Sunday, 25 May 2025
TheStatesTimes

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง เสริมสร้าง อนาคตเด็กไทย” มอบทุนการศึกษาทุกระดับปีสุดท้าย และทุนการศึกษาต่อเนื่องทุกระดับชั้น ประจำปี 2564

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ  เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยนายสัก กอแสงเรือง รองประธานกรรมการ นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ และคณะกรรมการมูลนิธิฯ ร่วมในพิธีมอบเงินทุนต่อเนื่องในทุกระดับชั้น และทุนทุกระดับปีสุดท้ายแก่เยาวชนที่ประพฤติดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ในระดับชั้นมัธยมศึกษา อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา รวม 119 สถาบัน จำนวน 836 ทุน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 11,675,000 บาท (สิบเอ็ดล้านหกแสนเจ็ดหมื่นห้าพันบาทถ้วน)  เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) มูลนิธิฯ ได้จัดให้มีมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสภายในพื้นที่อย่างเข้มข้น รวมทั้งมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการมอบทุนฯ โดยประสานผู้แทนจากสถาบันการศึกษาแต่ละแห่ง เป็นตัวแทนรับมอบทุนการศึกษา ระหว่างวันที่ 27-29 ธันวาคม 64 ณ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พลับพลาไชย กรุงเทพฯ


การมอบทุนการศึกษาแก่เยาวชน นักเรียน นิสิต และนักศึกษา ผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งในด้านงานสังคมสงเคราะห์ เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัวและช่วยเหลือเยาวชนของชาติไม่ให้ขาดโอกาสทางการศึกษา ต้องละทิ้งหรือยุติการศึกษา เพราะขาดแคลนทุนทรัพย์ ให้มีโอกาสศึกษาจนจบหลักสูตรในแต่ละระดับชั้น ช่วยสร้างอนาคตให้เยาวชนตามที่มุ่งหวัง เป็นคนดี มีความรู้ เป็นทรัพยากรมีคุณภาพของสังคมและประเทศชาติ โดยเมื่อเดือนกันยายน 2564 ที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้มอบทุนการศึกษาระดับชั้นประถมแก่เยาวชนที่ประพฤติดี แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ประจำปี 2564 จำนวน 1,500 ทุน รวมทั้งยังได้มอบทุนการศึกษาในส่วนภูมิภาค ซึ่งในปีพ.ศ. 2564 นี้  ได้มอบให้กับนักเรียน นิสิต นักศึกษาในภาคใต้ ประกอบด้วย จังหวัดตรัง สงขลา นครศรีธรรมราช  สุราษฎร์ธานี พัทลุง และ กระบี่ รวมทั้งสิ้น 6 จังหวัด จำนวน 53 สถาบัน 265 ทุน 
รวมงบประมาณการมอบทุนการศึกษา ประจำปี 2564 เป็นเงินทั้งสิ้น 16,930,000 บาท (สิบหกล้านเก้าแสนสามหมื่นบาทถ้วน) 

พิธีปล่อยแถวสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยววิถีใหม่ (New Year New Normal 2022)

กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้จัดพิธีปล่อยแถวสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยววิถีใหม่ (New Year New Normal 2022) ณ ลานหน้าศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ถ.พระราม 1 แขวงปทุมวัน เขตปทุมวัน กทม. และการตรวจเยี่ยมมาตรการดูแลคัดกรองประชาชนที่มาใช้บริการห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิร์ล พร้อมตรวจเยี่ยมข้าราชการตำรวจ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ปฏิบัติหน้าที่ ดูแลนักท่องเที่ยวและประชาชนในห้วงการระบาดของโรคโควิด 19 ทุกสายพันธ์ โดยมีนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา ให้เกียรติเป็นประธานในพิธี

กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว โดย พล.ต.ท.สุคุณ พรหมายน ผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ได้จัดให้มีการปล่อยแถวสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยววิถีใหม่ (New Year New Normal 2022) ในการอำนวยความสะดวก ปกป้องคุ้มครอง และรักษาไว้ซึ่งชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยวและประชาชน ตามนโยบายของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแต่จากสถานการณ์ในปัจจุบันทุกภาคส่วนได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดซึ่งทุกคนต้องอยู่ในมาตรการการป้องกันไวรัส โควิดทุกสายพันธ์อย่างเข้มแข็ง และในส่วนของการท่องเที่ยวไทยนั้นเน้นการปรับตัวให้เป็นการท่องเที่ยว ที่มีความรับผิดชอบ (Responsible Tourism)

ซึ่งถือว่าจะเป็นการท่องเที่ยววิถีใหม่ยุคหลังโควิดที่จะทำให้การท่องเที่ยวของไทยนั้นยั่งยืน ซึ่งสอดรับกับนโยบายของรัฐบาล และในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัทร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบนโยบายให้ กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ดำเนินงานการบูรณาการและทำงานเชิงรุกร่วมกับกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระทรวงสาธารณสุข หน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และหน่วยงานภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจท่องเที่ยวไทย ทั้งนี้ เพื่อป้องกันเหตุร้าย สร้างความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยววิถีใหม่ให้กับนักท่องเที่ยว  โดยตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลรักษา ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชน ควบคู่กับการดูแลสุขภาพของประชาชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทุกสายพันธ์ เป็นสำคัญ

 “นายกฯ” พอใจ ส่งออกสินค้าเกษตร อุตสาหกรรม ขยายตัวต่อเนื่อง ก.พณ. เร่งส่งออกทุกรูปแบบ รองรับการบริโภคฟื้นตัวต่อเนื่องทั่วโลก 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ชื่นชมการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย ขยายตัวได้ดีมาก ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ ได้รายงานตัวเลขการส่งออกของไทยเดือนพฤศจิกายน มีมูลค่า 23,647.9 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น  783,425 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.7% และดุลการค้าเดือนพฤศจิกายน เกินดุล 23,745 ล้านบาท ทั้งนี้ในส่วนของตัวเลขการส่งออก 11 เดือน มูลค่ารวม 246,243.2 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็น 7,731,391 ล้านบาท หรือประมาณ 7.73 ล้านล้านบาท เป็นบวก 11 เดือน 16.4 เปอร์เซ็นต์ โดยหมวดส่งออกสำคัญ 3 หมวด ประกอบด้วย หมวดสินค้าเกษตร หมวดสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม และหมวดอุตสาหกรรม ดังนี้

1.หมวดสินค้าเกษตร เพิ่มขึ้น 14.2 เปอร์เซ็นต์  เป็นบวก 13 เดือนต่อเนื่องติดต่อกัน มูลค่าเดือนพฤศจิกายน 68,462 ล้านบาททุเรียนสด เพิ่มขึ้น 138.9 เปอร์เซ็นต์ ขยายตัวดีมากในตลาดจีนและเกาหลีใต้ มะม่วงสด เพิ่มขึ้น 48.6 เปอร์เซ็นต์ ขยายตัวดีมากในตลาดมาเลเซีย เกาหลีใต้ เมียนมา ญี่ปุ่นและลาว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง บวก 13 เดือนต่อเนื่อง เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 48.6 เปอร์เซ็นต์ ขยายตัวดีมาก ในตลาดจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้และมาเลเซีย ลำไยสด เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 24.7 เปอร์เซ็นต์ เป็นบวก 6 เดือนต่อเนื่อง ขยายตัวดีในตลาดจีน ฮ่องกง เวียดนาม มาเลเซียและฟิลิปปินส์ ยางพารา เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 23.5 เปอร์เซ็นต์ เป็นบวก 14 เดือนต่อเนื่อง 

2.หมวดสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ภาพรวมเพิ่มขึ้น 21.2% เดือนพฤศจิกายนขยายตัวเดือนที่ 9 ต่อเนื่อง สินค้าสำคัญเช่น น้ำตาลทราย เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 74 เปอร์เซ็นต์ ผลไม้แช่เย็นแช่แข็ง ผลไม้กระป๋องและแปรรูป เพิ่มขึ้น 34.5 เปอร์เซ็นต์ บวกเดือนที่ 2 ติดต่อกัน และอาหารสัตว์เลี้ยง บวกเป็นเดือนที่ 27 โดยเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 25.9 เปอร์เซ็นต์

