Tuesday, 14 May 2024
TheStatesTimes

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ห่วงใยชาวสระแก้ว มอบศาลาที่พักผู้โดยสาร เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์แก่ผู้ใช้รถใช้ถนน และเพื่อเป็นที่หลบแดดหลบฝน ณ บริเวณหน้าโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว

วันนี้ (วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม 2567) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์
และ นายรัชพร ประสงค์ทรัพย์ หัวหน้าแผนกสาธารณภัย นำทีมลงพื้นที่มอบศาลาที่พักผู้โดยสาร เพื่อเป็นสาธารณประโยชน์แก่ผู้ใช้รถใช้ถนน และเพื่อเป็นที่หลบแดดหลบฝน ณ บริเวณหน้าโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จำนวน 2 หลังติดกัน รวมเป็นมูลค่า 400,000 บาท (สี่แสนบาทถ้วน)  โดยมี นายสุเทพ ชัยวัฒน์ ปลัดจังหวัดสระแก้ว เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย คณะมูลนิธิสว่างสระแก้วธรรมสถาน เป็นผู้ประสานงานและร่วมในพิธี ณ บริเวณหน้าโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราชสระแก้ว จ.สระแก้ว

โครงการสร้างศาลาที่พักผู้โดยสาร มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ดำเนินการมาแล้วเป็นเวลา 18 ปี นับตั้งแต่ปีพ.ศ.2549  โดยมูลนิธิฯ ได้เล็งเห็นและห่วงใยประชาชนซึ่งมีจำนวนไม่น้อยใช้บริการรถโดยสารประจำทางเป็นกิจวัตรประจำวัน บางครั้งประสบปัญหา เรื่องไม่มีที่หลบแดดและฝนในขณะรอขึ้นรถโดยสาร ปัจจุบัน โครงการดังกล่าว ได้ขยายการดำเนินงานไปทั่วทุกภาคของประเทศ จนถึงขณะนี้ได้ดำเนินการสร้างไปแล้ว รวมจำนวน 246 หลัง

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปี ที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลายทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ”

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมการช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

## มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต ##
#แอปพลิเคชันป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

๒ เมษายน วันคล้ายวันพระราชสมภพ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2498 ณ พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต โดยเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์ที่ 3 ในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง

เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ ทรงเริ่มการศึกษาที่โรงเรียนจิตรลดา ก่อนจะทรงเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ต่อมาทรงสำเร็จการศึกษาและได้รับปริญญามหาบัณฑิตจากคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร และคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนั้นทรงเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาเอก ณ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และสำเร็จการศึกษาได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2529

สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระปรีชาสามารถในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านอักษรศาสตร์และดนตรีไทย พระองค์ทรงอนุรักษ์ ส่งเสริม และให้การอุปถัมภ์ในด้านศิลปวัฒนธรรมของประเทศ จนได้รับการทูลเกล้าฯ ถวายพระสมัญญาว่า ‘เอกอัครราชูปถัมภกมรดกวัฒนธรรมไทย’ และ ‘วิศิษฏศิลปิน’ ซึ่งต่อมา คณะรัฐมนตรียังมีมติให้วันที่ 2 เมษายน ของทุกปี เป็น ‘วันอนุรักษ์มรดกของชาติ’ เพื่อเทิดพระเกียรติที่พระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจในด้านการอนุรักษ์มรดกของชาติในสาขาต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก

นอกจากนี้ พระองค์ยังทรงประกอบพระราชกรณียกิจในด้านต่าง ๆ เช่น ด้านการศึกษา การพัฒนาสังคม โดยทรงมีโครงการในพระราชดำริส่วนพระองค์หลายหลากโครงการ อาทิ โครงการเกษตรเพื่ออาหารกลางวัน เริ่มต้นขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2523 ที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ในจังหวัดราชบุรี กาญจนบุรี และประจวบคีรีขันธ์ ก่อนจะขยายออกไปยัง 44 จังหวัดในพื้นที่ทุรกันดาร

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณอันเปี่ยมล้น ในวาระวันคล้ายวันพระราชสมภพ ประชาชนชาวไทยจึงขอน้อมถวายพระพร ขอทรงมีพลานามัยแข็งแรงยิ่งยืนนาน ทรงพระเจริญ

บลูเทค ซิตี้ เปิดทุ่งสมุนไพรป่าชายเลนตอนรับคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการเชื่อมโยงประโยชน์ จากการลงทุนสู่การพัฒนาพื้นที่และชุมชน

