Thursday, 19 June 2025
TheStatesTimes

‘หมอเหรียญทอง’ โพสต์ระดมทหารนอกราชการ เหล่าแพทย์ ร่วมปฏิบัติหน้าที่ในเครือข่าย รพ.สนามทหารบก

วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2564 นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก เหรียญทอง แน่นหนา โดยระบุว่า ประกาศระดมทหารนอกราชการ เหล่าแพทย์ ไม่จำกัดอายุ-เพศ เพื่อปฏิบัติหน้าที่ในเครือข่าย รพ.สนามทหารบก จำแนกความชำนาญการทางทหาร(ชกท) ดังนี้

1.) แพทย์ ไม่กำหนดความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขา

2.) พยาบาลวิชาชีพ ไม่กำหนดความเชี่ยวชาญเฉพาะสาขา

3.) นายทหารพยาบาล

4.) นายทหารรังสีเทคนิค

5.) นายสิบพยาบาล

ติดต่อ โทร.02-574-5000 ต่อ แผนกบุคคล (รุ่ง ศรีสุก)

พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา

ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ

(อดีตผู้อำนวยการกองกำลังพล-นายทหารยุทธการ และผู้บังคับกองพัน กรมแพทย์ทหารบก)

23 เม.ย.64 เวลา 10.27 น.


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘อลงกรณ์’ เร่งพัฒนาเกลือทะเลทั้งระบบ ยกระดับมาตรฐานเกลือทะเลภายใต้ ‘5ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย’

‘อลงกรณ์’ เร่งพัฒนาเกลือทะเลทั้งระบบ ยกระดับมาตรฐานเกลือทะเลภายใต้ ‘5ยุทธศาสตร์เฉลิมชัย’ ผนึก ‘อพท.’ เดินหน้าโครงการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ‘เกลือเม็ดสุดท้าย ทรายเม็ดแรก’ เส้นทาง ‘คลองโคน-บ้านแหลม-ชะอำ’ 100 กิโลเมตร พร้อมจับมือ ‘พาณิชย์’ ช่วยพัฒนาผู้ประกอบการและแก้ปัญหาการตลาด เตรียมประกาศขึ้นทะเบียนผู้นำเข้าเกลือนอกเดือนหน้า

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการพัฒนาเกลือทะเลไทย (Salt Board) เปิดเผยว่า ว่าการประชุมบอร์ดเกลือ เมื่อวันที่ 22 เมษายน 64 ที่ผ่านมาได้พิจารณาวาระสำคัญหลายวาระด้วยกันได้แก่

1.) ความก้าวหน้าการขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ทำนาเกลือทะเล

2.) สถิติการนำเข้าเกลือ

3.) การสร้างมาตรฐานเกลือทะเล

4.) เกณฑ์การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ สำหรับเกษตรกรผู้ทำนาเกลือ

5.) งานวิจัยด้านเกลือทะเล

6.) การขอขยายระยะเวลาชำระหนี้กองทุนสงเคราะห์เกษตรกรของสหกรณ์นาเกลือ

7.) การกระจายผลผลิตเกลือทะเล

8.) การส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่นาเกลือ

9.) การส่งเสริมการแปรรูปเกลือทะเล

10.) การตรวจเยี่ยมเยือนหน่วยงานภาคีภายใต้คณะกรรมการฯ ณ กระทรวงพาณิชย์ เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาเกลือทะเลค้างสต็อกจากฤดูกาลผลิต2562/2563 และการแก้ไขปัญหาราคาเกลือตกต่ำ

11.) การขึ้นทะเบียนผู้นำเข้าเกลือจากต่างประเทศ และ ร่างกฎหมายว่าด้วยการนำเข้าเกลือ

12.) แผนการพัฒนายกระดับผู้ประกอบการด้านเกลือทะเล

“การยกระดับมาตรฐานเกลือทะเลมีความก้าวหน้าอย่างจากโดยสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) ได้จัดทำ (ร่าง) คู่มือการปฏิบัติงาน Standard Operating Procedure (SOP) การตรวจรับรองแหล่งผลิต GAP นาเกลือทะเล และเกลือทะเลธรรมชาติเสร็จสิ้นแล้ว และจัดอบรมให้แก่เกษตรกรผู้ทำนาเกลือทั้ง 7 จังหวัด จำนวน 262 คน โครงการนำร่องพัฒนาแปลงนาเกลือต้นแบบซึ่งได้คัดเลือกเกษตรกรต้นแบบเป็นที่เรียบร้อย พร้อมจัดฝึกอบรมที่ปรึกษาเกษตรกร และผู้ตรวจประเมินตามมาตรฐานเกลือทะเล ครบทั้งระบบโดยคาดกรมวิชาการ กรมประมงและกรมปศุสัตว์จะออกประกาศกรมแล้วเสร็จในสิ้นเดือนเมษายนนี้ ขณะที่กรมส่งเสริมการเกษตรได้เตรียมความพร้อมเปิดรับการขึ้นทะเบียนเรียบร้อยแล้ว”

ทั้งนี้ตามข้อมูล ณ เดือนเมษายน 2564 มีเกษตรกรผู้ทำนาเกลือขึ้นทะเบียนในระบบจำนวน 650 ครัวเรือน 1,150 แปลง เนื้อที่ 25,707.88 ไร่

สำหรับเกณฑ์การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ อยู่ระหว่างปรับปรุงแก้ไขหลักเกณฑ์การใช้จ่ายเงินช่วยเหลือร่วมกับกรมบัญชีกลาง ในขณะที่งานวิจัยด้านเกลือโดยสถาบันเกลือทะเลไทย มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี ซึ่งเป็นศูนย์AIC เพชรบุรีได้รับการอนุมัติงบประมาณแล้ว 2 โครงการจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติพร้อมดำเนินการวิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาลดสิ่งปนเปื้อนในเกลือและการลดความชื้นในเกลือเพื่อพัฒนาคุณภาพของผลผลิตและผลิตภัณฑ์เกลือ

ด้านการขอขยายระยะเวลาชำระหนี้กองทุนสงเคราะห์เกษตรกรของสหกรณ์นาเหลือนั้นคณะอนุกรรมการกองทุนฯ ได้มีมติเห็นชอบขยายระยะเวลาการชำระหนี้ และงดเว้นค่าปรับ โครงการสร้างระบบการผลิตและการตลาดเกลือทะเลของสถาบันเกษตรกร ด้วยวิธีการยกระดับราคาให้ยั่งยืนเป็นระยะเวลา 2 ปี โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์จัดทำรายละเอียดแผนการชำระเงินคืน งบกระแสเงินสด (cash flow) เพื่อเสนอให้คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์เกษตรกรพิจารณาต่อไป

ที่ประชุมยังรับทราบรายงานขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (อพท.) ซึ่งได้นำเสนอรายงานการพัฒนาและบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลภาคตะวันตก (Thailand Riviera) เรียบชายฝั่งทะเลจากจังหวัดสมุทรสงครามถึงอำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ในการพัฒนาพื้นที่นาเกลือเป็นแหล่งท่องเที่ยวตามแผนโครงการพัฒนาการบริหารจัดการแหล่งท่องเที่ยวและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวในพื้นที่พิเศษเพื่อความยั่งยืนบนเส้นทางสายเกลือ (Salt Road) งบประมาณกว่า 615 ล้านบาท ซึ่งจะมีการพัฒนาพื้นที่ตามเส้นทางตั้งแต่ถนนพระราม 2 ที่คลองโคนผ่านบ้านแหลมท่ายางถึงชะอำระยะทาง 100 กิโลเมตรเป็นเส้นทางสาย ‘Salt Road’ เช่นพิพิธภัณฑ์เกลือที่บ้านแหลม จุดชมวิวที่สะพานบางตะบูน จุดเช็คอินที่ปากทะเล บางแก้วและแหลมผักเบี้ยภายใต้คอนเซ็ปท์ เกลือเม็ดสุดท้าย ทรายเม็ดแรก ยิ่งกว่านั้นการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยก็พร้อมให้การสนับสนุนกิจกรรมท่องเที่ยวและการโปรโมทโดยจะมีการประชุมร่วมกับที่ อพท. และจะเชิญสำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์แห่งชาติและมหาวิทยาลัยศิลปากรร่วมในการพัฒนาแบบแปลนเชิงอัตลักษณ์ในเดือนหน้า”

