Wednesday, 14 May 2025
TheStatesTimes

เกาหลีใต้เกินต้าน ยอดติด Covid พุ่งทะลุ 90,000 รายต่อวัน หวั่น!! ตัวเลขพุ่งสูงได้ถึง 360,000 รายภายในเดือนมีนาคม

รายงานสถานการณ์ Covid-19 รายวันจากเกาหลีใต้ พบผู้ป่วยล่าสุดทุบสถิติสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ที่ 93,135 ราย เกือบทั้งหมดเป็นผู้ติดเชื้อในประเทศ และคาดว่าอีกไม่นานจะแตะหลักแสนราย

ยอดการติดเชื้อพุ่งอย่างก้าวกระโดด จากเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา พบผู้ติดเชื้อเกิน 50,000 ราย ซึ่งนับว่าสูงแล้ว แต่มาวันนี้ (17 ก.พ. 65) ตัวเลขพุ่งทะยานเกือบทะลุแสน และนับเป็นการพบผู้ติดเชื้อรายวันเกินหลัก 9 หมื่นคนติดต่อกันเป็นวันที่สอง ส่วนยอดผู้เสียชีวิตก็มีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นเป็น 36 รายในวันนี้

คิม โบ-กยึม นายกรัฐมนตรีเกาหลีใต้ออกมากล่าวถึงสถานการณ์ Covid-19 ในประเทศว่า การระบาดระลอกใหม่ครั้งนี้ยังไม่ถึงจุดพีก โดยหน่วยงานด้านสาธารณสุขคาดว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันอาจพุ่งสูงได้ถึง 170,000 รายต่อวัน ภายในสิ้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ และอาจทำสถิติต่อถึง 360,000 รายต่อวันในเดือนมีนาคมได้

ดังนั้น รัฐบาลเกาหลีใต้จำเป็นจะต้องนำระเบียบมาตรการป้องกันโรคกลับมาพิจารณาอีกครั้ง ที่อาจส่งผลกระทบกับธุรกิจ SME ในประเทศ โดยทางการเกาหลีใต้จะประกาศรายละเอียดภายในวันศุกร์ที่จะถึงนี้

ครอบครัวหมอกระต่าย ยื่นฟ้องศาลปค. เรียกค่าเสียหาย 72 ล. เหตุละเลยทางม้าลาย

ครอบครัวหมอกระต่าย ฟ้องศาลปกครองเรียกค่าเสียหาย กทม. 72 ล้านบาท กรณีละเลยต่อหน้าที่ไม่ดูแลทางม้าลายให้ปลอดภัย จนเป็นเหตุหมอกระต่ายถูกรถชนเสียชีวิต

17 ก.พ. 65 นพ.อนิรุทธ์ และนางรัชนี สุภวัตรจริยากุล บิดาและมารดา ของ พญ.วราลัคน์ สุภวัตรจริยากุล หรือ หมอกระต่าย พร้อมด้วยนายณัฐพล ชิณะวงศ์ ทนายความ และกลุ่มนิสิตนักศึกษา ชั้นปีที่ 4 คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และม.รามคำแหง เข้ายื่นฟ้องกรุงเทพมหานคร (กทม.) กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวม 3 ราย ต่อศาลปกครองกลาง กรณีร่วมกันละเลยไม่จัดทำไฟสัญญาณจราจรให้รถหยุดเพื่อรอให้คนข้าม ป้ายหรือเครื่องหมายชะลอความเร็วในบริเวณทางม้าลายที่เกิดเหตุอย่างเพียงพอ เหมาะสม และปลอดภัยกับผู้เดินข้ามทางม้าลาย รวมทั้งไม่บังคับใช้กฎหมายและกวดขันวินัยจราจรในบริเวณที่เกิดเหตุอย่างเพียงพอ จนเป็นเหตุให้ ส.ต.ต.นรวิชญ์ บัวดก ขับขี่จักรยานยนต์บิ๊กไบค์ชนหมอกระต่ายเสียชีวิต ขณะข้ามทางม้าลาย เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 65 ที่ผ่านมา

'บิ๊กตู่' บอกแล้วแต่กิริยา'หมอชลน่าน' ทำนั่งหลับ สังคมตัดสิน ลั่นอภิปรายไม่ได้หวังเอาชนะใคร พร้อมต้อนรับ 'คณะหอการค้าร่วมต่างประเทศ' ยัน ภาคเอกชนไม่หวั่นไหวสถานการณ์การเมืองไทย

