Sunday, 25 May 2025
TheStatesTimes

“มนุษย์ควัน” เผย วุฒิสภาฟิลิปปินส์ผ่านกฎหมายคุมบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย

เฟซบุ๊กเพจ “มนุษย์ควัน” เผยวุฒิสภาฟิลิปปินส์ผ่านร่างกฎหมายยาสูบไร้ควัน  ตั้งเป้าควบคุมการใช้บุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์แบบให้ความร้อน เพื่อไม่ให้เด็กเข้าถึงได้ ขณะที่เปิดทางให้สิงห์นักสูบผู้ใหญ่ 17 ล้านคนมีโอกาสได้ใช้ผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่อันตรายน้อยกว่า ชี้รัฐสภาไทยและรัฐบาลควรดูเป็นตัวอย่าง

นายสาริษฏ์ สิทธิเสรีชน เจ้าของเฟซบุ๊กเพจ “มนุษย์ควัน” ซึ่งมีผู้ติดตามกว่า 30,000 คนที่รณงรงค์เรียกร้องสิทธิในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์ไร้ควัน เผยความคืบหน้าล่าสุดเกี่ยวกับการออกกฎหมายผลิตภัณฑ์นิโคตินแบบไม่เผาไหม้ หรือ Vaporized Nicotine Product bill ในประเทศฟิลิปปินส์ว่า “วุฒิสภาฟิลิปปินส์เพิ่งผ่านร่างกฎหมายนี้เป็นที่เรียบร้อยมื่อสัปดาห์ก่อน หลังจากที่ก่อนหน้านี้สภาผู้แทนราษฎรของฟิลิปปินส์ก็มีมติเห็นชอบในร่างกฎหมายนี้มาแล้ว ซึ่งสภาฯฟิลิปปินส์เชื่อว่าจะช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่ในประเทศได้ และยังจะช่วยให้คนสูบบุหรี่กว่า 17 ล้านคนในฟิลิปปินส์มีโอกาสเปลี่ยนไปไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นอันตรายน้อยกว่าการสูบบุหรี่”

ร่างกฎหมายผลิตภัณฑ์นิโคตินแบบไม่เผาไหม้ มีสาระสำคัญเพื่อควบคุมการนําเข้า ผลิต ขาย การบรรจุ การจัดจําหน่าย การใช้และการบริโภคบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อน (HTPs) ตามมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพื่อป้องกันประชาชนจากอันตรายของผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐาน
 
“ปัจจุบัน ฟิลิปปินส์ยังไม่มีกฎหมายเฉพาะที่ใช้ควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อนแต่ก็มีการใช้อย่างแพร่หลายในประเทศ เลยจำเป็นต้องมีการออกกฎหมายเพื่อควบคุมให้ถูกต้อง ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับ 79 ประเทศทั่วโลก เช่น อังกฤษ สหภาพยุโรป หรือสหรัฐอเมริกา คือการมีมาตรการควบคุมที่เฉพาะสำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เลย แต่ประเทศไทยกลับเลือกที่จะแบนบุหรี่ไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์ยาสูบแบบให้ความร้อน โดยไม่ดูความต้องการของผู้สูบบุหรี่ที่มองหาผลิตภัณฑ์ทดแทนการสูบบุหรี่ที่อันตรายน้อยกว่า ดังนั้นการแบนจึงไม่ได้ผล เพราะก็ยังมีคนแอบซื้อ แอบใช้ จำนวนมาก ซึ่งอาจรวมถึงเด็กๆ และเยาวชนด้วย มีการขายกันเกลื่อนในโลกออนไลน์ แถมรัฐเก็บภาษีสรรพสามิต หรือภาษีศุลกากรก็ไม่ได้เลย”

 

สธ. เผยผู้ติด 'โอมิครอน' อาการน้อยถึงไม่มี ส่วน 90% ของเชื้ออยู่หลอดลมมากกว่าลงปอด

ที่กระทรวงสาธารณสุข สธ. นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงฉากทัศน์การแพร่ระบาดโควิด-19 ในประเทศไทย และอัปเดตสถานการณ์เชื้อโอมิครอน ว่า... 

ประเทศไทยพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย. - 18 ธ.ค. 64 เป็นต้นมา สะสม 514 รายที่เป็นต้นเชื้อ กระจายใน 14 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่มาจากระบบเข้าประเทศทั้ง 3 ระบบ ได้แก่ ระบบไม่กักตัว (Test and go), ระบบแซนด์บอกซ์ (Sand box) และระบบกักตัว (Quarantine) แล้วเราตรวจจับได้หลังจากนั้นคนเหล่านี้จะกลับไปพื้นที่ต่างๆ ส่วนใหญ่อยู่ในการควบคุม แต่บางส่วนเล็ดลอดออกไป พบเป็นการสัมผัสใกล้ชิดผู้เดินทางจากต่างประเทศประมาณ 20% เช่น ไปเยี่ยมญาติ ก็อาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดได้ จึงต้องระมัดระวังให้มาก

นพ.เกียรติภูมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับอาการโอมิครอน ของผู้ติดเชื้อมีดังนี้... 

