Saturday, 7 June 2025
TheStatesTimes

3 กันยายน วันเกิด ‘โดราเอมอน’ แมวการ์ตูนสีฟ้าจากโลกอนาคต

โดราเอมอน เป็นหุ่นยนต์แมวจากโลกอนาคต ในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 22 เกิดวันที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2655 (ค.ศ. 2112) ลักษณะตัวอ้วนกลมสีฟ้า (เมื่อแรกเกิดมามีสีเหลือง) ไม่มีใบหู เนื่องจากถูกหนูแทะ 

โดราเอมอน เดิมเป็นหุ่นยนต์พี่เลี้ยงซึ่งคนที่ซื้อโดราเอมอนมาคือเซวาชิ เหลนชายของโนบิตะ วันหนึ่งเซวาชิเกิดอยากรู้สาเหตุที่ฐานะทางบ้านยากจน จึงได้กลับไปในอดีตด้วยไทม์แมชชีน จึงได้รู้ว่าโนบิตะ (ผู้เป็นปู่ทวด) เป็นตัวต้นเหตุ เซวาชิจึงได้ตัดสินใจให้โดราเอมอนย้อนเวลาไปคอยช่วยเหลือดูแลเวลาโนบิตะโดนแกล้งโดยใช้ของวิเศษที่หยิบจากกระเป๋าสี่มิติ

โดราเอมอนมีอวัยวะที่วิเศษสุด ๆ อาทิ มือกลมสีขาวไม่มีนิ้ว แต่ที่มือมีความสามารถในการดูด จึงหยิบจับสิ่งของได้ มีกระดิ่งห้อยคอสีเหลือง มีหนวด 6 เส้น หน้าท้องมีกระเป๋าวิเศษ และมีสวิตช์สำหรับปิด-เปิดที่หาง ถ้าดึงหางปุ๊บ โดราเอมอน ก็จะหยุดการทำงานทันที

โดราเอมอน มีความผูกพันกับเลข 129.3 แทบทุกอย่าง ทั้งน้ำหนัก 129.3 กิโลกรัม ส่วนสูงขณะยืน 129.3 เซนติเมตร ขณะนั่ง 100 เซนติเมตร กระโดดได้สูง 129.3 เซนติเมตร วิ่งได้เร็ว 129.3 กิโลเมตร/ชั่วโมง ส่วนของโปรด คือ โดรายากิ ตัวละครโดราเอมอนนั้น ได้รับแรงบันดาลใจเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2512 เนื่องจากนักวาดการ์ตูนทั้ง 2 ฟุจิโกะ ฟุจิโอะ ได้ลงโฆษณาการ์ตูนเรื่องใหม่ของเขาทั้งสองไว้ว่าจะมีตัวเอกที่ออกมาจากลิ้นชัก ในนิตยสารการ์ตูนฉบับต้อนรับปีใหม่ แต่ในความจริงแล้วทั้งสองยังไม่มีไอเดียเกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องนี้แม้แต่น้อยเลย เมื่อใกล้ถึงเวลาส่งต้นฉบับก็ยิ่งเพิ่มแรงกดดันให้กับทั้งสองเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้แรงบันดาลใจของการ์ตูนชื่อดัง 'โดราเอมอน' เกิดจากฮิโรชิ ฟุจิโมโตะ หนึ่งในนักวาดการ์ตูน ได้เผอิญเห็นแมวจรจัดที่มักแอบเข้ามาเล่นที่บ้านของตนเองเป็นประจำ เขามักจะชอบจับแมวตัวนี้มาหาหมัด จนเวลาล่วงเลยมาถึง 4.00 น. ก็ยังไม่มีไอเดียเกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องใหม่ ทำให้ฮิโรชิโมโหตัวเองเป็นอย่างมาก และคิดเลยเถิดไปว่าโลกนี้น่าจะมีไทม์แมชชีน เพื่อย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต หลังจากนั้นฮิโรชิได้เผลอหลับไปด้วยความอ่อนล้า เมื่อเขาสะดุ้งตื่นขึ้นมา ทำให้เขาตกใจว่าตนเองเผลอหลับไป จึงรีบวิ่งลงจากบันไดบ้านไปสะดุดกับตุ๊กตาล้มลุกญี่ปุ่นของลูกสาวที่ตกอยู่บนพื้น

เหตุนี้เองทำให้ฮิโรชิเกิดไอเดียขึ้นโดยนำหน้าแมวจรจัดมาผสมกับตุ๊กตาญี่ปุ่น สร้างออกมาเป็นตัวละครหุ่นยนต์แมวจากอนาคตคอยช่วยเหลือเด็กชายที่แสนจะไม่ได้เรื่อง และตั้งชื่อว่า โดราเอมอน เป็นคำผสมระหว่าง 'โดราเนโกะ' กับ 'เอมอน' ในภาษาญี่ปุ่น โดราเนโกะนั้นแปลว่าแมวหลงทาง ส่วนคำว่า 'เอมอน' เป็นคำเรียกต่อท้ายชื่อของเด็กชายในสมัยก่อนของประเทศญี่ปุ่น ชื่อโดราเอม่อน มีทั้งหมด 5 ชื่อ ด้วยกัน ชื่อที่ 1 โดราเอม่อน ชื่อที่ 2 โดเรม่อน ชื่อที่ 3 โดราจัง ชื่อที่ 4 โดราม่อน ชื่อที่ 5 โดราเอม่อนแมวจอมยุ่ง มีน้องสาว ชื่อว่า โดเรมี่