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวภายหลังให้การต้อนรับนายสแตนลีย์ คัง (Mr. Stanley Kang) ประธานหอการค้าร่วมต่างประเทศในประเทศไทย (JFCCT) และคณะ ที่เข้าเยี่ยมคารวะ ว่า กลุ่มที่เข้าพบวันนี้ทำงานกับเรามาโดยตลอดหลายปี มีความรักประเทศไทยและพร้อมที่จะร่วมมือลงทุนในประเทศเราให้มากขึ้น ซึ่งตนได้ย้ำไปแล้วว่าไม่ใช่เพื่อเขาและเพื่อเรา แต่ต้องลงทุนให้โลกใบนี้ด้วย และประเทศไทยจะต้องหลุดพ้นจากประเทศที่ติดกับดักรายได้ปานกลางให้ได้เร็วที่สุด เพื่อให้มีรายได้สูงขึ้นตั้งแต่วันนี้ 

เมื่อถามว่า ภาคเอกชนจะหวั่นไหวกับสถานการณ์ทางการเมืองภายในของประเทศหรือไม่นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า "ไม่ได้มีการสอบถามในที่ประชุมแต่อย่างใด และไม่เคยถามอะไรตน ในเรื่องการเมือง เพราะเขาคิดว่าประเทศไทยอย่างไรก็อยู่ได้ เพราะอย่างไรก็คือประเทศไทย เขาเข้าใจ และเขาก็เห็นว่า ซึ่งการพัฒนาประเทศไทยมีการเปลี่ยนแปลงมาตามลำดับและต่อเนื่อง เขาเข้าใจดีเนื่องจากอยู่มาหลายปีแล้ว อะไรที่ไม่เป็นสาระเขาก็ไม่สนใจ"

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมจัดประชุมเอเปค ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ ว่า มีการแถลงอยู่แล้วเรื่องความคืบหน้าและมีการเตรียมสถานที่ไปแล้วคือหอประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ที่สร้างใหม่ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางของสิ่งที่มีความเปลี่ยนแปลงในประเทศไทย ส่วนสถานที่จัดเลี้ยงจะเป็นพื้นที่กองทัพเรือให้คนได้เห็นว่าประเทศไทย มีการเปลี่ยนแปลงอะไรไปแล้วบ้าง ส่วนเรื่องภายในของเราเรื่องสภาก็ว่ากันไป 

'แรมโบ้' ฟาด 'สุทิน  - หมอชลน่าน' อับจนปัญญา จนต้องคอยรับใช้นักโทษหนีคดี รู้ทั้งรู้ว่าเขาหลอกใช้ ระวังจะเสียคนตอนแก่ เหมือนรุ่นพี่ ๆ .

ดร.เสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) กล่าวถึงกรณีทางด้านพรรคร่วมฝ่ายค้านได้ทำการเปิดอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามม.152 ระหว่างวันที่ 17-18 ก.พ. ซึ่งทางด้านนายสุทิน คลังแสง ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย (พท.) ฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้านหรือวิปฝ่ายค้าน ได้ให้สัมภาษณ์อย่างมั่นใจว่า การอภิปรายในครั้งนี้ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น เป็นประโยชน์กับประชาชน จะเกิดความเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับการบริหาร เปลี่ยนแปลงในระดับรัฐมนตรี และอาจจะถึงขั้นเปลี่ยนแปลงผู้นำ เพราะเกิดวิกฤตศรัทธาขั้นรุนแรง หลังจากนี้มีอาฟเตอร์ช็อกแน่นอน

ส่วนที่ พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าไม่หนักใจ ไม่ให้ราคานั้น อาจเป็นเพราะไม่มีการลงมติ ท่านเลยเบาใจ ไม่ต้องเข็นกล้วยออกจากสวน แต่อย่าลืมว่ามือในสภาไม่เท่าศรัทธาของประชาชน ซึ่งการไม่ลงมติในครั้งนี้ถือว่าดีกับฝ่ายค้านมากกว่า เพราะถ้าลงมติมือเราก็แพ้พวกคุณ แต่ถ้าไม่ลงมติก็ไม่ได้มีข้อบ่งชี้ว่าใครแพ้ ใครชนะ แต่ทุกครั้งหลังการอภิปรายจะมีการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน ซึ่งฝ่ายค้านจะได้คะแนนดีกว่ามาตลอด ส่วนรัฐบาลจะสอบตก” 

