไม่กระทบชุมชน พร้อมวางโครงสร้างแน่นหนา ปลอดภัยต่อพนักงาน และชุมชนโดยรอบ

ไม่นานมานี้ นายวัลลภ การวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธรรมชาติทรายแก้ว จำกัด กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายทรายแก้วคุณภาพดีให้กับลูกค้า ได้ให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม และการมีธรรมาภิบาลที่ดี โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมอย่างครบถ้วน พร้อมสนับสนุนกิจกรรมทางสังคม วัฒนธรรม ประเพณี การศึกษา และสุขภาพให้แก่ชุมชนโดยรอบ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชนให้มีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน สู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ตามที่รัฐบาลไทยได้มีการประกาศไว้บนเวทีการประชุม COP26 

“ที่ผ่านมาบริษัทฯ ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมภายในเหมืองแร่ โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เป็นจุดเด่นในกระบวนการผลิต จนได้แร่คุณภาพ ได้มีการปรับปรุงโรงงานให้ทันสมัยเพื่อลดการใช้แรงงานคน มีการปรับปรุงภูมิสถาปัตย์เพื่อลดต้นทุนในการผลิต อาทิ ท่อส่งทรายแยกเป็นใยแมงมุมกองตามชนิดของทราย การสร้างกองทรายจำนวนมากสามารถเลือกกองที่ความชื้นน้อยไปขายให้ลูกค้าลดการเคลื่อนย้าย ตลอดจนแยกกองทรายตามชนิดที่ใช้ในอุตสาหกรรมซึ่งมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน จุดเด่นที่เป็นการลดการใช้พลังงานคือ มีการแยกแร่เหล็กออกจากทรายเมื่อผ่านการล้างและคัดขนาดเม็ดทรายแล้วถึง 2 ครั้งด้วยการผลิตผ่าน Double Spirals ที่ทำหน้าที่ในการแยกแร่หนักจนได้แร่ทรายแก้วคุณภาพ” นายวัลลภ กล่าว

ด้วยกระบวนการผลิตที่มีการใช้น้ำจำนวนมาก จึงต้องมีการวางแผนเรื่องการบริหารจัดการน้ำภายในกระบวนการผลิตไม่ให้กระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยได้ศึกษาและวิจัยก่อนการสร้างเหมืองแร่และโรงแต่งแร่เพื่อให้แน่ใจว่าจะวางโครงสร้างถูกต้อง มีการบำบัดน้ำที่รัดกุมและไม่สร้างความเดือดร้อนให้พื้นที่โดยรอบ โดยวางโจทย์ในเรื่อง 'ธรรมชาติบำบัด' ซึ่งหลังจากที่ปล่อยน้ำใช้ออกมาแล้ว ส่วนแรกจะมีบ่อทรายอยู่ข้างล่างช่วยดักตะกอน โดยธรรมชาติแล้วตะกอนจะมีน้ำหนักมากกว่าเมื่อเกิดการไหลเวียนไปในระยะทางที่ไกลขึ้น ก็จะมีตกตะกอนไปเรื่อย ๆ ซึ่งเราจะมีการคำนวณเรื่องระยะทางการไหลวนมาถึงปลายทางที่น้ำจะใสขึ้นเป็นลำดับจึงเชื่อมด้วยท่อลงสู่บ่อน้ำใสซึ่งพร้อมที่จะนำมาเวียนใช้ในการล้างทรายได้เหมือนเดิม

นายวัลลภ กล่าวต่อว่า สำหรับพื้นที่บริเวณโดยรอบโรงแต่งแร่และเหมืองแร่นั้นได้ร่วมกับพนักงานเพาะพันธุ์กล้าไม้ชนิดต่าง ๆ เพื่อปลูกในพื้นที่ซึ่งนอกจากช่วยปรับปรุงภูมิทัศน์ให้สวยงามน่าอยู่แล้ว ยังช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียว และช่วยจับฝุ่นละอองในอากาศได้อีกทางหนึ่ง ขณะที่พื้นที่ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ได้มีการบริหารจัดการพื้นที่ด้วยการปลูกต้นทุเรียน และต้นไม้ยืนต้น 

