Friday, 6 June 2025
TheStatesTimes

เปิดประวัติ-ผลงานเด่น!!

‘อนุชา นาคาศัย’ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สส.ชัยนาท เขต 1 อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กรรมการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

อีกทั้งยังเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการนำพาคนไทยรอดพ้นจากวิกฤตโควิด-19 และเป็นประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน จากการเสนอขายหรือขายสลากกินแบ่งรัฐบาลในราคาเกินกว่าที่กำหนดในสลากกินแบ่งรัฐบาล

และด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา ก็ได้รับการยอมรับขึ้นแท่น สู่ว่าที่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ใน ‘ครม.เศรษฐา ​1’

เปิดประวัติ-ผลงานเด่น!!

เปิดประวัติ-ผลงานเด่น!!

‘พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล’ สส.นครศรีธรรมราช เขต 10 สส. 4 สมัย ผู้มากประสบการณ์ในงานการเมืองระดับชาติและท้องถิ่น โดดเด่นจนมีโอกาสได้รับแต่งตั้งเป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหาคลื่นทะเลกัดเซาะชายฝั่งและการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลอย่างเป็นระบบ ในสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 25

อีกทั้งยังเป็นผู้นำแนวคิด ‘วาระเมืองสิชล’ ที่สามารถระดมความคิด ความร่วมมือจากท้องถิ่นรอบด้าน มาแก้ไขปัญหาต่างๆ จนกลายเป็น ‘ขวัญใจคนคอนฯ’ 

และวันนี้ ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา ก็ได้รับการยอมรับขึ้นแท่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม คนล่าสุดใน ‘ครม.เศรษฐา 1’

'นพ.กวิน' สำรวจ!! นโยบายสาธารณสุขของพรรคเพื่อไทย เห็นด้วย!! สร้างรพ.รัฐขนาด 120 เตียงขึ้นไปประจำทุกเขตในกทม.

(3 ก.ย. 66) นายแพทย์กวิน ก้านแก้ว แพทย์ผู้อุทิศตนให้กับการรักษาคนไข้โดยไม่เคยย่อท้อ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Kawin Kankeow' ระบุว่า...

หนึ่งในนโยบายด้านสาธารณสุขของพรรคเพื่อไทยที่ผมเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งคือ กทม.ต้องมีโรงพยาบาลรัฐขนาด 120 เตียงขึ้นไปประจำทุกเขต

หลายคนอาจไม่เห็นด้วยกับนโยบายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือ 30 บาทรักษาทุกโรค ยิ่งในช่วงหลังมีการพูดถึงว่าเป็นต้นเหตุทำให้ภาระงานของบุคลากรสาธารณสุขเพิ่มมากขึ้น ผมไม่คิดเช่นนั้นครับ 

ผมคิดว่านโยบายหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหรือ 30 บาทรักษาทุกโรค คือการปฏิวัติระบบบริการสุขภาพที่เป็นประโยชน์อย่างมากกับคนไทยอย่างแท้จริง ก่อนหน้านี้คนยากจนมีโอกาสเข้าถึงการรักษาโรคได้โดยผ่านการสงเคราะห์ และด้วยนโยบายดังกล่าวทำให้คนไทยทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจนมีโอกาสเข้าถึงการรักษาโรคได้อย่างเท่าเทียมกันและเสมอภาคกัน

ฉะนั้น ผมจึงไม่เห็นด้วยเลยกับนโยบายการร่วมจ่ายของประชาชน เพราะเมื่ออยู่ในท้องถิ่นทุรกันดารเงินหลักร้อยบาทขึ้นไปก็ไม่ใช่เงินจำนวนที่ทุกคนมีพร้อมจะจ่าย

ทุกวันนี้ผมคิดว่าทุกจังหวัดของประเทศไทยยกเว้นกรุงเทพมหานคร ประชาชนสามารถเข้าถึงการรักษาโรคได้อย่างเหมาะสมแล้วผ่านการให้บริการของโรงพยาบาลรัฐในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข

แต่สำหรับกรุงเทพฯ โรงพยาบาลที่ให้บริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติส่วนใหญ่เป็นโรงพยาบาลเอกชน เพราะโรงพยาบาลรัฐในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในกรุงเทพฯ มีน้อยมากๆ

ความแตกต่าง คือ การพิจารณาการใช้ทรัพยากรในการรักษาและการส่งต่อผู้ป่วยสำหรับโรงพยาบาลรัฐย่อมมีข้อจำกัดน้อยกว่าโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งมีปัจจัยเรื่องเงินเป็นตัวตั้ง

จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมพบว่าผู้ป่วยที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ เข้าถึงการรักษาในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ด้อยกว่าผู้ป่วยที่อาศัยอยู่ต่างจังหวัด บางกรณีการลงทุนย้ายไปรักษาที่โรงพยาบาลรัฐในต่างจังหวัดสำหรับคนกรุงเทพฯ อาจจะคุ้มกว่าด้วยซ้ำ

ดังนั้น การที่จะมีนโยบายสร้างโรงพยาบาลรัฐในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น ย่อมทำให้คนกรุงเทพฯ เข้าถึงการรักษาโรคต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ส่วนตัวผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องสร้างทุกเขต ควรจะสร้างโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่เป็นจุดๆ ดีกว่า เพราะการเดินทางในกรุงเทพฯ สะดวกสบายอยู่แล้ว และการสร้างโรงพยาบาลเล็กๆ หลายๆ แห่งมีความสิ้นเปลืองในแง่ของการกระจายทรัพยากรที่มากกว่า