วันนี้ (29 มี.ค. 2567 ) ที่ทุ่งสมุนไพรป่าชายเลน ต.เขาดิน อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา กุลพรภัสร์ วงค์มาจารภิญญา ประธานผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทคซิตี้ ได้ให้การต้อนรับศาสตราจารย์ มณฑล แก่นมณี ประธานอนุกรรมการ การขับเคลื่อน การเชื่อมโยงประโยชน์จากการลงทุนสูการพัฒนาพื้นที่ชุมชน รวมทั้งคณะติดตาม ได้ร่วมลงพื้นที่มาเยี่ยมชมผลงานประชุมหารือและรับฟังแนวทางการดำเนินงาน "เขาดิน โมเดล" โดย คุณกุลพรภัสร์ วงค์มาจารภิญญา ประธานผู้บริหารนิคมอุตสาหกรรมฉะเชิงเทรา บลูเทคซิตี้ กล่าวว่า ในภาคธุรกิจเราสนใจทำธุรกิจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงได้ตั้งชื่อว่า BlueTech City ที่หมายถึงธุรกิจสีฟ้า เป็นธุรกิจพลังงานสะอาดเพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตแก่คนในสังคมไทยทุกชนชั้นวรรณะ ส่วนในภาคสังคมชุมชนท้องถิ่น เรามุ่งมั่นสร้างการอยู่ร่วมกันของอุตสาหกรรมกับชุมชน อย่างมีความสุขที่ยั่งยืน ซึ่งจากประสบการณ์ที่เราลงพื้นที่พบว่าการสร้างมิตรภาพในชุมชน ต้องใช้ใจทำงาน ใช้ใจแลกใจ โดยเราสามารถสรุปเป็นประสบการณ์ที่ทำสำเร็จ ในรูปแบบ "5 ก. โมเดล ดังนี้ ก.ที่ 1-เกียรติ คือ การให้เกียรติซึ่งกันและกัน เอาใจเข้ามาใส่ใจเรา ชาวบ้านมีปัญหาเราจะละเลยอยู่เฉยมิได้ จึงทำให้เกิดโครงการหมู่บ้านบลูเทคที่แก้ปัญหาที่อยู่อาศัย ทำให้ชาวบ้านมีบ้านเป็นของตนเอง ส่งผลให้เรามีเพื่อนบ้านที่ช่วยเหลือเกื้อกลูกันจนทุกวันนี้ ก.ที่ 2.กล้า คือ หัวใจต้องมีความกล้าหาญ กล้าคิด กล้าทำ กล้านำ กล้าเปลี่ยน จึงทำให้เกิดโครงการทุ่งสมุนไพรป๋าชายเลน ซึ่งเป็นเรื่องใหม่ที่ยังไม่มีใครกล้าคิดกล้าทำในเชิงพาณิชย์ จนในวันนี้เราสามารถโชว์ผลงานได้ทั้งเวชสำอางและผ้าย้อมสีธรรมชาติจากสมุนไพรป่าชายเลน ในพื้นที่ของเรา ก.ที่ 3. แก้ใข คือ การสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เป็นนักแปรปัญหาเป็นปัญญา มองหาโอกาสมากกว่าข้อจำกัด ก.ที่ 4.แกร่ง คือ การมีหัวใจภายในที่กล้าแกร่ง อดทนต่ออุปสรรคและปัญหา และ ก.ที่ 5 - กตัญญู คือ การมีความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณและแผ่นดินไทย
จากการมีอุดมการณ์ 5 ก.โมเดล ส่งผลให้เรามีกัลยาณมิตรมาช่วยงานมากมาย อย่าง 
โดยในวันนี้มีไฮไลท์ เด่นๆ อยู่ 4 เรื่อง คือ

1. ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง จาก เหงือกปลาหมอ
2. ผ้าย้อมสีสมุนไพรป่าชายเลน เป็นผ้าโลว์คาร์บอน
3. อาหารจากป่าชายเลน
4. การเพาะพันธุ์ลูกปูคืนสู่ธรรมชาติ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้เศรษฐกิจชุมชน
นอกจากนั้น เรายังมีแผนในอนาคตที่จะจัดตั้งศูนย์วิจัยมาตรฐานผลิตภัณฑ์ รวมทั้งพัฒนาพื้นที่แห่งนี้ ให้เป็นศูนย์เรียนรู้ดูงานสู่การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ และเป็นพื้นที่ฝึกงานของกลุ่ม Start Up ให้เป็นซิลิกอนวัลเลย์ เมืองนวัตกรรมเทคโนโลยีแห่งอนาคต ในเร็วๆนี้ โดยการจัดแสดงผลงานในรูปแบบ Blue'Tech City Model ในวันนี้ จะเป็นต้นแบบการพัฒนาสู่สังคมชุมชนท้องถิ่น นำไปสู่การอยู่ร่วมกันของอุตสาหกรรมกับชุมชน อย่างมีความสุข
ที่ยั่งยืนต่อไป

'วิทยา-รทสช.' ไม่ขัดข้อง!! เปิดกาสิโนถูกกฎหมาย แนะ!! แบ่งรายได้รายเดือนครึ่งหนึ่งให้ผู้สูงอายุทั่วประเทศ

'วิทยา แก้วภราดัย' รทสช.ไม่ขัดข้องเปิดกาสิโนถูกกฎหมาย แต่กังวลพวกลักลอบเปิดเถื่อนแข่งกับรัฐจะแก้ปัญหาอย่างไร แฉทุกวันนี้มีรถตู้รับนักเล่นจากอนุสาวรีย์ชัยฯ ไปเข้าบ่อนต่างประเทศทุกวัน พร้อมเสนอให้แบ่งรายได้เปิดกาสิโนรายเดือนครึ่งหนึ่งให้กับผู้สูงอายุทั่วประเทศ