สำหรับโดราเอมอนเคยได้รับเลือกจากนิตยสารไทม์เอเชีย ให้เป็นหนึ่งในวีรบุรุษของทวีปเอเชีย และในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2551 มาซาฮิโกะ คามูระ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของญี่ปุ่น ได้แต่งตั้งให้โดราเอมอนเป็นทูตสันถวไมตรีอย่างเป็นทางการ เพื่อช่วยในการประชาสัมพันธ์วัฒนธรรมของประเทศ โดยนับเป็น 'ทูตแอนิเมชัน' ตัวแรกของประเทศญี่ปุ่น และเจ้าแมวหุ่นยนต์สีฟ้า ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตโอลิมปิกฤดูร้อน 2020 อย่างเป็นทางการอีกด้วย

4 กันยายน พ.ศ. 2351 วันพระราชสมภพ สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 2 ในรัชกาลที่ 4

วันนี้เมื่อ 215 ปีก่อน เป็น วันพระราชสมภพของ สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 2 ในรัชกาลที่ 4

เจ้าฟ้าจุฑามณี พระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและเป็นพระอนุชาร่วมอุทรกับ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร. 4 เมื่อ ร.4 เสด็จขึ้นครองราชย์ ได้ทรงสถาปนาเจ้าฟ้าจุฑามณีขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ทรงพระนามว่า สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 2 ในรัชกาลที่ 4 พระองค์ทรงมีความรู้ในด้านภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี ทรงโปรดวิทยากรสมัยใหม่แบบตะวันตกหลายด้าน ทรงพระปรีชาหลายด้าน ทรงสร้างปืนใหญ่ไว้เป็นจำนวนมากเพื่อใช้ป้องกันบ้านเมือง ทรงสร้างเรือกลไฟเป็นลำแรก เป็นผู้บังคับบัญชากรมทหารปืนใหญ่ และผู้บังคับบัญชาทหารเรือไทยเป็นพระองค์แรก

พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยและ สมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี และเป็นพระอนุชาร่วมพระชนกชนนีกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระนามเดิมว่า 'เจ้าฟ้าจุฑามณี' หรือ 'เจ้าฟ้าน้อย' เสด็จพระราชสมภพ ณ พระราชวังเดิม เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2351 หลังจากที่สมเด็จพระราชบิดาได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเจ้าฟ้าน้อย จึงได้ตามเสด็จพระบรมชนกนาถและพระราชชนนี มาประทับในพระบรมมหาราชวัง และได้รับการเฉลิมพระนามเป็น 'สมเด็จ พระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าจุฑามณี' หรือ 'เจ้าฟ้าอสุนีบาต'

เมื่อเจ้าฟ้าน้อย ซึ่งในขณะนั้นดำรงพระอิสริยยศ เป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ เจริญพระชนมายุได้ 16 พรรษา ซึ่งตรงกับปี พ.ศ. 2367 ได้เสด็จมาประทับ ณ พระราชวังเดิม และประทับที่นี่จนถึงปี พ.ศ. 2394

พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระอัจฉริยภาพในด้านต่าง ๆ อาทิ การทหาร การช่าง วิทยาศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม การกีฬา การละคร การดนตรี และด้านวรรณกรรมอีกทั้งทรงรอบรู้ทางด้านการต่างประเทศอีกด้วย ทรงศึกษาภาษาอังกฤษจากมิชชันนารีอเมริกันจนแตกฉาน และทรงมีพระสหาย เป็นชาวต่างประเทศเป็นจำนวนมากด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงสามารถช่วยราชการด้านการต่างประเทศได้เป็นอย่างดีโดยทรงเป็นที่ปรึกษาในการทำสนธิสัญญาต่าง ๆ

หลังจากที่ได้รับพระราชทานบวรราชาภิเษกเป็น 'พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว' เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2394 ทรงมีศักดิ์สูงเสมอพระมหากษัตริย์เป็น 'พระเจ้าประเทศสยามองค์ที่ 2' ได้ทรงย้ายมาประทับ ณ พระบวรราชวัง (ปัจจุบันคือบริเวณพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ) จนสิ้นพระชนม์ลงใน วันที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2408 ขณะที่ทรงมีพระชนมายุได้ 58 พรรษา

‘สนธิ’ ชื่นชม ‘สำนักข่าวอิศรา’ ยกสื่อดีที่ควรปกป้อง มุ่งเน้นข้อมูลเท็จจริง และไม่เลือกเข้าข้างใคร

เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 66 นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ได้ไลฟ์สด ‘SONDHI TALK’ ผ่านเฟซบุ๊กแฟนเพจ ‘คุยทุกเรื่องกับสนธิ’ ช่องยูทูบ ‘Sondhitalk’ หรือ ‘Sondhitalk’ (ช่องสำรอง) และแอปพลิเคชัน Sondhi App โดยมีการกล่าวชื่นชมการทำงานของ ‘สำนักข่าวอิศรา’ และ ‘นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์’ ผู้อำนวยการบริหารสถาบันอิศรา ในประเด็นเกี่ยวกับข่าว ‘ปาล์มอินโด EARTH-STAR เปิดโปง ขบวนการ สวาปาม (ภาคต่อ)’ โดยระบุว่า…

