Saturday, 7 June 2025
TheStatesTimes

‘บก.ปอศ.’ บุกจับหนุ่มแสบ หลอกตุ๋นเหยื่อลงทุนหุ้น IPO  เสียหายกว่า 3.4 ลบ. เบื้องต้นยังให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

(3 ก.ย. 66) กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก.ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมนำโดย พ.ต.ต.หญิง ปวีณวรรณ สินธุชัย สว.กก.๓ บก.ปอศ., ร.ต.อ.หญิง ศณิศา นนธ์พละ, ร.ต.อ.สุรพันธุ์ ตาขันทะ, ร.ต.อ.ศศิวิมล คำนาค รอง สว.กก.3 บก.ปอศ., ร.ต.ท.ขวัญใจ ยิ่งเจริญ รอง สว.ฝอ.ฯ ปฏิบัติราชการ กก.3 บก.ปอศ., ร.ต.ท.ชัยวิทย์ ศรจิตต์, ร.ต.ต.มีสิทธิ์ ม่วงไหมทอง รอง สว.(ป.) กก.3 บก.ปอศ. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ปอศ.ร่วมกันจับกุม นายวรพจน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 29 ปี ในความผิดฐาน “ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์ (ประเภทการจัดการกองทุนส่วนบุคคล) โดยไม่ได้รับอนุญาต และฉ้อโกง”

โดยนายวรพจน์ ชักชวนให้กลุ่มผู้เสียหายบุคคลร่วมการลงทุนในหลักทรัพย์ที่เสนอขายต่อประชาชนเป็นครั้งแรก หรือหุ้น IPO ซึ่งแอบอ้างถึงโควตาที่ได้รับจัดสรรก่อน (Pre IPO) ของบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง โดยกระทำการผ่านตัว นายวรพจน์ เอง (ลักษณะเป็นการรับบริหารจัดการการลงทุนของบุคคลเป็นการเฉพาะ)

อ้างถึงผลกำไรที่คาดว่าจะได้รับจากการลงทุน ซึ่งในการรับบริหารจัดการดังกล่าว ผู้ต้องหาจะได้รับค่าตอบแทนในอัตราร้อยละ 10 ของผลกำไรที่ได้ อีกทั้งยังอ้างถึงการได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้กลุ่มผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเป็นการลงทุนที่น่าสนใจและเชื่อถือได้ และได้ร่วมลงทุนซื้อหุ้น IPO ผ่านผู้ต้องหา รวมมูลค่าความเสียหาย 3,497,442 บาท

ซึ่งชุดสืบสวน กก.3 บก.ปอศ. ได้ดำเนินตรวจสอบติดตามความเคลื่อนไหวผู้ต้องหารายดังกล่าว จนสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ในบริเวณหน้าชุมชนซอยสีคาม แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร และควบคุมตัวนำส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ปอศ. ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป สอบถามปากคำผู้ต้องหาเบื้องต้นให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา

'อ.เทพมนตรี' ดึงสติ!! คนรักเจ้ามิใช่แค่เปล่งเสียงคำว่า "ทรงพระเจริญ" แต่จง 'รัก-สรรเสริญ' อย่างเข้าใจใน 'ประวัติศาสตร์-ความเป็นมา-กาลเวลา'

(3 ก.ย. 66) อาจารย์เทพมนตรี ลิมปพยอม นักประวัติศาสตร์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก 'Thepmontri Limpaphayorm' ว่า...

อยากบอกคนรักเจ้า ราชาธิปไตยที่มีพระราชภาระ

คนรักเจ้ามิใช่แค่เปล่งเสียงคำว่าทรงพระเจริญ แต่ต้องรักเจ้าบนพื้นฐานความเข้าใจทั้งประวัติศาสตร์ความเป็นมาของราชวงศ์ ทั้งขนบธรรมเนียมโบราณราชประเพณี ทั้งรัฐธรรมนูญ เลือดขัตติยะ และพระราชสถานะ กาลเวลาปัจจุบันสมัย

ใครที่รักเจ้าแค่เปล่งเสียงทรงพระเจริญแล้วมาอ้างสิทธิ์จะไม่เอาอย่างนั้น จะเอาอย่างนี้ พอเจ้าทำอะไรไม่พอใจก็ใช้สิทธิ์ อภิสิทธิ์ที่ได้เปล่งเสียงทรงพระเจริญมาด่าทอ ทำตัวสิ้นศรัทธา เขาไม่ได้เรียกว่า รักเจ้า

นอกจากนี้คนประเภทที่ว่าจัดอยู่พวกที่มิได้ศึกษาหาความรู้จริง แม้แต่รัฐธรรมนูญและพระราชอำนาจในรัฐธรรมนูญที่เจ้ามีอยู่อย่างจำกัด ก็ยังไม่พยายามทำความเข้าใจ หรือได้อ่านหรือเปล่าไม่ทราบ

นี่แหละคนรักเจ้าที่อ้างสิทธิ์ อภิสิทธิ์กัน แท้ที่จริงเขาไม่ได้รักเจ้าแต่รักตัวเอง โดยอ้างว่าเจ้าต้องมีความเป็นธรรม ต้องยุติธรรม ต้องเป็นแบบอย่าง