นอกจากนี้ที่ประชุมยังรับทราบความก้าวหน้าการส่งเสริมการแปรรูปเกลือทะเล ได้มีกิจกรรมการถ่ายทอดองค์ความรู้ เทคโนโลยีในการผลิต แปรรูปสินค้า พร้อมทั้งหลักการคำนวณต้นทุนการผลิต กิจกรรมการทดสอบตลาดจำนวน 2 ครั้ง พร้อมทั้งสรุปผลการทดสอบตลาด และกิจกรรมการพัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อเพิ่มมูลค่า ร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

สำหรับการแก้ปัญหาราคาเกลือทะเลตกต่ำ และปัญหาผลผลิตเกลือทะเลค้างสต็อก ใน 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดเพชรบุรี สมุทรสาคร และจังหวัดสมุทรสงคราม มีปริมาณเกลือคงค้างฤดูการผลิต ปี 2562/63 ปริมาณ 212,608 ตัน และ ปี 2563/64 ปริมาณ 197,000 ตัน โดยกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอแผน ได้แก่

1.) การกระจายและเชื่อมโยงสินค้าเกลือทะเลไปยังอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง

2.) การกระจายเกลือขาวและดอกเกลือเพื่อจำหน่ายในร้านธงฟ้า

3.) เสนอให้จัดทำโครงการกระจายเกลือทะเลค้างสต็อก ผ่านทางคณะกรรมการบริหารกองทุนรวมเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร (คบท.)ใช้งบประมาณของกองทุน แนวทางเดียวกับสินค้าเกษตรอื่นๆโดยที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้กรมส่งเสริมการเกษตรเป็นหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินการ

สำหรับ ร่างกฎหมายว่าด้วยการขึ้นทะเบียนผู้นำเข้าเกลือจากต่างประเทศ ขณะนี้กรมการค้าต่างประเทศกระทรวงพาณิชย์ ได้ส่งร่างดังกล่าวให้คณะกรรมการตรวจสอบร่างกฎหมายและร่างอนุบัญญัติพิจารณา โดยให้รับความคิดเห็นของกระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาดำเนินการต่อไป

ทางด้านการพัฒนาผู้ประกอบการด้านเกลือทะเล กรมพัฒนาธุรกิจการค้ามีหลักสูตรเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการได้แก่ หลักสูตรการบริหารจัดการด้านการตลาด จำนวน 7 หลักสูตร ได้แก่ (1.) การเริ่มต้นธุรกิจ (2.) การเงินบัญชี (3.) วิชาบัญชี (4.) การตลาด E-Commerce (5.) การพัฒนากลยุทธ์การตลาด E – Commerce (6.) การพัฒนาธุรกิจใน AEC (7.) การพัฒนาระบบบริหารจัดการธุรกิจโลจิสติกส์ สมัครได้ที่ http://dbdacademy.dbd.go.th/

2.) หลักสูตรการพัฒนาทักษะทางดิจิทัล จำนวน 2 หลักสูตร ได้แก่ (1.) หลักสูตรร้านค้าออนไลน์ (E-Commerce) (2.) หลักสูตรการพัฒนาหน้าร้านสู่โลกออนไลน์ (Digitize Storefront) ผู้สนใจสามารถสมัครได้ที่ https://saphandigital.moc.go.th/ ภายในวันที่ 30 เมษายน 2564

“นับเป็นครั้งแรกที่มีการพัฒนาเกลือทะเลทั้งระบบครบวงจรตั้งแต่การวิจัยพัฒนา การผลิต การแปรรูป การพัฒนาผลิตภัณฑ์ การสร้างแบรนด์และการตลาดผสมผสานการค้าสินค้าและบริการเชื่อมโยงการท่องเที่ยวเชิงเกษตรภายใต้5ยุทธศาสตร์ของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และโมเดล” เกษตรผลิต พาณิชย์ตลาดซึ่งเป็นความร่วมมือกับกระทรวงพาณิชย์และทุกภาคีภาคส่วนแบบบูรณาการใกล้ชิด” นายอลงกรณ์กล่าวในที่สุด


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

รมว.สาธารณสุข เผย ชี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดที่พุ่งสูงอยู่ในเกณฑ์ที่ประเมินไว้ ยันทุกฝ่ายทำงานเต็มที่แล้ว คาดอีก 2 สัปดาห์ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะลดลง

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข กล่าวถึงตัวเลขผู้ติดเชื้อ โควิด-19 รายใหม่ที่พุ่งกว่า 2,000 ราย ว่า ตัวเลขผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นมาจะอยู่ตามหัวเมืองใหญ่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่า รัฐบาลไม่ได้ปิดบังข้อมูลตัวเลขผู้ติดเชื้อ ซึ่งตัวเลขบางพื้นที่รายงานเข้ามายังไม่ครบ ซึ่งบางพื้นที่ยังมีปัญหาเรื่องการส่งข้อมูลเข้ามายังกระทรวงสาธารณสุขทำให้ตัวเลขสะสมเพิ่มขึ้นจำนวนมาก

นายอนุทิน ย้ำว่า สถานการณ์การแพร่เชื้อในประเทศขณะนี้ยังสามารถควบคุมได้ เนื่องจากยังเป็นไปตามมาตรการแม้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันจะสูงขึ้น แต่ตัวเลขเฉลี่ยยังอยู่ในเกณฑ์ที่คาดการณ์ไว้ และคาดว่าจากนี้ไป 2 สัปดาห์ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะลดลง

สำหรับคลัสเตอร์สถานบันเทิงพยายามจะควบคุมให้ได้ภายในสิ้นเดือนนี้ เนื่องจากการรวมกลุ่มลดลงตามมาตรการของศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ซึ่งตัวเลขในวันนี้ก็เป็นกลุ่มผู้ติดเชื้อที่มาตั้งแต่สงกรานต์และเมื่อเข้าสู่กระบวนการรักษาภายใน 2 สัปดาห์อาการน่าจะดีขึ้น และหากไม่มีกลุ่มก้อนใหม่เพิ่มขึ้นมาเชื่อว่า สถานการณ์จะดีขึ้น

ส่วนกรณีมีข่าวไฮโซเป็นต้นตอแพร่เชื้อโควิดคลัสเตอร์ทองหล่อนั้น นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ตำรวจจะสืบสวนสอบสวน เจ้าหน้าที่สาธารณสุขมีหน้าที่คอยรักษา ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ทำงานอย่างเต็มที่แล้ว ส่วนงานป้องกันสาธารณสุขได้แจ้งข้อปฏิบัติไปหมดแล้วว่าจะต้องทำอย่างไร

ส่วนเรื่องวัคซีนที่จะให้ประชาชนเริ่มลงทะเบียนรับการฉีดวัคซีนในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ ซึ่งเป็นความหวังในการรักษานั้น นายอนุทิน ยืนยันว่า วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้า จะเข้ามาตามกำหนดการ ซึ่งจะส่งมอบได้ในเดือนกรกฎาคมทุกอย่างต้องไปเป็นไปตามขั้นตอนความปลอดภัย และผู้ที่ติดเชื้อที่รักษาหายแล้วจำเป็นจะต้องฉีดวัคซีนอีกหรือไม่นั้น ต้องให้แพทย์เป็นผู้ประเมิน

นายอนุทิน กล่าวถึงกรณีมีผู้สูงอายุ 3 รายพักรวมกันแล้วป่วยติดเชื้อโควิด-19 แต่รอรถมารับไปส่งโรงพยาบาลนานกว่า 6 ชั่วโมงทำให้มีผู้เสียชีวิตว่า อยู่ระหว่างให้กรมการแพทย์ประสานติดตามข้อมูลข้อเท็จจริงจาก กทม.ว่าจะต้องปรับปรุงระบบอย่างไรให้สามารถแยกแยะผู้ป่วยที่มีความฉุกเฉินก่อน ซึ่งจะต้องแยกแยะให้ได้ โดยยืนยันว่า กระทรวงสาธารณสุขทำงานอย่างเต็มที่ ซึ่งมีการประสานกันอยู่แล้วในเรื่องเพื่อส่งต่อผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลอื่น แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์เช่นนี้ทุกคนก็เสียใจ และก็พยายามจะแก้ไข

สำหรับกรณีพบอาการไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีนนั้น นายอนุทิน กล่าวว่า ขอให้รอฟังผลสรุปจากทางวิชาการ ส่วนตัวไม่ใช่นักวิชาการจึงไม่ขอวิเคราะห์ในเรื่องนี้ ถ้ายังมีสัญญาณว่าให้ฉีดต่อไปได้ก็ยังคงเดินหน้าในการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนต่อไป ขอให้มีความมั่นใจเนื่องจากคณะแพทย์ที่พิจารณามีความเชี่ยวชาญโดยตรง และเป็นระดับอาจารย์หมอที่ได้ศึกษาเรื่องนี้

ที่มา : https://www.infoquest.co.th/2021/80533


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

โทเคนดิจิทัล ทางเลือกใหม่ของการลงทุนในยุคดิจิทัล

วันก่อนมีประเด็นร้อนในกรุ๊ปฝากร้านของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เมื่อศิษย์เก่าท่านหนึ่งประกาศขายที่ของที่บ้านพร้อมบังกะโลบนเกาะมูลค่ารวมประมาณ 350 ล้านบาท ต่อมามีศิษย์เก่าอีกท่านเสนอไอเดียชวนคนในกรุ๊ปที่มีอยู่เกือบ ๆ สองแสนคนมาลงขันซื้อเกาะกัน โดยลงหุ้นกันคนละ 3,500 บาท แค่แสนคนก็ได้เป็นเจ้าของเกาะดังกล่าวแล้ว

ปรากฏว่ามีมีคนสนใจไอเดียดังกล่าวจำนวนมาก และอยากร่วมหุ้นด้วย โดยขอลง 1 หุ้นบ้าง 10 หุ้นบ้าง หรือ 100 หุ้นก็มี แต่สุดท้ายโปรเจคดังกล่าวก็ต้องพับไป เพราะมีประเด็นว่าที่ดินที่ประกาศขายอาจมีส่วนที่ทับซ้อนกับพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติ

แม้ว่าโปรเจคจะล่มไปแล้ว แต่ก็มีประเด็นที่น่าสนใจ ที่ผมอยากให้ลองจินตนาการต่อว่า ถ้าเกิดโปรเจคดังกล่าวสามารถไปต่อได้ เราจะใช้วิธีการไหนในการระดมทุนคนจำนวนมาก ๆ แบบนี้กันดี

บางท่านอาจจะเสนอให้ตั้งเป็นบริษัทแล้วขายหุ้นให้ทุกคนที่อยากลงทุนเลย อ่านดูแล้วเหมือนง่าย แต่ลองคิดภาพตามดูนะครับ

ถ้าโปรเจคนี้สำเร็จแล้วมีคนลงขันซื้อหุ้นหลายหมื่นคน ทุกปีเราต้องเชิญผู้ถือหุ้นมาร่วมประชุมสามัญประจำปี แค่หาสถานที่จัดการประชุมก็ยากแล้ว แต่ที่ยากกว่าคือการเชิญคนมาประชุมให้ครบองค์ประชุม แค่ประชุมนิติบุคคลของคอนโดหรือหมู่บ้าน ยังยากเลย แล้วนี่ต้องเชิญคนมาร่วมประชุมเป็นหมื่นคน จะยากและวุ่นวายขนาดไหน

แล้วแบบนี้เราจะระดมทุนกันอย่างไรดี ถ้าเกิดมีโปรเจคที่น่าสนใจ และคนอยากร่วมลงทุนเป็นหมื่น ๆ แสน ๆ คน

ความจริงผมได้ไปเกริ่นไว้ในกรุ๊ปดังกล่าวก่อนที่โปรเจคจะล่มไปแล้วว่า โปรเจคระดมทุนเพื่อเข้าไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์แบบนี้ เราสามารถระดมทุนโดยการออกเหรียญหรือโทเคนดิจิทัลเพื่อไปลงทุนได้ แถมผู้ลงทุนยังได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายอีกด้วย

เนื่องจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) พึ่งมีการปรับปรุงหลักเกณฑ์เพื่อกำกับดูแลการออกเสนอขายโทเคนดิจิทัลที่อ้างอิงหรือมีกระแสรายรับจากอสังหาริมทรัพย์ (real estate-backed ICO) และเริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมานี้เอง

แล้วไอ้เจ้าโทเคนดิจิทัลที่ผมกล่าวถึงนั้นคืออะไร มันเหมือนหรือคล้ายกับบิตคอยน์ (Bitcoin) ที่คนพูดถึงกันเยอะ ๆ หรือไม่ ลองติดตามอ่านกันดูนะครับ

ก่อนอื่น ผมต้องปูพื้นให้ทุกท่านเข้าใจเสียก่อนว่าตามกฎหมายในประเทศไทยของเราแบ่งสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1.) คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) หรือ สกุลเงินดิจิทัลที่เราสามารถใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าหรือบริการ ไม่ต่างจากเงินจริง ๆ หากผู้ใช้ทั้งสองฝ่ายตกลงยอมรับกัน ซึ่งสกุลเงินดิจิทัลในโลกเราปัจจุบันนี้มีหลายพันสกุลแล้ว แต่ที่หลายคนรู้จักกันดี ก็เช่น บิตคอยน์ (Bitcoin) อีเธอร์เลียม (Ethereum)

2.) โทเคนดิจิทัล (Digital Token) หรือ หน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อกำหนดสิทธิของบุคคลในการร่วมลงทุน (Investment Token) หรือสิทธิในการได้มาซึ่งสินค้า บริการ หรือ สิทธิอื่น ๆ (Utility Token) ตามที่ผู้ออกโทเคนได้ตกลงไว้ ซึ่งการเสนอขายโทเคนนั้นจะทำโดยกระบวนที่เรียกว่า “Initial Coin Offering” หรือ ICO

ดังนั้น โทเคนดิจิทัลนั้นจึงไม่เหมือนกับบิตคอยน์เสียทีเดียว เพราะ บิตคอยน์เป็นเพียงสกุลเงินหนึ่งในโลกดิจิทัล มูลค่าของบิตคอยน์จะขึ้นอยู่กับอุปสงค์อุปทานเป็นหลัก แต่โทเคนดิจิทัลที่ใช้เพื่อใช้ในการร่วมลงทุนนั้น มูลค่าของโทเคนจะขึ้นอยู่กับมูลค่าของทรัพย์สินหรือกิจการที่เข้าไปลงทุน

ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพมากขึ้น การออกโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุน (Investment Token) จะคล้ายกับการตั้งกองทุนรวมเพื่อเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ต่างกันที่ ผู้ที่ลงทุนในกองทุนรวมจะได้รับเอกสารแสดงสิทธิในหน่วยลงทุนมาเป็นหลักฐานว่าตนเป็นผู้ถือหน่วยลงทุนในกองทุนดังกล่าว แต่ผู้ที่ลงทุนในโทเคนดิจิทัลก็จะได้รับ โทเคน (Token) หรือ เหรียญ (Coin) มาเป็นหลักฐานว่าตนได้เข้าร่วมลงทุนในโปรเจคนั้น ๆ ด้วย

การที่ออกโทเคนดิจิทัลเพื่อเข้าไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ จึงเป็นโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนประเภทหนึ่ง ที่ต้องถูกกำกับดูแลโดยสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งอย่างน้อยก็จะทำให้ผู้ลงทุนมั่นใจได้ว่าโทเคนดิจิทัลที่เสนอขายนั้นมีการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จริง ผู้ออกโทเคนดิจิทัลไม่ใช่พวกต้มตุ๋น หรือ เป็นขบวนการแชร์ลูกโซ่

แต่สำนักงาน ก.ล.ต. ก็ไม่ได้มีหน้าที่รับรองว่าโทเคนดิจิทัลนั้นจะมีกำไรนะครับ อันนั้นเป็นเรื่องที่ผู้ลงทุนจะต้องศึกษารายละเอียดเองว่าการลงทุนดังกล่าวมีแนวโน้มว่าจะดีหรือไม่ หรือมีความเสี่ยงอะไรบ้าง