“ผมต้องขอชมเชย ‘สำนักข่าวอิศรา’ และผู้บริหารงานของสำนักข่าวอิศรา คุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ หรือ ‘คุณเก๊’ พวกเราและทุกๆ คนที่รักในความเป็นธรรม ต้องการความจริงที่มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น จึงต้องขอขอบคุณสำนักข่าวอิศรา ที่แบ่งปันข้อมูลต่างๆ มาให้แก่ทางผม”

“ผมขอชื่นชมคุณประสงค์ สื่อดีๆ แบบนี้หายาก ยิ่งกว่ายาก ต้องดูแลปกป้องเพื่อให้อยู่รอดตลอดไป เพราะเขาเป็นคนที่ไม่เข้าข้างใครเลย เขายืนอยู่บนความจริงที่มีเพียงหนึ่งเดียว และไม่เกรงกลัวต่ออำนาจมืด หรืออิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้น”

‘เก้า สุภัสสรา’ เผยประสบการณ์ทริประทึก วิ่งวุ่นหาเที่ยวบินกลับไทย หลัง ‘จีน’ ประกาศเตือนพายุ 3 ลูกจ่อถล่ม ‘ฮ่องกง’ ล่าสุดปลอดภัยแล้ว

‘เก้า สุภัสสรา’ โพสต์ไอจีเผยความเคลื่อนไหววันนี้ หลังเจอทริปโกลาหลที่ฮ่องกง พายุเข้า 3 ลูก ต้องรีบวิ่งแจ้นมาสนามบินสุดทุลักทุเล ตอนนี้ปลอดภัยแล้ว แต่แฟนคลับอดเป็นห่วงหนักมากไม่ได้

เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 66 ‘เก้า สุภัสสรา ธนบุตร’ ดาราสาววัย 28 ปี ได้ออกมาโพสต์เล่าประสบการณ์ทริปการเดินทางระทึกที่สุดเท่าที่ตัวแสนจะบอบบางของเธอเคยเจอมา

หลังจากสาวเก้าเดินทางไปทริปที่ประเทศฮ่องกง แล้วบังเอิญต้องเจอกับสภาพอากาศแปรปรวนหนัก จากมรสุมพายุเข้าเต็มเปาถึง 3 ลูก จนทำดาราสาวมากความสามารถต้องวิ่งโร่ตีไฟลต์เครื่องบินกลับด่วน แถมต้องออกแรงวิ่งจนแข้งขาอ่อนเพื่อไปสนามบินให้ทันเวลาอีกด้วย

โดยเนื้อหาทั้งหมดที่เก้า สุภัสราเขียนเล่าไว้ในสตอรี่ไอจี ระบุว่า…

“ทริปนี้ โกลาหลมาก ต้องบินกลับพรุ่งนี้แต่พายุเข้า เลยรีบวิ่งมาสนามบินเพื่อหาไฟท์กลับให้ได้ภายในคืนนี้ ทุกไฟท์คือเต็มหมด ทั้งไป ตปท. รอบๆ ไทยก็ด้วย เราเลยตั้งใจรอสแตนด์บายบายทุกสายการบินที่บินไปไทย เพื่อรอที่นั่งหลุด และใช่ค่ะ!! มีคนหลุดพอดีจำนวนคนเราพอดี เราได้กลับไทยก่อนที่ไฟท์พรุ่งนี้จะแคนเซิลทั้งหมด”

“ได้นั่งสายการบิน airasia ecoได้ราคา 13,000 บาทกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้จริงๆ เพราะว่าเรามีงานถ่ายโฆษณาวันที่ 2 กองจะพังเพราะเราไม่ได้ ! ทริป คือ ทุลักทุเลตั้งแต่ขาไปยันกลับ เป้อกับพี่นิวที่จะมาด้วยกันคือวีซ่าแชงเก้นไม่ให้พาสปอร์ตคืน ทำให้สองคนอดบินไปพร้อมกัน แต่สุดท้ายก็ออกเช้าวันที่เราใกล้จะขึ้นเครื่องไปพอดี สองคนก็เลยตามมาช่วงเย็น”

“กลับมาต่อที่ทริปนี้ ตอนจะกลับ รีบกลับ รร. แพ็กของและวิ่งมาสนามบินหน้าตาตื่นมาก รู้สึกที่คิดถูกในการตัดสินใจครั้งนี้ เพราะไม่งั้นน่าจะไม่ได้กลับอีกหลายวันเลย”

“มีพายุทั้งหมด 3 ลูก คนตุนของกันแล้ว บางพื้นที่ราบต่ำอพยพแล้ว เพราะดวงจันทร์เต็มดวงทำให้น้ำขึ้นสูงกว่าปกติ พวกเราโชคดีมากที่เดินทางกลับมาได้และปลอดภัย”

“ขอบันทึกให้เป็นทริปที่สนุกที่สุดเท่าที่เคยไปมา ไม่เคยตื่นเต้น ระทึกอะไรเท่านี้มาก่อน ขอให้เดือนกันยาใจดีกับพวกเราด้วยเถอะ”