ถ้าเขาได้ศึกษาอย่างถ่องแท้แแล้ว เขาจะเข้าใจ ดูตัวอย่างในหลวงรัชกาลที่ 7 กับคณะราษฎร

เมื่อคณะราษฎรก่นด่าพระองค์ท่านชนิดป่าวประกาศไปทั่วขยายผลลงด่าในหนังสือพิมพ์ พระองค์ท่านก็มีวิริยะอุตสาหะที่จะอุเบกขา คนในคณะราษฎรก็ไม่เข้าใจว่าพระองค์ท่านทำไมทรงวางพระราชหฤทัยเช่นนั้น นั่นก็เป็นเพราะทรงมีพระราชภาระอันยิ่งใหญ่กว่าใครๆ การได้รับพระราชมรดกให้ดำรงสถานะเป็นพระมหากษัตริย์เหนือผู้คนทั้งผอง มันหนักหน่วงเสียยิ่งกว่า

คนทั่วไปจึงไปคิดแต่เพียงว่าพระองค์ท่านทรงร่ำรวยแต่เปล่าเลยนั่นน่ะเป็นพระราชภาระ ลดลงไม่ได้ สูงกว่าไม่ได้

เมื่อมีสายพระโลหิตเป็นเลือดขัตติยะ จำต้องคำนึงถึงบ้านเมืองประเทศชาติ และความรักที่มีต่อพสกนิกรเสียยิ่งกว่าใครๆ

พระมหากษัตริย์ที่รับพระราชมรดกต้องรักษาพระราชวงศ์ ต้องรักษาซึ่งปฐมบรมราชโองการที่ตกทอดกันมาตั้งแต่รัชกาลต้น

การทำให้ราชวงศ์และพระนครล่มสลายเป็นตราบาปที่ไม่มีสิ่งใดมาลบล้างออกไปได้ เช่นเดียวกันกับกรณีกรมขุนอนุรักษ์มนตรี หรือพระเจ้าเอกทัศ ที่คนไทยยังจดจำว่าเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์สุดท้ายของราชวงศ์อยุธยา ที่ทำให้ราชวงศ์ล่ม อยุธยาแตกพ่าย

จนพวกเราจำกันจนถึงทุกวันนี้และตราบนานเท่านาน…

ดังนั้นการรักเจ้า มิใช่เพียงแค่เปล่งเสียงทรงพระเจริญเท่านั้น เพราะพวกล้มเจ้าหรือคิดร้ายต่อพระบรมราชจักรีวงศ์ก็เปล่งเสียงทรงพระเจริญเช่นกัน บางคนอาจเปล่งเสียงทรงพระเจริญอยู่บ่อยด้วยซ้ำ

คนรักเจ้าที่แท้จริงต้องทำความเข้าใจ ต้องรู้จักวางใจตนเอง เมื่อรักเจ้าจริงๆ ก็ต้องรักด้วยหัวใจ ต้องเข้าใจพระราชหฤทัยของเจ้าที่มีพระราชภาระอันหนักหน่วงดังที่ว่ามา

เปิดมุมน่าคิด ธุรกิจที่สำเร็จส่วนใหญ่ มักจะมีโชคช่วย แต่หากไม่ทำงานหนัก โชคเหล่านั้นก็จะไม่มาหา

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี @ckfastwork หรือ ‘CK Cheong’ CEO แห่งบริษัท Fastwork.co ได้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับธุรกิจจะสามารถสําเร็จได้ ต้องพึ่งโชคอย่างเดียวหรือเปล่า โดยระบุว่า…

“ถูกส่วนหนึ่งครับ…ธุรกิจที่สําเร็จมักจะมีโชค แต่ถ้าคุณไม่ทำงานหนักก็จะไม่มีโชค เนื่องจากโชคมันเกิดขึ้นสําหรับคนที่พร้อมทุกวัน หากนอนดู Netflix ทั้งวันก็คงไม่มีโชคมาหรอกครับ…คนที่โชคดีคือคนที่ออกไปตามหามันทุกวัน ทํางานเหนื่อยมากๆ ทุกวัน 4-8 ปี ทุกวันทําเหมือนเดิม สักวันหนึ่งใน 5-6 ปีนั้นก็จะมีโชคดีเข้ามา”

“แต่ถ้าคุณไม่ตื่นมาตามหามันทุกวัน หรืออาจตามหาบ้าง ไม่ตามหาบ้าง ชิลบ้าง พักผ่อนบ้าง โชคก็ไม่มาหรอกครับ…โชคไม่ลอยมาจากท้องฟ้า เรายังต้องไปตามหามัน โชคมันมีกับทุกคน และเกิดขึ้นได้ทุกวัน แต่เรายังคงต้องออกไปตามหามันอยู่”

“โชคก็เหมือนกับ ‘โปเกมอน’ เรายังต้องตามหา เพราะมันไม่เดินเข้ามาหาเรา ดังนั้น 'โชค' คือสําหรับคนที่พร้อมในการตามหาทุกวัน แต่ก็ถูกครับ…ธุรกิจที่สําเร็จได้ก็ต้องมีโชค”