เช่น ถ้าผมจะซื้อโทเคนดิจิทัลที่ไปลงทุนในธุรกิจโรงแรม ผมก็ต้องศึกษาก่อนว่าโรงแรมที่จะเข้าไปลงทุนนั้นมีกี่ห้อง ราคาค่าห้องเฉลี่ยต่อคืนเท่าไหร่ อัตราการเข้าพักที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ความเสี่ยงของธุรกิจโรงแรมคืออะไร เป็นต้น เพราะมูลค่าของโทเคนดิจิทัลที่ผมจะซื้อนั้นจะผันแปรตามกำไรจากธุรกิจโรงแรมดังกล่าว

สมมุติถ้าผมซื้อมาโทเคนละ 100 บาท แล้วปีต่อมาเกิดวิกฤตโควิด แปลว่าโรงแรมก็จะไม่มีรายได้เลย ราคาโทเคนที่ผมซื้อมาอาจจะตกเหลือเพียง 50 บาทก็ได้ แต่ถ้าเกิดโควิดหมดไป นักท่องเที่ยวที่กลับมาเที่ยวได้ตามปกติ โทเคนนั้นก็อาจจะกลับมาราคา 100 บาทตามเดิมหรือมากกว่าเดิมก็ได้ขึ้นอยู่กับผลประกอบการในปีนั้น ๆ ว่าจะจ่ายเงินปันผลให้ผู้ลงทุนเท่าไหร่

นอกจากนี้ ตามเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต. ยังกำหนดให้ผู้ที่เสนอขายโทเคนดิจิทัล (Issuer) ต้องโอนกรรมสิทธิ์ในอสังหาริมทรัพย์ที่ลงทุนนั้นให้กับทรัสตี (Trustee) หรือ ผู้ดูแลผลประโยชน์ด้วย

ซึ่งทรัสตีนั้นจะทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลประโยชน์ให้กับนักลงทุนที่ถือโทเคนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการติดตามดูแลให้ผู้ออกเสนอขายโทเคนบริหารจัดการทรัพย์สินให้ดีเหมือนที่ได้ระบุไว้ในโครงการตอนเสนอขาย หรือคอยดูว่าผู้ออกเสนอขายโทเคนมีการดำเนินการใด ๆ ที่มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ รวมทั้งคอยเข้าประชุมติดตามผลการดำเนินงานแทนผู้ถือโทเคนทุกคนอีกด้วย

แต่ไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทจะนำมาระดมทุนเสนอขายเป็นโทเคนดิจิทัลได้นะครับ

เนื่องจากหลักเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต. กำหนดว่าทรัพย์สินที่จะเสนอขายได้นั้นจะต้องเป็น อสังหาริมทรัพย์ หรือ หุ้นของนิติบุคคลเฉพาะกิจ (SPV) ที่ถือครองอสังริมทรัพย์ไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของสิทธิออกเสียงใน SPV นั้น หรือ สิทธิการเช่าในอสังหาริมทรัพย์

โดยทรัพย์สินดังกล่าวจะต้องสร้างเสร็จแล้ว 100% ไม่ใช่สร้าง ๆ อยู่จะมาขอระดมทุนออกโทเคนแบบนี้ไม่ได้ และเงื่อนไขอีกข้อก็คือ การลงทุนนั้นจะต้องลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของทั้งโครงการ หรือ การลงทุนนั้นต้องมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท

นอกจากนี้ ในการเสนอขายโทเคนดิจิทัล สำนักงาน ก.ล.ต. มีข้อกำหนดว่าผู้ลงทุนรายย่อยจะลงทุนได้ไม่เกิน 300,000 บาทต่อการเสนอขายในครั้งนั้นเท่านั้น ต่างจากการลงทุนในกอง REIT ที่ผู้ลงทุนรายย่อยจะลงทุนเท่าไหร่ก็ได้ครับ

เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับข้อมูลเบื้องต้นสำหรับการลงทุนในโทเคนดิจิทัลที่อ้างอิงหรือมีกระแสรายรับจากอสังหาริมทรัพย์ (real estate-backed ICO) ที่จะเป็นสินทรัพย์ลงทุนรูปแบบใหม่ในยุคดิจิทัล ซึ่งตอนนี้ผมก็แอบทราบมาว่ามีบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บางแห่งกำลังเตรียมการเพื่อยื่นขออนุมัติจากสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายโทเคนดิจิทัลประเภทนี้ให้ได้ภายในปีนี้

แม้ว่าโปรเจคซื้อเกาะจะไม่สำเร็จ แต่ก็ถือว่าหลายคนน่าจะได้ประโยชน์จากการเรียนรู้เรื่องการระดมทุนและลงทุนในยุคดิจิทัลกันไม่มากก็น้อย ก่อนที่ประเทศไทยของเราจะเริ่มมีโทเคนดิจิทัลเพื่อการลงทุนออกให้มาซื้อขายกันจริง ๆ


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

นัตจินหน่อง ผู้มีเมียแก่คราวแม่

คำว่า คนพม่าไม่นิยมมีเมียแก่ เพราะพอใครที่มีเมียอายุมากกว่าตนมักจะโดนแซวว่ามีเมียแก่แบบนัตจินหน่อง แล้วนัตจินหน่องคือใครนะหรือครับ นัตจินหน่อง หรือออกเสียงให้ถูกคือ นะฉิ่นเหน่าง์ หรือตามพงศาวดารไทยเรียกเขาว่า นักสาง เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าตองอูเมงยีสีหตู ผู้เป็นพระอนุชาของพระเจ้าบุเรงนองนั่นเอง นัดจินหน่องหรือนะฉิ่นเหน่าง์นั้นเป็นที่เลื่องลือในพม่าว่าเป็นมีความสามารถหลายด้าน เขามีทักษะในการขี่ม้าตั้งแต่อายุยังน้อย เขาเก่งในการใช้ดาบและหอก และเขายังเล่นพิณได้ดี การกวีสูงอย่างยิ่ง รวมถึงมีความรอบรู้ในพระไตรปิฎกเป็นอย่างมาก และได้เป็นกษัตริย์ตองอูต่อจากพระราชบิดาต่อมา

นัตจินหน่องได้อภิเษกกับพระนางราชธาตุกัลยา (Yaza Datu Kalayar) หลังจากที่พระสวามีคนแรกคือ มังกะยอชะวา (Mingyi Swa) หรือคนไทยเรารู้จักในชื่อมังสามเกียดหรือพระมหาอุปราชา ราชบุตรของพระเจ้านันทบุเรงสิ้นพระชนม์ โดยพระนางมีอายุห่างกับนัตจินหน่องถึง 20 ปี กล่าวคือ นัตจินหน่องประสูติเมื่อปี 1579 แต่พระนางประสูติเมื่อ 1559 เส้นทางรักของทั้งคู่ไม่ได้สวยหรู เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยอุปสรรค เพราะแม้นัตจินหน่องจะรักใคร่ชอบพอพระนางราชธาตุกัลยา แต่ทางพระเจ้าตองอูก็ไม่ได้สมยอมให้นัตจินหน่องอภิเษกกับนาง จนนัตจินหน่องคิดไปว่าสาเหตุที่ตนไม่ได้อภิเษกกับพระนางราชธาตุกัลยาเสียที เป็นเพราะพระเจ้านันทบุเรง ที่เป็นผู้ขัดขวางและนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นัตจินหน่องวางยาพระเจ้านันทบุเรง  

แต่ทว่าเมื่อหลังจากพระเจ้านันทบุเรงสวรรคตไปแล้ว นัตจินหน่องก็ยังไม่ได้พระบรมราชานุญาตให้อภิเษกกับพระนางราชธาตุกัลยาอยู่ดี  ต้องรอถึง 3 ปีกว่าจะได้อภิเษก แม้ความรักจะมีอุปสรรคและอายุห่างกัน 20 ปีก็ตาม แต่นัตจินหน่องก็รักพระนางราชธาตุกัลยามาก ในพงศาวดารข้างพม่าได้กล่าวว่าพระนางราชธาตุกัลยานั้นมีรูปโฉมงดงามมาก งามขนาดนัตจินหน่องได้นิพนธ์บทกวีถึงความงามของพระนางกันเลยทีเดียว แต่ทั้งคู่ก็ครองรักกันได้เพียงแค่ 7 เดือนเท่านั้นพระนางราชธาตุกัลยาก็สวรรคตทำให้นัตจินหน่องเสียใจเป็นอย่างมาก