นอกจากนโยบายการสร้างโรงพยาบาลรัฐในกรุงเทพฯ แล้ว การเปลี่ยนแปลงในระบบสาธารณสุขที่ผมอยากเห็นอีกประการหนึ่งคือ การกำหนดโครงสร้างให้โรงพยาบาลและสถานบริการสาธารณสุขของรัฐในแต่ละจังหวัดเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อยู่ภายใต้ผู้บริหารที่สามารถกำหนดนโยบายและทิศทางการทำงานได้ทั้งจังหวัด

...และไม่เห็นด้วยเลยกับการนำโรงพยาบาลและสถานบริการสาธารณสุขไปสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น การที่โรงพยาบาลแต่ละแห่งในจังหวัดอยู่ภายใต้การกำกับดูแลเป็นเอกเทศไม่ขึ้นแก่กัน ทำให้ทิศทางการพัฒนาเป็นไปอย่างสะเปะสะปะและไม่เกิดการแชร์ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดร่วมกัน

โรงพยาบาลรัฐทุกแห่งไม่จำเป็นต้องพยายามเพิ่มศักยภาพให้เท่าเทียมกันหมด ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลที่อยู่ในอำเภอเล็กๆ ซึ่งอยู่ใกล้โรงพยาบาลจังหวัดมากๆ อาจไม่จำเป็นต้องมีการรักษาที่ซับซ้อน เช่น การผ่าตัดหรือการคลอดบุตร เลย การที่มี CEO ของจังหวัดในการวางแผนการให้บริการสาธารณสุขทั้งจังหวัดจะทำให้การจัดสรรทรัพยากรกระจายได้อย่างเหมาะสมกว่า

นอกจากนี้สิ่งที่ผมอยากเห็นอีกอย่างคือ การควบรวมสิทธิการรักษาหลักทั้งสามคือ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ, ระบบประกันสังคม และระบบสวัสดิการรักษาของข้าราชการ เข้าด้วยกัน

ถ้าเรามั่นใจว่าปัจจุบันระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติทำได้ดีแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีระบบอื่นอีก เพราะการดูแลรักษาคนไทยทุกคนควรมีมาตรฐานเดียวที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียมกัน และระบบประกันสังคมควรจะดูแลเฉพาะในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษาโรค เช่น การออมเงิน การชดเชยรายได้ ในขณะที่ข้าราชการอาจได้สิทธิบางอย่างเพิ่มเติม เช่น ค่าบริการห้องพิเศษ

...เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นแพทย์ ก็หวังว่าจะได้เห็นนโยบายดีๆ เกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ครับ

‘เศรษฐา-สุทิน’ ร่วมวงทานข้าวกับ ‘ผบ.เหล่าทัพ’ กระชับความสัมพันธ์ ขอให้ทหารช่วยพัฒนาประเทศ-เป็นแบ็กอัป จับมือทำงานไปด้วยกัน

(3 ก.ย. 66) ที่โรงแรมโรสวูด ย่านเพลินจิต กทม. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ได้นำนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ร่วมพบปะรับประทานอาหารกลางวัน กับผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดใหม่ ได้แก่ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด ว่าที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.เจริญชัย หินเธาว์ รองผู้บัญชาการทหารบก ว่าที่ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยว ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ว่าที่ผู้บัญชาการทหารเรือ ส่วน พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ ว่าที่ผู้บัญชาการทหารอากาศ ติดภารกิจอยู่ต่างประเทศ โดยการพบปะครั้งนี้ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

ทั้งนี้มีรายงานว่า การพบปะครั้งนี้เพื่อทำความรู้จักกัน โดยนายเศรษฐาได้ขอให้ทหารมาร่วมกันพัฒนาประเทศ และขอให้ทหารช่วยเป็นแบ็กอัป อยากให้จับมือไปด้วยกัน เพราะประเทศเป็นของพวกเราทุกคน ซึ่งการพบปะครั้งนี้ยังไม่มีการพูดคุยลงลึกในรายละเอียดแผนงานของกองทัพ เพราะยังไม่ถึงเวลา พร้อมกันนี้นายเศรษฐาได้ให้นายสุทิน ในฐานะ รมว.กลาโหม ไปทำการบ้านงานในตำแหน่งมา ซึ่งนายสุทิน ก็รับฟังและร่วมแลกเปลี่ยนกับผู้บัญชาการเหล่าทัพ

'นิพนธ์-ปชป.' ยกทัพหลวง อ้อนชาวระยองกาเบอร์ 2 'หมอบัญญัติ' ย้ำ!! เลือกหนนี้ อย่าเลือกผิด ถ้าเสียหายกว่าจะเปลี่ยนต้องอีก 4 ปี

(3 ก.ย. 66) นายบัญญัติ บรรทัดฐาน สส.ปชป. นายนิพนธ์ บุญญามณี รักษาการรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์, สส.ชัยชนะ เดชเดโช สส.ทรงศักดิ์ มุสิกอง, นายปิยะ ปิตุเตชะ นายก อบจ.ระยอง ลงพื้นที่หาเสียงบริเวณหมู่บ้านชาวประมง ท่าเรืออ่าวมะขามป้อม ตำบลกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง เพื่อขอคะแนนเสียงให้กับนพ.บัญญัติ เจตนจันทร์ ผู้สมัครหมายเลข 2 จากพรรคประชาธิปัตย์ ในการกลับเข้าไปทำหน้าที่ในสภาผู้แทนราษฎร โดยบรรยากาศการขอคะแนนเสียงเป็นไปอย่างคึกคัก เรียบง่าย 

