Thursday, 19 June 2025
TheStatesTimes

เสียง (เพรียก) แห่งสายน้ำปัตตานี... ตอนที่ 5

พายเรือผ่านพ้นช่วงต้นน้ำจนถึงช่วงกลางของสายน้ำกันแล้ว ครึ่งหลังเป็นการล่องจากท้ายเขื่อนบางลางเพื่อไปจบที่ตัวเมืองปัตตานีซึ่งตั้งอยู่บริเวณปากอ่าวไทย ยังมีเวลาคายักกันแบบไม่ต้องรีบร้อนอีกหลายวัน ระหว่างทางได้พบเจอทั้งเรื่องราวประทับใจ และเหตุการณ์ไม่สบอารมณ์นัก ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกของการเดินทางและของชีวิตนั่นแหละ 

ความแรงและการไหลของน้ำขึ้นอยู่กับการเปิดประตูน้ำของเขื่อน ในช่วงที่มีการผลิตกระแสไฟฟ้าก็ต้องปล่อยน้ำเพื่อให้เครื่องจักรกลทำงาน ปกติแล้วมีการเปิดปิดน้ำวันละรอบ ระดับน้ำเปลี่ยนแปลงขึ้นลงทุกวัน 

สายน้ำ และเด็ก ๆ เป็นของคู่กันเสมอ ภาพชินตาพบเห็นเวลาบ่ายเสาร์อาทิตย์ คือโขยงเด็กน้อยวัยประถมถึงมัธยมต้นทั้งชายและหญิงลงมากระโดดน้ำ ดำผุดดำว่าย หยอกล้อเล่นกัน เสาร์อาทิตย์เด็ก ๆ ยังคงต้องไปเรียนหลักศาสนาอิสลาม ชั้นเรียนเลิกแล้วก็พากันไปเล่นต่อ ชนบทแบบนี้ไม่มีห้างสรรพสินค้าหรือสวนสนุก จึงอาศัยหลังบ้านเป็นสนามเด็กเล่น เมื่อเจอชายต่างถิ่นแปลกหน้าสองคนพายเรือผ่าน จึงตะโกนทักทายแบบกล้า ๆ กลัว ๆ ขณะเดียวกันก็ใส ๆ และเป็นมิตร บางคนชักชวนให้เล่นน้ำกับพวกเขา หรือเด็กผู้ชายบางคนก็ขออนุญาติขึ้นมานั่งบนเรือ ล่องไปด้วยกันจนถึงท้ายหมู่บ้านก็ลาแล้วกระโดดลงน้ำว่ายขึ้นฝั่งกันไป เด็ก ๆ มักตะโกนบอกให้เดินทางปลอดภัยบ้าง โชคดีบ้าง เป็นความรู้สึกดีและน่าประทับใจมาก


“อีกันมูเด๊ะ” นั่นคือคำบอกเล่าจากปากผู้เฒ่าผู้อาศัยอยู่ริมน้ำแต่อ้อนออกท่านหนึ่ง และอันที่จริงนี่เป็นคำสามัญภาษามลายูท้องถิ่นซึ่งคนรุ่นตั้งแต่อายุเลย 50 ปีขึ้นไปคุ้นเคยกันดี หมายความว่าการอพยพขึ้นสู่ต้นน้ำของปลาเพื่อหาที่ซึ่งอาหารอุดมสมบูรณ์และสภาพแวดล้อมเหมาะสมต่อการวางไข่และการอพยพกลับลงมาของตัวอ่อนมายังปลายน้ำเพื่อเติบโตและสืบเผ่าพันธุ์ วงจรซึ่งเกิดขึ้นมาเนิ่นนาน จวบจนกระทั่งเมื่อระบบนิเวศเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ ทำให้บรรดาปลาแม่น้ำทั้งหลายต้องปรับตัวแบบ “นิวนอร์มอล” พวกที่ปรับตัวไม่ได้ก็ค่อย ๆ ลดจำนวนลงจนในที่สุดสูญพันธุ์ไปนั่นเอง ผู้เฒ่าเล่าว่าสมัยแกยังเด็กปริมาณลูกปลาเคยล่องกลับลงมาเยอะมากขนาดเอาผ้าช้อนเล่นก็ติดผ้ามาแล้ว เป็นช่วงที่ฝูงนกบินว่อนเหนือแม่น้ำโฉบจับปลากกันทั้งวัน อาหารการกินเคยอุดมสมบูรณ์ขนาดนั้น