3.หมวดสินค้าอุตสาหกรรม เดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 23.1 เปอร์เซ็นต์ ขยายตัวต่อเนื่อง 9 เดือนติดต่อกัน ตัวอย่างเช่น สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ ปิโตรเลียมเหลว เป็นต้น เพิ่มขึ้น 72.9 เปอร์เซ็นต์ เป็นบวก 10 เดือนต่อเนื่อง เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เป็นบวก  12 เดือนต่อเนื่อง เดือนพ.ย.เพิ่มขึ้น 51.9 เปอร์เซ็นต์ อัญมณีและเครื่องประดับ เพิ่มขึ้น 24.9 เปอร์เซ็นต์เป็นบวกเดือนที่ 9 ติดต่อกัน แผงวงจรไฟฟ้า เพิ่มขึ้น 26.7 เปอร์เซ็นต์ บวกติดต่อกันเป็นเดือนที่ 12 คอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ บวก 12 เดือนต่อเนื่อง  เพิ่มขึ้น 19.9 เปอร์เซ็นต์ รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เพิ่มขึ้น 13 เดือนต่อเนื่อง เป็น เพิ่มขึ้น 12 เปอร์เซ็นต์

‘ซัมซุง’ เผย 'ไทย' ฐานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ‘ใหญ่สุดในโลก’ ชี้!! 32 ปี ลงทุนร่วม​ 5​ แสนล้านดอลฯ

“ไทยซัมซุง” ฉลอง 32 ปี เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจในไทย ชูฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าใหญ่สุดในโลก หลังลงทุนแล้วกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์ นายจุนฮวา ลี ประธาน บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบัน ไทยซัมซุงฯ ถือเป็นฐานการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ามีกำลังผลิตสูงสุดใน 28 ประเทศทั่วโลก และมีจำนวนประเภทสินค้า (SKU) มากที่สุด แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มสินค้าหลัก ได้แก่ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ เตาอบ และเครื่องล้างจาน

โดยมีกำลังการผลิตรวมสูงถึง 10 ล้านยูนิตต่อปี คิดเป็นสัดส่วนสินค้าส่งออกถึง 90% เรียกได้ว่ากว่าครึ่งหนึ่งของเครื่องใช้ไฟฟ้าซัมซุงในครัวเรือนทั่วโลกถูกผลิตและส่งออกจากโรงงานแห่งนี้ โดยเฉพาะในกลุ่มเตาอบและเครื่องล้างจานที่ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตและส่งออกเพียงรายเดียวในโลก

“ซัมซุงดำเนินธุรกิจเคียงคู่ประเทศไทยมาแล้วกว่า 32 ปี นับเป็นบริษัทสาขาที่ดำเนินกิจการนอกประเทศเกาหลีใต้ยาวนานที่สุด ซึ่งการที่เราสามารถพัฒนาและเติบโตอย่างมั่นคงดังเช่นทุกวันนี้ เกิดขึ้นจากแรงสนับสนุนอย่างดีของคนไทย

ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ (โรงงานศรีราชา) มีมูลค่าการลงทุนในประเทศไทยรวมแล้วกว่าห้าแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ นับเป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนภาคเศรษฐกิจของประเทศมาอย่างยาวนาน มีการสร้างโอกาสการจ้างงาน สร้างรายได้หมุนเวียนที่สู่ 4,000 ครอบครัว รวมถึงพนักงานจากบริษัทคู่ค้าอีกกว่า 50,000 คนทั่วประเทศ

“อนุทิน” มองบวก “ฉายา ว้ากซีน” ดี ทำติดหูคนจะได้ฉีดวัคซีนเยอะ เผย หลังปีใหม่ แนะหน่วยงานเวิร์กฟรอมโฮม 7วัน -สลับคนมาทำงาน