‘โครงการจ้างวานข้า’ โอกาสสร้างงาน-รายได้ของ ‘คนไร้บ้าน’ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างชีวิตใหม่ด้วยอาชีพที่สุจริต

(3 ก.ย. 66) ถ้าใครติดตามมูลนิธิกระจกเงาจะเห็นโครงการ ‘จ้างวานข้า’ ที่พยายามสร้างแนวร่วมเติมเต็มการแก้ปัญหาคนไร้บ้าน คนจนเมือง ที่นอกเหนือจากการนำอาหารมาแจกหรือมอบความช่วยเหลือเป็นครั้งคราว แต่เน้นสร้างงาน สร้างรายได้ให้คนเหล่านี้ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตสำหรับตัวเองและครอบครัว สร้างคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่สามารถรับผิดชอบดูแลตัวเองด้วยการมีอาชีพ

โครงการจ้างวานข้าเกิดขึ้น เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิตให้คนไร้บ้านดีขึ้น ไปไกลถึงปรับเปลี่ยนจากคนไร้บ้านเป็นคนมีบ้านมีที่อยู่ที่มั่นคงขึ้น เริ่มต้นหลังจากโควิด ที่ส่งผลให้จำนวนคนไร้บ้านเพิ่มขึ้น  มีปัญหาคนที่ออกมาเป็นคนไร้บ้านหน้าใหม่ ด้วยแนวความคิดว่า การสร้างงานเป็นเครื่องมือที่ดี

เบญจมาศ พางาม เจ้าหน้าโครงการจ้างวานข้า มูลนิธิกระจกเงา กล่าวถึงที่มาและทิศทางในการผลักดันแก้ปัญหาคนไร้บ้านให้เกิดความยั่งยืนว่า มูลนิธิอยากแก้ปัญหานี้จึงเปิดพื้นที่ให้คนไร้บ้านและคนจนเมือง รวมถึงผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวอยู่ห้องเช่าราคาถูก ซึ่งพร้อมหลุดออกมาใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะแบบคนไร้บ้าน เพราะอยู่ด้วยเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเดือนละ 600 บาท ไม่มีรายได้พอ โดยโครงการ ‘จ้างวานข้า’ จะทำให้พวกเขามีรายได้ เริ่มแรกปี 63 หาสมาชิกเข้าโครงการจากจุดแจกอาหารฟรีสภาสังคมสงเคราะห์ ใครกำลังหางานให้มาสมัครลงทะเบียนกับมูลนิธิฯ จากแรกเริ่มมี 20 คน เราทำงานต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน มีสมาชิกอยู่ที่ 150 คน สัดส่วนร้อยละ 80 เป็นผู้สูงอายุ ที่เหลือเป็นคนไร้บ้านอายุ 40-50 ปี

งานที่มูลนิธิฯ ให้ทำมีหลายรูปแบบ เป็นกลุ่มคนไร้บ้านที่ทำงานร่วมกับสำนักงานเขต 16 เขต ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ไปรับงานทำความสะอาดเมือง เช็ดล้างสะพานลอย ตัดแต่งกิ่งไม้ ไม้ดอกไม้ประดับในพื้นที่สาธารณะ งานคัดแยกขยะ ร่วมกับพนักงานรักษาความสะอาด พนักงานกวาดถนน กทม.ส่งมอบความสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยให้กับพื้นที่ต่างๆ ทั่วกรุง บางคนมีศักยภาพ เคยเป็นช่างไม้ ช่างไฟฟ้า ช่างคอมพิวเตอร์ หรือเคยทำงานเป็นแม่บ้านสามารถพัฒนาฝีมือต่อได้  เรานำเข้ามาทำงานในมูลนิธิฯ เพื่อให้ได้ใช้ทักษะนั้น

ส่วนอีกรูปแบบจะเป็นการทำความสะอาดในบ้าน กลุ่มจ้างวานข้ารับเคลียร์ของในบ้าน ในตึกแถวที่เจ้าของบ้านไม่ต้องการแล้ว ของที่ไม่ใช้มูลนิธินำไปส่งต่อหรือเป็นขยะเชื้อเพลิง ไม่ได้ทิ้งกองขยะข้างทาง ทั้งยังเกิดการต่อยอดเป็นโครงการ ‘ชรารีไซเคิล’ กลุ่มคนไร้บ้านสูงวัยจะทำการคัดแยกขยะพลาสติก อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ชำรุด เพื่อนำมาสู่กระบวนการรีไซเคิล งานคัดแยกขยะเหมาะกับผู้สูงอายุ ไม่ต้องใช้แรงเยอะเท่ากับงานจ้างวานข้า ไม่ต้องทำงานในพื้นที่สาธารณะ แต่ก็สามารถหารายได้ มีเงินสะสม เลี้ยงดูตัวเอง