>> อาการน้อยจนถึงไม่มีอาการ 90% 
>> มีอาการเล็กน้อย 10% 
>> อาการมาก 3-4% 

ขณะที่ โอมิครอนพบที่หลอดลมมากกว่าลงปอด 

ดังนั้นอาการที่พบได้มากคือ ‘ไอ’ แต่หากลงปอดก็จะมีความรุนแรงเช่นเดียวกับเดลตา 

ส่วนการศึกษาจากผู้ติดเชื้อโอมิครอน 41 รายที่เราทำการรักษาอยู่ พบว่า อาการไอ 54%, เจ็บคอ 37%, ไข้ 29%, ปวดกล้ามเนื้อ 15%, มีน้ำมูก 12%, ปวดศีรษะ 10% หายใจลำบาก 5% และไม่ได้กลิ่น 2%

ทั้งนี้เราพบอาการไม่ได้กลิ่นน้อย พบเพียง 1 ราย โดยเราให้ยาที่มีอยู่คือ ฟาวิพิราเวียร์ จำนวน 5 วันตามมาตรฐาน เราจึงพบว่า หากให้ยาตั้งแต่ต้น อาการจะดีขึ้นภายใน 24-72 ชั่วโมง อาการฟื้นกลับมาเป็นปกติได้

นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขได้มีเสนอฉากทัศน์พยากรณ์ในกรณีที่มีการแพร่ระบาดของโอมิครอนใน 3 รูปแบบ…

'ออมสิน' ดันโครงการช่วยคนตกงานจากพิษโควิด-19 จัดเงินทุน-พื้นที่ค้าขายอ

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังได้มอบหมายให้ธนาคารออมสิน ขยายผลให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ตกงานหรือขาดรายได้ จากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งถือเป็นช่วงของการฟื้นฟูและช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยธนาคารได้จัดทำโครงการออมสิน สร้างงาน สร้างอาชีพ ตั้งเป้าหมายสนับสนุนและส่งเสริมให้ผู้ที่เดือดร้อนจำนวนมาก ได้มีการปรับตัวและมองเห็นโอกาสใหม่ในการประกอบอาชีพ เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส สามารถใช้ความรู้ใหม่และทักษะทางอาชีพที่ได้รับการถ่ายทอด เป็นทางเลือกและช่องทางต่อยอดในการประกอบอาชีพมากขึ้น 

ทั้งนี้ธนาคารได้ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 18 แห่ง สถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ (องค์การมหาชน) มหาวิทยาลัยในโครงการยุวพัฒน์รักถิ่น 64 แห่ง กว่า 900 ชุมชน และเครือข่าย เชฟชื่อดังระดับมิชลินสตาร์ และเจ้าของธุรกิจแฟรนไชส์มากมาย ในการช่วยกันฝึกอบรมและสร้างทักษะอาชีพแก่ประชาชนรวมกว่า 100 หลักสูตร ซึ่งการอบรมอาชีพที่ได้รับจะช่วยให้ผู้ที่เข้าร่วมโครงการได้มีความรู้ติดตัว สามารถใช้ประกอบอาชีพได้จริงต่อไป ให้เงินทุน ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นการให้เงินทุนผ่านมาตรการสินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล โดย ครม. มีมติอนุมัติวงเงินชดเชยความเสียหายจาก NPL 30% ของวงเงินสินเชื่อโครงการ เพื่อสนับสนุนผลักดันความสำเร็จของการมอบความช่วยเหลือในระยะแรกของโครงการ ซึ่งในอนาคตจะมีมาตรการสินเชื่ออื่น ๆ เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง

เที่ยวบินปีใหม่ลดฮวบ 17% หลังคนหวั่น 'โอมิครอน'

นายทินกร ชูวงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ด้านปฏิบัติการ รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด (บวท.) เปิดเผยว่า บวท. ประเมินตั้งแต่วันที่ 25 ธ.ค.64-3 ม.ค.65 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนเดินทางเป็นจำนวนมาก จะมีเที่ยวบินรวม 9,440 เที่ยวบิน หรือ 944 เที่ยวบินต่อวัน อย่างไรก็ตามหากเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ปริมาณเที่ยวบินลดลง 17% ซึ่งมีเที่ยวบินรวม 11,443 เที่ยวบิน 

ทั้งนี้จากการที่รัฐบาลมีนโยบายเปิดประเทศ ส่งผลให้ปริมาณเที่ยวบินในเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 23% มีเที่ยวบินรวม 30,457 เที่ยวบิน ได้แก่ เที่ยวบินภายในประเทศ 20,002 เที่ยวบิน และเที่ยวบินระหว่างประเทศ 7,287 เที่ยวบิน นอกนั้นเป็นเที่ยวบินผ่านน่านฟ้า (Overfly) และอื่นๆ