เมื่อวันที่ (28 มี.ค. 67) นายวิทยา แก้วภราดัย สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้อภิปรายระหว่างการพิจารณารายงานผลการศึกษาเปิดให้มีสถานบันเทิงครบวงจรที่มีบ่อนกาสิโน หรือบ่อนการพนันถูกกฎหมายในประเทศไทยว่า ได้ติดตามการศึกษาเรื่องสถานบันเทิงครบวงจร การจะสร้างสถานบริการ สร้างโรงแรม กาสิโน ไนต์คลับ หอประชุมสรรพสินค้า หรือสถานบันเทิงอื่น ๆ ไม่น่าจะมีปัญหา แต่พอมีเรื่องแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายก็พอมองออกว่า คือความตั้งใจที่จะมีกาสิโน หรือการพนันที่ถูกกฎหมาย

ทั้งนี้ การพนันถูกกฎหมายในประเทศไทยมีอย่างเดียว คือสลากออมสิน กับสลากกินแบ่งรัฐบาล นอกนั้นที่เปิดอยู่ทั่วบ้านทั่วเมืองผิดกฎหมายทั้งหมด แถวบ้านตนในชนบททุกงานศพเวลามีการเล่นการพนัน มีคนมาเก็บรายวันและเหมาทุกจังหวัดระดับอำเภอ ระดับจังหวัดก็มีบ่อนการพนัน

ล่าสุดกลายเป็นความขัดแย้งในวงการตำรวจหน้าแตกกันทั้งประเทศ วันที่นายกรัฐมนตรีออกคำสั่งย้ายผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สังคมวิจารณ์กันว่า ตำรวจขัดแย้งกันแต่ไม่ใช่ เมื่อตำรวจคนหนึ่ง ทำผิดกฎหมาย ตำรวจอีกคนหนึ่งจะไปซูเอี๋ยกอดคอเลิกรากันไปเป็นไปไม่ได้

คนที่ทำผิดกฎหมาย ก็ต้องถูกคนมีอำนาจตามกฎหมายดำเนินคดี สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ตนกำลังจะชี้ว่า พอพูดถึงสถานบันเทิงครบวงจร เราก็พูดถึงบ่อนเสรี

“วันนี้ไปอนุสาวรีย์ชัยฯ มีรถวิ่งออกทุกชั่วโมงรับผู้โดยสารไปเล่นบ่อนต่างประเทศด้วย ทำกันมาอย่างเปิดเผย แต่วันนี้พอเราพูดถึงการทำให้การพนันถูกกฎหมาย กลายเป็นพูดถึงเรื่องบ่อนเสรี ซึ่งคนละเรื่องกัน บ่อนเสรีคือใครมีอำนาจก็เปิดบ่อนกันทั่วประเทศรับส่วยกัน ถึงขั้นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติไปพัวพันกับหวย และบ่อนออนไลน์” นายวิทยา กล่าว

สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า ปัญหาที่ตนฝากกรรมาธิการฯ คือ เมื่อเราเปิดสถานบันเทิงแบบกาสิโนแล้ว มีคนไปลักลอบเปิดโดยไม่ได้ขออนุญาตใครจะเป็นคนจัดการ แก้อย่างไร นี่คือปัญหาเรื่องใหญ่ ถ้าเปิดถูกกฎหมายค่าธรรมเนียมก็แบ่งกับท้องถิ่นไป แบ่งกับหน่วยงานไหนก็ว่ากันไป

นายวิทยา กล่าวต่อว่า แต่สิ่งที่ตนฝากให้คิดต่อ ถ้าจะแบ่งจริง ๆ ขอครึ่งหนึ่งแบ่งเป็นรายเดือนให้ผู้สูงอายุทั่วประเทศ จาก 600 บาทต่อเดือนอาจได้รับเป็น 5,000 บาทก็ได้ ตนไม่ขัดข้อง ถ้าทำให้ถูกกฎหมายและใช้ระบบควบคุมเอารายได้เข้ารัฐ แต่กังวลพวกที่จะเปิดเถื่อนแข่งกับรัฐจะแก้อย่างไร เหมือนทุกวันนี้ที่มีบ่อนทั่วประเทศ จนย้ายตำรวจแทบไม่ทัน

‘ท่านอ่อง’ โพสต์ ข้อความลงในเพจ เตรียมพบกับ ‘CMIC ประเทศไทย’ ศูนย์ข้อมูลที่ล้ำสมัย เพื่อช่วยเหลือ ปชช.-การแพทย์ไทย

เมื่อวานนี้ (29 มี.ค.67) ดร.นายแพทย์ จักรีวัชร วิวัชรวงศ์ โอรสองค์ที่ 3 ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้โพสต์ข้อความลงในเพจ Chakriwat Vivacharawongse ว่า

“ขอบคุณครับคุณ Rick สำหรับความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายและคำแนะนำสำหรับ CMIC ประเทศไทย ในวันนี้ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ขอบคุณมากสำหรับคำแนะนำและชี้แนะให้ผมไปในทิศทางที่ถูกต้อง พบกับ CMIC ประเทศไทย เร็วๆ นี้ครับ!”