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)กรณีที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลตั้งฉายา “ว้ากซีน”ว่า “ก็ดี จะได้เป็นคำติดหู คนจะได้มาฉีดวัคซีนกันเยอะๆ”

“สุวัจน์” บอกฉายานักการเมืองเป็นสีสัน  “คนสำคัญ” เท่านั้นถึงจะได้

นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา กล่าวถึงการตั้งฉายานักการเมืองของสื่อมวลชน ว่า เป็นสีสันทางการเมืองของทุกปี และเป็นสีสันของระบอบประชาธิปไตยก่อนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ไม่ต้องไปซีเรียส โดยบุคคลที่ได้รับการตั้งฉายาถือว่าเป็นคนสำคัญ จึงได้รับการนึกถึงจากสื่อมวลชน

“สมัยผมก็เคยได้รับฉายาหอกข้างแคร่ กับสุวัจน์ 24 ชม. เพราะ ผมประชุมตลอดแล้วก็ แถลงการทำงานทันที ทำให้สื่อสะท้อนตรงนี้ออกมา” นายสุวัจน์ กล่าว

"สาธิต" ชี้ หลังปีใหม่ เลี่ยงเชื้อโอมิครอนยาก เชื่อ "เวิร์คฟรอมโฮม" ลดแพร่กระจายได้

ที่ทำเนียบรัฐบาล นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงการเตรียมแผนรับมือเทศกาลปีใหม่ ว่า คิดว่าพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหว คงจะนำข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขมาหารือในที่ประชุมครม.วันนี้ โดยทางสธ.ได้จำลองฉากทัศน์และปัจจัยต่างๆที่จะเกิดขึ้น พร้อมขอความร่วมมือประชาชนที่จะปฏิบัติตามมาตรการเพื่อให้สถานการณ์เป็นไปตามฉากทัศน์ที่จำลองไว้ แม้เชื้อโอมิครอนจะมีอาการไม่รุนแรง เราก็พยายามไม่ให้กระทบต่อความเชื่อมั่น เพราะหากติดเชื้อจะเข้าสู่กระบวนการกักตัว จึงอาจกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนในภาพรวมอยู่ดี หากช่วยกันทำให้ยอดติดเชื้อและผู้เสียชีวิตน้อยที่สุด ก็จะสามารถเดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นเพื่อเปิดประเทศต่อได้

เมื่อถามว่าทางกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เตรียมมาตรการเวิร์คฟรอมโฮมไว้หรือไม่ นายสาธิต กล่าวว่า ทาง สธ.ได้เสนอมาตรการเวิร์คฟอร์มโฮม โดยหลังวันที่ 4 มกราคม 2565 จะนำมาตรการมาประเมินอีกครั้ง ทั้งนี้ ช่วงเทศกาลปีใหม่คงหลีกเลี่ยงเชื้อโอมิครอนยากขึ้น และหากมีการรวมตัวและระบาดครั้งใหม่ การเวิร์คฟอรมโฮมจะช่วยลดการแพร่กระจายเชื้อได้ จึงต้องเฝ้าระวังไว้ก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราทำได้เลย โดยเฉพาะหน่วยงานราชการ อยากให้ทำงานที่บ้านให้มากที่สุด และหากเอกชนทำตามจะเป็นประโยชน์มาก 

เมื่อถามย้ำว่าหลังปีใหม่ให้หน่วยงานราชการเวิร์คฟรอมโฮมใช่หรือไม่ นายสาธิต กล่าวว่า เป็นมาตรการที่ประกาศไปแล้วว่าขอความร่วมมือให้เวิร์คฟรอมโฮมมากที่สุดทั้งราชการและเอกชน และตัวอย่างที่ผ่านมาการรวมตัว เช่น การทานข้าวด้วยกันก็ทำให้เกิดแพร่ระบาดได้ ดังนั้น เราต้องป้องกันให้ดีที่สุด

ผู้สื่อข่าวถามว่าได้กำหนดระยะเวลา เวิร์คฟรอมโฮม หรือไม่ นายสาธิต กล่าวว่า หลังปีใหม่ไม่เกิน 2 อาทิตย์เราก็จะทราบตัวเลขการติดเชื้อและพบฉากทัศน์ที่เกิดขึ้น แต่หากร่วมช่วยปฏิบัติตามมาตรการดี และตัวเลขไม่ก้าวกระโดดจะทำให้มาตรการต่างๆเบาลง