สำรวจความสนใจคนไทย ผ่าน FB และ IG จากรายงาน ‘ที่สุดของปี 2564’ ของ Meta

ในขณะที่ผู้คนต่างตั้งตารอปี 2565 ที่กำลังจะมาถึง Meta ได้เผยรายงาน “ที่สุดของปี 2564” (2021 Year in Review) เพื่อแบ่งปันเรื่องราว เหตุการณ์ และช่วงเวลาที่ส่งผลต่อคนไทย และทำให้ปีที่ผ่านมานี้สร้างการเชื่อมต่อถึงกันมากขึ้น และยังมีความหมายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

เรื่องราวต่าง ๆ ครอบคลุมการพูดคุยและโพสต์บน Facebook และ Instagram ทั้งจากวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปจนถึงการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่กรุงโตเกียวปี 2563 และแม้แต่การทำสวนและอาหาร

Meta กล่าวไว้ว่า “ทุก ๆ ปี รายงานที่สุดของปีสะท้อนแนวคิดที่กำหนดด้วยคำสำคัญยอดนิยมของปีนั้น ๆ สำหรับปี 2564 ได้แก่ โควิด สุขภาพ กีฬา และหลากหลายหัวข้อไลฟ์สไตล์ที่โดนใจคนไทยทั้งใน Facebook และ Instagram”

โควิดและสุขภาพ: คำว่า ‘วัคซีน’, ‘อาการ’ และ ‘การตรวจ’ เป็นหัวข้อที่ได้รับความนิยมสูงสุดในแนวคิดนี้ ขณะที่ประเทศไทยกำลังต่อสู้กับการระบาดของเวฟ 2 และ 3 ของโควิด-19 ที่ตามกันมาอย่างต่อเนื่อง และผู้คนก็ได้หันมาใช้ Facebook และ Instagram เพื่อขอความช่วยเหลือและเชื่อมต่อกัน และทำให้เกิดการค้นหาคำว่า ‘วัคซีน’ และหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการฉีดวัคซีน เนื่องจากคนไทยรู้จักที่จะอยู่อย่างปลอดภัยและมองหาการสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเองจากไวรัส

เรื่องจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับสยามที่ต่างชาติพยายามหยิบยกมาถก 

ไม่นานมานี้ Post Today ได้รวบรวมการพูดคุยของชาวเน็ตต่างชาติ ที่ได้ตั้งกระทู้พูดคุยกันบนเว็บไซต์ Quora ในหัวข้อ ‘อะไรคือเรื่องจริงที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับประเทศไทย’ (What are the most interesting facts about Thailand?) ซึ่งมีผู้แสดงความคิดเห็นราว 56 รายการ แต่มีการคัดเรื่องที่น่าสนใจมาไว้ดังนี้...

>> ผู้ใช้ชื่อ Unmesh Kulkarni กล่าวว่าเรื่องที่น่าสนใจสำหรับเขาคือร้านสะดวกซื้อในไทยมักมีหมาข้างถนนนอนตากแอร์อยู่หน้าประตู

>> Ava Bhatt หญิงชาวรัสเซีย อดีตที่ปรึกษาสายการบินกาตาร์ แอร์เวย์ส ตื่นเต้นกับการใช้พุทธศักราชของไทย โดยกล่าวว่า "มันเหมือนกับว่าเรามีไทม์ไลน์ที่ต่างกัน อย่างตอนนี้เรามาถึงค.ศ. 2019 แต่ที่ไทย 2562 แล้ว ก็บอกได้เลยว่าเราไปท่องอนาคต"

“คนไทยไม่รีบไปไหนเลย” Ava Bhatt กล่าวว่าจากประสบการณ์ของเขา เขาพบว่าคนไทยชอบที่จะนอนเล่นและทำตัวสบายๆ นอกจากนี้ยังพบว่าคนไทยชอบทานอาหารนอกบ้านมากกว่าทำกับข้าวเองที่บ้าน และการนั่งบนขั้นบันไดหรือทางเท้าเป็นเรื่องปกติ

อีกสิ่งหนึ่งที่เธอพบคือการใช้ถนนหนทางในประเทศไทยนั้นลำบากมาก ประการแรกคือหลายคนไม่ปฏิบัติตามกฎจราจร และเธอไม่คุ้นชินกับการจราจรซ้ายมือ แท็กซี่ก็มีราคาแพง สิ่งที่เธอทำได้คือการเช่ารถจักรยานในราคา 600 รูเบิลรัสเซีย

>> Vishwas Virani จากอินเดียกล่าวว่าเรื่องที่ได้เรียนรู้จากการมากรุงเทพมหานครคือการถอดเสื้อขับรถเป็นเรื่องผิดกฎหมาย รวมถึงการออกจากบ้านโดยไม่สวมกางเกงในด้วย ซึ่งมีหลายคอมเมนต์ที่พูดถึงประเด็นนี้เช่นกัน