ปัจจัยซึ่งนำการเปลี่ยนแปลงสู่ระบบนิเวศสายน้ำปัตตานีอย่างแน่นอนที่สุดกว่าสิ่งอื่นใด คือเขื่อนบางลางนั่นเอง พูดแบบนี้เหมือนเขื่อนเป็นผู้ร้ายเลยใช่ไหม ถ้าจะว่าใช่ก็ถูก จะว่าไม่ใช่ก็ต้องมองอีกมุมล่ะ ท้ายที่สุดแล้วอาจจะต้องมาชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีหรือประโยชน์กับข้อเสียหรือผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นจากการสร้างเขื่อนว่าอย่างไหนมากกว่ากัน และ “คุ้มค่า” แค่ไหน อย่างเขื่อนบางลางนั้นสร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์หลักคือผลิตกระแสไฟฟ้าและการประมงในทะเลสาบเหนือเขื่อน โดยหน่วยงานภาครัฐนำพันธุ์ปลาต่างถิ่นอย่างปลาบึกมาปล่อย ทว่า คุ้มกันไหม แค่เมื่อต้องแลกสิ่งที่ได้มากับอิกันมูเด๊ะ

หลายเดือนก่อนเกิดน้ำท่วมใหญ่ตั้งแต่บริเวณเหนือเขื่อนไปจนถึงเมืองปัตตานี จากการปล่อยน้ำของเขื่อนบางลางโดยไม่มีการแจ้งข่าวเตือนล่วงหน้า ส่งผลทำให้ผู้คนต้องหนีกันจ้าละหวั่น บ้านเรือนจมน้ำได้รับความเสียหาย เรือกสวนถูกโดยเฉพาะอย่างยิ่งทุเรียนยืนต้นตาย ตลิ่งถูกกัดเซาะโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงโค้งน้ำนั้นผืนดินบางแปลงหายไปเลยก็มี หรือไม่ต้นยางพาราริมน้ำบางแถวถูกน้ำเซาะจนล้มไปเลยก็มี นี่ยังไม่นับกระชังปลาบริเวณปลายน้ำของชาวบ้านหลายคนที่ถูกน้ำซัดเสียหายไปกันคนละหลักแสนบาท ทว่า กฟผ. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบโดยตรงต่อความเสียหายดูเหมือนจะยังคงนิ่งเฉย ไม่ได้ออกมาอธิบายใด ๆ ต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบรุนแรง ซึ่งนี่อาจกลายเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่เพิ่มการสะสมตัวของความขุ่นมัวอึมครึมที่มีมาก่อนหน้านี้อย่างยาวนานอยู่แล้วด้วยก็เป็นได้

นอกจากเขื่อนใหญ่แล้ว ยังมีฝายกั้นน้ำเพื่อการเกษตรอีกหลายแห่ง ส่วนใหญ่อยู่ช่วงปลายของสายน้ำ พายเรือผ่านช่วงนี้ให้ความรู้สึกคล้ายกับการพายเรือผ่านแม่น้ำปิงที่ต้องยกเรือข้ามฝายเป็นว่าเล่น 

สิ่งสามัญที่พบเห็นคือทหารและเจ้าหน้าที่รักษาความมั่นคงแห่งชาติประจำการตามจุดต่าง ๆ หรือออกลาดตระเวนทั้งทางบกและทางน้ำ พาหนะก็ตั้งแต่รถมอเตอร์ไซค์ รถยนต์ หรือกระทั่งรถถัง เจ้าหน้าที่ต้องใส่เสื้อเกราะกันกระสุน ในฐานะนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นคนนอกพื้นที่มองว่ายังมีการระแวงระวังกันระหว่างคนท้องถิ่นและภาครัฐในระดับหนึ่ง ในมุมของชาวบ้านไม่แน่ใจว่าพวกเขาอึดอัดมากแค่ไหนเมื่อต้องโดนเรียกตรวจหรือสอบถามประหนึ่งเป็นผู้ต้องสงสัย ขณะเดียวกันก็ไม่รู้ว่าเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการเองก็สะสมอาการเครียดจากการทำงานในพื้นที่แค่ไหนเช่นกัน

เดินทางกันหลายวัน ระหว่างทางได้รับน้ำใจไมตรีและความช่วยเหลือทั้งจากคนท้องถิ่นและเพื่อนที่อยู่ในเมือง ในที่สุด บ่ายแก่ของวันที่ 7 ของการเดินทางพวกเราก็ไปถึงเมืองปัตตานี มิตรสหายต่างพากันมารอต้อนรับประหนึ่งจะจัดมหรสพริมน้ำให้ แดดร่มลมตกวันนั้นเราร่วมสรุปทริปกันสั้น ๆ ส่วนตัวผมมองว่าประสบการณ์ครั้งนี้มีค่ามาก เพราะลดทอนความกลัว “สามจังหวัด” ในใจลงไปโดยสิ้นเชิง ได้เพื่อนใหม่อีกหลายคน และสำคัญที่สุดก็คือ แม่น้ำปัตตานีได้หยิบยื่นสารพัดสารพันให้แก่ผมมากกว่าที่ผมคาดไว้มากทีเดียว ประทับใจและขอบคุณมากครับ