สำหรับ CMIC ดร.นายแพทย์ จักรีวัชร ได้อธิบายในเพจ Chakriwat Medical Information Center ว่า

มารู้จัก 'CMIC' กับนายแพทย์จักรีวัชร! – โปรเจกต์ล่าสุดของ CMIC
CMIC: จุดประสงค์ของศูนย์ข้อมูลการแพทย์จักรีวัชร 

1. เพื่อช่วยให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคต่างๆ ตลอดจนสามารถถามคำถามกับแพทย์ผู้รักษาเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของตนเพื่อการดูแลรักษาที่ดีขึ้นและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแพทย์และผู้ป่วย โดยเราเริ่มต้นจากการเขียนบทความเกี่ยวกับสถานการณ์สมมุติทางการแพทย์เกี่ยวกับโรคต่างๆที่พบบ่อยโดยใช้ภาษาที่ง่ายและสนุกเพื่อให้ประชาชนอ่านอย่างไม่เบื่อและได้รับความรู้จากการอ่าน นอกจากการเขียนบทความแล้วเรายังได้จัด CMIC Outreach Program เพื่อออกไปพบปะกับประชาชนจริงๆ และพูดคุยให้ความรู้เกี่ยวกับโรคของพวกเขา

2. ช่วยเหลือนักศึกษาแพทย์และแพทย์จบใหม่ในการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเตรียมตัวสอบใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมของสหรัฐอเมริกา (USMLE) โดยจัดทำคลิปวิดีโอให้ความรู้ตลอดจนแนะนำกลยุทธ์ในการทำข้อสอบ ในเร็วๆ นี้ทาง CMIC จะมีโครงการใหม่ คือ Qbank เป็นการนำข้อสอบที่เหมือนกับการสอบจริงมาลงในแอปพลิเคชันเพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกทำ โดยจะมีการอัปเดตข้อสอบอย่างสม่ำเสมอ

เราหวังว่าจะได้จัดตั้ง CMIC office ในประเทศไทยเพื่อนำโครงการเหล่านี้ไปช่วยเหลือประชาชนไทยและนักศึกษาแพทย์/แพทย์ไทยให้มากขึ้นและใกล้ชิดยิ่งขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ โดยโครงการจะใช้เงินลงทุนจากเอกชนทั้งหมด

ทั้งนี้ CMIC ย่อมาจากคำว่า 'Chakriwat Medical Information Center'

'เอกนัฏ' ลั่น!! 'รทสช.' พร้อมหนุนแก้ รธน.หากไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 แนะ!! ไม่ต้องแก้ทั้งฉบับ เลือกแก้แค่หมวดที่ 'สร้างสุข-ปลดทุกข์' ให้ปชช.

เมื่อวานนี้ (29 มี.ค.67) ที่รัฐสภา นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้ร่วมอภิปรายระหว่างการพิจารณาญัตติ เรื่อง ขอเสนอญัตติตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2563 ข้อ 31 ให้รัฐสภามีมติขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญมาตรา 210 (2) ที่นายชูศักดิ์ ศิรินิล เป็นผู้เสนอว่า ญัตติที่เสนอโดยนายชูศักดิ์เพื่อขอมติที่ประชุมร่วมรัฐสภายื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาว่า การแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับต้องมีการทำประชามติหรือไม่ พวกตนเห็นด้วยจะได้สิ้นสงสัยว่ากระบวนการจะต้องทำอย่างไร ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยอย่างไร ทำประชามติก่อนหรือไม่จำเป็นต้องทำประชามติ พวกตนไม่ติดใจ น้อมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ สาเหตุที่ต้องอภิปราย เพราะหัวใจสำคัญเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ว่า จะต้องทำประชามติหรือไม่เท่านั้น แต่เป็นเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญและวิธีแก้รัฐธรรมนูญ สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติถ้าให้เลือกได้ เราเห็นความสำคัญของการเดินหน้าแก้ปัญหาให้ประชาชน รวมถึงการแก้กฎหมาย แก้ระเบียบ กติกาที่เป็นอุปสรรคมากกว่าการแก้รัฐธรรมนูญด้วยซ้ำ เพราะเชื่อว่ายังมีกฎระเบียบอีกหลายตัวที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้ชีวิตของประชาชน ถ้าสามารถได้จะคลายความทุกข์ให้ประชาชนสร้างความสุขให้ประชาชนมากกว่า

นายเอกนัฏ กล่าวว่า การแก้รัฐธรรมนูญถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะสมาชิกหลายคนหาเสียงไว้ตอนเลือกตั้งเราไม่ติดใจ แต่ขออนุญาตเตือนสติพวกเราว่า ถ้าเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญเกือบทั้งฉบับ นอกจากจะใช้เวลานานแล้ว มีความเสี่ยง จะสิ้นเปลืองงบประมาณจำนวนมาก มีการสรุปไว้ทุกครั้งที่มีการทำประชามติต้องใช้งบประมาณกว่า 3,200 ล้านบาท ถ้าทำประชามติ 3 ครั้งใช้งบเกือบหมื่นล้านบาท

“แต่ถ้าเราถอยกลับมาทบทวนว่า การแก้รัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องยกร่างใหม่ทั้งฉบับ เพราะในร่างที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้มีสิ่งดีๆ ที่เราควรรักษาไว้ ถ้ามีปัญหาอยากแก้ตรงไหนควรแก้ไขได้ทันทีไม่จำเป็นต้องทำประชามติให้เสียเวลา เสียงบประมาณ ผมเข้าใจมีเพื่อนสมาชิกหลายคนติดใจกังวลอยู่กับวาทกรรมเรื่องเผด็จการประชาธิปไตย และติดใจว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นผลพวงจากการทำรัฐประหาร ผมขออนุญาตย้อนข้อเท็จจริคือ รัฐธรรมนูญปี 2560 ผ่านความเห็นชอบตามระบอบประชาธิปไตย”นายเอกนัฏกล่าว

อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญปี 2560 เกิดขึ้นมี 2 ตอน หนังตอนแรก รัฐธรรมนูญทำจากสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ คณะรัฐมนตรี มาจากคสช. ทั้ง 4 ส่วนรวมกัน ตนไม่ปฏิเสธว่าทั้ง 4 ส่วนถ้าจะบอกว่ามาจากการแต่งตั้งของคสช. แต่หนังเรื่องนี้ถูกพับไปแล้วเพราะรัฐธรรมนูญที่ร่างมาถูกคว่ำ โดย สภาปฏิรูปแห่งชาติ แต่รัฐธรรมนูญ ปี 2560 ที่ใช้อยู่ทุกวันนี้เกิดจากการร่างรัฐธรรมนูญโดยผู้มีความรู้ความสามารถปราศจากการเมือง ได้รับความเห็นชอบจากการทำประชามติโดยประชาชนคนไทยทั่วประเทศ ได้รับเสียงเห็นชอบกว่า 15 ล้านเสียง มากกว่า 58 % มากกว่าครึ่งหนึ่งและเป็นเสียงส่วนมาก

เลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า นี่จึงเป็นเหตุผลที่ตนบอกว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้หลายคนยังจมอยู่กับวาทกรรมเผด็จการ และการทำรัฐประหาร ซึ่งไม่เป็นความจริง รัฐธรรมนูญฉบับนี้ร่างจากคนมีความรู้ความสามารถ ผ่านการทำประชามติและประชาชนส่วนใหญ่ได้ให้ความเห็นชอบ เป็นผลพวงจากการทำประชามติไม่ใช่รัฐประหาร หากเราจะเดินหน้าประเทศอย่าจมอยู่กับวาทกรรมการทำรัฐประหาร และสามารถเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราได้ แก้โดยสมาชิกที่มาจากการเลือกตั้งภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นหากจะเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญอย่าเสียงบประมาณ และเสียเวลา ยังมีทางเลือกที่จะเดินหน้าไปได้ด้วยกระบวนการประชาธิปไตย

“ผมไม่ติดใจหากเพื่อนสมาชิกคิดว่าจะต้องเดินหน้า ต้องไปแก้ไขเกือบทั้งฉบับ จนนำไปสู่การยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าสมควรทำประชามติหรือไม่ และหากมีการแก้ทั้งฉบับจริง จะต้องไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 สถาบันพระมหากษัตริย์ และไม่กระทบต่อการปราบปรามทุจริต สิ่งนี้คือจุดยืนของพรรครวมไทยสร้างชาติที่เคยนำเสียงสส. 36 เสียงไปเป็นหลักประกันไว้ตอนจัดตั้งรัฐบาลถือเป็นการแสดงจุดยืนอย่างเปิดเผยกับรัฐบาลนี้ พรรครวมไทยสร้างชาติยินดีโหวตให้ แต่ขอฝากผู้ดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้ายังจะเดินหน้าแก้ทั้งฉบับ ต้องระบุคำถามเป็นหลักประกันให้พวกเรา ไว้วางใจ ใส่ไว้ในคำถามว่า ไม่แก้ไขหมวด 1 หมวด 2 และในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามทุจริต ถ้าทำแบบนี้ได้พวกผมไว้วางใจทุกเสียงยินดีสนับสนุนมีมติให้รัฐสภายื่นญัตตินี้ไปถึงศาลรัฐธรรมนูญเพื่อดำเนินการในโอกาสต่อไป”นายเอกนัฏกล่าว

ลูกสาวชูวิทย์ ลงสตอรี่ไอจี สยบทุกข่าวลือ ย้ำ!! คุณพ่อยังไม่เสียชีวิต โชว์ภาพชูวิทย์ ยิ้มสดใส ให้กล้อง

(30 มี.ค.67) จากกรณี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง ได้เดินทางไปรักษาตัวจากโรคมะเร็งในต่างประเทศ ตั้งแต่ พ.ย. 2566 ซึ่งเป็นระยะเวลากว่า 5 เดือนแล้ว

ล่าสุด ต๊ะ ตระการตา กมลวิศิษฎ์ ลูกสาวของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ก็ได้โพสต์ภาพคู่กับคุณพ่อชูวิทย์ ลงในสตอรี่ไอจี บัญชี trakarntakamolvisit โดยภาพดังกล่าวคาดว่าถูกถ่ายที่ต่างประเทศ โดย นายชูวิทย์ มีใบหน้าสดใสยิ้มแย้มให้กล้อง

โดย ต๊ะ ตระการตา ระบุข้อความไว้ในภาพว่า “มีข่าวลือว่าพ่อเสียชีวิตแล้ว ขอย้ำนะคะ พ่อต๊ะยังไม่ตายนะคะ”

เคยสงสัยไหม? หากอยากไปอยู่ 30 ประเทศนี้ ต้องใช้เงินเท่าไหร่กันนะ??