เขายังทิ้งท้ายแบบติดตลกว่าหากเขาเกิดที่ประเทศไทยคงต้องใช้เวลาครึ่งชีวิตในคุก

>> ผู้ใช้ชื่อ Alexander Dow กล่าวว่าเรื่องจริงที่น่าสนใจคือผัดไทยเป็นอาหารไทยที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก แต่สำหรับคนไทยแล้วมันไม่ใช่อาหารยอดนิยมขนาดนั้น

นอกจากนี้เขายังกล่าวว่ากรุงเทพมหานครกำลังได้รับอิทธิพลจากนักท่องเที่ยวและชาวต่างชาติมากขึ้นอย่างมาก สังเกตได้จากร้านอาหารเกาหลี ญี่ปุ่น ที่เพิ่มจำนวนขึ้นเต็มไปหมด ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเคยเห็นร้านอาหารเกาหลีเหนือ ที่เสิร์ฟอาหารต้นตำรับเกาหลีเหนือจริงๆ ด้วย

อีกสิ่งที่น่าสนใจคือประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของมหาอำนาจยุโรปอย่างฝรั่งเศสและอังกฤษ นอกจากนี้ไทยยังเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศทั่วโลกที่ขับรถพวงมาลัยขวา

>> Tarun Madan กล่าวว่าเขาไม่เคยพบประเทศไหนที่มีที่นั่งสำหรับพระสงฆ์บนรถสาธารณะอย่างเช่นรถไฟฟ้าเหมือนกับประเทศไทย

>> Andy Cruise ชาวต่างชาติซึ่งอาศัยในประเทศไทยกล่าวว่าคนไทยจะต้องถอดรองเท้าเมื่อเข้าบ้านแม้ว่าพื้นบ้านจะสกปรกกว่ารองเท้าก็ตาม โดยกล่าวว่าเขาที่มาจากวัฒนธรรมที่ต่างกันอาจรู้สึกไม่สุภาพนิดหน่อยที่เจ้าของบ้านบอกให้แขกถอดรองเท้า แต่บ้านของคุณรกมาก

กาฬสินธุ์ - คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ตรวจกระเช้าของขวัญปีใหม่ ห้ามเอาเปรียบผู้บริโภค!! รณรงค์กระเช้าสุขภาพ

กาฬสินธุ์ - คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ตรวจกระเช้าของขวัญปีใหม่ ห้ามเอาเปรียบผู้บริโภค!! รณรงค์กระเช้าสุขภาพ

คณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประจำจังหวัดกาฬสินธุ์ลงพื้นที่ตรวจสอบฉลากสินค้า ประเภทการจำหน่ายกระเช้าของขวัญปีใหม่ และประชาสัมพันธ์การมอบกระเช้าของขวัญ ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพ “Healthier Choice”  ในช่วงเทศกาลปีใหม่ คุมเข้มมาตรฐาน ไม่เอาเปรียบผู้บิโภค แนะเป็นสินค้าเพื่อสุขภาพ

ที่ห้างสรรพสินค้ากาฬสินธุ์พลาซา นายทรงพล ใจกริ่ม ผวจ.กาฬสินธุ์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประจำ จ.กาฬสินธุ์ มอบหมายนายศุภศิษย์ กอเจริญยศ รอง ผวจ.กาฬสินธุ์ และคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประจำ จ.กาฬสินธุ์ ตรวจสอบฉลากสินค้า ประเภทการจำหน่ายกระเช้าของขวัญปีใหม่ และประชาสัมพันธ์การมอบกระเช้าของขวัญ ด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีสัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพ “Healthier Choice”  ในช่วงเทศกาลปีใหม่ โดยมีนายประพันธ์ โพธิ์วันนา ผู้อำนวยการกลุ่มงานศูนย์ดำรงธรรม จ.กาฬสินธุ์ นายศิริพงษ์ วิวัฒน์เกษมชัย พาณิชย์ จ.กาฬสินธุ์ พร้อมด้วยคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคประจำ จ.กาฬสินธุ์ เข้าตรวจสอบฉลากสินค้า ประเภทการจำหน่ายกระเช้าของขวัญปีใหม่ และประชาสัมพันธ์การมอบกระเช้าของขวัญ ในช่วงเทศกาลปีใหม่