จากนั้น ได้มีการพบปะแกนนำท้องที่ ท้องถิ่น ผู้นำชุมชน อสม. บริเวณสถานีบริการน้ำมันเชลล์ริมถนนสุขุมวิท ตำบลทางเกวียน อำเภอแกลง พร้อมกับการปราศัยย่อยซึ่งนายนิพนธ์ รองหัวหน้าพรรคฯ ได้กล่าวย้ำถึงผลงานที่พรรคประชาธิปัตย์ได้ทำไว้ในช่วงที่เป็นรัฐบาล ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับจังหวัดระยองผ่านการประสานงานจากผู้แทนราษฏรของพรรคประชาธิปัตย์ จึงทำให้ปัญหาต่างๆ ทั้งปัญหาช้างป่าบุกรุก การออกโฉนดที่ดิน การแก้ไขปัญหาที่ทำกิน ฯลฯ ได้รับการแก้ไขอย่างถูกต้องตามแนวทางที่ควรจะเป็น ทำให้พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์ และหลังจากนี้ขอให้คำยืนยันกับพี่น้องประชาชนว่าแม้กระทั่งในการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน เมื่อประชาชนเดือดร้อน ประชาธิปัตย์พร้อมทวงถามติดตามรัฐบาลเพื่อให้ปัญหาได้รับการแก้ไขโดยเร็ว

"การเลือกตั้งสส.นั้น พี่น้องประชาชนต้องพิจารณาให้รอบคอบ เลือกคนที่มีความรู้ คนที่มีประสบการณ์ เพราะถ้าหากพี่น้องเลือกผิด กว่าจะแก้ไขเปลี่ยนคนได้ต้องใช้เวลานานถึง 4 ปี เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นความเสียหายจะตามมาอย่างมาก" นายนิพนธ์ กล่าว

ปตท. ฉลองการนำเข้า ‘ก๊าซปิโตรเลียมเหลว’ ‘15 ปี 15 ล้านตัน’ ณ คลังก๊าซเขาบ่อยา 

นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย ดร.คุรุจิต นาครทรรพ ผู้อำนวยการสถาบันปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย และนายวรจักร สถาพรภิญโญ นายอำเภอศรีราชา ร่วมงานฉลองการนำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว 15 ปี 15 ล้านตัน สายงานแยกก๊าซธรรมชาติ ณ คลังก๊าซเขาบ่อยา ปตท. จ.ชลบุรี เพื่อร่วมแสดงความยินดีในโอกาสที่คลังก๊าซเขาบ่อยา ปตท. ได้พัฒนาเพิ่มขีดความสามารถการนำเข้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) แก้วิกฤตการณ์ความต้องการที่เพิ่มสูงตั้งแต่ปี 2551 จวบจนปัจจุบันเป็นเวลา 15 ปี ด้วยปริมาณถึง 15 ล้านตัน

ทั้งนี้ คลังก๊าซเขาบ่อยา เปิดดำเนินการตั้งแต่ปี 2528 และเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของ ปตท. ในการนำเข้า เก็บสำรอง และเป็นศูนย์กลางในการกระจาย LPG สู่ภาคครัวเรือน และภาคอุตสาหกรรม ส่งเสริมพันธกิจ ปตท. ในการสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ

‘อาร์เจนตินา’ เผชิญวิกฤต ‘เงินเฟ้อ’ หนัก!! หลังเงินเปโซอ่อนยับ 'ฉุดประเทศ-ประชาชน' ดำดิ่งสู่ภาวะยากจนอย่างแสนสาหัส

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 66 ช่องยูทูบ ‘ทันโลกกับ Trader KP’ ได้เชิญ ‘คุณบุรินทร์ อดุลวัฒนะ’ กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าทีมนักเศรษฐศาสตร์ (Chief Economist) บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มาร่วมวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเงินของประเทศอาร์เจนตินา ว่าเพราะเหตุใด สกุลเงิน ‘เปโซ’ ของประเทศอาร์เจนตินา ถึงอ่อนค่าลงจนทำให้เงินเปโซไร้ค่าเช่นนี้ และปัญหานี้ส่งผลกระทบต่อประชาชน ทำให้เข้าสู่ภาวะยากจนอย่างหนัก โดยคุณบุรินทร์ได้ให้มุมมองไว้ว่า…

แบงค์ชาติของประเทศอาร์เจนตินา ได้มีการปรับค่าเงินเปโซ ซึ่งเป็นค่าเงินทางการของประเทศ จาก 287 เปโซต่อดอลลาร์ เป็น 350 ต่อดอลลาร์ กล่าวง่ายๆ ก็คือ เป็นการ ‘ลดค่าเงิน’ ประมาณ 18% ที่สําคัญมากกว่านั้นคือ ธนาคารกลางอาร์เจนตินากลัวเกิดภาวะ ‘เงินไหลออก’ จึงปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งปรับขึ้นจาก 97% เป็น 118%

ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ตอนนี้ค่าเงินของทางการนั้นไม่มีใครใช้อยู่แล้ว และไม่มีใครเชื่อถือ เพราะในตลาดมืดหรือตลาดของจริง 1 ดอลลาร์ ควรจะมีค่าอยู่ที่ประมาณ 690 เปโซ แต่ทางรัฐบาลได้ออกมาแจ้งว่า 1 ดอลลาร์เท่ากับ 350 เปโซ ซึ่งสวนทางกับในโลกแห่งความเป็นจริง เพราะในตลาดของจริงนั้น 1 ดอลลาร์ มีค่าเท่ากับ 690 เปโซ หรือสูงเทียบเท่ากับครึ่งนึงของค่าเงินที่รัฐบาลได้แจ้งไว้

ซึ่งสิ่งนี้เกิดจากการที่รัฐบาลอาร์เจนตินา มีความพยายามที่จะปิดกั้นไม่ให้เกิดภาวะเงินไหลออก ซึ่งหากคิดตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว เมื่อมีการตรึงราคาค่าเงินไว้ แล้วราคาไม่ได้สะท้อนกับกลไกทางตลาดหรือความเป็นจริง จะส่งผลทำให้เกิดการซื้อขายกันนอกตลาด หรือนอกระบบขึ้น

แล้วเกิดอะไรขึ้นกับประเทศอาร์เจนตินา? ประเทศอาร์เจนตินาได้มีการเลือกตั้ง และปรากฏว่า ‘จาเวียร์ มิลเลย์’ (Javier Milei) นักเศรษฐศาสตร์และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) เสรีนิยมอาร์เจนตินา ได้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีด้วยเช่นกัน และในที่สุดเขาก็สามารถคว้าตำแหน่งประธานาธิบดีมาได้

ซึ่งแนวคิดของเขานั้น ค่อนข้างที่จะสุดโต่ง อีกทั้งเขายังได้ออกมาบอกว่า “พวกนักการเมืองเป็นโจร” และเขายังกล่าวอีกด้วยว่า หากเขาได้เป็นประธานาธิบดีเขาจะเผา (ยกเลิกระบบ) ธนาคารกลางให้หมด เพราะนโยบายต่าง ๆ ของเขาค่อนข้างที่จะมีความ ‘สุดโต่ง’ เป็นอย่างมาก เช่น เขาประกาศจะลดภาษี และจะปรับค่าเงินทำให้เงินดอลลาร์กลับไปเท่ากับค่าเงินเปโซ หรืออาจเปลี่ยนมาใช้ค่าเงินดอลลาร์ในประเทศแทน ซึ่งโดยปกติแล้ว ทางการห้ามใช้เงินดอลลาร์ และการหาเงินดอลลาร์นั้นได้ทำได้ยากมาก

อีกทั้งเงินเฟ้อของอาร์เจนตินาก็สูงมากเช่นกัน เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว (ปี 2022) สมมติราคาสินค้าอยู่ที่ 100 ตอนนี้อาจจะขึ้นมาเป็น 200 ซึ่งถือว่าสูงขึ้นประมาณ 110% เพราะฉะนั้น คนในประเทศจึงไม่สามารถแบกรับภาระตรงนี้ได้

ต้องบอกว่าตอนนี้ เศรษฐกิจของประเทศอาร์เจนตินาอาการหนักมาก โดยประชากร 40% ในประเทศ อยู่ในภาวะ ‘ยากจน’ อย่างหนัก คือ ‘ต่ำกว่าเส้นความยากจน’ (Below Poverty Line) ซึ่งตอนนี้อาจจะอยู่ที่ประมาณ 2-4 เหรียญ แปลว่าคนในประเทศไม่มีเงินพอใช้ ดังนั้น จึงกลายเป็นว่า เกิดปัญหามีคนไร้บ้านเพิ่มมากขึ้น มีคนไร้บ้านมานอนอยู่ที่สนามบินกันเต็มไปหมด เรียกได้ว่า เป็นประเทศที่น่าสงสารมาก

นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เราสามารถวิเคราะห์กันได้ว่า การที่ประเทศอาร์เจนตินาได้ประธานาธิบดีคนใหม่อย่าง ‘จาเวียร์ มิลเลย์’ ซึ่งถือเป็น ‘ตัวเต็ง’ ที่สุดในบรรดาผู้สมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ เพราะเขาไม่ได้มีพรรคการเมืองใหญ่คอยหนุนหลัง และถึงแม้นโยบายของเขาจะค่อนข้างสุดโต่ง แต่นี่อาจเป็น ‘ความหวังใหม่’ ของคนอาร์เจนตินา เพราะในตอนนี้ประชากร 40% หรือเกือบครึ่งของประเทศ อยู่สภาวะยากจน ประชาชนไม่มีจะกิน ไม่มีบ้านอยู่ เกิดปัญหาคนไร้บ้าน เพราะฉะนั้น ประชาชนจึงต้องหาทางออก

ซึ่งสิ่งนี้มีความคล้ายคลึงกับการเกิด ‘เงินเฟ้อขั้นรุนแรง’ (Hyperinflation) ขึ้นที่ประเทศเยอรมนี หลังการพ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 1 จนเป็นเหตุทำให้ประเทศเยอรมนีเผชิญกับสภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง ส่งผลให้คนเยอรมันหาทางออกจากปัญหาข้าวยากหมากแพง โดยการเลือก ‘อดอล์ฟ ฮิตเลอร์’ (Adolf Hitler) ซึ่งเป็นนักการเมืองเยอรมันเชื้อชาติออสเตรีย หัวหน้าพรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ‘พรรคนาซี’ เป็นนายกรัฐมนตรีเยอรมนี ในปี ค.ศ. 1933-1945