“ด้านกิจกรรมสาธารณประโยชน์ ได้ร่วมมือกับชุมชนและท้องถิ่นโดยรอบพัฒนาระบบสาธารณูปโภค อาทิ ปรับปรุงถนนคอนกรีตเสริมเหล็กข้างสำนักงานเทศบาลตำบล (ทต.) สุนทรภู่ หมู่ ที่ 1 ต.ชากพง อ.แกลง จ.ระยอง สนับสนุนงบประมาณก่อสร้างทางสาธารณประโยชน์ในหมู่ที่ 1 ต.ทางเกวียน อ.แกลง บริเวณถนน 344 บ้านบึง-แกลง ซอย 3 มาบรรจบที่ศาลาบ้านคลองน้ำขาว ระยะทาง 950 เมตร และสนับสนุนงบประมาณก่อสร้างสะพานข้ามคลองใช้ หมู่ที่ 1 จากถนนสาย 344 บ้านบึง-แกลง แยกเข้าซอย 3 ไปออกศาลาบ้านหนองน้ำขาว เพื่ออำนวยความสะดวกและเกิดความปลอดภัยในการสัญจรร่วมกันให้ประชาชน”  นายวัลลภ กล่าว

จากความร่วมมือของทุกคน เริ่มตั้งแต่ผู้บริหารผลักดันนโยบาย ไปสู่พนักงานในการนำระบบการจัดการดังกล่าวไปประยุกต์ใช้ ปฏิบัติ ควบคุม ติดตามผล และปรับปรุง ทบทวน พัฒนาจนบริษัทฯ ได้รับ รางวัล ElA Monitoring Awards ตั้งแต่ปี 2011 ที่จัดขึ้นโดยสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นับเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จที่สะท้อนถึงการดำเนินการต่าง ๆ ตามมาตรฐานสิ่งแวดล้อมที่ดีและการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

บริบทความเหมือนสไตล์ซุ้มส้ม 'ธิษะณา' ลืมชาติกำเนิด ด่ากราดบรรพบุรุษ ส่วน 'ก้าวไกล' ลืมว่า 'Leninism-Marxism' ไม่ใช่หมุดหมายที่ไทยเป็นอยู่

ทันทีที่คลิปซึ่งปรากฏภาพ ‘ธิษะณา ชุณหะวัณ’ สส.กทม. พรรคก้าวไกล อ่านตัวเลข 768,601,800 บาท ผิด ๆ ถูก ๆ ขณะอภิปรายงบประมาณของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ระหว่างการอภิปรายงบประมาณในวาระ 2 ซึ่งมีการถ่ายทอดสด จนมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในโลกออนไลน์นั้น 

ตัวเธอก็ได้ออกโพสต์ข้อความในแพลตฟอร์ม X (ทวิตเตอร์) ระบุว่า “สำหรับเรื่องที่กำลังไวรัลอยู่ ณ ขณะนี้ที่ดิฉันอ่านตัวเลขผิดในการอภิปรายงบประมาณวาระที่สอง และลงชื่อผิดมาตรา ดิฉันต้องกราบขออภัยพี่น้องประชาชนมา ณ ที่นี้ ที่ผ่านมาดิฉันไม่เคยผิดพลาดเช่นนี้มาก่อน เนื่องจากดิฉันมีอาการที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พักผ่อนน้อย (นอนไม่หลับเพราะอาการซึมเศร้า) ช่วงหลังๆ มาเมื่อมีการสูญเสียผู้ช่วยดำเนินการ จึงอาจจะส่งผลให้ทำผิดพลาดระหว่างการอภิปรายงบที่ไม่น่าให้อภัยได้ ดิฉันขอยืนยันว่าจะไม่ให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกเป็นอันขาด”

ธิษะณา ชุณหะวัณ เป็นลูกสาวของไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ หรืออาจารย์โต้ง อดีต สส. ระบบสัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ และเป็นหลานปู่ของพลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี และหลานปู่ทวดของจอมพล ผิน ชุณหะวัณ ผู้นำการรัฐประหารในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. 2490 และอดีตผู้บัญชาการทหารบก และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตร

ทั้งนี้ เมื่อ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2564 เธอได้เคยโพสต์ข้อความเกี่ยวกับการเมืองไว้ชิ้นหนึ่งบน Social Media ของเธอ โดยข้อความที่เธอโพสต์กระทบกับปู่และปู่ทวดผู้เป็นบรรพบุรุษของเธอไปแบบเต็ม ๆ 

จุดนี้ถือเป็นตัวอย่างหนึ่งของปัญหาในสังคมไทยคือ การหลงลืม ละเลย 'รากเหง้า' อันเป็นที่มาของตัวตนที่ได้เกิดออกมาเป็นผู้เป็นคนได้จนทุกวันนี้ จะโดยตั้งใจ หรือพลั้งเผลอ คิดไม่ทัน หรือลืมไป แต่ด้วยความที่เธอเป็นนักการเมือง ซึ่งเป็นบุคคลสาธารณะนั้น เวลาทำอะไรลงไป แล้วกลายเป็นจุดสนใจ ผู้คนก็จะพากันขุดค้นเรื่องราวและประวัติส่วนตัวของเธอมาเผยแพร่ในโลก Social อย่างต่อเนื่อง