แม้เส้นทางรบของนัตจินหน่องจะเป็นเรื่องราว เป็นตำนานที่หาอ่านได้จากอินเตอร์เนตโดยทั่วไปแต่ชีวิตรักของพระเจ้าตองอูผู้นี้มีการแปลออกมาเป็นภาษาไทยน้อยมาก แต่ในฝั่งคนพม่าถ้ามีใครถูกล้อว่าเป็นนัตจินหน่องเหรอ นั่นหมายถึง คนนั้นมีเมียแก่กว่าตัวเองมาก ๆ นั่นเอง ซึ่งคำนี้คนเมียนมาร์ก็ไม่ชอบเอาเสียด้วยดังนั้น ทราบกันแล้วอย่าไปล้อใครที่เขามีแฟนหรือภรรยาแก่กว่าด้วยคำนี้นะครับ


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

Nansen passports : หนังสือเดินทาง Nansen หนังสือเดินทางสำหรับผู้อพยพลี้ภัย และคนไร้สัญชาติแบบแรกของโลก

"Nansen passports" เล่มนี้ออกโดยรัฐบาลฝรั่งเศส

เรื่องราวบางอย่างไม่ได้เป็นเรื่องที่อยู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาให้เราได้รู้ได้เห็น เช่นเดียวกับเรื่องของ "Nansen passports" ขณะที่ผู้เขียนกำลังอ่านข้อมูลเพื่อจะหาเรื่องราวต่าง ๆ มาเขียนอยู่นั้นก็บังเอิญไปเข้ากับเจอคำว่า "Nansen passports" เมื่อได้ไล่เรียงอ่านดูจึงพบว่า "Nansen passports" เป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก โดยส่วนตัวผู้เขียนเองก็ไม่เคยได้รู้ได้ยินเรื่องราวนี้มาก่อนทั้ง ๆ ที่เล่าเรียนรัฐศาสตร์มาก ทั้งอ่านเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มากพอสมควร เลยต้องขอนำเขียนเล่าใน Weekly Column ของ The States Times เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ทราบพอสังเขป 

“Fridtjof Nansen”

เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง เกิดมีความวุ่นวายที่สำคัญอันนำไปสู่วิกฤตการณ์ผู้อพยพลี้ภัยนับเรือนล้าน เนื่องจากรัฐบาลของหลายชาติถูกโค่นล้ม และพรมแดนของหลาย ๆ ประเทศก็ถูกขีดวาดขึ้นมาใหม่ โดยทั่วไปมักจะเป็นไปตามชาติพันธุ์ ทั้งยังเกิดสงครามกลางเมืองในอีกหลายประเทศ ผู้คนมากมายต้องอพยพหลบหนีออกจากบ้านเกิดเมืองนอน เพราะเกรงภัยสงคราม หรือการกดขี่ข่มเหง หรือความหวาดกลัวต่อภัยต่าง ๆ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม จากความวุ่นวายต่าง ๆ จึงส่งผลให้ผู้คนจำนวนมากไม่มีหนังสือเดินทาง หรือแม้แต่การที่ประเทศต่าง ๆ ก็ไม่ยอมออกหนังสือเดินทาง ทั้งยังขัดขวางการเดินทางระหว่างประเทศจำนวนมาก โดยมักจะดักจับหรือสกัดกั้นบรรดาผู้อพยพลี้ภัยทั้งหลาย และมีความมุ่งมั่นตั้งใจของบุคคลผู้หนึ่งที่จะแก้ไขปัญหานี้ นั่นก็คือ “Fridtjof Nansen”


Fridtjof Nansen นักสำรวจขั้วโลก นักการทูต และรัฐบุรุษ

Fridtjof Nansen ชาวนอร์เวย์ เกิดในปี พ.ศ. 2404 เป็นนักการทูต รัฐบุรุษและนักมนุษยนิยมที่มีความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์อย่างลึกซึ้ง ยังเป็นนักสัตววิทยา และสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะนักสำรวจขั้วโลก โดยในปี พ.ศ. 2436 (ค.ศ.1888) Nansen ได้นำทีมสำรวจชุดแรกข้าม Greenland ด้วยการเดินเท้า และอีกสี่ปีต่อมา Nansen ก็ได้เดินทางข้ามมหาสมุทร Arctic ได้สำเร็จ โดยการจงใจทำให้เรือที่ใช้ในการเดินทางกลายเป็นน้ำแข็ง เมื่อเลิกราจากการผจญภัยที่ต่อเนื่องยาวนานแล้ว Nansen ก็ได้สร้างชื่อเสียงใหม่ด้วยอาชีพนักการเมือง โดยเริ่มจากเป็นตัวแทนของนอร์เวย์ในการเจรจากรณีพิพาทกับสวีเดน และรับตำแหน่งเอกอัครราชทูตนอร์เวย์ประจำอังกฤษในเวลาต่อมา

องค์การสันนิบาตชาติ (The League of Nations)

ในช่วงปลายของสงครามโลกครั้งที่ 1 Nansen ได้ทุ่มเทในความพยายามเท่าที่มีอยู่ในการสร้างองค์กรที่จะส่งเสริมการสร้างสันติภาพระหว่างประเทศ จนกลายมาเป็นการประชุมสันติภาพ ณ กรุงปารีสในที่สุด และจากนั้นก็เกิดเป็น “องค์การสันนิบาตชาติ (The League of Nations)” ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2463 องค์การสันนิบาตแห่งชาติได้มอบภารกิจที่ยิ่งใหญ่และแสนหนักหนาสาหัสครั้งแรกให้กับ Nansen โดยแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้บริหารระดับสูงในการรับผิดชอบต่อการส่งตัวเชลยศึกประมาณ 500,000 นายของกองทัพเยอรมัน และออสเตรีย - ฮังการี จากโซเวียตกลับประเทศ แม้ว่ารัฐบาลโซเวียตจะไม่ให้การยอมรับในองค์การสันนิบาตชาติ แต่ด้วยการเจรจาเป็นการส่วนตัวของ Nansen เดือนกันยายน พ.ศ. 2465 เขาได้รายงานต่อที่ประชุมขององค์การสันนิบาตว่า งานของเขาเสร็จสิ้น และเชลยศึก 427,886 นายได้รับการส่งตัวกลับประเทศภูมิลำเนา 

สำนักงานผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ Nansen (Nansen International Office for Refugees)

ในปี พ.ศ. 2463 เช่นกัน องค์การสันนิบาตชาติก็ได้มอบหมายให้ Nansen เป็นผู้ดูแลปัญหาหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ยุ่งยากที่สุดคือ การหาทางในการจัดการกับผู้อพยพลี้ภัยที่พลัดถิ่นจากความขัดแย้งจำนวนมหาศาล ด้วยเหตุการณ์เร่งด่วนที่ทำให้เกิด "Nansen passports" คือประกาศในปี พ.ศ. 2464 โดยรัฐบาลใหม่ของสหภาพโซเวียตได้ทำการเพิกถอนสัญชาติของชาวรัสเซียที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศ หมายถึงผู้ลี้ภัยชาวรัสเซียราว 800,000 คนซึ่งหลบหนีภัยอันเกิดจากสงครามกลางเมืองในรัสเซีย ทำให้ “สถานะทางกฎหมายของคนเหล่านี้มีความคลุมเครือ และส่วนใหญ่ไร้ซึ่งปัจจัยในการยังชีพ” "Nansen passports" เล่มแรกได้ออกโดย สำนักงานผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ Nansen (Nansen International Office for Refugees) ตามข้อตกลงระหว่างประเทศที่บรรลุในการประชุมระหว่างรัฐบาลต่าง ๆ ว่าด้วยใบรับรองตัวตนสำหรับผู้ลี้ภัยชาวรัสเซีย จัดทำโดย Nansen ในนครเจนีวา ตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2465 จนถึง 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2465 ซึ่งจะอนุญาตให้ผู้ลี้ภัยเดินทางและปกป้องพวกเขาจากการถูกเนรเทศ หนังสือเดินทางนั้นเรียบง่ายโดยมีลักษณะบ่งบอกตัวตนสัญชาติและเชื้อชาติของผู้ถือหนังสือเดินทาง แต่ก็ตอบสนองจุดประสงค์ได้ดี ผู้ถือครองสามารถย้ายไปมาระหว่างประเทศเพื่อหางานทำหรือสมาชิกในครอบครัวและไม่สามารถเนรเทศได้ “นี่เป็นครั้งแรกที่คนไร้สัญชาติมีตัวตนตามกฎหมาย” Annemarie Sammartino ได้เขียนใน The Impossible Border: Germany and the East, 1914-1922 จากบทบาทและความพยายามของ Fridtjof Nansen ในฐานะข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยของสันนิบาตชาติ

Nansen passports ออกโดยรัฐบาลสหราชอาณาจักร

สำนักงานผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ Nansen เป็นหน่วยงานที่สืบทอดภารกิจต่อจากหน่วยงานระหว่างประเทศแห่งแรกที่จัดการกับผู้ลี้ภัยคือ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ด้านผู้อพยพลี้ภัย  (High Commission for Refugees Office) ซึ่งจัดตั้งขึ้นในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2464 โดยองค์การสันนิบาตชาติภายใต้การดูแลของ Fridtjof Nansen สำนักเลขาธิการสันนิบาตได้รับหน้าที่รับผิดชอบต่อผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศและบุคคลไร้สัญชาติและกำกับสำนักงานผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ Nansen ให้ดำเนินความรับผิดชอบในขอบเขตของภารกิจนี้ ด้วยความขาดแคลนเงินทุนที่จำเป็นในการดำเนินงานของสำนักงานผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ Nansen อย่างต่อเนื่อง และเงินทุนในการให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ลี้ภัย สำนักงานผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ Nansen จึงได้ระดมทุนบางส่วนผ่านการบริจาค แต่ส่วนใหญ่มาจากค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจาก "Nansen passports" และจากรายได้ในการขายแสตมป์ในฝรั่งเศสและนอร์เวย์  "Nansen passports" มีตราประทับของสำนักงานผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ Nansen ทั้งยังเป็นวีซ่าซึ่งใช้เพื่อให้ผู้ลี้ภัยจากรัสเซียหรืออาร์เมเนียสามารถเดินทางได้ "Nansen passports" ได้รับการเก็บรักษาไว้ในจดหมายเหตุขององค์การสันนิบาตชาติ ซึ่งย้ายไปยังองค์การสหประชาชาติในปี พ.ศ. 2489 และจัดเก็บอยู่ที่สำนักงานสหประชาชาติในนครเจนีวา จดหมายเหตุดังกล่าวได้รับการจารึกไว้ในทะเบียน UNESCO Memory of the World ในปี พ.ศ. 2553 (ค.ศ. 2010) 

"Nansen passports" โดยปกติจะมีอายุไม่เกินหนึ่งปี โดยขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของหน่วยงานที่ออกใบรับรอง สามารถต่ออายุได้ แต่ไม่มีกำหนด เป็นการช่วยให้ผู้ถือ "Nansen passports" สามารถเดินทางไปยังประเทศที่สามเพื่อหางานทำ จุดประสงค์พื้นฐานคือเพื่อช่วยลดแรงกดดันต่อเมืองที่แออัดไปด้วยผู้อพยพลี้ภัย และยังมีการแจกจ่ายผู้ลี้ภัยชาวรัสเซียและอาร์เมเนีย “อย่างเท่าเทียมกัน” มากขึ้นในกลุ่มประเทศสมาชิกขององค์การสันนิบาตชาติ อย่างไรก็ตามไม่มีการให้การรับประกันเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยหรือสิทธิในการหางานของผู้อพยพลี้ภัยที่ถือ "Nansen passports" ในปี พ.ศ. 2469 ประเทศสมาชิกขององค์การสันนิบาตชาติกว่า 20 ประเทศต่างเห็นพ้องต้องกันว่า ผู้อพยพลี้ภัยที่ถือ "Nansen passports" สามารถที่จะออกจากประเทศที่ออก "Nansen passports" และได้รับอนุญาตให้กลับเข้ามายังประเทศที่ออก “Nansen passports” ได้ ตัวอย่างเช่น หากฝรั่งเศสออก "Nansen passports" ให้กับผู้อพยพลี้ภัยชาวรัสเซีย เขาหรือเธอก็สามารถเดินทางไปยังเบลเยี่ยมด้วย "Nansen passports" และจะถูกส่งกลับไปยังฝรั่งเศสได้อีก

แสตมป์ที่ระลึกครบ 60 ปีที่ Fridtjof Nansen ได้รับรางวัล Nobel สาขาสันติภาพประจำปี พ.ศ. 2465

"Nansen passports" เป็นรูปแบบที่ถูกต้องในการระบุตัวตน โดย Michael Marrus นักประวัติศาสตร์ได้สรุปความสำคัญไว้ในการสำรวจอ้างอิงผู้อพยพลี้ภัยในยุโรปของศตวรรษที่ 20 ว่า “เป็นครั้งแรกที่มีการอนุญาตให้มีการกำหนดสถานะทางกฎหมายของบุคคลไร้สัญชาติผ่านข้อตกลงระหว่างประเทศที่เฉพาะเจาะจง” ในสาระสำคัญซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ในการคุ้มครองระหว่างประเทศและเหนือกว่าอำนาจของรัฐ มีผู้อพยพลี้ภัยประมาณ 450,000 คนซึ่งต้องการเอกสารการเดินทางแต่ไม่สามารถขอหนังสือเดินทางได้จากหน่วยงานของรัฐในประเทศที่มีถิ่นฐานได้ใช้ "Nansen passports" ซึ่งออกให้ผู้อพยพลี้ภัยจนถึงปี พ.ศ. 2485 และได้รับการยอมรับโดยรัฐบาลถึง 52 ประเทศ ภายหลังการเสียชีวิตของ Nansen ในปี พ.ศ. 2473 สำนักงานผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ Nansen เป็นผู้ดำเนินการในเรื่อง "Nansen passports" ต่อ โดยอยู่ภายใต้องค์การสันนิบาตชาติ ณ จุดนั้น "Nansen passports" ไม่ได้หมายรวมเพียงแค่การอ้างอิงถึงการประชุมในปี พ.ศ. 2465 (ค.ศ. 1922) อีกต่อไป แต่ "Nansen passports" ถูกออกในนามของสันนิบาตชาติ แม้ว่าสำนักงานผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ Nansen จะปิดตัวลงในปี พ.ศ. 2481 หลังจากนั้นก็มีการออกหนังสือเดินทางใหม่โดยหน่วยงานใหม่คือ สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยภายใต้สันนิบาตชาติในกรุงลอนดอนจนถึงปี พ.ศ. 2485  ในปี พ.ศ. 2465 Nansen ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ เขาใช้เงินรางวัลในการพัฒนางานบรรเทาทุกข์ระหว่างประเทศ และต่อมาสำนักงานผู้ลี้ภัยระหว่างประเทศ Nansen ก็ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี พ.ศ. 2481 (ค.ศ. 1938) จากความพยายามในการจัดทำและออก "Nansen passports" เพื่อช่วยเหลือผู้อพยพลี้ภัยและผู้ไร้สัญชาติจำนวนนับเรือนล้าน ทุกวันนี้ภารกิจของ Fridtjof Nansen ยังคงได้รับการสานต่อโดย สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (Office of the United Nations High Commissioner for Refugees : UNHCR) โดยทำหน้าที่ คุ้มครองผู้ลี้ภัย ชุมชนที่ถูกบังคับให้ย้ายถิ่น และบุคคลไร้รัฐ รวมถึงอนุเคราะห์ให้ผู้อพยพลี้ภัยได้รับการส่งกลับประเทศเดิมด้วยความสมัครใจ การเข้าอยู่ในท้องถิ่นอื่น ๆ (กรณีในประเทศ) หรือการอพยพไปตั้งรกรากใหม่ในประเทศที่สาม