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

"ธนาธร" โชว์วิสัยทัศน์โมเดลประคองธุรกิจพ้นวิกฤต หวังคนไทยไม่ตกงาน

เมื่อวันที่ 23 เมษายน พ.ศ.2564 นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ไลฟ์เฟซบุ๊กเปิดตัวรายการ “คิดไปข้างหน้ากับธนาธร” ในหัวข้อ “สร้างพันธมิตร ประคองธุรกิจพ้นวิกฤต” แสดงวิสัยทัศน์แนะนำผู้ประกอบการในยุควิกฤตโควิด หวังนำไปสู่การประคองภาคธุรกิจเพื่อรักษาการจ้างงานให้ลูกจ้างทั่วประเทศ

โดยนายธนาธร ระบุว่าในเวลานี้วิกฤตโควิดกำลังส่งผลกระทบต่อธุรกิจหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นยอดขายที่ลดลง, กระแสเงินสดขององค์กรที่ลดลง ซึ่งหลายกรณีได้นำไปสู่การเลิกจ้างพนักงานเป็นจำนวนมาก ภายใต้สภาวะเช่นนี้ หนึ่งในหนทางที่ภาคธุรกิจจะประคองตัวต่อไปได้ ตนขอเสนอความคิดเรื่องการหาพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่ออุดรูรั่วที่เกิดจากวิกฤตนี้

***จากโลกสมมุติของ “ม้า” และ “รถลาก” สู่กรณีธุรกิจจริง แนะแนววิธีการเสริมทัพสู่ความยั่งยืน***
โดยนายธนาธร เปรียบเทียบว่าหากมีโลกอยู่ใบหนึ่งที่ไม่รู้จักแท็กซี่ มีเพียงม้ากับรถลาก ถ้าจะเริ่มต้นสร้างแท็กซี่ขึ้นมา จะมีรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างสองบริษัท คือฟาร์มม้า กับบริษัททำรถลาก ได้อย่างไรบ้างเพื่อให้ทั้งสองบริษัทเติบโตร่ำรวยไปด้วยกัน

โดยสรุป นายธนาธรเปรียบเทียบว่าความสัมพันธ์ระหว่างสององค์กรธุรกิจ สามารถมีได้ตั้งแต่การซื้อ-ขาย และให้เช่าเป็นรูปแบบพื้นฐานที่สุด ทั้งเจ้าของม้าซื้อรถลากมาทำแท็กซี่ หรือเจ้าของรถลากซื้อม้ามาทำแท็กซี่ แต่การซื้อ-ขายและให้เช่า เป็นการทำธุรกรรมที่ไม่ได้มัดสององค์กรให้เหนียวแน่นเป็นพันธมิตรกัน สุดท้ายผู้ที่ทำแท็กซี่ได้สำเร็จจะนำปัจจัยกำลังซื้อจากลูกค้าใหม่ มากดราคาซื้อ-ขายกับอีกฝ่ายหนึ่งได้ และทุกคนต่างก็อยากอยู่ในชั้นบนสุดของห่วงโซ่อุปทาน (supply chain) กันทั้งนั้น

จากปัญหาพ้นฐานนี้ องค์กรธุรกิจสององค์กรสามารถกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างกันได้ในหลายรูปแบบ ตั้งแต่การทำให้การซื้อ-ขายหรือให้เช่าเป็นในลักษณะเฉพาะ (exclusive) เช่น ต้องซื้อ-ขายจากกันและกันเท่านั้น ห้ามไปซื้อ-ขายกับคนอื่น ซึ่งสามารถนำไปสู่รายได้คงที่ (fixed revenue) และอาจจะนำไปสู่การแบ่งปันกำไร (profit-sharing) ได้

ในกรณีที่บริษัทที่ต้องการไปสร้างพันธมิตรกับบริษัทที่มีเทคโนโลยีที่เราไม่มี อีกรูปแบบหนึ่งที่ทำกันอย่างแพร่หลายเรียกว่าการทำ Technology Licensing เช่น กรณีของวัคซีนโควิด มหาวิทยาลัย Oxford มีชื่อเสียงเก่าแก่ ได้รับการเคารพจากสังคม และมีสูตรยาที่จะสามารถผลิตเป็นวัคซีนโควิดได้ ส่วน AstraZeneca เป็นบริษัทยาใหญ่ระดับโลก ไม่มีสูตรแต่มีโรงงานผลิตและเครือข่ายการจำหน่ายระดับโลก เขาจึงจับมือกัน นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Technology Licensing