ดร.เสกสกล บอกว่าตนเองนั่งฟัง สิ่งที่นายสุทินให้สัมภาษณ์หลายรอบ และก็อ่านที่สื่อมวลชนเขียนข่าวนี้ก็หลายครั้ง ก็ยังแปลกใจว่านายสุทิน ไปเอาข้อมูลมาจากไหนว่าทุกครั้งที่มีการอภิปรายแล้วผลสำรวจ ปรากฏว่าคะแนนฝ่ายค้านดีกว่าฝ่ายรัฐบาล เพราะที่ตนเองเห็นนั้นหลังการอภิปรายทุกครั้ง ประชาชนจะสะท้อนออกมาว่า การทำงานของฝ่ายค้านนั้น ไม่เอาไหน มีแต่เรื่องเดิม ๆ กล่าวหา โจมตี บิดเบือน ปล่อยเฟคนิวส์ ในสภา  แล้วอาศัย เอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครอง จนประชาชนเอาเอือมระอา กันไปทั่ว ไปทางไหน ก็ได้ยินแต่เสียงบอกเสียเวลา เปลือง น้ำ เปลืองไฟ ของสภา หากเปิดสภาอภิปรายแล้วทำได้แค่นี้อย่าเปิดมันเลยดีกว่า  

ขณะที่ทางด้าน นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภา เช่นกัน ที่ขึ้นเปิดหัวอภิปราย กล่าวหารัฐบาล ก็เป็นการกล่าวหาเดิม ๆ ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง เปิดสภากี่รอบ ก็ออกลีลาแบบนี้ กล่าวหา แต่ไม่เคยเอาหลักฐานอะไรมาแสดงให้เห็นได้สักครั้ง กล่าวหาว่ารัฐบาลสารพัดล้มเหลวทุกด้าน บริหารไร้จิตสำนึก เผด็จการ ต้นเหตุของปัญหา แล้วก็ลงท้ายด้วยการให้ลาออก หรือยุบสภา  

‘ก้าวไกล’ ชี้เป้า!! ‘ไอ้โม่ง’ ปกปิด ‘ASF - หมูแพง’ นั่งข้าง ‘ประยุทธ์’ หยัน ไม่มีน้ำยาปรับ ครม. ก็ออกไป

17 ก.พ. 65 ที่รัฐสภาในการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตาม มาตรา 152 นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก เขต 1 พรรคก้าวไกล อภิปรายในประเด็นความล้มเหลวฉ้อฉลในการจัดการโรคระบาดอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever : ASF) และปัญหาหมูแพง โดยระบุว่า รัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อความสูญเสียที่เกิดขึ้น เพื่อไม่ให้ความเสี่ยงโรคระบาดเกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก และเพื่อไม่ให้เกิดการกินรวบอุตสาหกรรมสุกร 

>> ราคาหมูทะยานสูง-ลงเร็ว ไม่ใช่ความปกติ

“ราคาเนื้อหมูแพงขึ้นสูงสุดในประวัติศาสตร์ และลดลงอย่างผิดปกติหลังการประกาศเจอโรค ASF เหตุการณ์นี้เริ่มต้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2564 หมูเนื้อแดงจาก 125 บาท ขยับขึ้นเป็น 136 บาท ในเดือนพ.ย. ต่อมาเป็น 165 บาท ในเดือน ธ.ค. และร้ายแรงที่สุดในเดือน ม.ค. 65 คือ 190-220 บาท สำหรับหมูเนื้อแดง และสาหัสที่สุดคือ 260-300 บาท สำหรับหมูสามชั้น สวนทางกับดัชนีราคาเนื้อสุกรของโลก หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่า ราคาเนื้อหมูหยุดปรับขึ้นและค่อยๆ ปรับตัวลดลง จุดตัดสำคัญอยู่ที่เดือนมกราคม 65 คือ วันที่การเปิดเผยว่ามีโรคระบาด ASF ในประเทศไทย นำมาสู่การตรวจสอบการกักตุนเนื้อสุกรในห้องเย็นตั้งแต่กลางเดือนมกราคมเป็นต้นมา จากการตรวจสอบพบหมูในห้องเย็น 1,366 แห่ง มีหมูเก็บหมู 24.66 ล้านกิโลกรัมเป็นอย่างน้อย”

ปดิพัทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลออกมาเคลมผลงานว่า แก้ไขปัญหาได้ถูกจุด แต่ต้องย้ำว่า การที่ราคาทะยานขึ้นสูงและลดลงอย่างรวดเร็วได้ไม่ใช่เรื่องปกติ แต่เป็นความชั่วร้ายของรัฐบาล คณะรัฐมนตรี และโดยเฉพาะกระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงพาณิชย์ ที่ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ปี 62-64 ท่องตามโพยอยู่อย่างเดียวว่า “ประเทศไทยไม่มี ASF” ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า “ไม่รู้ว่าหมูแพงได้อย่างไร” สั่งการขึงขัง ตรึงราคา ตั้ง War room ทุกจังหวัด ตรวจสอบห้องเย็น หลอกพี่น้องประชาชนว่าแก้ปัญหาได้แล้ว