ซึ่งนโยบายของฮิตเลอร์นั้น เขาให้คำมั่นสัญญากับชาวเยอรมันว่า “ผู้คนจะต้องมีงานทำ” แต่วิธีการจัดการของเขานั้น ค่อนข้างที่จะสุดโต่งอยู่พอสมควร เขาได้ทำการจัดการคนที่ไม่สามารถบริหารประเทศได้ออกไป และทำการเปลี่ยนแปลงระบบต่างๆ ในประเทศ

กลับมาที่ประเทศอาร์เจนตินา จริงๆ แล้ว อาร์เจนตินา เป็นประเทศที่น่าสนใจมาก หลายๆ คนอาจจะไม่ทราบว่า เมื่อประมาณร้อยกว่าปีก่อนนั้น อาร์เจนตินา เป็นหนึ่งในประเทศที่รวยที่สุดในโลก ในตอนนั้นรายได้ที่เกิดขึ้นจากในประเทศ หรือ GDB ต่อหัวของประชากรในประเทศนั้น สูงเทียบเท่ากับประเทศสหรัฐอเมริกา สูงกว่าประเทศฝรั่งเศส และเบลเยียมเสียอีก

แล้วเหตุใด ประเทศอาร์เจนตินาจึงมาถึงจุดนี้ได้? จริงๆ แล้วมีเหตุปัจจัยหลายๆ อย่าง เนื่องจากการดําเนินนโยบายผิดไปในหลายเรื่อง เปรียบเหมือนกับการลงทุน ที่เราไม่ควรจะทุ่มจนหมดหน้าตัก แต่ ณ ขณะนั้น อาร์เจนตินาลงทุนทุ่มจนหมดหน้าตัก โดยในช่วงเวลานั้น อาร์เจนตินาได้ทำการค้ากับประเทศอังกฤษ ทุกอย่างจะส่งออกให้กับประเทศอังกฤษทั้งหมด เพราะเขามีแนวคิดว่า อังกฤษเป็นประเทศมหาอํานาจ ดังนั้น เขาจึงคิดว่า สามารถทำการค้ากับประเทศอังกฤษแค่ประเทศเดียวก็เพียงพอแล้ว

แต่ในเวลาต่อมา ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ขึ้น จึงทำให้ประเทศอังกฤษไม่ได้ทำการค้าขายอาร์เจนตินา เป็นเวลากว่า 4 ปี ทำให้เศรษฐกิจของอาร์เจนตินาล้มทั้งระบบ ยิ่งไปกว่านั้น ก็ดันเกิดสงครามโลกที่ 2 ตามมาซ้ำเติมสถานการณ์ในประเทศอาร์เจนตินาให้ยิ่งวิกฤตมากขึ้นไปอีก

ในสมัยนั้น ของขึ้นชื่อของประเทศอาร์เจนตินา คือ ‘เนื้อวัว’ ดังนั้น เนื้อสเต๊กจึงถือเป็นสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ของประเทศไปยังประเทศในทวีปยุโรป เมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น ทำให้คนยุโรปหันไปซื้อเนื้อสเต๊ก และพวกผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทางการเกษตรจากสหรัฐอเมริกาแทน

ทำให้หลังสงครามโลกจบลง ‘ฆวน เปรอน’ (Juan Domingo Perón) ซึ่งเป็นประธานาธิบดีของอาร์เจนตินาในขณะนั้น ได้ดำเนินนโยบาย ‘ประชานิยม’ อย่างเข้มข้น เขาได้ประกาศลดภาษี ลดราคาสินค้าต่าง แจกทุกอย่างฟรี ไปจนถึงแจกเงินแก่ประชาชนอีกด้วย

ปรากฏว่า นโยบายของเขานั้นทำให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจขึ้น เนื่องจากเขาแจกประชาชนไปหมดแล้ว อีกทั้งยังลดภาษีต่างๆ ทำให้รัฐบาลไม่มีเงินทุนสำรองมากเพียงพอในการบริหารประเทศต่อ จึงทำให้ประเทศประสบกับสภาวะ ‘เงินเฟ้อ’ จนเกิดวิกฤตเศรษฐกิจขึ้น

ในตอนนี้ อาร์เจนตินากลับมาเผชิญกับวิกฤตนี้อีกครั้ง ซึ่งปัญหาเศรษฐกิจของประเทศในตอนนี้นั้น ช่างสวนทางกับการที่อาร์เจนตินาเพิ่งคว้าแชมป์ฟุตบอลโลก ในศึก ‘FIFA World Cup 2022’ ที่ผ่านมาเมื่อไม่นานนี้อย่างสิ้นเชิง

อาร์เจนตินานับเป็นประเทศที่ทนทุกข์ทรมาน กับการเผชิญปัญหาการบริหารนโยบายที่ผิดพลาดของรัฐบาลมาโดยตลอด ทำให้อาร์เจนตินาเป็นประเทศที่ติดหนี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF เยอะที่สุด เมื่อปี 2018 อาร์เจนตินาเพิ่งทำการกู้เงิน IMF ไปกว่า 57,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จนทำให้อาร์เจนตินาเรียกได้ว่าเป็น ‘ลูกค้าหลัก’ ของ IMF เลยก็ว่าได้ อีกทั้ง ในปี 2021 รัฐบาลปิดนัดชำระหนี้ IMF เมื่อปี 2021 ท่ามกลางวิกฤตการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนทำให้ประชาชนต่างพากันลุกฮือ ออกมาประท้วงรัฐบาลกันเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ปัญหาหลักของอาร์เจนตินา คือ ‘การขาดความน่าเชื่อถือ’ เนื่องจากเมื่อปี 2001 อาร์เจนตินาได้รับการจารึกว่าเป็นประเทศที่ผิดนัดชำระหนี้ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยประกาศว่าจะไม่จ่ายหนี้คืนเจ้าหนี้ จนกระทั่งเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวในปี 2005 และปี 2010 อาร์เจนตินาได้ยื่นข้อเสนอจ่ายคืนหนี้ให้บางส่วน โดยเจ้าหนี้ร้อยละ 93 ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว

ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ไม่มีใครกล้ามาลงทุนในประเทศอาร์เจนตินา และไม่มีใครกล้าให้ยืมเงินลงทุน จนท้ายที่สุด อาร์เจนตินาก็ต้องหันหน้าไปพึ่ง IMF จนเกิดเป็นปัญหาหนี้สินของประเทศ ที่ต้องตามชำระกันต่อไปอย่างไม่จบไม่สิ้น

นี่จึงถือเป็นจุดพลิกผัน ที่ทำให้ประเทศอาร์เจนตินา หนึ่งในประเทศที่รวยที่สุดในโลก กลับกลายเป็นประเทศลูกหนี้รายใหญ่ และต้องเผชิญกับการอ่อนตัวลงของค่าเงินในประเทศ จนเกิดสภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง จากการบริหารประเทศที่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของรัฐบาล

ทำให้ตอนนี้ ชาวอาร์เจนตินาต้องหวังพึ่งรัฐบาลใหม่ ภายใต้การบริหารจากผู้นำที่มีแนวคิดสุดโต่งอย่าง ‘จาเวียร์ มิลเลย์’ ซึ่งสถานการณ์ต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ก็คงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป…

‘อี้ แทนคุณ​’ จี้ ‘กสม. - พม.’ ตรวจสอบคนพรรคก้าวไกล หลังมีเหยื่อแฉ ถูกคนในพรรคล่วงละเมิดทางเพศ

(4 ก.ย. 66) ดร.แทนคุณ​ จิตต์​อิสระ ​รักษา​การ​ประธาน​คณะกรรมการ​ส่งเสริม​สิทธิ​มนุษยชน​และ​ความ​เสมอภาค​ระหว่าง​เพศ​พรรค​ประชา​ธ​ิ​ปัตย์​ กล่าว​ถึง​กรณี​นาย​เกรียง​ไกร อดีตผู้สมัคร สส. พรรคก้าวไกล ได้ละเมิดทางเพศโฆษกหญิงของพรรคการเมืองหนึ่ง ซึ่งเป​็นเรื่องน่าเศร้าใจที่พรรคนี้กระทำผิดซ้ำ ๆ และไม่มีความจริงใจ​ในการออกมาขอโทษ รวมทั้งไม่มีความรับผิดชอบ​ใด ๆ ต่อการกระทำที่เกิดขึ้น​ โดยเฉพาะ​ความรับผิดชอบ​ต่อสังคมของพรรคก้าวไกล

จึงขอเรียกร้องให้นายชัยธวัช ตุลาธน ในฐานะเลขาธิการพรรคก้าวไกลที่อ้างมาตลอดว่าจะตรวจสอบ​การกระทำผิดของคนในพรรค นับตั้งแต่​คดี สส. ทำร้ายแฟนสาว การใช้เด็กเป็น​เครื่องมือ​ การสนับสนุน​การเคลื่อนไหว​ของกลุ่มทะลุวัง โดยเฉพาะ​ความเสียหายต่อเด็กและเยาวชน​ที่เกิดขึ้น ยังไม่นับรวมกรณี ‘หมออ๋อง’ ที่กระทำผิดกฎหมาย​จนโดนปรับเป็นเงิน 50,000 บาท แต่ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในตำแหน่ง​ต่อไปอย่างไม่ละอายใจใด ๆ และล่าสุดกรณีการละเมิด​ทางเพศ​ต่อโฆษกหญิงของพรรคการเมืองหนึ่ง

หากนายชัยธวัช​จริงใจจริงควรเชิญคณะกรรมการ​สิทธิมนุษยชน​แห่งชาติ (กสม.) และ พม. ได้เข้ามามีส่วนร่วม​ในการตรวจสอบการ​ละเมิดทางเพศ ละเมิดสิทธิเด็ก การทำร้ายร่างกายผู้หญิง​ของคนของก้าวไกล เนื่องจาก​ที่ผ่านมาไม่ได้​มีผลการสอบวินัยใดออกมาเลยทุกเรื่​องล้วนเงียบหมด เพื่อให้การช่วยเหลื​อเหยื่อที่ถูกคนของพรรคตัวเองทำร้ายซ้ำ ๆ จนมีข่าวอื้อฉาวไม่เว้นแต่ละอาทิตย์​ ทั้งผิดกฎหมายอาญาหลายครั้ง ไม่ต้องพูดถึง​จริยธรรม​ที่พรรคนี้มีการกระทำผิดเป็น​ปกติ โดยสังคมไทยควรตื่นตัวกับเรื่องนี้อย่างจริงจังและไม่ปล่อยให้เรื่องเงียบหายไป เพราะ ‘การละเมิด​ทางเพศ​ไม่ใช่​เรื่อง​ส่วนตัวแต่​เป็น​ปัญหาสังคม’ ที่เกิดจากอำนาจนิยมที่พรรคก้าวไกลผลิตซ้ำจาก สส. ผู้สมัคร สส. จนสังคมเชื่อว่ากลายเป็น​อัตลักษณ์​ของคนของก้าวไกลไปแล้ว