“อนุชา” เผย ทุกวัดจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปีได้ แต่ต้องยึดมาตรการสาธารณสุข เผยปีนี้ประชาชนร่วมสวดมนต์ออนไลน์ได้ 

ก่อนประชุม ครม.นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)กล่าวถึงการจัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี ว่า อยากจะให้ทุกวัดได้จัดกิจกรรมสวดมนต์ข้ามปี เมื่อถามว่า ในส่วนของวัดในพื้นที่ กทม. ยังสามารถจัดได้หรือไม่ นายอนุชา กล่าวว่า ในพื้นที่ กทม. สามารถจัดได้ตามปกติเป็นบางวัด ซึ่งมีทั้งมาทำกิจกรรมที่วัดและผ่านระบบออนไลน์ 

‘อานนท์ นำภา’ เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง ‘ทูตเยอรมัน’ ชี้ ไม่ได้รับความเป็นธรรม-ใช้คุกเป็นเครื่องมือปิดปาก!

(27 ธ.ค. 64) เฟซบุ๊ก ‘อานนท์ นำภา’ โพสต์ข้อความระบุเป็น ‘จดหมายเปิดผนึกถึงเอกอัครราชทูตประจำประเทศเยอรมนี ฉบับที่1’ กล่าวถึง ชีวิตในเรือนจำของนักโทษการเมือง ระบุขอบคุณสถานทูตเยอรมันที่เฝ้าติดตามการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทย พร้อมชี้ ไม่ได้รับความเป็นธรรม คุกกลายเป็นเครื่องมือในการปิดปาก โดยระบุว่า..

“จดหมายเปิดผนึก ถึงท่านเอกอัครราชทูตประจำประเทศเยอรมนี ฉบับที่1

กลางดึกคืนหนึ่งปลายปี ลมหนาวพัดเอื่อยๆผ่านลูกกรงเข้ามาทางห้องขังแดน 4 เพื่อนผู้ต้องขังหลายคนหลับไปแล้ว จะมีก็แต่เพนกวินที่นอนอ่านหนังสือเรียนของเขาอยู่ ส่วนหนังสือเตรียมสอบทนายของไผ่ ถูกเอามาพันผ้าห่มใช้แทนหมอนหลังจากเมื่อช่วงสัปดาห์ที่แล้ว ศาลไม่ให้เขาประกันตัวออกไปสอบตั๋วทนาย ซึ่งได้สอบกันไปเมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ที่ผ่านมา 

ชีวิตในเรือนจำของพวกเรานักโทษทางการเมือง ยังคงดำเนินต่อไป หลังจากมันดำเนินมาสักระยะหนึ่งตั้งแต่การลุกขึ้นสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมเมื่อกลางปีที่แล้ว คุกจึงกลายเป็นเครื่องมือในการปิดปาก ไม่ให้เรียกร้องหรือใฝ่ฝันถึงสังคมที่ดีงามอย่างที่ควรจะเป็น

อย่างไรก็ตาม กระผมต้องขอขอบคุณทางสถานทูตเยอรมันที่ยังเฝ้าติดตามการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยตลอดมา สัปดาห์ที่แล้วที่ผมขึ้นศาล ผมได้พบกับเจ้าหน้าที่ทูตของท่านและได้รับกำลังใจ รวมถึงความห่วงใยอย่างดียิ่ง นอกจากนี้ยังทราบว่าหลายประเทศในยุโรปยังคงติดตามสถานการณ์ การละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทยอย่างใกล้ชิด

ในประเทศที่ไม่มีสิทธิเสรีภาพ การจองจำนักศึกษา ประชาชนที่ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยก็จะมีให้เห็นอยู่เช่นนี้ ความขัดแย้งทางการเมืองของไทย แทบไม่เคยมีการเปิดพื้นที่ให้การพูดคุย ผู้มีอำนาจจากอดีตถึงปัจจุบัน ก็ยังคงใช้ความรุนแรง ทั้งที่เป็นอาวุธและในนามของกฎหมาย ทำร้ายและทำลายพวกเราอย่างไร้มนุษยธรรม 