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการบรรเทาความตระหนกตกใจของแฟนคลับที่หลาย ๆ คนอาจจะยังรู้สึกคลายความกังวลถึงนักแสดงสาวขวัญใจลงไม่ได้ แม้เจ้าตัวจะยืนยันว่ารอดพ้นวิกฤตที่พาตะลึงมาได้แบบปลอดภัยแล้วก็ตาม

ด้วยเหตุนี้ จึงต้องขออนุญาตนำเซตปลอบประโลมความเป็นห่วงที่ส่งไปถึงได้แค่ในโซเชียล แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่ต้องแสดงออกด้วยเซตภาพถ่ายเซตแฟชั่นเผยความงามเบา ๆ ของเจ้าตัวที่ลงเปิดเผยความดีต่อใจไว้ในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา โดยเป็นโพสต์ที่ตัวแม่สายความงามแบบมีรสนิยมนี้ได้ติดแคปชันเบา ๆ ไว้ว่า “สวยแบบเต็ม 10 ไม่หักก 💗”

2 กันยายน พ.ศ. 2488 ‘ญี่ปุ่น’ ลงนามยอมจำนน บนเรือรบมิสซูรี สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการ

มาโมรุ ชิเงมิตซึ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น (ในขณะนั้น) ในนามของพระจักรพรรดิลงนามในเอกสารยอมจำนน เมื่อวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488 ถือเป็นการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการ

ในวันที่ 2 กันยายน 1945 (พ.ศ. 2488) มาโมรุ ชิเงมิตซึ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น (ในขณะนั้น) ในนามของพระจักรพรรดิลงนามในเอกสารยอมจำนนอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อกลุ่มสัมพันธมิตรเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดลงของ สงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างเป็นทางการ

การลงนามมีขึ้นบนเรือรบมิสซูรีของกองทัพสหรัฐฯ ที่ลอยลำอยู่เหนืออ่าวโตเกียว โดยพิธีลงนามใช้เวลาเพียง 20 นาที เพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องลงนามทั้งสิ้น 12 รายชื่อ

แม้ฝ่ายทหารจะต่อต้านการยอมจำนนจนถึงวินาทีสุดท้าย แต่ด้วยความเสียหายของญี่ปุ่นหลังโดนโจมตีด้วยระเบิดปรมาณูติดๆ กันสองลูกในฮิโรชิมา และนางาซากิ ประกอบกับโซเวียต ยังประกาศสงครามกับญี่ปุ่นในช่วงเวลาเดียวกัน จึงทำให้กลุ่มการเมืองภายในญี่ปุ่นต้องการยุติสงครามในครั้งนั้น 

ก่อนหน้านั้น รัฐบาลญี่ปุ่นออกแถลงการณ์เห็นด้วยที่จะยอมรับเงื่อนไขการยอมจำนนตามคำประกาศแห่งปอตสดัม (Potsdam Declaration) ในวันที่ 10 สิงหาคม ตามมาด้วยการประกาศยอมแพ้สงครามของพระจักรพรรดิผ่านวิทยุกระจายเสียงในวันที่ 15 สิงหาคม ก่อนที่ญี่ปุ่นจะลงนามในเอกสารยอมจำนนอย่างเป็นทางการในวันที่ 2 กันยายนปีเดียวกัน

แม่หญิงสมายล์เชิญชวนให้ทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสืบตำนานไหมไทย

✨💖แม่หญิงสมายล์เชิญชวนให้ทุกคนร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการสืบตำนานไหมไทย
🧡งาน “ตรานกยูงพระราชทาน สืบสานตำนานไหมไทย” ครั้งที่ 18 ภายใต้แนวคิด “ไหมไทยล้ำค่า สายใยแห่งภูมิปัญญา พัฒนาสู่สากล”

🩵ระหว่างวันที่ 31 สิงหาคม – 3 กันยายน 2566 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. – 20.00 น. 
📍ณ ฮอลล์ 6-7 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

😍พบกับกิจกรรมมากมายภายในงาน อาทิ นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ การจัดแสดงเครื่องหมายตรานกยูงพระราชทาน ผลงานการประกวดเส้นไหม ผ้าไหมตรานกยูงพระราชทาน และผลิตภัณฑ์หม่อนไหม ประจำปี 2566 นิทรรศการหม่อนไหมครบวงจรและสินค้าหม่อนไหมมากกว่า 200 ร้านค้า💕
🥰อย่าลืมไปงานกันเยอะๆ น้า🥰

‘ภัทร เหมสุข’ เผย ‘หยก’ สูญเสียอนาคตเพราะเลือกทางผิด ซัด!! ผู้ใหญ่หลอกครอบงำเด็ก ใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

เมื่อวันที่ 2 ก.ย. 66 จากกรณีที่ ‘หยก ธนลภย์’ เยาวชนอายุ 15 ปี ผู้เคลื่อนไหวทางการเมือง ได้นอนขวางรถบัสของโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ที่กำลังจะพานักเรียนไปเข้าค่ายภาษาจีน หลังทางโรงเรียนปฏิเสธไม่ให้หยกร่วมเดินทางไปค่ายด้วย เนื่องจากหยกไม่มีสถานภาพนักเรียนและไม่ได้จ่ายค่าเทอม (เพราะคืนค่าเทอมไปแล้ว) ทำให้ครูและเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆ พยายามให้หยกลงจากรถ แต่หยกไม่ยอม จนเพื่อนนักเรียนต้องช่วยกันอุ้มหยกลงจากรถ ทำให้ นายภัทร เหมสุข นักวิชาการอิสระ ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Pat Hemasuk’ ถึงประเด็นดังกล่าว โดยระบุว่า…