นายศุภศิษย์ กอเจริญยศ รอง ผวจ.กาฬสินธุ์  กล่าวว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้มอบนโยบายและขอความร่วมมือให้ สคบ.ประจำจังหวัด ติดตามสำรวจและตรวจสอบการประกอบธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าที่ควบคุมฉลาก ตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยฉลาก เรื่องลักษณะของสินค้าที่ควบคุมฉลาก เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคในช่วงเทศกาลปีใหม่ เพื่อป้องกันมิให้ผู้ประกอบธุรกิจละเมิดสิทธิของผู้บริโภค ผู้ประกอบธุรกิจจะต้องจัดทำฉลากสินค้าให้ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ขายสินค้าเกินราคา ไม่นำสินค้าไม่มีคุณภาพหรือสินค้าที่หมดอายุ มาบรรจุลงในกระเช้าของขวัญปีใหม่ และขอความร่วมมือผู้ประกอบธุรกิจในการแสดงฉลากสินค้า รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่นำมาจัดกระเช้าของขวัญว่ามีอะไรบ้าง และต้องแสดงรายการวันผลิต วันหมดอายุ ให้มีตัวอักษรที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน ทั้งนี้ เพื่อผู้ที่ซื้อกระเช้าของขวัญ จะสามารถมองเห็นรายละเอียดได้ชัดเจน  

นายศุภศิษย์กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ยังมีนโยบายส่งเสริมสุขภาพผู้บริโภคด้วย “สัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพ Healthier Choice” มุ่งเน้นให้ผู้บริโภคมีทางเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดยความร่วมมือของภาครัฐ ภาคเอกชน เครือข่ายที่รณรงค์ในการลดหวาน มัน เค็ม และภาควิชาการ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารที่เข้าใจง่ายสำหรับผู้บริโภค ในการเลือกซื้อหาผลิตภัณฑ์อาหารที่มีปริมาณโซเดียม น้ำตาล และไขมันต่ำลง เพื่อลดความเสี่ยงการเกิดภาวะโภชนาการเกินและโรคที่เกี่ยวข้องในคนไทย

 

 

รัชกาลที่ 3 เจ้าสัวผู้สร้างมรดก | The States Times Story เรื่องจริง ฟังเพลิน EP.51

“เงินถุงแดง” เป็นเงินที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงได้จากการค้าสำเภาส่วนพระองค์เมื่อครั้งยังทรงดำรงพระอิสริยยศ พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ นอกจากจะถวายสมเด็จพระบรมชนกนาถใช้ในการแผ่นดินแล้ว ทรงเก็บหอมรอมริบเงินที่ได้จากการค้าส่วนพระองค์ไว้เป็นจำนวนมากโดยเก็บใส่ "ถุงผ้าสีแดง" ไว้ข้างพระแท่นที่บรรทม จึงเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า “เงินพระคลังข้างที่” คำว่า “พระคลังข้างที่” ทรงพระราชทานเป็นทุนสำรองให้แก่แผ่นดินสำหรับใช้ในยามบ้านเมืองอยู่ในภาวะคับขันในเวลาต่อมา…

.

.

‘อินเดีย’ ยืนหนึ่ง!! ประเทศให้บริการ “Outsourcing Call Centers” ดีที่สุดในโลก!! 

ศูนย์บริการลูกค้าทางโทรศัพท์และการแชตกลายเป็นเรื่องจำเป็นของบริษัทธุรกิจชั้นนำของโลก หมายเลขติดต่อโทรแบบลูกค้าไม่เสียเงิน (Call free) และการตอบ Chat สำหรับลูกค้ากลายเป็นเรื่องของการแข่งขันที่สำคัญและจำเป็นในโลกธุรกิจปัจจุบัน

บ้านเราก็เช่นเดียวกัน โชคดีที่ทุกจังหวัดของบ้านเราอยู่ในเขตเวลา (Time zone) เดียวกัน แต่ในประเทศที่มีพื้นที่กว้างใหญ่เป็นทวีปเหมือนสหรัฐฯ ทำให้มีเขตเวลา (Time zone) ต่างกันถึง 3 เขต เวลาเริ่มธุรกิจจึงแตกต่างกัน กอปรกับค่าแรงในสหรัฐฯ ค่อนข้างสูง ทั้งมีสหภาพแรงงานต่าง ๆ ที่แข็งแกร่ง จึงทำให้เกิดบริษัทในอินเดียที่ให้บริการ Outsourcing Call Centers สำหรับลูกค้าของบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก ด้วยเบอร์โทรหรือ Chat ของบริษัทต่าง ๆ ที่บริษัท Outsourcing ในอินเดียรับงาน จะถูกโอนการติดต่อมายังพนักงานของบริษัท Outsourcing ในอินเดียโดยอัตโนมัติ

บริษัทต่าง ๆ ทั่วโลกมักเลือกใช้บริการ Outsourcing Call Centers ในอินเดียมากกว่า เมื่อเทียบกับการจ้างบริษัท Outsourcing Call Centers ใน จีน ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย อินเดียเป็นสถานที่ Outsourcing Call Centers เป็นเลิศมาโดยตลอด เนื่องจากศูนย์บริการในอินเดียมีข้อได้เปรียบมากมายที่ประเทศอื่นไม่มี ทุกวันนี้การใช้บริการศูนย์บริการ Outsourcing Call Centers ในอินเดียได้กลายเป็นบรรทัดฐานสำหรับบริษัทระดับโลกหลายแห่ง องค์กรระหว่างประเทศหลายแห่งก็กำลังจัดตั้งศูนย์บริการทางโทรศัพท์ในอินเดีย เนื่องจากอินเดียมีพนักงานที่มีคุณภาพจำนวนมาก และยังสามารถให้บริการ Outsourcing Call Centers ที่คุ้มค่าใช้จ่ายได้อีก ด้วยเหตุผลทางธุรกิจดังต่อไปนี้