‘ค่าครองชีพ’ คือ ค่าใช้จ่ายพื้นฐานในการดำรงชีวิต ซึ่งในแต่ละประเทศจะมีค่าครองชีพที่แตกต่างกันไป เนื่องจากมีความแปรผันตามเศรษฐกิจของประเทศนั้น ๆ ด้วย และจากการสำรวจของ livingcost.org ในประเด็นค่าครองชีพ ปี 2024 พบว่าประเทศโมนาโก มีค่าครองชีพสูงถึง 6,538 ดอลลาร์สหรัฐ ต่อเดือน หรือคิดเป็น 237,744 บาทต่อเดือน (อัตราแลกเปลี่ยน 29 มี.ค. 67)

สำหรับประเทศไทยเรานั้น ผลสำรวจพบว่า มีค่าครองชีพอยู่ที่ 790 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน หรือตกเดือนละ 28,727 บาทต่อเดือนนั่นเอง

นักวิจัย ในออสเตรเลีย ชี้ ‘งูเหลือม’ มีโปรตีนสูง เหมาะทำ ‘ฟาร์มปศุสัตว์’ เพื่อแก้ปัญหา ‘สภาวะขาดโปรตีนเฉียบพลัน’ ในกลุ่มประเทศยากจน

เมื่อเร็วๆ นี้ การวิจัยจากมหาวิทยาลัยแมกควอรี ในออสเตรเลีย นำทีมโดยนักวิจัยกิตติมศักดิ์ ดร. แดเนียล นาทัสช์ ได้ศึกษาฟาร์มงูเหลือมเชิงพาณิชย์ 2 แห่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่า 'งูเหลือม' สามารถเปลี่ยนอาหารเป็นการเพิ่มน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพอย่างน่าทึ่ง เมื่อเทียบกับปศุสัตว์ทั่วไป เช่น ไก่และโคเนื้อ

“งูเหลือมมีประสิทธิภาพในการแปลงอาหารให้เป็นโปรตีนและน้ำหนักตัวมากกว่าสัตว์ที่เลี้ยงเพื่อการบริโภคทุกชนิด งูเหลือมโตเร็วมาก เพียงแค่ปีเดียวหลังจากฟักออกจากไข่ ก็สามารถจับส่งขายได้แล้ว” ดร.นาทัสช์ กล่าว

นักวิจัยได้เก็บข้อมูลงูเหลือมร่างแห (Malayopython reticulatus) และงูเหลือมพม่า (Python bivittatus) ที่เลี้ยงในฟาร์มของประเทศไทยและเวียดนามเกือบ 5,000 ตัวเป็นเวลาหนึ่งปี พร้อมด้วยอาหารพวกมันที่ได้รับอาหาร รวมถึงน้ำหนักเนื้องู โดยไม่รวมผิวหนัง อวัยวะภายใน ศีรษะและหาง จากนั้นจึงนำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลที่มีอยู่ในสัตว์อื่น ๆ 

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โรคภัยไข้เจ็บ และปริมาณทรัพยากรธรรมชาติที่ลดลง ล้วนสร้างปัญหาให้กับการทำการเกษตรและปศุสัตว์ ซึ่งจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อผู้คนจำนวนมาก ในกลุ่มประเทศยากจน ที่อยู่ในสภาวะขาดโปรตีนเฉียบพลันอยู่แล้ว จนเกิดความไม่มั่นคงทางอาหารในวงกว้าง ทำให้ผู้คนต้องแสวงหาแหล่งอาหารทางเลือก

'เนื้องู' ถือเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูงและมีไขมันอิ่มตัวน้อยและเป็นแหล่งอาหารที่ยั่งยืน โดยมีการบริโภคอย่างแพร่หลายทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงในประเทศจีน ถึงแม้ว่าจะมีการเลี้ยงงูเหลือมขนาดใหญ่มากมายในเอเชีย ถึงขั้นเปิดเป็นฟาร์มเชิงพาณิชย์ได้ แต่งูกลับไม่ได้รับความสนใจจากวงการวิทยาศาสตร์การเกษตรกระแสหลักมากนัก ทั้ง ๆ ที่งูไม่ต้องการดูแลและอาหารมากเท่ากับสัตว์ชนิดอื่น

ปกติแล้ว นกและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสูญเสียพลังงานจากอาหารที่กินประมาณ 90% เพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกายให้คงที่ แต่สัตว์เลื้อยคลานที่เป็นสัตว์เลือดเย็นไม่ต้องเสียพลังงานไปกับการรักษาอุณหภูมิ พวกมันแค่ต้องการแสงแดดเพื่อทำให้ร่างกายอบอุ่นเท่านั้น

ดังนั้นงูเหลือมจึงสามารถเปลี่ยนแปลงสารอาหารที่พวกมันกินให้เป็นเนื้อและเนื้อเยื่อร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ มากกว่าสิ่งมีชีวิตเลือดอุ่นทุกชนิด

ดร.นาทัสช์ กล่าวว่า งูสามารถมีชีวิตอยู่ได้ด้วยน้ำค้างที่ตกลงบนเกล็ดของมันในตอนเช้า และกินสัตว์ฟันแทะ หรือสัตว์อื่น ๆ ที่ทำลายพืชอาหารของมนุษย์ พร้อมระบุว่า การศึกษาในครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าการทำฟาร์มงูเหลือมด้วยระบบปศุสัตว์ อาจให้การตอบสนองต่อความไม่มั่นคงด้านอาหารทั่วโลกได้อย่างและมีประสิทธิภาพ