“สิ่งบางอย่างเดินหน้าแล้วถอยหลับกลับไม่ได้ สิ่งนั้นคือ ‘เวลาและโอกาส’ ของชีวิตที่เข้ามา
ผมอ่านข่าวบางข่าวเมื่อวานนี้แล้วสังเวชใจกับเด็กที่โดนการเมืองเข้าครอบงำ ใช้เป็นเครื่องมือจนชีวิตสูญเสียไปแบบไม่มีทางกลับไปดีได้เหมือนเดิม ในต่างประเทศมีกฎหมายคุ้มครองเด็กในเรื่องแบบนี้ คนที่ทำถึงขั้นติดคุกเลยทีเดียวถ้าไปใช้เด็กทำอย่างที่เห็น

ด่านแรกที่สู้จนถอดใจ คือ ครูและพ่อแม่ ที่ต้องตัดหางปล่อยวัด เพราะเด็กทำตัวแรงจนเอาไม่อยู่ ลองคิดดูว่าคนเป็นพ่อแม่ยังไม่เอา เนื่องจากเด็กเชื่อสังคมนอกโรงเรียน ทำผิดซ้ำซากจนเข้าสถานพินิจหรือคุกเด็กนั้น พ่อแม่และครูจะปวดใจแค่ไหน

วันนี้ที่เห็นเด็กต้องรับเรื่องราวอะไรมากมายเกินกว่าเด็ก ม.4 จะต้องพบเจอจากสังคม สายตาและแววตาบางภาพที่ออกสื่อ มันฟ้องว่าในใจของเด็กนั่นโดนอะไรและกำลังคิดอะไรอยู่ ถ้าสิ่งนี้ถือว่าแรงแล้วผมอยากให้รอดูไปอีกสองปี ตอนที่เพื่อนๆ ต่างก็แสดงความยินดีกันว่าพวกเขาคนโน้นคนนี้สามารถเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ได้บ้าง อนาคตจะเป็น นักศึกษาแพทย์ วิศวะ สถาปนิก นักกฎหมาย นักเศรษฐศาสตร์ ฯลฯ กันห้องละกี่คน แล้วในเวลาเดียวกันวันนั้นเธอจะได้จะมีอนาคตอะไรอยู่ในมือบ้าง

แววตาของเธอจากภาพบนสื่อวันนี้สะท้อนความคิดในใจของเธอ ว่าเธอเองก็เศร้าใจอยู่ลึกๆ ในพฤติกรรมของเธอ ที่ได้รับการตอบสนองจากเพื่อนที่เคยร่วมชั้นเรียนอย่างไรบ้าง แล้วอีกสองปีข้างหน้าผมพยากรณ์อนาคตได้เลยว่า แววตาของเธอจะเศร้ายิ่งกว่าวันนี้เสียอีก…

ผมไม่ได้โทษเธอคนเดียวหรอกนะ แต่ผมโทษผู้ใหญ่ที่หลอกใช้เด็กเป็นเครื่องมือเสียมากกว่า วันนี้เธอไร้ประโยชน์ทางการเมืองแล้วก็โดนเขี่ยทิ้ง ตัดท่อน้ำเลี้ยง เพราะไม่รู้ว่าจะเลี้ยงดูส่งเสียให้สิ้นเปลืองไปทำไม ไม่ต่างกับหลายคนที่โดนเททิ้งมาก่อนหน้านั้น และอีกสองปีกว่าๆ คดีหลายคดีที่เธอเคยสร้างเรื่องเอาไว้ก็คงจะสิ้นสุดลง ตอนนั้นเธอก็คงไม่ได้เข้าสถานพินิจเหมือนเดิมแล้ว แต่เธออายุครบที่จะเข้าทัณฑสถานไปเรียบร้อย เป็นการเริ่มชีวิตวัยรุ่นที่น่าเศร้าใจเมื่อเทียบกับชีวิตในมหาวิทยาลัยของเพื่อนๆ ที่เคยนั่งเรียนห้องเดียวกันมา

เห็นภาพไหมครับ ว่าพวกผู้ใหญ่และนักการเมืองบางกลุ่มที่สร้างเธอขึ้นมานั้น จิตใจโหดร้ายแค่ไหน และมีเหยื่ออย่างเธออีกมากมายหลายคน ผมได้แต่คิดขอให้กรรมนั้นตามสนองคนที่หลอกใช้เด็กเหล่านี้ในเร็ววัน”

‘หมอวรงค์’ ยินดี ‘ทักษิณ’ ยอมรับผิด โชคดีที่เรามีในหลวงเป็นที่พึ่ง

(2 ก.ย.66) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘Warong Dechgitvigrom’ ระบุว่า...