อีกรูปแบบหนึ่งที่มีความซับซ้อนมากขึ้น คือการทำบริษัทร่วมทุน (Joint Venture) หรือการที่องค์กรธุรกิจต่างคนต่างลงขันกันสร้างบริษัทใหม่ขึ้นมา แบ่งกันถือหุ้น ทำให้การจัดสรรกำไรใน supply chain เป็นธรรมมากขึ้น ไม่ใช่อีกฝ่ายมากดราคาซื้อ ซึ่งอาจจะทำในลักษณะการถือหุ้นไขว้กัน (cross-shareholding) ได้ เพื่อให้เชื่อใจกันมากขึ้น แนบสนิทกันมากขึ้น ให้ผลประโยชน์ถูกแบ่งสรรกันอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจ

และอีกรูปแบบหนึ่งที่ไปไกลกว่านั้น ก็คือการควบรวมกิจการ (Merger and Acquisition) คือการที่องค์กรธุรกิจทั้งสองต่างยุบเอาบริษัทของตัวเองลงมารวมกันเป็นบริษัทใหม่บริษัทเดียว ต่างฝ่ายต่างเข้าไปถือหุ้นอยู่ในบริษัทใหม่ ผลประโยชน์ทุกอย่างจะถูกแบ่งตามสัดส่วนผู้ถือหุ้น
“ถ้าเราลองดูรูปแบบทั้งหมดที่มี ผมไล่มาให้ดูตั้งแต่การสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่มีการผูกมัดกันน้อยไปจนถึงการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่มีการผูกมัดกันเยอะ สิ่งต่างๆเหล่านี้คือรูปแบบการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจที่มีอยู่ จะใช้กับกระบวนการไหน จะใช้กับธุรกิจแบบไหน ต้องอยู่ที่ผู้บริการตัดสินใจเอาเอง” นายธนาธรกล่าว

***ห่วงคนไทยตกงานเพิ่ม แนะภาคธุรกิจไทยปรับแนวทางใช้รักษาการจ้างงานให้คนไทย***
นายธนาธรยังกล่าวต่อไป ว่าในธุรกิจปกติ ไม่มีใครมีทุกอย่างครบ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป, ฐานลูกค้า, เงินลงทุน, เครือข่ายโลจิสติกต์, ช่องทางการขาย, ทีมผู้บริหารที่พร้อม, ชื่อเสียงของผลิตภัณฑ์, ชื่อเสียงของบริษัท ฯลฯ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเกิดภาวะวิกฤติอย่างโควิด ทำให้งบประมาณในการลงทุนใช้จ่ายเพื่อสร้างความเข้มแข็งขององค์กรทางธุรกิจแต่ละองค์กรน้อยลง การหาพันธมิตรจึงมีความสำคัญเพิ่มขึ้น เพื่อเอามาอุดรอยรั่วในสิ่งที่เราไม่มี

“ทั้งหมดนี้คือรูปแบบต่างๆที่จะช่วยประคับประคองธุรกิจได้โดยไม่จำเป็นที่จะต้องปลดคนงานทิ้ง หวังว่าทุกท่านจะได้ประโยชน์และนำความคิดตรงนี้กลับไปใช้ ในเวลาที่ยอดขายตกลงจากผลกระทบโควิด สร้างพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มเติมด้วยรูปแบบต่างๆ เพื่อที่จะทำให้ธุรกิจของท่านมีความเจริญก้าวหน้าไป มีการจ้างงานมากขึ้น คนงานมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก็หวังว่าเราจะช่วยกันประคับประคองระบบเศรษฐกิจไม่ให้ล้มเหลวไปกว่านี้ได้” นายธนาธรกล่าวทิ้งท้าย

กระบี่ - รองผู้ว่ากระบี่ ลงเยี่ยมเตรียมพร้อม โรงพยาบาลสนามแห่งที่ 2 กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 2 รองรับผู้ป่วย 40 เตียง

เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2564 เวลา 14.30 นาฬิกา นายอนุวรรตน์ โหมดพริ้ง รองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ลงพื้นที่โรงพยาบาลสนามแห่งที่ 2 ณ กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 15 อำเภอคลองท่อม  

พร้อมด้วยพันเอก สมบัติ สืบท้วม รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดกระบี่ ร้อยตำรวจเอกหญิง ศิริพร เนตรพุกกะนะ รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดกระบี่ ด้านสาธารณสุข และคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อจังหวัดกระบี่ เข้าดูพื้นที่เพื่อเตรียมความพร้อมในการวางแผน