“มันคือละครตบตาคนไทยทั้งประเทศ เพราะจริงๆ แล้วคณะรัฐมนตรีรู้มานานแล้วว่ามีโรคระบาด ASF และมีคนจำนวนเล็กๆ กลุ่มหนึ่งรู้สถานการณ์เป็นอย่างดี จึงแสวงหาความร่ำรวย เหยียบย่ำพี่น้องประชาชนผู้บริโภคและเกษตรรายเล็กรายน้อย บางคนล้มละลาย หนี้สินท่วมหัว บางคนเครียดจนเส้นเลือดในสมองแตกเสียชีวิต ความเสียหายย่อยยับเกิดขึ้นในฟาร์มขนาดย่อย ขนาดกลาง และขนาดใหญ่บางที่ แต่ทุนใหญ่ไม่กระทบมากเพราะมีหมูขายไม่อั้น ทุกคนต้องวิ่งหาหมูจากทุนใหญ่ เพราะไม่มีหมูของรายย่อยเหลือแล้ว กินรวบ เบ็ดเสร็จ ฟาร์มขนาดใหญ่กำลังเพิ่มการผลิต ขึ้นฟาร์มใหม่กันเต็มไปหมด เพราะรู้มาตลอดว่ามีการระบาด และรู้ด้วยว่าจะทำกำไรได้มหาศาล ถ้าใครมีหมูในช่วงปลายปี 64 และสามารถกักตุนไว้ในห้องเย็นต่างๆ ได้”

>> ตั้งธงอย่าให้รู้ว่า ASF ระบาด 

ปดิพัทธ์ กล่าวว่า ทั่วโลกมีองค์ความรู้และแนวปฏิบัติในการกำจัดของ ASF คือ การแจ้งเตือนสถานการณ์การระบาด (Alertness), ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนทั้งในและต่างประเทศ (Cooperation) และ ความโปร่งใสในการรายงาน (Transparency) แต่ประเทศไทยไม่มีสักอย่างและทำตรงข้ามกันหมด เพราะมีธงตั้งไว้อย่างเดียว ว่าทำยังไงก็ได้ ไม่ให้รู้ว่ามีการระบาด 

“ผมกล้าพูดแบบนี้ได้อย่างไร ผมจะแสดงให้ดูว่า รัฐบาลนี้ทำอะไรกับพวกเราบ้าง ปี 2562 รู้ว่ามี ASF และเสนอเป็นวาระแห่งชาติ แต่ไม่มีผลงาน ไร้น้ำยา สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีแจ้งในวันที่ 16 ตุลาคม 2562 ให้แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการป้องกัน ควบคุมและกำจัดโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ในหนังสือฉบับนี้ อ้างอิงถึง 3 คน คือ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรกรฯ และรองนายกรัฐมนตรี จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ทราบแล้ว ดังนั้น อย่ามาบอกไม่รู้  

“ปี 2563 เริ่มมีสุกรตาย มีการทำลายหมู สหกรณ์เชียงใหม่ ลำพูน พังย่อยยับ ตั้งแต่ปี 2563-2564 มีมติ ครม. ออกมาชดเชยค่าทำลายหมู 3 ครั้ง รวมเป็นเงิน 1,000 ล้านบาท ทำลายหมูไปแล้ว 300,000 ตัว จะไม่เจอ ASF สักตัวเลยหรือ ที่อ้างว่า ทำลายเพราะโรค PRRS แต่โรค PRRS เป็นโรคประจำถิ่นที่มีวัคซีนใช้กันมานานแล้ว และก่อนหน้าประเทศไทยไม่เคยมีการทำลายหมูเพราะโรค PRRS นับแสนตัวมาก่อน แต่หลังปี 2562 ทำลายหมูจำนวนมากโดยบอกว่าเพราะ PRRS จึงเป็นเรื่องที่ฟังดูตลกมาก 