ตัวเธอเองได้พูดบนเวทีหนึ่งว่า เธอเองสมาทานความคิด (ยืนยัน/ยึดมั่นในแนวความคิด) Leninism และ Marxism และขณะเดียวกัน เธอก็พยายามบอกว่า ด้วยความคิดฝ่ายซ้ายของเธอ ทำให้เธอตัดสินใจเข้าร่วมพรรคก้าวไกลหลังจากการยุบพรรคอนาคตใหม่ ทำให้เกิดความสงสัยในตัวตนของเธอว่า เข้าใจ Leninism และ Marxism หรือไม่ เพราะในโลกนี้เหลือประเทศที่มีระบอบการปกครองตามแนวคิด Communism (Communist state) เหลืออยู่เพียง 5 ประเทศ ได้แก่ จีน, คิวบา, เกาหลีเหนือ, เวียดนาม และลาว ซึ่งเป็น 5 ประเทศ Communist ที่ไม่ได้นำเอาแนวคิด Leninism และ Marxism มาใช้แล้วทั้งสิ้น แม้กระทั่งรัสเซียต้นกำเนิดแห่ง Leninism และนำ Marxism มาใช้เป็นประเทศแรกยังกลับกลายมาเป็นประเทศประชาธิปไตยไปแล้ว ในโลกแห่งความเป็นจริงจึงไม่มีประเทศใดบนโลกใบนี้ที่สามารถนำมายกเป็นตัวอย่างหรือเอ่ยอ้างถึงความสำเร็จของแนวความคิด Leninism และ Marxism มาใช้จนประสบความสำเร็จได้เลย   

ยิ่งไปกว่านั้น แม้พรรคก้าวไกลที่ ธิษะณา สังกัดเอง ด้วยความเชื่อว่า น่าจะเป็นพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย หากแต่แท้จริงแล้วกลับดำเนินงานทางการเมืองในลักษณะชิดแนบแอบอิงประเทศมหาอำนาจทุนนิยมตะวันตกมาโดยตลอด ซึ่งมีประจักษ์พยานอย่างชัดเจนมากมาย อาทิ การเข้ามายุ่งเกี่ยวแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของไทย การใช้ NGO ในการสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนในเครือข่ายของพรรคก้าวไกล ความพยายามในการแทรกแซงประเทศเพื่อนบ้านอันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อหลักการของ ASEAN กระทั่งการแทรกแซงการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงของประเทศ ฯลฯ 

หากเธอได้ทำการบ้าน ศึกษาเรียนรู้ถึงบริบทที่แท้จริงของสังคมไทยโดยรวมแล้ว ก็จะรู้ถึงปัญหาที่แท้จริงที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีทางที่จะแก้ไขได้สำเร็จด้วยแนวคิดตามความเชื่อของเธอ เพราะตัวอย่างที่เคยนำมาใช้ของประเทศ Communist ทั้งที่มีอยู่และกลายเป็นอดีต จะพบว่า ความพยายามในการนำแนวความคิด Leninism และ Marxism มาใช้ กลายเป็นเพียงการใช้กำลังปราบปรามและบังคับผู้เห็นต่างแค่นั้นเอง...

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของเขมรแดงเมื่อมีอำนาจในกัมพูชา บรรดาผู้เห็นต่างถูกสังหารไปหลายล้านคน บางส่วนก็อพยพหลบหนีออกนอกประเทศ ที่สุดกัมพูชาก็ต้องกลับมากปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเหมือนกับบ้านเรา และเชื่อว่าด้วยพฤติการณ์และพฤติกรรมที่ผ่านมาของกลุ่มชนที่สนับสนุนพรรคก้าวไกลเอง จะเห็นว่า ไม่มีใครเลยที่มีความเข้าใจในเรื่องของประชาธิปไตย ในเรื่องของสิทธิและเสรีภาพ ในเรื่องของการใช้สิทธิและเสรีภาพ ซึ่งต้องเริ่มจากการทำหน้าที่พลเมืองที่ถูกต้องและครบถ้วนก่อน 