“ทักษิณสำนึกผิด ยอมรับผิดในการกระทำ จึงได้รับพระมหากรุณา โชคดีที่เรามีในหลวงเป็นที่พึ่ง ยินดีด้วยครับ”

วันของ ‘ทักษิณ-เศรษฐา’ ส่วน ‘ไผ่ ลิกค์’ วืด!! ฟาก ‘พท.’ ดึง ‘บิ๊กแป๊ะ’ ช่วย ‘บิ๊กทิน’ งานไหลลื่น

รายชื่อคณะรัฐมนตรี หรือ ‘ครม.เศรษฐา 1’ โปรดเกล้าฯ แล้ว เดี๋ยวมาว่ากัน… แต่ก่อนอื่น ‘เล็ก เลียบด่วน’ ต้องขอแสดงความยินดีกับครอบครัวชินวัตรด้วยคน ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ได้ทรงพระราชทานพระมหากรุณาอภัยลดโทษให้นักโทษชายเด็ดขาด ‘นายทักษิณ ชินวัตร’ เหลือโทษจำคุก 1 ปี จากทั้งหมด 8 ปี… 

ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร ก็ไม่ต้องอธิบายซ้ำตรงนี้… 

แต่จากนี้ไปก็พอจะคาดหมายได้ว่าโทษจำคุก 1 ปีที่เหลือ คุณทักษิณก็คงจะใช้ช่องทางตามกฎกติการาชทัณฑ์พบกับอิสรภาพได้ในไม่นาน เช่น การพักโทษหรือถ้ามีพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษในวันสำคัญก็สามารถพ้นโทษได้เลย เพราะโทษเหลือไม่ถึงปี หรือที่เรียกว่า ‘ต่ำปี’... ก็ว่ากันไป

แต่ที่อยากบอกทักษิณและครอบครัวชินวัตรตรงไปตรงมาด้วยปรารถนาดีตรงนี้ก็คือ หากไม่นอนอยู่ห้องไอซียู รพ.ตำรวจ พรุ่งนี้มะรืนนี้กรุณากลับไปรับโทษนอนรักษาตัวที่แดน 7 รพ.ราชทัณฑ์ได้แล้ว… จะเป็นภาพที่งดงามดูสอดประสานกับพระมหากรุณาธิคุณ… ตระกูลชินวัตรจะได้ไม่เป็นที่ถูกเกลียดชังเพิ่มขึ้นไปกว่าเดิม… 

กลับมาที่ โฉมหน้า ‘ครม.เศรษฐา 1’... เมื่อพิชิต ชื่นบาน ‘ทนายถุงขนม’ ประกาศถอนตัวออกไปเพราะแรงต้านจากสังคม พร้อมกับตัดชื่อ ‘ไผ่ ลิกค์’ หรือ ‘ไผ่ วันพอยท์’ ออกจาก ‘รมช.พาณิชย์’ โดยไม่มีใครรู้ล่วงหน้าแต่สันนิษฐานได้ว่าคงเนื่องจากเหตุปมคดีเก่าๆ ก็ทำให้ ‘ครม.เศรษฐา’ ดูดีขึ้นนิดหน่อย… แม้ว่าจะยังมีเสนาบดีอีก 2-3 คนที่ปูมประวัติไม่ค่อยโสภาสถาพรอยู่บ้าง แต่ก็พอจะหยวนๆ ให้โอกาสได้พิสูจน์คุณธรรมและน้ำยากันอีกสักรอบ… 

สำหรับคนที่จะมาแทนโควตา พิชิต ชื่นบาน จะเป็น ‘ชูศักดิ์ ศิรินิล’ หรือไม่นั้น ก็รอดูกันต่อไป… ขณะที่กรณีไผ่ ลิกค์ เป็นสัดส่วนของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งหากสังเกตให้ดีเมื่อ 4-5 วันก่อน มีการปล่อยชื่อของ ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ หรือ ‘อาจารย์แหม่ม’ ออกมาให้สื่อพูดถึง… อย่างไรก็ตาม ถ้าอาจารย์แหม่มอยากได้เก้าอี้รัฐมนตรี ก็ต้องได้รับความยินยอมจากบ้านใหญ่กำแพงเพชร ภายใต้การนำของ วราเทพ รัตนากร ผอ.พรรค… และ ไผ่ ลิกค์ ก็อยู่ในกลุ่มนี้

งานนี้… คงหนีไม่พ้น ‘ลุงป้อม’ หัวหน้าพรรคที่จะต้องทุบโต๊ะแบบเซ็งๆ อีกครั้ง… 

ในจำนวนรัฐมนตรี 33 คนของ ‘ครม.เศรษฐา 1’ สุทิน คลังแสง นับเป็นบุคคลที่น่าสนใจมากที่สุดคนหนึ่ง เพราะนี่คือพลเรือนที่ไม่ได้เป็นนายกฯ แต่ถูกวางตัวเป็นเสนาบดีกระทรวงกลาโหม… ซึ่งจริงๆ แล้วแรกเริ่มเดิมทีกระทรวงนี้ทาง ‘บิ๊กป้อม’ จองให้พรรคพลังประชารัฐ ตอนแรกนัยว่าถ้าตัวเองได้เป็นนายกฯก็จะควบเอง ต่อมามีข่าวลือว่าจะให้ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา (บิ๊กน้อย) ต่อมามีชื่อ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ (บิ๊กป๊อด) อดีตผบ.ตร.น้องชายบิ๊กป้อม… 