“จบปี หมูตายไป 300,000 ตัว แต่รัฐบาลตบตาเกษตรกรจัดงานเลี้ยงในปี 2563 เห็นรัฐมนตรีเกษตร เฉลิมชัย ศรีอ่อน ท่านอธิบดีกรมปศุสัตว์ ไปยืนยิ้ม ประกาศว่า ประเทศไทย คือ ประเทศเดียวในกลุ่มประเทศอาเซียนที่ยังไม่พบการระบาดของโรค ASF ในสุกร โดยในปีนั้นประเทศไทยสามารถส่งออกไปยังประเทศกัมพูชาในปริมาณสูงกว่าปี 2562 อย่างก้าวกระโดดถึง 400% จะไม่ให้ตัวเลขการส่งออกเติบโตได้อย่างไร เพราะประเทศเพื่อนบ้านติดโรคกันหมด มีแต่บ้านเราที่หลอกขายคนอื่นไปทั่ว แถมปิดปีด้วยงานเลี้ยงฉลองยอดการส่งออก จนนึกว่าท่านอธิบดีนี่เป็นผู้จัดการบริษัท แต่พอ เข้าปี 2564 การระบาดลงมาที่ภาคตะวันออกและตะวันตก กลายเป็นเอาไม่อยู่แล้ว ฟาร์มขนาดใหญ่เสียหาย เพราะ ปี 2563 ปกปิดข้อมูลไว้จนหมูเสียหายย่อยยับ เกิดการหนีตาย ระบายหมูขายกันถูกๆ ตัวละ 300-500 พ่อค้าคนกลางกดราคาหน้าฟาร์มกันอย่างเต็มที่ แต่ราคาเนื้อแดงหน้าเขียงราคาเดิม รวยขึ้นกันมหาศาล ด่านกักสัตว์ก็ผ่านกันอย่างสบาย ช่วงเร่งๆ จ่ายกันถึงคันละ 10,000 บาท โดยไม่มีใครสนว่าจะกระจายโรคแค่ไหน เพราะรัฐมนตรีและอธิบดีกรมปศุสัตว์ท่องไว้อย่างเดียวว่า ไม่มี ASF” 

กรมอุทยานฯ เอาจริง!! ติดป้ายเตือนขับรถชนช้างป่าสลักพระ โทษ คุก 10 ปี ปรับ 1 ล้าน หลังเกิดเหตุบ่อย

กรมอุทยานฯ เอาจริง ติดป้ายเตือนขับรถชนช้างป่าสลักพระ เจอคุก 10 ปี ปรับ 1 ล้าน หลังพบช้างป่าถูกรถชน 2 ครั้ง ในช่วงเวลาไม่ถึง 1 เดือน

เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ นายนิพนธ์ จำนงสิริศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) พร้อมด้วย นายสิขกพงษ์ กระแจะจันทร์ ผู้อำนวยการส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า ลงพื้นที่เพื่อตรวจติดตามการติดป้ายเตือน “ระวังช้างป่าข้ามถนน ขับรถชนช้างป่ามีโทษจำคุกและปรับ” “โปรดระวังช้างป่า ห้ามขับรถเร็วเกิน 60 กม./ ชม.” ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ บริเวณถนน 1399 ตำบลวังด้ง จนถึงตำบลช่องสะเดา อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ระยะทาง 15 กิโลเมตร โดยมี นายไพฑูรย์ อินทบุตร หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ เป็นผู้นำตรวจ โดย นายไพฑูรย์ แจ้งว่าได้ทำการติดป้ายเตือนระวังช้างป่า โดยได้ติดป้ายเตือนระวังช้างป่าทั้ง 2 ข้างถนนบริเวณดังกล่าว ตลอดสายระยะทาง 15 กม. ทั้งขาไปและขากลับ เห็นได้ชัดเจนตั้งแต่ระยะไกล รวมทั้งหมด 35 ป้าย

นายนิพนธ์  กล่าวว่า ตามข้อสั่งการของ นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ให้ดำเนินการยกระดับแก้ไขปัญหาช้างป่า ในกรณีช้างป่าถูกรถยนต์ชน ทำให้เกิดการบาดเจ็บทั้งคน และช้างป่า ในบริเวณเส้นทางถนนหมายเลข 1399 ต.ด้งวัง ต.ช่องสะเดา อ.เมืองกาญจนบุรี ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ จึงได้ดำเนินการติดป้ายเตือนระวังช้างป่าดังกล่าว