“คนไร้บ้าน ผู้สูงอายุจะได้รับรายได้ ค่าจ้างเป็นวัน ถ้าทำงานในพื้นที่สาธารณะ ตั้งแต่เวลา  8.00-12.00 น. คนละ 400 บาท ถ้าทำงานกับทางมูลนิธิฯ ตั้งแต่เวลา  9.00-16.00 น. คนละ 500 บาท ส่วนแม่บ้านทำความสะอาดมีเงื่อนไขต้องจ้างงาน 3 ชั่วโมงขึ้นไป ชั่วโมงละ 250 บาทต่อคน เราส่งเสริมให้พวกเขามีงานทำอย่างต่อเนื่อง อยากให้มีรายได้ดูแลตัวเอง และหลายคนต้องดูแลสมาชิกในครอบครัวด้วย” เบญจมาศ กล่าว

จากแพลตฟอร์ม ‘จ้างวานข้า’ มีภาคเอกชนที่เห็นประโยชน์ของโครงการสร้างงาน สร้างโอกาส เกิดความร่วมมือระหว่าง Q-CHANG (คิวช่าง) กับมูลนิธิกระจกเงา ด้วยการว่าจ้างกลุ่มช่างที่เป็นคนไร้บ้านที่พอมีทักษะอาชีพช่าง หรือว่า ‘ช้าการช่าง’ ในโครงการจ้างวานข้าของมูลนิธิฯ มาทาสีศูนย์ฝึกอบรม Q-CHANG ACADEMY รวมถึงเปิดโอกาสให้ช่างของทางมูลนิธิเข้ามาอบรมในศูนย์ฯ ฟรี เพื่อ Reskill ให้แก่กลุ่มช่างสูงอายุ คนไร้บ้าน คนยากจน และนำความรู้ที่ได้ไปต่อยอดอาชีพช่างเพื่อชีวิตทุกวันช่างง่าย” ช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมในการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของช่างให้ดียิ่งขึ้น ทั้งยังได้นำกลุ่มช่างสูงอายุ คนไร้บ้าน กลับคืนสู่ตลาดแรงงานเพื่อสร้างรายได้ เป็นตัวอย่างการคอลแลบที่ดี จนคว้ารางวัลความเป็นเลิศทางความคิดสร้างสรรค์ (Creative Excellence Awards หรือ CE Awards) ประจำปี 2566 จากสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ สาขา Creative Business Awards ประเภท Cross-Sector Collaboration Awards

เบญจมาศ บอกถึงโมเดล ‘ช้าการช่าง’ เป็นกลุ่มช่างสูงอายุคนไร้บ้านรับงานทาสีอย่างเดียวในเบื้องต้น เป็นพื้นที่รวบรวมแหล่งจ้างงานสำหรับคนสูงวัยให้สามารถมีรายได้เพื่อใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน อนาคตต่อไปอาจขยับขยายในงานช่างประเภทอื่นๆ เช่น งานปูน งานซ่อมแซม งานตกแต่ง ก่อกระเบื้อง ปูกระเบื้อง ไปจนถึงช่างไฟฟ้า ช่างประปา ช่างล้างแอร์ แต่ไม่ได้รับงานใหญ่ เป็นงานตามบ้าน เพราะกลุ่มผู้เปราะบางผู้สูงอายุมีเงื่อนไขกว่าที่มากกว่าคนทั่วไป ช้า การช่าง มาจากแนวคิด ประกอบด้วย ช้า สื่อถึง ผู้สูงอายุ ถ้างานร้อน งานเร่ง อาจไม่ตอบโจทย์ แต่ถ้าซ่อมแซมทาสีปกติ จ้างแรงงานช้าการช่างได้เลย คนไร้บ้านต้องการการสนับสนุนจากสังคม

“เรายังมีโปรแกรมจากคนไร้บ้านสู่มีบ้าน มูลนิธิฯ จะหาห้องเช่า ช่วยสนับสนุนค่าเช่าเดือนแรก ค่ามัดจำให้ จากนั้นคนไร้บ้านต้องรับผิดชอบดูแลค่าเช่าเอง ปัจจุบันมีคนเปลี่ยนผ่านแล้ว 60 คน   พวกเขาได้มีห้องอยู่ ไม่ต้องนอนข้างถนนเหมือนแต่ก่อน มีความปลอดภัยในชีวิตมากขึ้น” เบญจมาศ กล่าว

อนาคตเธอระบุว่า อยากเห็นการเติบโตของทุกโครงการทั้งจ้างวานข้า, ชรารีไซเคิล, ช้าการช่าง ที่ขยายขึ้น สามารถรองรับผู้เข้าร่วมโครงการมากขึ้น อยากให้คนไทยสนับสนุนเกื้อกูลการจ้างงานคนไร้บ้าน เพื่อให้กลุ่มจ้างวานข้าได้งานทำ ได้พัฒนาตัวเอง และมีรายได้ เพื่อใช้ชีวิตที่มีความสุขมากขึ้น เราจะสร้างความตระหนักให้สังคมเล็งเห็นความสำคัญของกลุ่มผู้ไร้บ้าน นำกลุ่มผู้ไร้บ้านให้กลับเข้ามาอยู่ในการคุ้มครองของมูลนิธิฯ