ศ.ริค ชายน์ ผู้ศึกษาวิจัยร่วม กล่าวว่า นี่เป็นการศึกษาครั้งแรกที่เจาะลึกถึงต้นทุน และประโยชน์ของฟาร์มงูเชิงพาณิชย์ โดยผลการศึกษาชี้ว่าเกษตรกรผู้เลี้ยงงูเหลือมสามารถปรับตัวทางเศรษฐกิจและได้กำไรมากกว่าการทำฟาร์มสุกร

การศึกษาพบว่า มวลอาหารแห้งที่งูเหลือมเลี้ยงคือ 1.2 เท่าของมวลเนื้องู ซึ่งต่ำกว่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นปลาแซลมอน (1.5) จิ้งหรีด (2.1) สัตว์ปีก (2.8) หมู (6) และ วัว (10) 

เช่นเดียวกับน้ำหนักของโปรตีนที่ให้เป็นอาหารงูอยู่ที่ 2.4 เท่าของมวลน้ำหนักงู ต่ำกว่าสัตว์ชนิด ๆ ได้แก่ ปลาแซลมอน (3) จิ้งหรีด (10) สัตว์ปีก (10) หมู (38) และ วัว (83)

งูเหลือมหนึ่งตัว สามารถนำมาใช้บริโภคได้ถึง 82% ของน้ำหนักตัว ซึ่งนอกจากเนื้อสัตว์ที่นำมาบริโภคแล้ว ยังสามารถนำหนังไปใช้ทำเครื่องประดับหรือเฟอร์นิเจอร์ได้ ขณะที่ไขมัน หรือที่เรียกว่า 'น้ำมันงู' และ ดีงู (น้ำดีงู) สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้อีกด้วย

สัตว์เลื้อยคลานผลิตก๊าซเรือนกระจกน้อยกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมาก ระบบย่อยอาหารที่แข็งแรงของพวกมัน สามารถสลายกระดูกได้ ทำให้แทบไม่มีการสูญเสียน้ำและสร้างของเสียน้อยกว่าสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมาก

อีกทั้งงูยังให้กำเนิดลูกได้จำนวนมากในเวลาอันสั้น โดยงูเหลือมผลิตไข่ได้ระหว่าง 50-100 ฟองในหนึ่งปี ตรงกันข้ามกับวัวซึ่งให้กำเนิดลูกโดยเฉลี่ยเพียง 0.8 ตัวต่อปี ส่วนสุกรซึ่งสามารถตกลูกได้ประมาณ 22-27 ตัว 

ดร.นาทัสช์ กล่าวว่า ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เกษตรกรไม่สามารถขายสุกรได้ และมีต้นทุนมากเกินไปที่จะเลี้ยงต่อ สุดท้ายเกษตรกรจำเป็นต้องการุณยฆาตและฝังกลบ หรือเอาไปทำเป็นปุ๋ยหมัก แต่ถ้าเลี้ยงงูก็จะไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะงูเหลือมสามารถอดอาหารได้นานกว่า 4 เดือน โดยที่น้ำหนักแทบจะไม่ลดลงเลย  และกลับมาเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วทันทีที่ได้กินอาหาร ดังนั้นการเลี้ยงดูงูเหลือมจึงสามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าอาหารจะขาดแคลนก็ตาม

นอกจากนี้การเลี้ยงงูยังช่วยสร้างรายได้ให้แก่ชาวบ้านได้อีกด้วย “ฟาร์มบางแห่งมีนำลูกงูเหลือมไปให้ชาวบ้านช่วยเลี้ยง และจะรับซื้อคืนเมื่องูอายุครบหนึ่งปี ซึ่งเป็นการสร้างรายได้เสริมให้แก่ชาวบ้านวัยเกษียณ โดยพวกเขาจะมีต้นทุนเพียงแค่ค่าอาหารงู อาจจะเป็นสัตว์ฟันแทะหรือเศษอาหารต่าง ๆ ที่หาได้ในท้องถิ่น” ดร.นาทัสช์ กล่าว

ขณะที่ ศ.ชายน์ กล่าวว่าการศึกษานี้แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพอันน่าทึ่งของสัตว์เลื้อยคลานในการเปลี่ยนของเสียให้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ประโยชน์ได้ และแสดงให้ถึงโอกาสในการผลักดันให้งูกลายเป็นแหล่งอาหารทางเลือก แต่อย่างไรก็ตาม คงไม่ใช่ในเร็ว ๆ นี้ที่ชาวยุโรปและออสเตรเลียจะทดลองทำฟาร์มงู และนำงูมาบริโภค

“ผมคิดว่าคงอีกนานกว่าที่คุณจะได้เห็นเบอร์เกอร์งูเหลือมเสิร์ฟที่ร้านอาหาร”

อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทยงูเหลือมนั้นเป็น สัตว์ป่าคุ้มครอง ตามกฎกระทรวง กำหนดให้สัตว์ป่าบางชนิดเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง พ.ศ. 2546 โดยมีงูจำนวน 14 ชนิด ได้แก่