ทั้งนี้ขอกล่าวเตือนว่า การที่ผู้ขับขี่รถยนต์คันใด ขับรถมาด้วยความเร็วเข้ามาในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ ถนนสาย 3199 ระหว่าง ต.วังด้ง ถึง ต.ช่องสะเดา อ.เมืองกาญจนบุรี แล้วเห็นป้ายเตือน “ระวังช้างป่า ห้ามขับความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม.” ป้ายเตือน “ระวังช้างป่าข้ามถนน ชนช้างป่าโทษจำคุกและปรับ” ติดอยู่ตลอดสองข้างทางถนน ที่มองเห็นได้ชัดเจนจากระยะไกล จำนวน 35 ป้าย ย่อมรู้ หรือคาดหมายได้แล้วว่า บริเวณถนน 3199 ต.วังด้ง ถึง ต.ช่องสะเดา อ.เมืองกาญจนบุรี ระยะประมาณ 15 กม. ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ อาจจะมีช้างป่าออกมาข้ามถนนในบริเวณดังกล่าว หากยังฝ่าฝืนยังขับรถยนต์ด้วยความเร็วอีก แล้วไปชนช้างป่า ที่ข้ามถนนมาบาดเจ็บ หรือตาย ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าสลักพระ ต่อไปนี้ทาง นายไพฑูรย์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์ป่าสลักพระ จะดำเนินคดีกับผู้ขับขี่รถยนต์ชนช้างป่า โดยทันที ทุกกรณี ไม่มีข้อยกเว้น ตามมาตรา 12 พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ฐานกระทำอันตรายด้วยประการใดๆ โดยการขับขี่รถชนช้างป่าได้รับอันตรายบาดเจ็บหรือตาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำและปรับ แล้วต้องชดใช้ค่าเสียหายมูลค่าของช้างป่าที่บาดเจ็บหรือตาย เชือกละหลายแสนบาท ตามมาตรา 87และ 88 พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562 ไม่ว่าผู้ขับขี่รถยนต์ชนช้างป่าจงใจชนช้างป่าหรือประมาทเล่นเลอในการชนช้างป่าก็ตาม อีกด้วย

ทั้งนี้ หากชนช้างป่าแล้วหนี ก็จะมีโทษตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 78 ผู้ใดขับรถในทางซึ่งก่อ ให้เกิดความเสียหาย แก่บุคคล หรือทรัพย์สิน จะต้องหยุดรถ ให้ความช่วยเหลือ พร้อมทั้งแสดงตัว และแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ใกล้เคียงทันที ไม่ว่าจะเป็นความผิด ของผู้ขับขี่หรือไม่ก็ตาม ถ้าไม่ดำเนินการระวางโทษ จำคุกไม่เกิน 3 เดือน ปรับตั้งแต่ 2 พันบาท ถึง 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อีกกระทงหนึ่งด้วย

‘เพื่อไทย’ ซัด 8 ปี รัฐบาลประยุทธ์ล้มเหลว ทำการเมืองพัง - ศก.เหลว - ไร้คำตอบส่วนต่างวัคซีน

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย อภิปรายถึงปัญหาการบริหารราชการแผ่นดินและการปฏิรูปประเทศว่า 8 ปีที่ผ่านมา พลเอกประยุทธ์บริหารประเทศล้มเหลว สร้างวิกฤตการเมือง นำพาแต่หายนะทางเศรษฐกิจ จนประชาชนเดือดร้อนกันถ้วนหน้า พร้อมตั้งคำถาม ‘ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่พลเอกประยุทธ์จะลาออก-ยุบสภาคืนอำนาจให้แก่ประชาชน?’

>> เศรษฐกิจพัง ประชาธิปไตยหาย: ขโมยอำนาจไป แต่บริหารบ้านเมืองไม่เป็น 
จากการที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาบริหารบ้านเมืองด้วยอำนาจจากปลายกระบอกปืน ก่อนจะประกอบร่างสร้างอำนาจตนเองด้วยการออกแบบรัฐธรรมนูญ 2560 จนนำมาสู่การสั่งสมอำนาจ ผ่านสมาชิกวุฒิสภาและองค์กรอิสระได้สำเร็จนั้น สะท้อนได้ว่ารัฐธรรมนูญไทยปัจจุบันนั้นกำลังขัดแย้งกับประชาธิปไตยสากลอย่างชัดเจน 

นั่นจึงหมายความว่า ประชาชนคนไทยต้องทุกข์ทนกับวิกฤตการเมืองมาตลอดตั้งแต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เข้ามาบริหารประเทศบ้านเมือง โดยประเสริฐระบุว่า “ในยุครัฐธรรมนูญ 2560 ของพลเอกประยุทธ์ถือเป็นครั้งแรกที่พรรคการเมืองทำสัญญากับประชาชนผ่านนโยบายหาเสียง แต่เมื่อได้อำนาจแล้วกลับไม่ทำตามสัญญา ไม่ว่าจะเป็น สัญญาให้ค่าแรงขั้นต่ำ 400-425 บาท, เด็กจบใหม่ ป.ตรี ขั้นต่ำ 20,000 บาท อาชีวะ ขั้นต่ำ 18,000 บาท หรือ ลดภาษีให้กับบุคคลธรรมดา 10%” 