มอบหมายหน้าที่ ในการจัดตั้ง โรงพยาบาลสนามแห่งใหม่  นำหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเดินทางไปสำรวจแหล่งสมาคมกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 15 ตำบลคลองท่อมใต้ อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่ ซึ่งใช้เป็นโรงพยาบาลสนามแห่งที่ 2 ของจังหวัดกระบี่ ขนาด 40 เตียง และกองบังคับการกองร้อยอาวุธเบาที่ 2 ซึ่งใช้เป็นสถานที่เตรียมรับทหารใหม่ต้นเดือนพฤษภาคมนี้ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น จะใช้เป็นโรงพยาบาลสนามขนาดใหญ่รองรับผู้ป่วย 140 เตียง อยู่ระหว่างการขออนุมัติการใช้อาคารจากกองทัพบก

โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ มอบหมายให้กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 1 เตรียมความพร้อมของอาคารแหล่งสมาคมดังกล่าวให้พร้อมใช้งานตลอด 24 ชั่วโมงทั้ง 7 ห้อง กั้นรั้วรวดหนาวห่างจากตัวอาคาร 50 เมตร จัดกำลังพลดูแลความปลอดภัยรอบตัวอาคาร และยานพาหนะในการสนับสนุน ให้สำนักงานโยธาธิการจังหวัด ก่อสร้างห้องน้ำและห้องสุขาเพิ่มเติมอีก 4 ห้อง พร้อมติดตั้งระบบประปา สถานที่พักตากเสื้อผ้าของผู้ป่วย และระบบน้ำเสีย ให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสาขาคลองท่อม เช็คระบบไฟฟ้าแสงสว่างภายในและภายนอกตัวอาคาร และเสริมแสงสว่างตลอดแนวรั้วรวดหนาม

ให้บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติจำกัดสำนักงานกระบี่  ติดตั้งเดินสายสื่อสารพร้อมกล้องวงจรปิดภายในอาคารทั้ง 7 ห้อง และภายนอกอาคาร ให้สาธารณสุขอำเภอคลองท่อม จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ในการเก็บของเสียที่ผู้ป่วยใช้ไปกำจัดเพื่อไม่ให้มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อ รวมถึงเครื่องไม้เครื่องมือในการแพทย์ และให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดกระบี่ ติดตามเรื่องการขออนุญาตใช้กองบังคับการกองร้อยอาวุธเบาที่ 2 กองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 15 เป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ ให้แล้วเสร็จภายใน 2 สัปดาห์ ส่วนเตียงสนามผู้ป่วยซึ่งเป็นเตียงกระดาษได้รับการสนับสนุนจากบริษัทเอสซีจีจำกัดมหาชน จำนวน 100 เตียง

ขณะนี้จังหวัดกระบี่ได้นำผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสนาม ณ ตึกโกเมน บ้านคลองแห้ง หมู่ที่ 3 ตำบลอ่าวนาง อำเภอเมืองกระบี่ จังหวัดกระบี่ 14 คน

โดยโรงพยาบาลกระบี่ทั้งนี้จังหวัดกระบี่ตอบสนองนโยบายรัฐบาล คือต้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจของจังหวัดและของประเทศ ให้สอดคล้องกับแผนรับมือการแพร่ระบาดของโรคควบคู่ความปลอดภัยสูงสุด


ภาพ/ข่าว  มโนธรรม ใจหาญ จ.กระบี่ รายงาน

'Sputnik V' วัคซีนต้านโควิด-19 ของรัสเซีย กลายเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอย่างมากในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา

กลายเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอย่างมากในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา สำหรับวัคซีนต้านโควิด-19 ของรัสเซียที่ชื่อว่า Sputnik V หลังจากที่ อดีตนายกรัฐมนตรี ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ได้พูดคุยในแอปพลิเคชันคลับเฮ้าส์ (Clubhouse) โดยใช้ชื่อว่า Tony Woodsome เกี่ยวประเด็น ‘ฝ่าวิกฤตโควิด’ ซึ่งได้โชว์วิสัยทัศน์หลายด้านที่ประเทศไทยควรจะทำ โดยเฉพาะในด้านการจัดหาวัคซีน เพื่อผ่านพ้นวิกฤตการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่นี้ไปได้โดยเร็ว

และถัดมาเพียง 2 วัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็ออกมาโพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก บอกปิดดีลวัคซีนจากรัสเซียเรียบร้อย หลังจากสั่งการให้กระทรวงต่างประเทศไปเจรจาขอซื้อโดยตรง ในรูปแบบรัฐต่อรัฐ