หัดรู้จักการใช้สิทธิและเสรีภาพอย่างมีขอบเขต เป็นไปตามกฎหมาย และไม่ใช้สิทธิและเสรีภาพของตนล่วงล้ำสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น เพราะหากเป็นเช่นที่เป็นอยู่เยี่ยงนี้แล้ว สังคมไทยที่ธิษะณาและพรรคก้าวไกลพยายามขับเคลื่อนอยู่นี้จะเป็นได้เพียงสังคม 'คณาธิปไตย' (Oligarchy) ที่อยู่ในมือพรรคก้าวไกลเพียงเท่านั้นเอง  

‘แบงก์ชาติ’ ชี้ เศรษฐกิจไทยเดือน ก.พ. ยังโตต่ำ แม้ นทท.เพิ่มขึ้น เหตุส่งออกหด ลงทุนดีขึ้นบางหมวด แถมรัฐเบิกจ่ายงบ 67 อืด

(29 มี.ค.67) น.ส.ชญาวดี ชัยอนันต์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายองค์กรสัมพันธ์และโฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในเดือน ก.พ.67 โดยรวมขยายตัวอยู่ในระดับต่ำ โดยเศรษฐกิจในภาคบริการขยายตัวตามรายรับและจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นมาก โดยจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะจีน ซึ่งได้รับผลดีจากมาตรการวีซ่าฟรีและเทศกาลตรุษจีน ส่วนมาเลเซียมาจากการท่องเที่ยวก่อนการถือศีลอดในช่วงรอมฎอนที่เร็วกว่าปกติในปีนี้ รวมถึงญี่ปุ่นที่เข้ามา หลังชะลอไปในช่วงก่อนหน้า

น.ส.ชญาวดี กล่าวต่อว่า ด้านการลงทุนภาคเอกชนและการผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับดีขึ้นในบางหมวด ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนทรงตัว อย่างไรก็ตาม การลงทุนในหมวดก่อสร้างลดลงจากยอดจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง ขณะที่เครื่องชี้การบริโภคภาคเอกชนที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วทรงตัวจากเดือนก่อน โดยการใช้จ่ายในหมวดบริการและสินค้าไม่คงทน ส่วนหนึ่งยังได้รับผลดีจากมาตรการภาครัฐทั้งการอุดหนุนราคาพลังงานและการลดหย่อนภาษีต่อเนื่องจากเดือนก่อน ขณะที่การใช้จ่ายหมวดสินค้าคงทนลดลง โดยเฉพาะยอดจำหน่ายรถยนต์นั่งส่วนบุคคล

อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าไม่รวมทองคำปรับลดลง เนื่องจากหลายกลุ่มสินค้ายังถูกกดดันจากอุปสงค์โลกที่ฟื้นตัวช้า สินค้าคงคลังที่อยู่ในระดับสูง และปัจจัยเชิงโครงสร้างการผลิตของไทย โดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ตามการส่งออกชิ้นส่วนอุปกรณ์สื่อสารไปสหรัฐฯ รวมถึงการส่งออกแผงวงจรรวมและฮาร์ดดิสไดรฟ์ไปจีนและฮ่องกง ยานยนต์ตามการส่งรถกระบะไปออสเตรเลียเป็นสำคัญ และปิโตรเลียมจากการส่งออกไปอาเซียน มูลค่าการนำเข้าสินค้าไม่รวมทองคำที่ขจัดปัจจัยฤดูกาลแล้วเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ตามการนำเข้าสินค้าทุน

น.ส.ชญาวดี กล่าวอีกว่า ด้านการใช้จ่ายภาครัฐหดตัวจากทั้งรายจ่ายลงทุนและรายจ่ายประจำของรัฐบาลกลางเสถียรภาพเศรษฐกิจ ตาม พ.ร.บ. งบประมาณปี 2567 ที่ล่าช้า และรายจ่ายประจำที่หดตัวจากผลของฐานสูงในปีก่อนตามการเลื่อนเบิกจ่ายของหน่วยงานด้านการศึกษาเป็นสำคัญ

น.ส.ชญาวดี กล่าวต่อว่า ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปติดลบน้อยลงจากเดือนก่อนจากหมวดพลังงานเป็นสำคัญ ตามราคาน้ำมันกลุ่มเบนซินที่ปรับสูงขึ้นตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานลดลงเล็กน้อยตามราคาอาหารในหมวดพื้นฐาน จากผลของฐานสูงในปีก่อน ตลาดแรงงานทรงตัวจากเดือนก่อนโดยการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมที่ลดลงถูกชดเชยด้วยการจ้างงานในภาคบริการ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top