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

“บิ๊กตู่” สั่งเหล่าทัพ ติดตามสถานการณ์ในเมียนมา ย้ำ! เตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาและผลกระทบจากสถานการณ์ความรุนแรงภายในและชายแดน พร้อมสั่งทุกเหล่าทัพให้ความสำคัญกับภารกิจหลัก ในการป้องกันและรักษาความมั่นคงภายใน โดยให้ปรับปรุงแผนป้องกันประเทศให้ทันสมัย

วันที่ 23 เมษายน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 4/2564 ไปยังห้องประชุมต่าง ๆ ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 

ภายหลังการประชุม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า นายกฯ และรมว.กลาโหม สั่งการให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและเหล่าทัพ ติดตามสถานการณ์ด้านความมั่นคงในภูมิภาค โดยเฉพาะในเมียนมา และเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาและผลกระทบจากสถานการณ์ความรุนแรงภายในและการสู้รบในพื้นที่ชายแดนที่มีขึ้น โดยให้กองกำลังป้องกันชายแดนของทุกเหล่าทัพ ประสานการทำงานกับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ เพิ่มความเข้มงวดกวดขัน การรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดนในทุกช่องทาง

โดยย้ำการแสดงท่าทีต่อสถานการณ์ในเวทีระหว่างประเทศ ให้ยึดกรอบของกระทรวงการ ต่างประเทศและแนวทางของอาเซียนเป็นหลัก พร้อมทั้งให้เตรียมความพร้อมในการอพยพคนไทยออกจากเมียนมา กรณีที่สถานการณ์มีความรุนแรงขึ้น รวมทั้งเตรียมการรองรับผู้หนีภัยความไม่สงบชาวเมียนมาตามแนวชายแดน ตามแนวทางที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติได้กำหนด โดยยึดหลักมนุษยธรรมและหลักสิทธิมนุษยชน ทั้งนี้ให้ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรคเคร่งครัด

นอกจากนี้ พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า นายกฯและรมว.กลาโหม ได้เน้นย้ำถึงสถานการณ์ปัจจุบัน ที่กองทัพเข้าไปสนับสนุนรัฐบาลช่วยเหลือประชาชนในหลายภารกิจ ขณะเดียวกัน ขอให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และทุกเหล่าทัพ ยังคงให้ความสำคัญกับภารกิจหลัก ในการป้องกันประเทศและการรักษาความมั่นคงภายใน โดยให้ปรับปรุงแผนป้องกันประเทศให้ทันสมัย และยังคงต้องเตรียมกำลังให้พร้อม โดยเฉพาะการฝึกในระดับต่าง ๆ เพื่อให้พร้อมใช้กำลังตอบสนองในทุกภารกิจหลักอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ต้องมีแผนเผชิญเหตุและมีการซักซ้อม

“ให้ดำรงความต่อเนื่องในการสนับสนุนรัฐบาล ในการป้องกันและแก้ปัญหายาเสพติด การลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย การแก้ปัญหาการค้ามนุษย์และการแก้ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมายที่ยังเป็นปัญหาสำคัญของชาติ โดยให้น้ำหนักกับการควบคุมโรคและการช่วยเหลือประชาชนฝ่าวิกฤตการแพร่ระบาดของ COVID-19 ไปด้วยกัน” พล.ท.คงชีพกล่าว 

กักตัว 14 วัน เปลี่ยนความวิตกกังวล เป็นการพัฒนาตัวเอง

เชคอาการกันหน่อย ! คนรอบข้างใครยังไม่ติดเชื้อโควิด-19 บ้าง ที่ถามแบบนี้ไม่ได้บอกว่าโควิด-19 เป็นเทรนด์ฮิตที่ทุกคนจะต้องพบเจอ แต่จากสภาพปัจจุบันที่ผู้ติดเชื้อรายวันในบ้านเราเพิ่มขึ้นวันละไม่ต่ำกว่า 1,000 คน ทำให้อดหลอนไม่ได้จริง ๆ

“ฉันติดหรือยัง?”

“เพื่อนฉันติดฉันต้องกักตัวไหม?”

“กักตัวต้องทำยังไง?”

“กักตัวแล้วรายได้หายไปเท่าไหร่?”

สารพัดสาระเพความคิดที่เข้ามา จนหลายคนบ่น จะเป็นโรคประสาทก่อนโรคโควิด-19

แต่หากได้สัมผัสใกล้ชิดผู้ติดเชื้อโควิด-19 แล้วจริงๆ! และต้องกักตัว 14 วันขึ้นมา

14 วันแห่งความวิตกกังวลจะทำให้เป็น 14 วันแห่งความแข็งแกร่งได้อย่างไร ?

เมื่อรู้ว่าตัวเองต้องกักตัว 14 วัน ตั้งสติให้มั่น แล้วทำตามข้อแนะนำของกระทรวงสาธารณสุขทันที 10 ข้อที่ต้องทำ ไปดูกัน !

1.) อยู่ที่บ้าน โดยจำกัดคนเยี่ยม และรายงานตัวต่อกรมควบคุมโรค โทร 1422

2.) สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา

3.) แยกขยะติดเชื้อออกจากขยะทั่วไป เช่น กระดาษชำระ หน้ากากอนามัย

4.) ปิดฝาชักโครกทุกครั้งเมื่อกดล้าง เพื่อลดการฟุ้งกระจายของไวรัส

5.) ล้างมือด้วยน้ำและสบู่ หรือแอลกอฮอล์เจล

6.) เปิดหน้าต่างเพื่อให้อากาศภายในบ้านถ่ายเท

7.) งดรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น แยกของใช้ส่วนตัว

8.) ยืนให้ห่างจากผู้อื่นในระยะที่มากกว่า 4 เมตร

9.) ล้างจานด้วยน้ำยาล้างจานก่อนใช้เสมอ

10.) ไม่ควรใช้รถโดยสารสาธารณะ และไม่จำเป็นไม่ควรออกจากบ้าน

ทั้งนี้ก็อย่าลืมไปตรวจเชื้อซ้ำ !!! 2 - 3 รอบให้ชัวร์ด้วย

ขั้นตอน 10 ข้อนี้ เขียนเตือนในที่ๆเห็นได้ชัด และปฏิบัติอย่างเคร่งครัดแบบมีวินัย เมื่อจัดการระเบียบสิ่งต้องทำได้แล้ว แล้ว 14 วันนี้ จะปล่อยเวลาให้ผ่านไปทำไม ? แน่นอนว่าความวิตกกังวลกับโรคและอยู่กับตัวเองมาเกินไปจะทำให้เกิดความทุกข์ทางในแน่นอน ระหว่างนี้ลองปรับวิธีคิด มองเรื่องวิกฤตให้เป็นโอกาส

โอกาส ! ที่จะได้จัดของในบ้านส่วนที่รกให้เป็นระเบียบ

โอกาส ! ที่จะมีเวลาออกกำลังกาย หลังจากที่ผัดวันประกันพรุ่งนี้ เพราะข้ออ้างไม่มีเวลา (ตอนนี้มีเวลาแล้ว)

โอกาส ! ได้ทบทวนเรื่องราวในชีวิตห้วงเวลาที่ผ่านมา โอกาสแบบนี้ไม่ได้หาได้ง่ายๆ เพราะโลกที่หมุนเร็วและการทำงานที่อัดแน่นในทุกๆวัน การทบทวนสิ่งที่ผ่านมาอาจจะแทบไม่ได้ทำเลย

โอกาส ! ลองทำสิ่งที่อยากทำมานาน แต่ไม่ได้ทำสักที

โอกาส ! พัฒนาทักษะ เพิ่มความรู้ให้กับตัวเอง จากการเรียนรู้ในโลกออนไลน์ ติดตามข่าวสารบ้านเมือง

ทั้งหมดนี้ ย่อสั้นๆ คือ 14 วันกักตัว คือโอกาสในการอยู่กับตัวเอง ได้มองเห็นตัวเองจริง ๆ

ในขณะที่จังหวะของโลก หมุนไปอย่างรวดเร็ว ปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผลต่อจังหวะชีวิตของมนุษย์ผู้กระหายในสิ่งต่างๆเร็วขึ้นเช่นกัน กับความคาดหวังว่าจะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น อาทิ งาน เงิน และความสำเร็จ

การได้กลับมาอยู่กับตัวเอง ! ในจังหวะปกติ ไม่ช้าไม่เร็ว อาจทำให้เราพบคำตอบว่า ความสุขของเราในจังหวะชีวิตในแบบของเราก็เป็นได้

กักตัว 14 วัน ไม่ใช่เรื่องน่ายินดี แต่ก็ไม่ควรทำให้ชีวิตในช่วงนี้ต้องระทม

.