ข้อมูล : เพจ ซ.ต.พ. ซึ่งต้องพิสูจน์


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘บิ๊กป้อม’ ห่วงแรงงาน กระทบโควิด-19 ประชุม กพร.ปช. ยกระดับฝีมือแรงงาน คนพิการ/ผู้ด้อยโอกาส/ผู้สูงวัย ควบคู่เยียวยา สั่งเร่งพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีบัตรสวัสดิการฯ เห็นชอบแผนพัฒนาศก.ฐานราก ฟื้นฟู ทั่วประเทศ

เมื่อ 23 เมษายน พ.ศ.2564  พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษกประจำรอง นรม. เปิดเผยว่า วันนี้เวลา10.30น.  พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการพัฒนาแรงงาน และประสานงานการฝึกอาชีพแห่งชาติ (กพร.ปช.) ครั้งที่ 3/2564 โดยมี นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.รง. และ ศ.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.รง. เข้าร่วมประชุม  ณ  ห้องประชุม 301  ตึกบัญชาการ 1  ทำเนียบรัฐบาล

ที่ประชุม ได้รับทราบความคืบหน้า การดำเนินงานเพื่อการพัฒนาแรงงานและประสานงานการฝึกอาชีพในอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-curve ปีพ.ศ.2564-2570 โดย รง.ได้ทำการรวบรวมแผน/โครงการด้านการพัฒนากำลังคนในอุตสาหกรรมฯ จากหน่วยงานหลักของภาครัฐ รวมทั้งสิ้น 174 โครงการ มีจำนวนผู้ที่จะได้รับการพัฒนา 891,207 คน ซึ่งมีแนวทางการจัดทำแผนพัฒนากำลังคนที่สำคัญ ได้แก่การนำมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติ และมาตรฐานอาชีพ 

เชื่อมโยงสู่ระบบการเรียนการสอนเพื่อให้นักเรียน นักศึกษาและกำลังแรงงาน มีสมรรถนะตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม และรับทราบการจัดทำแผนปฏิบัติการด้านพัฒนาทักษะฝีมือคนพิการ รองรับการประกอบอาชีพ (พ.ศ.2564-2570) จำนวน 69 โครงการ มีเป้าหมายรวม 186,613 คน พร้อมทั้งรับทราบความคืบหน้า การดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิต ของผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อสร้างงาน สร้างอาชีพ ตามมาตราการ "สร้าง ยก ให้" ช่วยแรงงานไทย ช่วยชาติ โดยมีเป้าหมายรวม 130,000 คน ซึ่งอยู่ระหว่างการเสนอให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พิจารณา

จากนั้น คณะกรรมการฯ ได้เห็นชอบ โครงการพัฒนาและเสริมสร้างความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ในระดับพื้นที่ เพื่อรองรับผลกระทบจากสถานการณ์ covid-19 ตามนโยบายของรัฐบาล โดยให้มีการบูรณาการทำงานร่วมกัน ของทุกภาคส่วนในแต่ละจังหวัด อย่างเป็นระบบตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ภายใต้ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) และนโยบายการขับเคลื่อนไปด้วยกัน

พล.อ.ประวิตร ยังได้กำชับให้ รง. เร่งขับเคลื่อนแผนงาน การพัฒนาฝีมือแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องให้ความสำคัญเร่งด่วน ต่อการส่งเสริมทักษะฝีมือ คนพิการ กลุ่มผู้ด้อยโอกาส และผู้สูงอายุ โดยให้ประสานงานกับ พม. เพื่อรองรับการประกอบอาชีพ อย่างจริงจัง และทั่วถึง พร้อมขอให้ มท.,จังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สนับสนุนโครงการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ตามนโยบายของรัฐบาล ต่อไป

ระนอง - จับกุมขบวนการนำพาคนต่างด้าว หลบหนีเข้าเมือง

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความ เสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติ ที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ รอง ผบก.ตม.6 และ พ.ต.อ.สมชาย จิตสงบ ผกก.ตม.จว.ระนอง ร่วมกันแถลงข่าว ดังนี้

คดีจับกุมขบวนการนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนปราบปราม ตม.จว.ระนอง ได้รับแจ้งเบาะแสจากชาวบ้านว่าบริเวณท่าเรือบ้านทับหลี ม.4 ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง มีการลักลอบนำคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมาหลบหนีเข้าเมือง โดยมีเรือรถยนต์จากประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมา) นำคนต่างด้าวเข้ามาส่งตามช่องทางธรรมชาติในบริเวณดังกล่าว แล้วจะมีรถยนต์เข้ามารับคนต่างด้าวไปส่งยังจุดหมายปลายทางต่อไป