ก่อนที่ในช่วงท้ายๆ จะมีชื่อ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ (บิ๊กเล็ก) อดีตเลขาธิการ สมช.สายตรงบิ๊กตู่ แต่ก็มีแรงต้านเล็กๆ จากคนเสื้อแดงเพื่อไทย ประกอบกับพรรคเพื่อไทยไม่อยากสูญเสียโควตาให้บุคคลภายนอก… หวยจึงมาออกที่ สส.นักการศึกษาอย่าง ‘สุทิน คลังแสง’

ผู้สันทัดกรณีบางรายวิเคราะห์ว่า… การวางตัวสุทินคุมกลาโหม… จะใช่หรือไม่ว่า… เป็นการโชว์พาวของคนแดนไกลที่เป็นคนแดนใกล้แล้วในวันนี้… ประมาณว่าเขาจะจัดวางใครไว้ตรงไหนก็ทำได้!?

ก็คงต้องตามไปดูว่า สุทิน คลังแสง ผู้มีวาทศิลป์ มีอีคิวสูงจะไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่ แต่ยังไงๆ ก็เชื่อว่าอย่างน้อยคงดีกว่า อดีตนายกฯ หญิงยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ควบกลาโหมช่วงปี 2556-2557 ซึ่งโชคดีที่ช่วงนั้นนายกฯ ปูมี ‘บิ๊กแป๊ะ’ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก เป็นปลัดกลาโหม คอยช่วยดูงานอีกแรงหนึ่ง… 

โดยวันนี้ นอกเหนือจาก พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา จะถูกเทียบเชิญไปเป็นที่ปรึกษาแล้ว แว่วว่าพรรคเพื่อไทยจะส่ง ‘บิ๊กแป๊ะ’ พล.อ.นิพัทธ์ไปเป็นแม่บ้าน นั่งตำแหน่งเลขานุการ รมว.กลาโหม ให้เจ้ากระทรวงทำงานได้อย่างราบรื่น… 

ถ้าจริงก็น่าจะเป็นโชคดีของ… บิ๊กทิน!?

‘ใยไหม ชินารดี’ โอดอยากลบภาพจำดาราเด็ก ลั่น!! “หนูโตแล้วค่ะ” พร้อมบอก อยากลองรับบทฆาตกร-โรคจิต เผื่อคนจะสลัดภาพจำได้บ้าง

เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 66 เข้าวงการตั้งแต่ 3 ขวบ ขึ้นแท่นดาราเด็กสุดฮอต และหลายคนจำชื่อและหน้าตากันได้ดี สำหรับ ‘น้องใยไหม ชินารดี อนุพงษ์ภิชาติ’ นักแสดงสาวน้อยมากความสามารถ แถมฉายแววสวยตั้งแต่เด็กๆ จนตอนนี้กลายเป็นสาวเต็มตัว อายุ 18 ปีแล้ว

แม้ว่าเจ้าตัวจะกลายมาเป็นนางเอกเต็มตัวแล้ว แต่หลายคนยังติดภาพจำวัยเด็ก และยังมีคนทักอยู่บ่อยๆ ว่า “น้องใยไหมโตแล้วเหรอเนี่ย”

ล่าสุด ‘ใยไหม’ มาร่วมงาน ‘First Preview ละคร Across the Sky ลัดฟ้าล่าฝัน’ ในฐานะนักแสดงของเรื่อง ได้ให้สัมภาษณ์ว่าเธออยากให้คนจำบทบาทใหม่ๆ ในชีวิตนักแสดงของเธอบ้าง 

“ตอนนี้อายุ 18 ปีแล้วค่ะ (ยิ้ม) ล่าสุดตอนนี้เรียนอยู่ปี 1 ที่ มศว. คณะอุตสาหกรรม เอกการแสดงค่ะ” น้องใยไหม กล่าว

>> ได้เป็นเฟรชชี่แล้ว?
“จริงๆ ค่อนข้างตื่นเต้นค่ะ เพราะได้เจอเพื่อนใหม่ๆ และสังคมใหม่ๆ”

>> ตั้งใจเรียนตรงสายเลยใช่ไหม?
“จริงๆ ถ้าตรงสายของหนูตั้งแต่เด็กก็คงจะเป็นนวัตกรรม ค่ะ แต่หนูเคยเล่นละครเวทีตั้งแต่เด็ก ก็รู้สึกว่าเราชอบแนวนี้ ก็เลยอยากลองศึกษาเพิ่มเติม ก็เลยเลือกเข้าศิลปกรรม เพราะว่าศิลปกรรมกับนวัตฯ จะคนละแบบ”

>> ชีวิตตอนเป็นนักแสดงเด็ก กับชีวิตการเป็นนักแสดงวัยรุ่นแตกต่างกันไหม?
“แตกต่างนะคะ เพราะตอนเด็กๆ การตัดสินใจในหลายๆ เรื่องจะไม่ค่อยซับซ้อนเท่าตอนโตเท่าไหร่ แต่พอโตมาและได้รับบทใหม่ๆ ที่โตขึ้น มันก็มีอะไรหลายๆ อย่างที่ซับซ้อน คดเคี้ยวมากขึ้น”

>> คนก็ทักตลอด?
“ใช่ค่ะ ทุกคนก็จะบอกว่าน้องใยไหมโตแล้วเหรอ (ยิ้ม) จริงๆ มันก็ผ่านมา 15 ปีแล้ว (หัวเราะ)”