อดีตชายไร้บ้านเปิดใจผ่านเพจจ้างวานข้า ข้อความว่า “คุณรู้ไหม ผมโชคดีมากนะที่ได้ห้องเช่า ช่วงนี้พายุเข้าพอดี ไม่งั้นต้องไปหลบหาที่นอนแบบชื้นๆ นอนเบียดกับคนอื่น โคตรลำบากเลย” เป็นหนึ่งในคนไร้บ้านที่ได้ห้องเช่า ได้ชีวิตใหม่

สนใจให้การสนับสนุนจ้างวานข้าได้ที่โครงการผู้ป่วยข้างถนน โดยมูลนิธิกระจกเงา เลขที่บัญชี 202-2-58289-4 ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือแจ้งพื้นที่ให้กลุ่มจ้างวานข้า ไปทำความสะอาด ได้ที่ Facebook มูลนิธิกระจกเงา หรือ จ้างวานข้า

‘คุณหญิงแมงมุม’ ฮึดสู้!! ลุกจากเตียง เริ่มทำกายภาพบำบัด โซเชียลแห่ส่งกำลังใจ พร้อมบอก “ดีใจที่ได้เห็นภาพนี้”

(3 ก.ย. 66) เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งบุคคลที่หลายคนส่งกำลังใจให้อยู่ตลอด สำหรับ ‘คุณหญิงแมงมุม’ หรือ ‘ม.ร.ว.ศรีคำรุ้ง ยุคล’ หลังป่วยหนักมานานหลายปี ต้องเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลอยู่เป็นประจำ และต้องอยู่บนเตียงรถเข็นตลอด โดยมีคุณสามี ‘นายพลดอลล่าร์’ คอยดูแลอยู่เคียงข้างอย่างใกล้ชิดไม่ขาดตกบกพร่อง

โดยล่าสุด ‘นายพลดอลล่าร์’ ก็ได้เผยภาพล่าสุดของ ‘คุณหญิงแมงมุม’ ขณะทำกายภาพบำบัด โดยได้ลุกขึ้นจากเตียงแล้ว และยังได้ออกกำลังกายด้วยจักรยานปั่นมือ พร้อมกับระบุแคปชันว่า "No pain, no gain"

ทั้งนี้ หลังจากภาพดังกล่าวถูกแชร์ออกไป ก็ได้มีหลายคนเข้ามาคอมเมนต์ส่งกำลังใจให้ทั้งคู่ มีคนที่บอกว่า "เห็นลุกได้ พี่ดีใจ" และมีคนเข้ามาชื่นชมคุณหญิงแมงมุมว่าเก่งมากๆ ขอให้สู้ๆ และแข็งแรงขึ้นไวๆ อีกด้วย

เปิดประวัติ-ผลงานเด่น!!

‘กฤษฎา จีนะวิจารณะ’ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจการคลัง​ ผู้มากความสามารถและประสบการณ์ที่ครบครัน

และด้วยวันนี้ ก็ได้รับการยอมรับขึ้นแท่น สู่ว่าที่ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ใน ‘ครม.เศรษฐา ​1’
 

‘บุ๋ม ปนัดดา’ เปิดค่ารักษาที่สิงคโปร์ โดนไปจุกๆ 2 หมื่นบาท หลังเกิดอุบัติเหตุถูกรถชนท้าย เข้าโรงพยาบาลแค่วันเดียว

(3 ก.ย. 66) ถึงคราวฟาดเคราะห์จริงๆ สำหรับ ‘บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี’ ที่ก่อนหน้านี้เธอได้โพสต์ลงในอินสตาแกรมส่วนตัว @boompanadda ว่าได้ประสบอุบัติเหตุขณะนั่งรถเที่ยวที่ประเทศสิงคโปร์ โดยถูกรถยนต์ชนจากบริเวณด้านหลังรถยนต์ที่เธอนั่งมาเข้าอย่างแรง ซึ่งในเวลาต่อมา ‘บุ๋ม ปนัดดา’ เผยว่าได้เดินทางไปโรงพยาบาลแล้ว โดยระบุแคปชันว่า

“อ่ะ! ไม่รอดค่ะ เพื่อนฝนมึนหัว อาเจียนหลายรอบ ส่วนบุ๋มปวดร้าวหลังล่างและคอ อาเจียนมีเลือดปน 2 รอบ หมอฉีดยาและเอ็กซเรย์เรียบร้อย ผลตรวจคือ Muscle Spasm กล้ามเนื้อตรงคอกับหลังล่างอักเสบเฉียบพลัน มีผลกับเส้นประสาท ก็ค่อยๆ รักษากันไปค่ะ ขอบคุณทุกความห่วงใยนะคะ มาสิงคโปร์เป็น 100 ครั้งไม่เคยเจออุบัติเหตุบนถนน ไม่นึกว่าจะมาเจอกับตัวเอง ต้องขอขอบคุณน้องโบว์ชมพู @bow_bowchompoo ที่มาช่วยดูแลที่ รพ. จนเรียบร้อยทุกอย่าง ขอบคุณมากๆ จริงๆ ค่ะ”