กระผมทราบว่าในประเทศของท่านได้ผ่านช่วงเวลาในประวัติศาสตร์อันเป็นบทเรียน ทำให้ประเทศของท่านเข้มแข็ง เรียนรู้ ต่อสู้กับผู้ปกครองที่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ จนเปลี่ยนผ่านมาสู่การเป็นประเทศที่เป็นเสาหลักด้านสิทธิมนุษยชนอย่างสง่างาม ทั้งยังให้ความสำคัญต่อเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่บัญญัติไว้ในมาตราแรกของรัฐธรรมนูญแห่งเยอรมนี ซึ่งแตกต่างกับประเทศของกระผมที่แม้มีรัฐธรรมนูญ ให้สิทธิ เสรีภาพแต่ก็หาใช้ได้จริงไม่ เสรีภาพในการชุมนุม เสรีภาพในการแสดงออกทางการเมืองถูกทำลายลงด้วยอาวุธปืน น้ำผสมสารพิษและกระบวนการทางศาล

กล่าวโดยเฉพาะ ภายหลังการลุกขึ้นเรียกร้องประชาธิปไตยของพวกเรา รัฐได้ใช้ความรุนแรงในการสลายการชุมนุม จับกุมคนที่แสดงความเห็นโดยสุจริตจำนวนมาก ยัดข้อหาที่ไม่เป็นธรรม จนกระทั่งในขณะที่เขียนจดหมายถึงท่านอยู่นี้ กระผมกับเพื่อนๆก็ยังถูกขัง เพียงเพราะออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้สอดคล้องกับสังคมประชาธิปไตย บางคนถูกฟ้องเพียงเพราะใส่เสื้อคร็อปท็อป แม้กระทั่งนักศึกษาที่เดินทางไปยื่นหนังสือที่สถานทูตของท่านก็ยังถูกฟ้องและถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำหญิงแห่งหนึ่ง

ชะตากรรมของพวกเรา มิได้เกินความคาดหมาย เมื่อคำนึงถึงความโหดร้ายของชนชั้นปกครองในอดีต เพียงแต่อาจจะเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้างก็ตรงที่พวกเขาเหล่านั้นไม่เห็นถึงความจริงใจที่พวกเราออกมาพูดอย่างตรงไปตรงมาเพื่อแสวงหาทางออกร่วมกัน ยิ่งไปกว่านั้น การพูดอย่างตรงไปตรงมาของพวกเรา ยังถูกมองเป็นความรุนแรง ขณะที่การใช้อาวุธเข้าสลายการชุมนุมโดยรัฐถูกมองเป็นเรื่องปกติ 

ขณะเดียวกัน ศาลที่เคยให้ความยุติธรรมในอรรถคดีทุกเรื่อง พอมาถึงการบังคับใช้มาตรา 112 กลับเป็นข้อยกเว้นแห่งความยุติธรรม เป็นเสมือนหลุมดำที่บรรดาตุลาการมิอาจมีเรี่ยวแรงฝ่าข้ามไปได้

ลมหนาวอีกระลอกของคืนนี้พัดมาแล้ว เสียงกรนของเพื่อนๆยังคงขับกล่อมห้องขังอยู่ กระผมต้องจบจดหมายฉบับแรกเพียงเท่านี้และหากไม่เป็นการรบกวนท่านจนเกินไป กระผมหวังว่าท่านจะได้โปรดตอบจดหมายหรือเขียนมาบอกเล่าเรื่องราวของโลกภายนอกให้กระผมและเพื่อนๆฟังในเรือนจำ

ในโอกาสปีใหม่ที่ใกล้จะถึง กระผมขอส่งความสุข ความปรารถนาดีมายังท่านและฝากไปถึงพี่น้องชาวเยอรมันทุกคน หวังว่าท่านจะได้รับจดหมาย ตลอดจนพรปีใหม่นี้ 
พบกันใหม่ในฉบับหน้า