8 ปีที่ผ่านมา การบริหารเศรษฐกิจของประเทศก็มีแต่ตกต่ำและถดถอยลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงวิกฤตโควิด-19 ขณะที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์มุ่งทำคือ มีแต่ก่อหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหนี้สาธารณะสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ยอดหนี้สาธารณะก็ใกล้ชนกับเพดานที่กำหนดไว้ ดังนั้น วิธีแก้ของพลเอกประยุทธ์จึงเป็นการขยายสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีให้สูงขึ้นแทน ซึ่งผลที่ตามมาคือ หนี้ครัวเรือนและหนี้ต่อหัวของประชากรสูงขึ้นตามไปด้วย 

โดยเฉพาะสัดส่วนความเหลื่อมล้ำระหว่างคนรวยและคนจน โดยตัวเลขจากกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร ระบุว่า ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งสูงที่สุดในโลก กล่าวคือคนรวยเพียง 10% ถือครองทรัพย์สินมากถึง 77% 

“ตั้งแต่ที่ท่านเข้ามาบริหารประเทศเศรษฐกิจของประเทศก็ทรุดต่ำลงเรื่อยๆ ความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนคนรวยสูงขึ้นโดยลำดับ กลุ่มทุนขนาดใหญ่นับวันจะรวยขึ้น แต่ประชาชนระดับฐานรากกลับจนลงทุกวัน เมื่อมาเจอปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ก็ยิ่งทำให้เศรษฐกิจดิ่งเหวลงไปอีก ท่านไม่มีมาตรการหรือวิธีการใด ที่จะกอบกู้ระบบเศรษฐกิจให้กลับคืนมาได้เลย เพราะต้นตอของปัญหาของเรื่องนี้คือ การเอาผู้นำทหารที่ไม่มีความรู้ในเรื่องเศรษฐกิจมาเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” ประเสริฐกล่าว

‘มิ่งขวัญ’ ประกาศลาออกจาก ส.ส. ระหว่างการอภิปรายซักฟอกรัฐบาล 

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2565 นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเศรษฐกิจใหม่ ประกาศลาออกกลางสภา โดยกล่าวในตอนท้ายของการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงคะแนนว่า “ผมขอลาออก หลังอภิปรายจะเดินไปยื่นหนังสือกับประธานสภาฯ ผมจะออกไปทำหน้าที่นอกสภา ออกไปพิสูจน์ว่าแม้ไม่ได้เป็นรัฐบาล ความเหลื่อมล้ำจะถูกแก้ไขหรือไม่”

สกพอ. ถกผู้แทนทูตฮังการี-รัสเซีย ชักชวนลงทุน อุตฯ เป้าหมาย

สกพอ. เร่งแผนการลงทุนระยะ 2 (ปี 2565 - 2569) เดินหน้าสานความร่วมมือนานาชาติ ถกผู้แทนทูตฮังการี และรัสเซีย จูงใจผู้ประกอบการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายในพื้นที่ อีอีซี 

นายเพ็ชร ชินบุตร รองเลขาธิการฯ สำนักงานคณะกรรมการเขตพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี เปิดเผยว่า ปัจจุบัน สกพอ. ได้มีการขับเคลื่อนแผนการลงทุนระยะ 2 (ระหว่างปี 2565 - 2569) ตั้งเป้าหมายให้เกิดการลงทุน 2.2 ล้านล้านบาท หรือปีละ 5 แสนล้านบาทต่อเนื่อง 5 ปี มุ่งเน้นดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติในอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ การแข่งขันของประเทศ โดยตั้งแต่ต้นปี 2565 สกพอ. ได้มีการผลักดันให้มีการเจรจาทางธุรกิจระหว่างนักลงทุนต่างประเทศทั้งจากภูมิภาคเอเชีย ยุโรป และนักลงทุนไทย และเร่งนำเสนอแผนการลงทุน ให้คณะผู้แทนทางทูตประเทศกลุ่มเป้าหมายและประเทศที่มีความสนใจเข้ามาลงทุนในอีอีซี ได้รับทราบถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ และชักจูงให้เกิดการลงทุนร่วมกันต่อไป