ล่าสุด ‘บุ๋ม ปนัดดา’ ได้โพสต์ลงในอินสตาแกรมอัปเดตอาการอีกครั้งและเผยถึงค่ารักษาพยาบาลจากโรงพยาบาลในประเทศสิงคโปร์ว่า “หายดีแล้วทุกคน เพราะเจอค่ารักษาหมอไปสองหมื่นกว่า ประสบการณ์เข้าโรงพยาบาลที่สิงคโปร์ เอกซเรย์คอกับหลัง ฉีดยาแก้ปวดหนึ่งเข็ม ยากลับบ้านสี่อย่าง ยาคลายกล้ามเนื้อ แก้อาเจียน บำรุงประสาท และแผ่นแปะแก้ปวด พร้อมกับค่าเจอหมอตอนดึก ค่าเอกสารที่ขอกลับบ้าน 20,000 กว่าบาท หายดีเลยจ้า แม่แข็งแรงแล้ว จริงจิ๊งงง”

‘กรมควบคุมโรค’ ห่วงสถานการณ์ ‘ฝีดาษวานร’ ในประเทศ พร้อมเผย เดือน ส.ค. เยาวชนติดเชื้อไปแล้ว 16 ราย

(3 ก.ย. 66) นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยสถานการณ์ล่าสุดของโรคฝีดาษวานร (Monkey pox) หรือ Mpox ในประเทศไทย ว่า ข้อมูล ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2566 มีรายงานผู้ป่วยรวม 316 ราย (เสียชีวิต 1 ราย เป็นผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง) เป็นกลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายมากถึง 271 ราย ร้อยละ 85.8 และมีผู้ติดเชื้อเอชไอวี 143 ราย ร้อยละ 45.3 มีสัญชาติไทย 277 ราย ชาวต่างชาติ 36 ราย ไม่ระบุ 3 ราย

“ในจำนวนผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 198 ราย จ.ชลบุรี 22 ราย จ.นนทบุรี 17 ราย และ จ.สมุทรปราการ 12 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่อายุ 30-39 ปี จำนวน 152 ราย รองลงมา อายุ 20-29 ปี จำนวน 85 ราย กลุ่มเยาวชน อายุ 15-24 ปี จำนวน 28 ราย ซึ่งกลุ่มเยาวชนมีความเสี่ยงติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว” นพ.ธเรศ กล่าวและว่า จากการติดตามสถานการณ์ 4 เดือนย้อนหลัง พบการระบาดอย่างต่อเนื่อง ในเดือนพฤษภาคม 2566 ได้รับรายงานผู้ป่วย 22 ราย เดือนมิถุนายน 48 ราย เดือนกรกฎาคม 80 ราย และเดือนสิงหาคมได้รับรายงานเพิ่มอีก 145 ราย เกือบทั้งหมดเป็นคนไทย และรับเชื้อภายในประเทศ ในจำนวนนี้มีรายงานพบผู้ป่วยฝีดาษวานรเสียชีวิต 1 ราย เป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่มีอาการรุนแรงและติดเชื้อฉวยโอกาสแทรกซ้อน

อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ทั้งนี้ ประเทศไทยได้รับการสนับสนุนยา Tecovirimat (ชื่อการค้า TPOXX) จากองค์การอนามัยโลกให้นำมาใช้ในกรณีฉุกเฉิน เป็นยาที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อไวรัสกลุ่ม Poxvirus เพื่อใช้รักษาผู้ป่วยยืนยันที่มีอาการมากและแพทย์รับเข้ารักษาในโรงพยาบาลเท่านั้น

นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวเพิ่มเติมว่า ระยะแรกของการแพร่เชื้อฝีดาษวานรในประเทศไทยกลุ่มเสี่ยงเป็นชายวัยทำงาน แต่ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เริ่มพบเยาวชนติดเชื้อฝีดาษวานรเพิ่มมากถึง 16 ราย

“โดยมีรายงานจากทีมปฏิบัติการสอบสวนควบคุมโรค กองระบาดวิทยา สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 6 (สคร.) จ.ชลบุรี ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ชลบุรี และหน่วยงานในพื้นที่ สอบสวนผู้ป่วยยืนยันฝีดาษวานรรายหนึ่งเป็นนักเรียนชาย อายุ 16 ปี เริ่มป่วยเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2566 เข้ารับการรักษาแบบผู้ป่วยในเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2566 ด้วยอาการตุ่มน้ำใสขึ้นตามร่างกาย ร่วมกับอวัยวะเพศบวมอักเสบ ตรวจพบเชื้อฝีดาษวานร  ประวัติเสี่ยง ผู้ป่วยมีเพศสัมพันธ์กับหลายคน ดำเนินการติดตามอาการของผู้สัมผัสเสี่ยงสูง ซึ่งเป็นผู้สัมผัสร่วมบ้านจนครบ 21 วันนับตั้งแต่วันที่นับจากวันสัมผัสผู้ป่วยวันสุดท้าย ยังไม่พบผู้ป่วยในครัวเรือน” นพ.โสภณ กล่าว

รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ดังนั้น ขอย้ำเตือนเยาวชนเเละกลุ่มชายรักชายให้งดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย เช่น ไม่สัมผัสใกล้ชิดเนื้อเเนบเนื้อ หรือกอดจูบกับผู้ที่ไม่รู้จัก

“เวลานี้สถานการณ์ผู้ป่วยในไทยเริ่มแพร่ระบาดจากกลุ่มวัยทำงาน วัยรุ่น ไปสู่กลุ่มที่อายุน้อยลงได้แก่เยาวชนวัยเรียนเเล้ว ขอให้ตระหนักว่า เยาวชนต้องป้องกันตัวอย่างมีความรู้ความเข้าใจ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดโรค โดยสังเกตรอยโรค อาการเเสดง เเละสังเกตดูผิวหนังตามร่างกายของคู่นอน ว่ามีผื่นแบนหรือนูน ตุ่มน้ำใส ตุ่มหนองเเละตกสะเก็ด มักพบตามอวัยวะเพศรอบทวารหนัก แขน ขา หรือฝ่ามือฝ่าเท้า ลำตัว ศีรษะ ก่อนหน้าจะเกิดอาการมักมีไข้ร่วมกับอาการอื่น เช่น ต่อมน้ำเหลืองบวมโต เจ็บคอ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดหลัง” นพ.โสภณ กล่าว

หากสงสัยติดเชื้อฝีดาษวานร ให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษา พร้อมกับแยกตัวออกจากสมาชิกในครอบครัว ที่พัก หรือสถานที่ทำงาน ไม่รับประทานดื่มน้ำด้วยภาชนะร่วมกับผู้อื่น สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ช่วงป่วย การรักษาความสะอาดทำความสะอาดเสื้อผ้าเครื่องนอนเครื่องใช้แยก ใช้สุขาแยก หรือ ทำความสะอาดด้วยการเช็ดน้ำยาทำลายเชื้อกลุ่มสารซักฟอก เช่น ไฮโปคลอไรต์ น้ำสบู่ เป็นต้น สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422

เริ่มต้นด้วยความอกหักทางการเมือง แต่เดินเรื่องด้วยมุมรักเฉกปุถุชน บทเพลงจาก 'พี่เสก' ที่อาจเสกเพลงนี้ไปได้ไกลกว่า 'พรรคก้าวไกล'

หลังการเผยแพร่เพลง ‘ก้าวให้ไกลกว่าเดิม’ แบบไร้ลิขสิทธิ์ (None Copyright) ของ 'พี่เสก' คุณเสกสรรค์ ศุขพิมาย หรือที่เรารู้จักกันดีในนาม ‘เสก โลโซ’ นั้น ถือเป็นความก้าวหน้าของอุตสาหกรรมเพลงไทย ซึ่งกำลังซบเซาอย่างถึงขีดสุด

ทว่า เราอาจจะต้องวางเหตุผลทางการเมืองสำหรับการฟังเพลงนี้ไว้สักหน่อย เพราะต่างก็ทราบกันดีว่าต้นกำเนิดของเพลงนี้กลั่นจากความอกหักส่วนตัวของคุณเสกเอง ต่อความล้มเหลวของพรรคการเมืองไทยที่ชื่อ 'ก้าวไกล'

แนวเพลงนี้ มาในทางจิ๊กโก๋อกหัก ซึ่งแกถนัด เพียงแค่ไม่ใช่ความอกหักแบบหนุ่มสาว แต่เป็นเรื่องรักคุดซึ่งมีที่มาจากความคาดหวังทางการเมือง

วงการศิลปะเรียกว่า 'Impressionism - ศิลป์ดลใจ'

พอเพลงขึ้นไปออนไลน์บน YouTube แล้ว ก็นับเป็นเพลงรักทั่วไป มิได้มีข้อความหรือท่อนเนื้อร้องใดเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างเปิดเผย (อย่างคาราบาวหรือก๊วนเพื่อชีวิตวงอื่นทำ) ซ่อนพรรณาถึงความเจ็บใจต่อสิ่งที่หวังไว้แล้วไม่เป็นจริง อาจหมายถึงผู้หญิง (เพราะคนร้องเป็นชาย) พูดถึงการทุ่มเทลงกับรัก แต่ไม่ได้แม้อะไรสะท้อนกลับให้เห็น แล้วก็สรุปเองว่าจะเดินจากลาด้วยคำ ‘ก้าวให้ไกลกว่าเดิม’ ซึ่งตรงกับคำ 'Move On' นั่นเอง

งานเพลงเชิงศิลปะแบบนี้ 'บ๊อบ ไดเลน' (Bob Dylan) 'ยูทู' (U2) 'บรู๊ซ สปริงทีน' (Bruce Springteen) 'จิม มอริสัน' (The Doors) หรือแม้แต่เจ้าพ่อแทรชเมทัล 'เมทัลลิกา' (Metallica) ต่างยึดถือเป็นสรณะนมนานตั้งแต่ก่อตั้งวง จนทุกคนที่กล่าวถึงล่วงเลยวัยแซยิดเกินสิบปีเข้าแล้ว ต่างพูดถึง 'รัก' บนภาพรวม รักโลก รักสังคม ก่นด่าความอยุติธรรม โดยในท้ายสุดก็ให้กำลังใจ มิได้เน้นเพียงรักปุบปับอย่างหนุ่มสาว

ไม่แปลกใจที่ 'เสก โลโซ' กำลังก้าวเดินตาม...