1. งูเขียวกาบหมาก (Gonyosoma oxycephalum)
2. งูจงอาง (Ophiophagus Hannah)
3. งูทางมะพร้าวเขียว (Gonyosoma prasina)
4. งูทางมะพร้าวดำ หรือ งูทางมะพร้าวมลายู หรือ งูหลุนชุน (Elaphe flavolineata)
5. งูทางมะพร้าวแดง (Elaphe porphyracea)
6. งูทางมะพร้าวลายขีด (Elaphe radiata)
7. งูทางมะพร้าวหางดํา หรืองูใบ้ หรืองูทางมะพร้าวถํ้า (Elaphe taeniura)
8. งูสิง (Ptyas korros)
9. งูสิงหางดํา (Ptyas carinatus)
10. งูสิงหางลาย หรืองูสิงลาย (Ptyas mucosus)
11. งูแสงอาทิตย์ (Xenopeltis unicolor)
12. งูหลาม (Python molurus bivittatus)
13. งูหลามปากเป็ด (Python curtus)
14. งูเหลือม (Python reticulatus)

ทั้งนี้สามารถขออนุญาตเพื่อเพาะพันธุ์จำหน่าย เพื่อความสวยงาม แปรรูปผลิตภัณฑ์หนัง แต่ไม่อนุญาตให้นำไปกินเป็นอาหาร

‘โจ มณฑานี’ โพสต์ ‘ยูทูบเบอร์เกาหลี’ ปลื้ม คนไทย ให้เกียรติ ยืนเคารพ ‘เพลงชาติเกาหลี’ ทึ่ง!! ไม่เคยเห็นมาก่อน

เมื่อวานนี้ (29 มี.ค.67) ‘โจ มณฑานี ตันติสุข’ นักเขียน นักจัดรายการวิทยุ พิธีกรและวิทยากรการเงิน ผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เกี่ยวกับ ยูทูบเบอร์เกาหลี ที่มีความประทับใจต่อคนไทย โดยได้ระบุว่า ...

เวลาเจอคนไทยบางจำพวกที่ประชดว่าทำไมต่างจังหวัดไม่เห็นเจริญเหมือนกรุงเทพ หรือเอาประเทศเราไปเปรียบกับเกาหลีใต้ ว่าเรายังไม่พัฒนา ยังดักดาน ไม่เจริญเท่าเค้าเลย พี่โจมักจะตอบเสมอว่า..ขึ้นกับว่าคุณวัดความเจริญที่ตึกระฟ้า ที่ไฮเทคโนโลยี 
***หรือวัดกันที่ความเจริญของจิตใจประชาชน**

คลิปนี้พี่โจเจอจากช่องยูทูบ 'มุมมองเพื่อนบ้าน' ค่ะ ดูแล้วปลื้มปริ่ม ตื้นตัน ใน “ความเจริญทางจิตใจของพี่น้องชาวไทยร่วมชาติ” จริงๆ ค่ะ เพราะยูทูบเบอร์เกาหลีผู้พูดไทยชัดมาก เขาไปดูบอลไทยเตะกับเกาหลี แต่ไปนั่งฝั่งกองเชียร์ไทยซะงั้น

แต่เมื่อเพลงชาติเกาหลีกระหึ่มขึ้นเขาตกใจมากที่เห็นกองเชียร์ไทย 50,000 กว่าชีวิตพร้อมใจลุกขึ้นยืนเคารพเพลงชาติเกาหลี อย่างมีระเบียบมีมารยาทงดงามยิ่ง ซึ่งเขาไม่เคยเห็นจากที่ไหนมาก่อนในชีวิต 

และในคอมเมนต์ใต้คลิปของคนเกาหลีล้วนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันไม่มีแตกแถวเลยว่าชื่นชมตื้นตันใจและขอบคุณคนไทยจริงๆ หลายคอมเมนต์ยังจดจำได้อีกว่าคนบางประเทศเมื่อได้ยินเพลงชาติเกาหลีในสนามฟุตบอล ก็ต่างส่งเสียงโห่ฮาป่า ตะโกนไล่อย่างไม่เคารพและเกรงใจ
นอกนั้นยังมีอีกหลายคอมเมนต์มาขอบคุณคนไทยที่ส่งทหารไทยไปช่วยรบในสงครามเกาหลี 

และมีอยู่คอมเมนต์หนึ่งที่ทำพี่โจน้ำตาแตกไปเลยค่ะ คือคอมเมนต์ที่เขาจำได้ว่า..ตอนเกาหลีไม่มีข้าวจะกิน อดอยากทั้งแผ่นดินนายกเกาหลีได้เดินทางมากราบทูลขอพระราชทาน 'ข้าว' จาก “ในหลวงของประเทศไทย” เพื่อให้ชาวเกาหลีรอดตาย

(พี่โจแคปคอมเมนต์คนเกาหลีแบบแปลออโต้มาให้แล้วนะคะ)

นี่ละค่ะ คือความเจริญศิวิไลซ์ที่แท้จริง และยิ่งใหญ่กว่าซอฟต์พาวเวอร์ใดในโลก
นั่นคือ #ความใจสูงของคนไทย จริงๆ ค่ะ

ดูคลิปแล้วน้ำตาเอ่อด้วยความสุดปิติและสุดภาคภูมิหัวใจจริงๆ   
https://youtu.be/mQBKVIof5NQ?si=uwFSZrKb0ImAOEtW

ลิงก์ต้นฉบับช่องเกาหลีนะคะ ลงคลิป 17 ชม. คนดูจะสองแสนวิวแล้วววว!!
ช่วยกันไปกดไลก์เขียนคอมเมนต์ให้กำลังใจเจ้าของช่องกันเยอะๆ นะคะ https://youtu.be/7ul2zcQmK48?si=rq71OvSucvgZOd87 นาทีที่ 8 กว่าค่ะ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top