โดยที่ผ่านมา สกพอ. ได้ให้การต้อนรับและหารือกับนายชานโดร์ ชีโปช เอกอัครราชทูตฮังการีประจำประเทศไทย นำเสนอข้อมูลความก้าวหน้าในการพัฒนาโครงการอีอีซี โอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย สิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนและการอำนวยความสะดวกการลงทุนในพื้นที่ และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งได้หารือถึงแนวทางการชักจูงการลงทุนจากภาคธุรกิจของฮังการีมายังพื้นที่อีอีซี ซึ่งมีความสนใจในเรื่องการบริหารจัดการน้ำ และการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ทั้งนี้ เอกอัครราชทูตฮังการีประจำประเทศไทย ได้แสดงความสนใจในการสร้างความร่วมมือกับ สกพอ. ในการชักจูงการลงทุนบริษัทเป้าหมายจากฮังการี และการจับคู่ทางธุรกิจกับภาคเอกชนไทย โดยทางสถานทูตฮังการีประจำประเทศไทยและ สกพอ. จะกำหนดสาขาความร่วมมือที่สนใจร่วมกันและชักจูงการลงทุนจากภาคเอกชนจากฮังการีต่อไป 

‘ไคลด์ ทอมบอ’ ค้นพบดาวพลูโต ซึ่งเป็นอดีตดาวเคราะห์ดวงที่ 9 ในระบบสุริยะจักรวาล 

ในช่วงต้นของศตวรรษที่ 19 (ตั้งแต่ ค.ศ. 1801 หรือประมาณ พ.ศ. 2344) นักดาราศาสตร์สมัยนั้น เชื่อว่ามีบางสิ่งรบกวนวงโคจรของดาวยูเรนัส ดาวเคราะห์ดวงที่ 7 ในระบบสุริยะ ซึ่งในขณะนั้นเป็นดาวเคราะห์ดวงนอกสุดที่อยู่ในระบบสุริยะ จึงทำให้นักดาราศาสตร์เชื่อว่า ต้องมีดาวเคราะห์ดวงอื่นอยู่ไกลถัดจากดาวยูเรนัสไปอีก และจากนั้นในปี ค.ศ. 1846 (พ.ศ. 2389) นักดาราศาสตร์ก็ค้นพบดาวเนปจูน ซึ่งต่อมากลายเป็นดาวเคราะห์ดวงที่ 8 ในระบบสุริยะ

อย่างไรก็ดี หลังจากการค้นพบดาวเนปจูนแล้ว ก็ไม่ทำให้คลายปริศนา เนื่องจากวงโคจรของดาวเนปจูนก็ยังมีความผิดปกติที่ไม่สามารถหาคำอธิบายได้เช่นกัน ทำให้เหล่านักดาราศาสตร์เชื่อว่า จะต้องมีดาวเคราะห์ดวงอื่นที่อยู่ไกลออกไปจากดาวเนปจูนอย่างแน่นอน ซึ่งข้อสันนิษฐานดังกล่าว นำมาซึ่งการค้นพบดาวพลูโต...และบุคคลสำคัญผู้ค้นพบดาวพลูโตก็คือ ไคลด์ ทอมบอ (Clyde Tombaugh)

ทอมบอ ได้ส่งภาพวาดของดาวอังคาร และดาวพฤหัสบดี ไปให้กับทางหอดูดาวโลเวลล์ ในเมืองแฟลกสแตฟฟ์ รัฐแอริโซนา เพื่อขอคำแนะนำ แต่แล้วเขากลับได้รับข้อเสนอให้เข้าทำงาน หลังจากนั้นเขาจึงไปทำงานเป็นนักสังเกตการณ์อยู่ที่นั่น เรื่อยมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1929-1945 (พ.ศ. 2472-2488) โดยขณะที่ ทอมบอ ทำงานอยู่ที่หอดูดาวโลเวลล์นั้น ชื่อของเขาก็ได้รับการจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ในฐานะผู้ค้นพบ "ดาวพลูโต" เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1930 (พ.ศ. 2473) โดยการค้นพบครั้งสำคัญนี้ เขาบังเอิญค้นพบมันโดยบังเอิญขณะสำรวจท้องฟ้า ซึ่งต่อมาพลูโตก็กลายเป็น "ดาวเคราะห์" อันดับที่ 9 ของระบบสุริยะ จากนั้น ทอมบอก็ได้รับรางวัลทุนการศึกษา เข้าเรียนด้านดาราศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแคนซัส ก่อนจะจบการศึกษาอย่างเป็นทางการเมื่อปี ค.ศ. 1939 (พ.ศ. 2482)


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top