>> ทำไมต้องใช้บริษัทในอินเดียเป็น Outsourcing Call Centers? ด้วยพนักงานชาวอินเดียจำนวนมาก และมีการศึกษา มีความชำนาญ และสันทัดในการใช้ภาษาอังกฤษ ศูนย์บริการ Outsourcing Call Centers ในอินเดียมีผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการรับรองความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี มีความรู้ด้าน IT ได้รับการฝึกอบรม มีทักษะและประสบการณ์มากที่สุด อินเดียมีประชากรที่พูดภาษาอังกฤษมากที่สุดรองจากสหรัฐอเมริกา ตลาดแรงงานที่มีขนาดใหญ่และพื้นฐานการศึกษาที่ดีของอินเดียเป็นหนึ่งในข้อได้เปรียบหลักเหนือประเทศอื่น ๆ อินเดียจะมีจำนวนแรงงานที่มีการศึกษาดี ซึ่งมีจำนวนที่มากตลอดไป เนื่องจากอินเดียมีผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมีอุตสาหกรรมด้านการฝึกอบรมที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากด้วย

>> พนักงานจำนวนมากของอินเดียเต็มใจที่จะทำงานในราคาที่ถูกกว่า ในการดำเนินงานของศูนย์บริการ Outsourcing Call Centers โดยทั่วไปค่าจ้างแรงงานคิดเป็น 55 ถึง 60% ของต้นทุนทั้งหมด สำหรับอินเดียแล้วมีต้นทุนค่าแรงงานต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ

>> มีบริการ Outsourcing Call Centers เฉพาะทาง บริษัทฯ ที่ให้บริการลักษณะนี้ ในอินเดียมีประสบการณ์ในการให้บริการ Outsourcing Call Centers เช่น บริการ Call Centers เรียกเข้า บริการการตลาดทางโทรศัพท์ บริการสนับสนุนด้านเทคนิค บริการกู้คืนข้อมูลหลังภัยพิบัติ บริการสนับสนุน E-mail และบริการสนับสนุนการ Chat เป็นต้น

‘เหมา’ สู่ ‘สี’ ตำนานบทใหม่ที่ไม่เทียบเท่า แต่ยิ่งใหญ่กว่า!! 

หากมองการเมืองโลก และสถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในปัจจุบัน คงมิพ้นต้องกล่าวถึงการคัดค้านกันระหว่างสองมหาอำนาจใหญ่อย่างจีนและสหรัฐอเมริกา ซึ่งกลยุทธ์การเดินเกมของทั้งสองชาติในระยะหลังนั้นเป็นสิ่งที่นักวิเคราะห์ทั่วโลกจับตามองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะทางฝ่ายจีน

ต้องยอมรับว่าตลอดช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ทั่วโลกตั้งคำถามกับมาตรการต่าง ๆ ที่ออกมาโดยรัฐบาลจีน ภายใต้นโยบาย 共同富裕 (ก้งถงฟู่ยวี่) ของจีน ซึ่งหมายถึงการปฏิรูปสังคม-เศรษฐกิจ (Socio-Economic Reform) แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า “Common Prosperity” หรือคำที่ใกล้เคียงในภาษาไทยก็คือ “ความเจริญถ้วนหน้า” กล่าวคือ เป็นความเจริญที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลังนั่นเอง

การบังคับใช้ในหลายมาตรการเป็นสิ่งที่หลายคนมองว่าเป็นการ “หักดิบ” ไม่ว่าจะเป็นการจำกัดสิทธิในการเล่นเกมออนไลน์ของเด็ก ๆ และวัยรุ่น ไปจนถึงการออกคำสั่งควบคุมการดำเนินกิจการของโรงเรียนกวดวิชา การออกกฎเกณฑ์ห้ามไม่ให้เด็กนักเรียนชั้น ป.1 และ ป.2 มีการจัดสอบข้อเขียน รวมทั้งบรรจุกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นทักษะทางสังคมและกีฬาเพิ่มเติม สำหรับเหล่าแฟนคลับดารา นักแสดง และคนดังทั้งหลาย พวกเขาถูกจำกัดสิทธิ์ในการซื้อสินค้าและบริการของดาราที่ตนเองชื่นชอบ เนื่องจากทางการมองว่าไม่ควรเสียเงินใช้จ่ายกับ “เรื่องพวกนี้” มากจนเกินไป ทั้งยังมีการสั่งแบนดารา นักร้อง และอินฟลูเอนเซอร์ที่มีพฤติกรรมทางสังคมไม่เหมาะสม (ตามที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเห็นว่าไม่เหมาะสม)