ข้อมูลอ้างอิง

ขอบคุณที่มา 10 วิธี อยู่ในบ้านต้าน COVID-19 เมื่อกักตัว 14 วัน (thaihealth.or.th)


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

“ประยุทธ” สั่งเหล่าทัพ เร่งปฏิรูปกองทัพ ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันและอนาคต 

วันที่ 23 เมษายน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 4/2564 ไปยังห้องประชุมต่าง ๆ ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 

ภายหลังการประขุม พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า นายกฯ และรมว.กลาโหม กำชับให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ ให้ความสำคัญกับการพัฒนางานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางทหารที่เปลี่ยนแปลงไป โดยให้ติดตามเร่งขับเคลื่อนการปฏิรูปกองทัพ ให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ตลอดจนสภาพแวดล้อมภัยคุกคามด้านความมั่นคง

ทั้งนี้ ให้แสวงความร่วมมือกับเครือข่ายหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนอก กห.และต่างประเทศ นำสู่การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีสองทางมากขึ้น คือ ทั้งด้านความมั่นคงและการประยุกต์ใช้เชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะให้นำเทคโนโลยี มาปรับใช้กับระบบบริหารจัดการให้มากขึ้น ควบคู่กับเร่งพัฒนาบุคลากรด้านทักษะด้านดิจิทัล เพื่อรองรับการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ด้านความมั่นคงและการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบปฏิบัติการของกองทัพในอนาคต และรองรับการปรับลดกำลังพลและโครงสร้างกองทัพที่มีขนาดเหมาะสมและคล่องตัว กับการรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบต่าง ๆ

นอกจากนี้พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า นายกฯและรมว.กลาโหมนรม. กล่าวถึงปัญหาโรคระบาดจากโควิด-19 ปัจจุบัน ถือเป็นภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ที่กองทัพต้องนำศักยภาพและความพร้อมที่มีอยู่ เข้าไปช่วยสนับสนุนการทำงานของกระทรวงสาธารณสุขและทุกส่วนราชการ เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคให้ประชาชนมีความปลอดภัยและใช้ชีวิตตามมาตรการควบคุมที่กำหนดในสถานการณ์ภาวะฉุกเฉินปัจจุบัน การระดมพลังความร่วมมือจากทุกภาคส่วนมีความสำคัญยิ่ง เพื่อขับเคลื่อนแก้ปัญหาในทุกมิติไปพร้อมกันตามความเร่งด่วน มีความสำคัญยิ่ง

นรม.และรมว.กห. ิแสดงความขอบคุณการทำงานของทุกเหล่าทัพและตำรวจที่ผ่านมา ทั้งการสนับสนุน ศบค.ดูแลความมั่นคงโดย ศปม.ต่อเนื่องที่ผ่านมา พร้อมกำชับให้ดำรงความต่อเนื่องสนับสนุนดูแลประชาชน ในด้านต่าง ๆ อาทิ การคัดกรองคนไทยเดินทางกลับจากต่างประเทศ ผ่านสถานกักควบคุมโรคแห่งรัฐ, การเตรียมการรองรับคนไทยจำนวนมาก ที่ทยอยเดินทางกลับจากมาเลเซีย, การเตรียมอพยพคนไทยเดินทางกลับจากเมียนมา หากสถานการณ์มีความรุนแรงขึ้น, การสกัดกั้นผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย, การจัดตั้งโรงพยาบาลสนามหรือหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ รองรับจำนวนผู้ป่วยที่ติดเชื้อจำนวนมาก

พล.ท.คงชีพ กล่าวอีกว่า การขยายขีดความสามารถของโรงพยาบาลทหาร ให้รองรับผู้ป่วยระดับแดงและเหลือง, การสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ ทำหน้าที่ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข, การบริหารจัดการรถ เพื่อรับและส่งตัวผู้ป่วยเข้ารับการรักษา, การช่วยกวดขันมาตรการควบคุมตามที่รัฐกำหนด ในกลุ่มเสี่ยงและพื้นที่เสี่ยง และการบริหารจัดการวัคซีน ให้กับกำลังทหารและตำรวจ ที่ต้องปฏิบัติงานใกล้ชิดกับกลุ่มเสี่ยง รวมทั้งการบริจาคโลหิตให้กับสภากาชาด ที่ยังอยู่ในสภาวะขาดแคลนในปัจจุบัน

“บิ๊กตู่” ถกสภากลาโหมเห็นชอบขยายแผนแม่บทพัฒนากำลังพลสำรองกลาโหม ปี60-65 แต่งตั้งกก. จัดทำร่างปี 66-70  ต่อ หวังสอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติ หนุนแก้ปัญหาภัยคุกคามประเทศ เร่งปฏิรูปกองทัพด้วยวิทยาศาสตร์-เทคโนโลยีให้มีความทันสมัย

วันที่ 23 เมษายน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานประชุมสภากลาโหม ครั้งที่ 4/2564 ไปยังห้องประชุมต่างๆในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ 

ภายหลังการประขุม  พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่าว่า ที่ประชุมสภากลาโหมได้พิจารณาให้ความเห็นชอบเรื่องแผนแม่บทการพัฒนากิจการกำลังพลสำรองของกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2560-2565 โดยเห็นชอบขยายระยะเวลาของแผนแม่บทการพัฒนากิจการกำลังพลสำรองของกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2560-2564 ออกไปอีก 1 ปี ( พ.ศ.2565) และแต่งตั้งคณะกรรมการจัดทำร่างแผนแม่บทการพัฒนากิจการกำลังพลสำรองของกระทรวงกลาโหมในระยะเวลาต่อไป พ.ศ.2566-2570 เพื่อให้สอดคล้องกับห้วงเวลาของแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ โดยแผนแม่บทฉบับดังกล่าวกำหนดเป็นแนวทางการบริหารและพัฒนากิจการกำลังสำรองของชาติ เพื่อสนับสนุนการแก้ปัญหาภัยคุกคามด้านความมั่นคงของประเทศ ตามแนวคิดทางยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศของกระทรวงกลาโหม ทั้ง 3 ด้าน คือ การสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคง การผนึกกำลังป้องกันประเทศ และการป้องกันเชิงรุก 

พล.ท.คงชีพ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้พิจารณาเรื่องการเร่งปฏิรูปกองทัพด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กำชับให้หน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพให้ความสำคัญกับการพัฒนางานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางทหารที่เปลี่ยนแปลงไป โดยให้ติดตามเร่งขับเคลื่อนการปฏิรูปกองทัพให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ ตลอดจนสภาพแวดล้อมภัยคุกคามด้านความมั่นคง ทั้งนี้ให้แสวงความร่วมมือกับเครือข่ายหน่วยงานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีนอกกระทรวงกลาโหมและต่างประเทศนำสู่การพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีสองทางมากขึ้น คือทั้งด้านความมั่นคงและการประยุกต์ใช้เชิงพาณิชย์ โดยเฉพาะให้นำเทคโนโลยีมาปรับใช้กับระบบบริหารจัดการให้มากขึ้นควบคู่กับเร่งพัฒนาบุคลากรด้านทักษะด้านดิจิทัลเพื่อรองรับการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่ด้านความมั่นคงและการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบปฏิบัติการของกองทัพในอนาคต และรองรับการปรับลดกำลังพลและโครงสร้างกองทัพที่มีขนาดเหมาะสมและคล่องตัวกับการรับมือกับภัยคุกคามรูปแบบต่าง ๆ 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top