ชุดสืบสวนปราบปราม ตม.จว.ระนอง สนธิกำลังกับชุดสืบสวน กก.สส.ภ.จว.ระนอง, สภ.ปากจั่น, ชปข.ร้อย ตชด.ที่ 415 และ จนท.ทหาร ชุด ร้อย ร.2521 (จุดตรวจศิลาสลัก จปร.) วางแผนออกสืบสวนหาข่าว ลาดตระเวน และเฝ้าซุ่มตรวจบริเวณช่องทางธรรมชาติตามที่แหล่งข่าวแจ้งว่ามีคนต่างด้าวใช้ลักลอบหลบหนีเข้าเมือง จนท.ชุดเฝ้าตรวจพบเห็นเรือยนต์หางยาวขับขี่มาจากฝั่งประเทศเมียนมา เข้ามาจอดเทียบท่าภายในซอยประปา ม.4 ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง ต่อมามีรถยนต์กระบะ ทะเบียนระนอง ขับขี่เข้ามาจอดที่ลานจอดรถบริเวณท่าเทียบเรือ แล้วพบเห็นนายอู (Oo) สัญชาติเมียนมา เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2562 ได้รับอนุญาตให้อยู่ถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 และได้ขออยู่ต่อในราชอาณาจักรเรื่อยมา ครั้งหลังสุดได้รับอนุญาตให้อยู่ถึง 30 กันยายน 2564 (ทราบชื่อในภายหลัง) ซึ่งนั่งข้างผู้ขับขี่รถยนต์ได้ลงมาจากรถแล้วเรียกให้คนต่างด้าวที่อยู่ในเรือยนต์หางยาวมาขึ้นนั่งกระบะหลัง 4 คน และนั่งในห้องโดยสารด้านหลังคนขับ 3 คน (รวมทั้งสิ้น 7 คน) แล้วขับขี่รถยนต์มุ่งหน้ามาทางถนนเพชรเกษม จนท.ชุดเฝ้าตรวจจึงแจ้งให้ จนท.ชุดลาดตระเวนเก้าสกัดจับกุม และสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้บริเวณถนนเพชรเกษม ม.4 ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง และจากการตรวจสอบพบว่าผู้ขับขี่รถยนต์คันดังกล่าวชื่อนายเดชา เตาะ อายุ 45 ปี ที่อยู่ ต.หงาว อ.เมือง จว.ระนอง และพบคนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา จำนวน 7 คน อยู่ภายในรถตามที่ชุดเฝ้าตรวจแจ้งทราบชื่อดังนี้

  1. นางเมนู (Mrs.Moe) อายุ 37 ปี สัญชาติเมียนมา เดินทางมาจาก จว.มอละแมง เมียนมา ปลายทางไปทำงานก่อสร้างกับแม่ จว.ภูเก็ต จ่ายค่านายหน้า 15,000 บาท

  2. นางเค (Mrs.Khiin) อายุ 37 ปี สัญชาติเมียนมา เดินทางมาจาก จว.ทวาย เมียนมา ปลายทางไปทำงานโรงงานขนมจีนกับลุง ที่ จว.ภูเก็ต จ่ายเงินค่านายหน้าเมื่อไปถึง

  3. นางเน (Mrs.Hnin) อายุ 32 ปี สัญชาติเมียนมา เดินทางมาจาก จว.ทะวาย เมียนมา ปลายทางไปทำงานคาแคร์กับแฟน ที่ จว.ภูเก็ต จ่ายเงินค่านายหน้าเมื่อไปถึง

  4. นางสุ (Mrs.Su) อายุ 23 ปี สัญชาติเมียนมา เดินทางมาจาก จว.ย่างกุ้ง เมียนมา ปลายทางไปทำงานกรีดยางพารากับพ่อ ที่ จว.สุราษฎร์ธานี จ่ายเงินค่านายหน้าเมื่อไปถึง

  5. นางซิน (Mrs.Zin) อายุ 27 ปี สัญชาติเมียนมา เดินทางมาจาก จว.ทะวาย เมียนมา ปลายทางทำงานร้านหมูกะทะกับแฟน จว.ภูเก็ต จ่ายค่านายหน้า 13,000 บาท

  6. นายซู (Mr.Soe) อายุ 37 ปี สัญชาติเมียนมา เดินทางมาจาก จว.ย่างกุ้ง เมียนมา ปลายทางไปทำงานกับภรรยา ที่ จว.สมุทรสาคร จ่ายค่านายหน้า 14,000 บาท 