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการการสั่งห้ามบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ การห้ามกิจการขนาดยักษ์ทำกิจกรรมทางธุรกิจบางอย่าง หรือการออกมารวมกลุ่มของบริษัทขนาดยักษ์ของจีนเพื่อสร้างกองทุนเพื่อการพัฒนาและลดความยากจนของประชาชน 

ทั้งหมดนี้ทำให้นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่าประธานาธิบดีคนปัจจุบันของจีนอย่าง ‘สี จิ้นผิง’ กำลังนำประเทศกลับสู่ยุคของการ “ปฏิวัติวัฒนธรรม” ในยุคของ ‘เหมา เจ๋อตง’ อดีตผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน และประธานาธิบดีคนแรกหลังจากที่จีนเปลี่ยนมาปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์

สื่อมากมายประโคมข่าวยกระดับและเปรียบเทียบ สี จิ้นผิง เทียบเท่ากับ เหมา เจ๋อตง ในยุคหลังปฏิวัติคอมมิวนิสต์ปี 1949 ที่มีอำนาจเผด็จการเบ็ดเสร็จ ควบคุมและปกครองแบบแยกตัว (isolate) จากโลกภายนอก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายใต้วิกฤตกาลโควิด-19 ที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าทางการจีนยังไม่มีนโยบายเปิดรับนักท่องเที่ยวและนักศึกษาต่างชาติเข้าประเทศ

สำหรับแง่มุมทางการเมือง จีนได้แสดงท่าทีออกมาอย่างชัดเจนว่าพวกเขาต่อต้านอย่างแข็งกร้าว ไม่ยินยอมให้ผู้นำจากโลกตะวันตกใช้คำว่า “ประชาธิปไตย” และคำว่า “สิทธิมนุษยชน” เข้ามาแทรกแซงการปกครองภายในประเทศจีน ไม่สนใจคำวิจารณ์ต่าง ๆ และแม้ว่าจะมีการคว่ำบาตรจากทั่วโลกอย่างไร แต่ทางการจีนก็แสดงให้เห็น ว่าประเทศจีนเพียงลำพัง ก็สามารถอยู่ด้วยตัวเอง พึ่งพาตัวเองได้ ไม่จำเป็นต้องง้อโลกตะวันตก

นี่ยังไม่นับเรื่อง “มติครั้งประวัติศาสตร์” ที่จะทำให้ สี จิ้นผิง สามารถเป็นประธานาธิบดีไปเรื่อย ๆ ได้จนกว่าจะสิ้นชีพ นับว่าเป็นครั้งที่ 3 นับแต่มีการก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์จีน โดยครั้งแรกมีขึ้นในยุคของประธานเหมา และครั้งที่ 2 มีขึ้นในยุคของนายเติ้ง เสี่ยวผิง

ผู้ที่ติดตามประวัติศาสตร์และการเมืองจีนหลายคนคงจะเห็นตรงกันว่า สถานภาพทางอำนาจของนายสี จิ้นผิงในวันนี้ใกล้เคียงกับ เหมา เจ๋อตง เข้าไปทุกที

หากถามตัวผมว่าประธานสี แตกต่างจากประธานเหมาหรือไม่ สำหรับผม ผมว่ายังมีความต่างอยู่บ้าง เพราะหากย้อนกลับไปในยุคประธานเหมา ก็คงต้องพูดถึงผลงานโดดเด่น (ในด้านที่ไม่ดี) ของประธานเหมา ทั้ง “The Great Leap Forward” การสร้างลัทธิบูชาบุคคลที่ขับเคลื่อนด้วย “ยุวชนแดง” (Red Guard) และการตีพิมพ์ “หนังสือปกแดงเล่มเล็ก” (Little Red Book) ใช่ ช่วงเวลาของการ “ปฏิวัติวัฒนธรรม” ซึ่งคร่าชีวิตชาวจีนไปมากกว่า 30 ล้านชีวิต

หนังสือปกแดงเล่มเล็ก (Little Red Book)

สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นภายใต้การปกครองที่เป็นลัทธิบูชาบุคคล (Cult of Personality) ซึ่งลัทธิบูชาประธานเหมานั้น หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วเรื่องนี้ไม่ได้เป็นไอเดียของประธานเหมาเพียงลำพัง แต่มีกลุ่มผู้ที่ส่งเสริม ยุยง และสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งก็คือ “แก๊ง 4 คน / แก๊งออฟโฟร์” (Gang of Four) นำโดย เจียงชิง (江青) ภรรยาของประธานเหมา และ หลินเปียว (林彪) ผู้มีส่วนสำคัญในชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์