โดยตนอยากฝากไปถึง กสม. และกระทรวง​การพัฒนา​สังคม​และ​ความมั่นคง​ของ​มนุษย์​ (พม.) ให้แสดงออกถึงหน้าที่ในการแก้ไขปัญหา​เด็กและเยาวชน ผู้หญิงที่ถูกละเมิดทางเพศ และถูกปลูกฝังความก้าวร้าวรุนแรง เหมือน​หลาย ๆ ประเทศ​ที่เริ่มตระหนักถึงพิษภัยเนื้อหาในโซเชียล​มีเดียที่มีทั้งการปลุกเร้ากามารมณ์​ ความรุนแรง การหลอกลวง การบูลลี่ และอบายมุขและสิ่งเสพติด​อีกมากมาย จนต้องทบทวนกระบวนการ​ป้องกันมิให้เนื้อหาไม่ดีดังกล่าว​เข้าถึงเด็กเยาวชน​ได้ง่าย เพื่อที่เยาวชน​ไม่ต้องตกเป็น​เหยื่อ​ของพรรคบางพรรคและเพื่อให้สอดคล้องกับอนุสัญญา​ว่าด้วย​สิทธิ​เด็ก​ที่ไทยเคยลงนามไว้ ‘รัฐต้องป้องกันการแสวงหาประโยชน์​ทางการเมืองต่อเด็กและเยาวชน​ทุกรูปแบบ’ ไทยควรตระหนัก​เรื่องนี้เหมือน​ในหลายประเทศที่ยกระดับการเฝ้าระวังและให้ความรู้​แก่ผู้ปกครอง​อย่างจริงจังเพื่อป้องกัน​การใช้ประโยชน์​ทางการเมือง​ต่อไป

‘ห้างร้านอเมริกา’ โอดครวญ!! เหตุ ‘แก๊งขโมย’ อาละวาดหนัก  ต้องทำตู้ล็อกชั้นวางสินค้า บางแห่งถึงขั้นเหนื่อยใจยอมปิดสาขาหนี

เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 66 ปัญหาโจรขโมยของที่กำลังเกิดขึ้นอย่างชุกชุม ส่งผลให้ห้างร้านต่างๆ ในอเมริกาต้องทำตู้ล็อกชั้นวางสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไปอย่างยาสีฟัน ช็อกโกแลต ผงซักฟอก และบางห้างกระทั่งตัดสินใจปิดสาขาในย่านที่แก๊งโจรอาละวาดหนัก

ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่อย่างวอลมาร์ทและทาร์เก็ต ตลอดจนเชนร้านขายยาดัง ซีวีเอส และ วอลกรีนส์ รวมถึงผู้จำหน่ายอุปกรณ์เกี่ยวกับการตกแต่งต่อเติมบ้านอย่างโฮมดีโป และร้านรองเท้าฟุต ล็อกเกอร์ คือห้างร้านค้าปลีกส่วนหนึ่งในสหรัฐฯ ที่แสดงความกังวลเกี่ยวกับปัญหาโจรลักขโมยข้าวของเอาไว้ในรายงานผลประกอบการล่าสุดของพวกตน โดยชี้ว่าปัญหานี้ซึ่งผู้ก่อเหตุมีทั้งพวกลักเล็กขโมยน้อย และโจรที่รวมตัวเป็นแก๊งลักข้าวของ กำลังระบาดหนักขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงบางทีก็เกิดเหตุการณ์รุนแรง

ลอเรน โฮบาร์ต ประธานบริหาร ดิ๊กส์ สปอร์ตติ้ง กู๊ดส์ กล่าวระหว่างการประชุมผ่านทางโทรศัพท์ว่า พวกแก๊งลักขโมย และการขโมยข้าวของโดยภาพรวม กำลังเป็นปัญหาร้ายแรงที่ส่งผลกระทบต่อห้างหลายแห่งมากขึ้น ในกรณีของ ดิ๊กส์ นั้น การขโมยของ ส่งผลกระทบต่อสินค้าคงคลังของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งในผลประกอบการไตรมาส 2 และการคาดหมายสำหรับช่วงครึ่งปีหลัง

ด้านไบรอัน คอร์เนลล์ ประธานบริหาร ทาร์เก็ต เผยว่า ในช่วง 5 เดือนแรกของปีนี้ มีการขโมยของในห้างแบบที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรงหรือขู่ใช้ความรุนแรงเพิ่มขึ้นถึง 120% และเสริมว่า เวลานี้ ความสูญเสียในส่วนของสินค้าคงคลังสืบเนื่องจากปัญหานี้ อยู่ในระดับสูงเกินกว่าที่จะยอมรับได้ในระยะยาวแล้ว

เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นขณะที่อัตราดอกเบี้ยของอเมริกาพุ่งจากเกือบ 0% เป็น 5.5% ในระยะเวลา 18 เดือน ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 22 ปี เนื่องจากผู้วางนโยบายพยายามต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ

อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทำให้กระทบต่อการกู้เงินเพื่อซื้อสินค้าชิ้นใหญ่หรือขยายธุรกิจมีต้นทุนสูงขึ้น ขณะเดียวกันก็ส่งผลลบถึงผู้บริโภคเช่นกัน