...แรงบันดาลใจที่พรรคก้าวไกลก้าวไปไม่ถึงฝั่งฝัน (ของคุณเสก) ส่งผลกระทบขนาดสร้างงานใหม่ขึ้นได้ในรอบหลายปี เรื่องนี้เป็นความอันต้องยินดีด้วยอย่างมาก

แต่ในฐานะนักฟัง ผมแค่อยากตั้งข้อสังเกตว่า ผู้แต่งเพลงหลีกเลี่ยงจะใช้คำว่า 'ก้าวไกล' ตรงๆ โดยเขียนขยายให้เป็นเพียงคำกิริยาว่า ‘ก้าว (ให้) ไกล (กว่าเดิม)’ แล้วใส่อารมณ์ความรักหนุ่มสาวปนลงกับเนื้อเพลงเกือบ 99% เพื่อแหวกทางสู่ผู้ฟังส่วนใหญ่ (Mass Communication) ผู้มิได้สนใจใยดีกับพรรคการเมืองใด

ดังนั้น จึงการันตีได้เลยว่า งานชิ้นที่พี่เสกปั้นออกมานี้ จะคงอยู่ต่อไปเนิ่นนานพอๆ กันกับเพลงระดับขึ้นหิ้งใจที่บอกเล่าเรื่องราวคล้ายๆ กัน อาทิ ซมซาน, ฝนตกที่หน้าต่าง, เคยรักฉันบ้างไหม, รอยยิ้มนักสู้, ผู้ชนะ

หรืออย่างน้อยก็อยู่ได้นานเกินกว่าพรรคการเมืองที่พี่เสกเชียร์อยู่แน่นอน...

‘NSDF’ แจง!! เหตุ 'น้องออก้า' แชมป์เจ็ตสกีโลกวืดเงินอัดฉีด เพราะต้องมีผู้เข้าร่วมแข่ง 6 ประเทศ แต่ในอีเวนต์นี้มีแค่ 2

(3 ก.ย. 66) หลังจากที่ 'น้องออก้า' นครา ศิลาชัย ลูกชายของ 'เปิ้ล' นาคร ศิลาชัย คว้าแชมป์โลกการแข่งขันเจ็ตสกี ที่สหรัฐอเมริกา ในรายการ 'ดับเบิลยูจีพี วัน เจ็ตสกี เวิลด์ ซีรี่ส์ 2022' รุ่นจูเนียร์ สกี้ 10-12 ปี เมื่อช่วงเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา หลังตั้งใจฝึกซ้อมอย่างหนัก เพื่อแลกประสบการณ์มากมายเกินเด็กวัย 10 ขวบ และทำให้พ่อแม่รวมถึงทุกคนดีใจนั้น

แต่จากนั้น 'เปิ้ล' นาคร ศิลาชัย ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กสุดเดือดจวกยับหลังถูก 'ยกเลิก' เงินสนับสนุน และเงินอัดฉีด ที่นักเจ็ตสกีไทยไปสร้างชื่อเสียงคว้าแชมป์โลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แต่ทาง 'ผู้ใหญ่' ตัดสินใจว่า ยกเลิกเงินสนับสนุน และเงินอัดฉีดทั้งหมด รวมถึงปีต่อๆ ไป แซะนักกีฬาทีมชาติตั้งใจแค่ไหน ก็ตัวใครตัวมัน และขอบคุณการจัดงบที่ทำให้การพัฒนากีฬาไทยริบหรี่ลงทุกวัน

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้ทำการตรวจสอบระเบียบข้อบังคับของ 'กองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ' (NSDF) เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการให้เงินรางวัลแก่นักกีฬา บุคลากรกีฬาและสมาคมกีฬาที่ใช้คำว่า 'แห่งประเทศไทย' ซึ่งสาเหตุที่กองทุนฯ ไม่สามารถอนุมัติเงินรางวัลดังกล่าวให้กับ 'น้องออก้า' นครา ศิลาชัย เนื่องจากไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามระเบียบที่กำหนดไว้

โดยตามหลักเกณฑ์ของกองทุนฯ ที่จะสามารถอนุมัติเงินรางวัลได้ในกรณีนั้น จะต้องมีนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน 6 ประเทศ แต่ในอีเวนต์ของ 'น้องออก้า' นครา ศิลาชัย ที่คว้าเหรียญทองมีเพียง 2 ประเทศเข้าร่วมคือ ไทย กับทีมสโมสรในประเทศสหรัฐอเมริกา มีจำนวนทั้งหมด 6 ลำเท่านั้น โดยไม่ได้เป็นตัวทีมชาติสหรัฐอเมริกาแต่อย่างใด ทำให้ไม่เข้าหลักเกณฑ์การจ่ายเงินรางวัล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top