>> คนเข้ามาถามเยอะมั้ยกับบทบาทใหม่ๆ ที่เราได้รับ?
“มีค่ะ แต่ส่วนใหญ่เข้ามาคอมเมนต์ในไอจีหรือเฟซบุ๊กเยอะว่าอายุ 18 แล้วเหรอ โตเร็วจัง”

>> ดีใจมั้ยที่หน้าเรายังบล็อกเดิม ไม่เปลี่ยน?
“(หัวเราะ) ดีใจค่ะ เพราะรู้สึกว่าใบหน้าเราก็เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งที่ทำให้ทุกคนจำได้”

>> พออายุ 18 แล้วอยากทำอะไรที่แตกต่างจากตอนเป็นเด็กไหม?
“ก็ต้องเรียกว่าแสดงได้ทุกบทแหละค่ะ แต่ในอนาคตก็คงจะมีคาแร็กเตอร์บางอย่างที่ชาเลนจ์ตัวเรามากขึ้น”

>> อยากให้คนมองภาพเราเปลี่ยนไปจากตอนเด็กไหม?
“อยากนะคะ เพราะคนส่วนใหญ่จะติดภาพที่ไหมตอน 3 ขวบ แต่อยากจะบอกว่าโตแล้วนะ (หัวเราะ) ก็อยากให้ทุกคนจำเราในบทบาทใหม่ๆ บ้าง”

>> งานที่เข้ามาเป็นยังไงบ้าง โตขึ้นมั้ย หรือยังมีแนวเด็กๆ อยู่?
“เหมือนตอนนี้เรายังเป็นวัยรุ่น บทต่างๆ ที่เข้ามาส่วนใหญ่ก็เป็น 17-20 ก็เลยอาจจะยังไม่ได้ดูโตมากขนาดนั้น แต่จริงๆ หนูอยากลองเล่นบทโรคจิต ฆาตกร อยากเล่นแนวนั้นเลย เพราะน่าจะทำให้ทุกคนพอจะสลับภาพจำไปได้บ้าง (หัวเราะ) เพราะที่ผ่านมาจะมีบทดรามาที่คนจะจำได้เยอะๆ คนจะจำว่าน้องใยไหมเป็นนักแสดงที่ร้องไห้ได้เก่งๆ ก็เลยรู้สึกว่ามีสกิลอื่นๆ ที่เราทำได้ดีเช่นกัน ก็อยากให้ทุกคนได้เห็นค่ะ”

>> แสดงว่าภาพจำก็มีผลกับงาน?
“มีค่ะ เพราะส่วนใหญ่เวลาเล่นละครก็จะได้บทดรามาเยอะมากๆ ก็เลยอยากจะได้ลองเล่นบทอื่นๆ ด้วย”

>> ได้เอาสิ่งที่เรียนมาใช้ไหม?
“จริงๆ ที่เรียนที่มหาวิทยาลัยก็คือเพิ่งเปิดเทอมค่ะ ก็เลยยังไม่ได้ลงรายละเอียดอะไรมาก แต่หวังว่าในอนาคตถ้าได้เรียนในชั้นปีที่มากขึ้นเรื่อยๆ ก็คงได้เอาสกิลอะไรบางอย่างมาใช้จริงบ้าง”

>> กลัวการทำงานจะกระทบกับผลการเรียนไหม?
“จริงๆ ไม่กลัวนะคะ เพราะที่ผ่านมาเราก็สามารถจัดการเวลาระหว่างเรียนกับทำงานได้ และหวังว่าอนาคตก็คงจะไม่มีอะไรที่ทำให้สองอย่างนี้กระทบกันค่ะ แต่สุดท้ายแล้วไหมก็จะเลือกเรื่องเรียนก่อนอันดับแรกค่ะ”

>> ผลงานตอนนี้?
“ที่เพิ่งถ่ายจบไปก็ Across the Sky และอีกเรื่องนึงก็คือ Shadow เงาล่าตาย ก็เลยยังไม่ได้มีผลกระทบอะไรมากเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นอีเวนต์หรือเป็นงานโปรโมตมากกว่าค่ะ”

>> กลัวในอนาคตมั้ยว่าเราเลี่ยงไม่ได้ที่อาจจะต้องจบช้ากว่าเพื่อน?
“จริงๆ ที่บ้านไหมไม่ซีเรียสเรื่องการเรียน คือไม่ได้ซีเรียสว่าถ้าวันนึงเรางานเยอะขึ้นมา จะต้องจบพร้อมเพื่อน เพราะที่บ้านไหมไม่ได้เข้มงวดขนาดนั้น เขาเข้าใจในการทำงานของเรา แต่ความตั้งใจของไหมก็คือให้จบพร้อมเพื่อน และจริงๆ หนูเป็นคนค่อนข้างซีเรียสเรื่องผลการเรียน ถึงแม้ว่าคุณพ่อคุณแม่จะไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้น แต่เราก็อยากจะให้มันดีทั้งคู่ ทั้งเรื่องเรียนและเรื่องการทำงาน”

>> ถ้ารับงานก็จะเลือกไม่ให้กระทบกับเวลาเรียนใช่ไหม?
“ใช่ค่ะ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top