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง
อานนท์ นำภา
แดน 4 เรือนจำพิเศษกรุงเทพ 
27 ธ.ค. 2021

ทบ. ร่วมหน่วยงานมั่นคง ควบคุมพื้นที่ ดูแลปชช. ชายแดนตาก พร้อมช่วยเหลือผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมาตามหลักมนุษยธรรม พร้อมสั่งเข้มปีใหม่มาตรการป้องกันโควิดทั้งในหน่วยทหารและบ้านพัก

ที่กองบัญชาการกองทัพบก(บก.ทบ.) พ.อ.หญิงศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า  พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ประชุมสรุปสถานการณ์ประจำวันด้วยระบบออนไลน์ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ได้รายงานสถานการณ์ชายแดนไทย-เมียนมา ด้าน จ.ตาก ซึ่งปัจจุบันมีการสู้รบในเขตประเทศเพื่อนบ้านระหว่างทหารเมียนมากับชนกลุ่มน้อยอยู่เป็นระยะ  หน่วยงานด้านความมั่นคงทั้งระดับพื้นที่และระดับนโยบาย ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน ฝ่ายปกครอง อาสาสมัครกู้ภัย ผู้นำชุมชน ได้ร่วมกันติดตามสถานการณ์ในทุกด้าน

รวมทั้งการส่งกำลังพลและยุทโธปกรณ์ลาดตระเวนและเฝ้าตรวจตลอดแนวชายแดนที่ติดกับพื้นที่สู้รบ และพร้อมจะใช้กลไกที่มีอยู่ดูแลอธิปไตยตามหลักสากล  ควบคู่กับการใช้กระบวนการแจ้งเตือนโดยทันทีเมื่อตรวจพบสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่ออำนาจอธิปไตย ผลประโยชน์ของชาติและความปลอดภัยของประชาชน เช่น เมื่อมีกระสุนข้ามมาตกยังฝั่งไทย ฝ่ายไทยได้ทำการประท้วงไปยังรัฐบาลเมียนมา ผ่านช่องทางคณะกรรมการชายแดนระดับท้องถิ่นไทย-เมียนมา (TBC) ให้ระมัดระวังเรื่องการใช้อาวุธ และปฏิบัติการทางอากาศ ซึ่งที่ผ่านมาการคลี่คลายผลกระทบดังกล่าวได้ดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย 

โดยผู้บัญชาการทหารบก ได้ย้ำให้ทุกหน่วยดำเนินตามนโยบายของรัฐบาล และ กระทรวงกลาโหม  ในการติดตามสถานการณ์และการปฏิบัติตามแผนป้องกันประเทศของกองกำลังป้องกันชายแดน เพื่อสร้างความปลอดภัยและความมั่นใจให้กับประชาชนในพื้นที่ พร้อมสั่งการให้กองกำลังนเรศวรเข้าดูแลราษฎรไทยที่บ้านเรือนได้รับความเสียหาย จากกระสุนที่พลัดตกเข้ามาในฝั่งไทย ช่วยซ่อมแซมให้คืนสภาพโดยเร็ว รวมถึงการปรับภูมิทัศน์ ที่พักอาศัยของประชาชนชายแดนให้มีความปลอดภัยจากสถานการณ์  

ทั้งนี้ การสร้างความมั่นใจและดูแลความปลอดภัยให้กับราษฎรไทยเป็นเรื่องที่กองกำลังป้องกันชายแดนและหน่วยงานด้านความมั่นคงให้ความสำคัญสูงสุด  สำหรับการช่วยเหลือผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมาให้ยึดตามหลักมนุษยธรรมภายใต้ขีดความสามารถของหน่วยงาน และเมื่อเหตุการณ์สงบลงให้ช่วยอำนวยความสะดวกในการส่งกลับข้ามแดนด้วยความสมัครใจ  ซึ่งส่วนใหญ่ประสงค์จะเดินทางกลับประเทศทันทีอยู่แล้วเมื่อการสู้รบในแต่ละห้วงยุติลง 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top