จากการสำรวจด้านความปลอดภัยของการค้าปลีก ของสหพันธ์ค้าปลีกแห่งชาติของสหรัฐฯ พบว่า ในปี 2021 พวกห้างค้าปลีกเสียหายราว 94,500 ล้านดอลลลาร์จากสิ่งที่เรียกว่า ‘shrink’ ซึ่งหมายถึงความสูญเสียในส่วนของสินค้าคงคลังอันเนื่องมาจากปัจจัยต่างๆ เช่น การยักยอกของพนักงาน การขโมยของ หรือความผิดพลาดในการจัดการ

ผลสำรวจยังพบว่า ห้างค้าปลีกเผชิญปัญหาจากแก๊งโจรเพิ่มขึ้น 26.5% โดยที่ผู้ตอบแบบสำรวจส่วนใหญ่รายงานว่า วิกฤตโรคระบาดทำให้ความเสี่ยงนี้เพิ่มสูงขึ้น

ผลลัพธ์คือห้างหลายแห่งค่อยติดตั้งแผ่นพลาสติกใสพร้อมกุญแจล็อกครอบชั้นวางสินค้า หรือล่ามโซ่คล้องกุญแจสายยูล็อกตู้เย็น และมีปุ่มกดเรียกสำหรับพนักงานกระจายอยู่ตามทางเดิน

ส่วนชั้นวางที่ไม่มีการป้องกันจะวางสินค้าเพียงไม่กี่ชิ้นเพื่อจำกัดการถูกขโมย

อย่างไรก็ตาม มาตรการป้องกันดังกล่าวไม่ได้ผลเสมอไป เป็นต้นว่า ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมามีชายคนหนึ่งสวมแจ็คเก็ตแบบมีฮู้ดและหน้ากาก และใช้เครื่องพ่นความร้อนละลายแผ่นพลาสติกใสที่ครอบชั้นวางสินค้าในห้างวอลกรีนส์ ในย่านควีนส์ ของนครนิวยอร์กท่ามกลางสายตาลูกค้าและพนักงานร้าน ก่อนโกยของไปจากชั้น

ผู้อยู่อาศัยในย่านควีนส์ยังร้องเรียนเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัยในร้านขายยาซีวีเอสหลายสาขา ซึ่งตามรายงานของสื่อนั้น บางสาขาขอให้พนักงานอย่าเข้าไปขัดขวางการขโมยของหรือแจ้งตำรวจ ทั้งนี้ เพื่อความปลอดภัยของตนเอง

บางห้างกำลังพิจารณาปิดสาขา เช่น ไจแอนต์ที่กำลังชั่งใจปิดซูเปอร์มาร์เก็ตในนิวยอร์กที่ขโมยชุมและมีเหตุการณ์รุนแรงมากขึ้น

วอลล์กรีน ได้ปิดสาขา 5 แห่งในซานฟรานซิสโกในปี 2021 จากปัญหาเดียวกัน และวอลมาร์ทปิด 4 สาขาในชิคาโกในปีนี้ โดยให้เหตุผลอย่างเป็นทางการว่า ไม่มีกำไร

นอกจากนั้นผู้ใช้ออนไลน์ยังรายงานเหตุการณ์ ‘flash rob’ ที่แก๊งโจรใช้คนกรูกันเข้าไปในห้างและฉกสินค้าที่คว้าได้ก่อนวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว

ตัวอย่างเช่น เมื่อวันที่ 12 สิงหาคมในร้านนอร์ดสตรอม ที่ลอสแองเจลิส กลุ่มคนสวมหน้ากากราว 30 คนเข้าไปกวาดสินค้าหรูมูลค่า 300,000 ดอลลาร์ และใช้สเปรย์ไล่หมีฉีดใส่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

‘เศรษฐา’ แจง!! หลังถูกสังคมวิจารณ์พฤติกรรม เผยปากกาหมึกหมด กลัวจดไม่ทัน ไม่ได้เจตนาโยน รับปากจะระวังมากขึ้น

‘เศรษฐา’ แจง!! ไม่ได้โยนปากกา หลังถูกสังคมวิจารณ์ เผยหมึกหมด-กลัวจดสิ่งที่หารือไม่ทัน รับปาก ต่อไปจะระวังมากขึ้น โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดในจังหวะที่ นายเศรษฐาได้พบปะพี่น้องมอเตอร์ไซค์รับจ้าง โดยระบุว่า...

“พี่น้องคนไทยหลายสิบล้านคน ต้องพึ่งพี่น้องมอเตอร์ไซค์รับจ้าง-ไรเดอร์ที่เป็นเหมือนเส้นเลือดฝอย เชื่อมต่อการเดินทางไปยังเส้นเลือดใหญ่ เช่น รถไฟฟ้า ช่วยหล่อเลี้ยงและมีผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล

เราจึงต้องดูแลคนกลุ่มนี้อย่างเหมาะสม สามารถเลี้ยงชีพได้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจุดจอดรถ การบริหารจัดการใบอนุญาต การดูแลสวัสดิการ แพลตฟอร์ม การบังคับใช้กฎหมาย การมีเจ้าภาพดูแลอย่างชัดเจน ตลอดจนการสนับสนุนให้สามารถเปลี่ยนไปใช้รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าได้

วันนี้มีโอกาสพูดคุยได้ทราบถึงมุมมองจากพี่น้องผู้ประกอบอาชีพ ก็ขอให้มั่นใจว่าเราให้ความสำคัญกับกลุ่มมอเตอร์ไซค์-ไรเดอร์ และผมได้ฝากให้ท่านสุริยะไปดูแลต่อไปครับ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top