ในช่วงเริ่มต้นของการปฏิวัติวัฒนธรรมนั้น คำว่า “ปฏิวัติวัฒนธรรม” เป็นเพียงแค่แนวคิดและแบบแผนของประธานเหมาในการจะนำสังคมจีนไปสู่สังคมคอมมิวนิสต์ที่ก้าวหน้าสมบูรณ์แบบ ซึ่งก็คือการ Reset ประเทศใหม่แบบหักดิบ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ตามภาพประเทศในฝันของเหล่าผู้นำพรรค

ท้ายที่สุด การประกาศปฏิวัติวัฒนธรรมนั้นได้กลายเป็นเครื่องมือในการกำจัดศัตรูทางการเมืองของทั้งตัวประธานเหมาเอง รวมไปถึงแก๊งออฟโฟร์ ส่งผลให้ผู้มีความสามารถ นักการเมือง ปัญญาชน และนายทุนมากมายที่ไม่ได้ให้การสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์ ต้องถูกกำจัดด้วยวิธีต่าง ๆ ด้วยกลไกที่มียุวชนแดงในการขับเคลื่อน และเนื้อหาของกฎเกณฑ์ในหนังสือปกแดงเล่มเล็ก ส่งผลให้ประเทศจีนเสียหายอย่างหนักหน่วง

หากจะกล่าวว่า สี จิ้นผิง กำลังจะกลายร่างกลายเป็น เหมา เจ๋อตง นั้น ตัวผมมองว่าคงจะเป็นการด่วนสรุปจนเกินไป เพราะถึงแม้ว่ารัฐบาลจีนภายใต้ สี จิ้นผิง กำลังขับเคลื่อนประเทศด้วยการปฏิรูป ที่หลายคนมองว่าคือการปฏิวัติวัฒนธรรมภาค 2 แต่ในอีกมุมหนึ่ง จีนกำลังพิสูจน์ และแสดงให้โลกเห็นเป็นตัวอย่างว่าความศิวิไลซ์ (civilization) ไม่จำเป็นต้องเจริญแบบตะวันตก (westernization) แต่เพียงอย่างเดียว ประเทศไหน ๆ ก็สามารถเติบโตในแบบของตัวเองได้

นับตั้งแต่หมดยุคประธานเหมา เข้าสู่ยุคผู้นำ ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ ประเทศจีนได้ดำเนินนโยบายที่แตกต่างออกไปโดยลดความเป็นคอมมิวนิสต์สุดโต่ง เปิดใจค้าขายกับต่างชาติอย่างเสรีมากขึ้น มีการใช้ระบบตลาดแบบทุนนิยม ทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตขึ้นมาอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก จนถึงยุคสมัยของประธานสี ที่มีการใช้นโยบายขยายการแลกเปลี่ยนทางการค้า เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมด้วยการใช้ Soft Power ภายใต้นโยบาย “หนึ่งเข็มขัดเศรษฐกิจ หนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative) ซึ่งปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์การเป็นประเทศด้อยพัฒนาของจีน นักวิเคราะห์ทั่วโลกถึงกับเห็นตรงกันว่าจีนจะกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกใหม่

ในตอนนั้นเอง ที่คำว่า “สงครามการค้าระหว่างจีน-อเมริกา” ได้ถูกพูดถึงในวงกว้างมากขึ้น นักวิเคราะห์บางคนมองว่าเป็น “สงครามเทคโนโลยี” บ้างก็ว่าเป็น “สงครามความมั่นคง” ซึ่งจะว่าอย่างไรก็แล้วแต่ โดยภาพรวมแล้วมันคือความขัดแย้งระหว่างจีนและสหรัฐอเมริกาในการช่วงชิงการเป็นมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก

ในช่วงหลังมานี้ ฝ่ายจีนได้มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้ดุดันยิ่งขึ้นโดยหันมาเดินเกมด้วย Hard Power ในการจัดระเบียบภายในประเทศด้วยนโยบาย Common Prosperity และในขณะเดียวกัน ก็จัดการกับเสี้ยนหนามทางการเมืองที่จีนมองว่าเป็นเครื่องมือของฝ่ายสหรัฐฯ ในการทิ่มแทงจีนจากรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น ไต้หวัน หรือฮ่องกง ซึ่งนอกเหนือจากสองเกาะนี้ ฝ่ายสหรัฐฯ ยังรวบรวมพันธมิตรจากทั่วโลก ทั้งในโซนยุโรป อินเดีย ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น รวมถึงกลุ่มองค์กรระหว่างประเทศต่าง ๆ ในการกดดันประเทศจีน โดยใช้ประเด็นประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนในซินเจียง ทิเบต และฮ่องกง ซึ่งล่าสุดก็มีประเด็นร้อนไปเมื่อ ‘โจ ไบเดน’ จัดการประชุม “ซัมมิตประชาธิปไตย” (Summit for Democracy) โดยไม่มีจีนอยู่ในรายชื่อประเทศที่ถูกรับเชิญ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top