7. นายอ่าว (Mr.Moe) อายุ 19 ปี สัญชาติเมียนมา เดินทางมาจาก จว.ทะวาย เมียนมา ปลายทางไปทำงานก่อสร้างกับพี่สาว ที่ จว.สุราษฎร์ธานี จ่ายเงินค่านายหน้า เมื่อไปถึง

 จากการตรวจสอบพบว่าคนต่างด้าวทั้ง 7 ราย ต้องการเดินทางเข้ามาทำงานที่ประเทศไทย จึงติดต่อประสานกับญาติซึ่งทำงานอยู่ในประเทศไทย และได้ชักชวนเดินทางมาทำงานด้วยกัน  โดยติดต่อกับนายตะแง  (Tharnge) นายหน้าชาวเมียนมา ที่อยู่ หมู่บ้านเอซันตา จว.เกาะสอง ประเทศเมียนมา (ตรงข้าม ต.ปากจั่น อ.กระบุรี จว.ระนอง) ให้ช่วยเหลือนำพาหลบหนีเข้ามาในประเทศไทย และนายตะแง จึงได้นำพาคนต่างด้าวทั้ง 7 ราย หลบหนีเข้ามาในประเทศไทยทางช่องทางธรรมชาติ บริเวณซอยประปา ม.4 ต.มะมุ อ.กระบุรี พร้อมว่าจ้างให้นาย (Ou) และนายเดชา มารับตัวและนำพาไปส่งยังจุดหมายปลายทาง และระหว่างเดินทางก็ถูก จนท.ชุดจับกุม เข้าสกัดจับกุมตัวไว้ได้บริเวณ ถนนเพชรเกษม (ขาขึ้น) ม.4 ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง พร้อมแจ้งข้อกล่าวหานายจอนายอู (Ou) และนายเดชา “ร่วมกันนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรหรือกระทำการด้วยประการใดๆ อันเป็นการอุปการะหรือช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่คนต่างด้าวที่เข้ามาในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย” และแจ้งข้อกล่าวหา นางเมนูพิว (Mrs.Moe Hnin) อายุ 37 ปี สัญชาติเมียนมา กับพวกรวม 7 คน “เป็นคนต่างด้าวเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” นำตัวส่ง พงส.สภ.ปากจั่น อ.กระบุรี จว.ระนอง ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ ผู้ถูกจับไม่สามารถพูดอ่านภาษาไทยได้ จึงอ่านบันทึกให้ฟังผ่านล่ามแปลชื่อนายอู (Ou) อายุ 41 ปี สัญชาติเมียนมา สตม.ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th

นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยถึงสาเหตุที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของจังหวัดเชียงใหม่สูงขึ้นแบบก้าวกระโดดว่า...

นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยถึงสาเหตุที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ของจังหวัดเชียงใหม่สูงขึ้นแบบก้าวกระโดดว่า เกิดจากการตรวจเชิงรุก ทำให้พบการระบาดใน 3 คลัสเตอร์ใหม่ คือเรือนจำ ศูนย์เด็กเล็ก และสถานปฏิบัติธรรม โดยลักษณะของการติดเชื้อในระลอกนี้ พบว่าส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มในการทำกิจกรรม การสังสรรค์ และการพบปะกันในโอกาสต่าง ๆ โดยละเลยมาตรการควบคุมโรค โดยเฉพาะการไม่สวมหน้ากากอนามัย และเว้นระยะห่างขณะทำกิจกรรมร่วมกัน จึงขอให้ประชาชนตระหนักถึงสุขอนามัยส่วนบุคคลเป็นสำคัญ และปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดสถานการณ์ซ้ำรอย

ด้านนายทรงยศ คำชัย หัวหน้ากลุ่มงานควบคุมโรคติดต่อ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า วันที่ 22 เม.ย. 64 พบผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงถึง 237 ราย ทำให้ผู้ติดเชื้อสะสมในระลอกเดือนเมษายนของจังหวัดเชียงใหม่ อยู่ที่ 2,819 ราย ยังคงรักษาตัวในโรงพยาบาล 2,597 ราย โดยยอดผู้ติดเชื้อเพิ่มในวันนี้มาจาก 3 คลัสเตอร์ ได้แก่

คลัสเตอร์เรือนจำกลาง อำเภอแม่แตง จำนวน 37 ราย ซึ่งไม่ได้เป็นการระบาดในแดนผู้ต้องขัง แต่เป็นผู้ต้องขังแรกรับ ที่พบจากการตรวจในระหว่างกักตัวตามมาตรการ 14 วัน ซึ่งผู้ติดเชื้อทั้ง 37 ราย ได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลสนามเรือนจำกลางเชียงใหม่

ศูนย์เด็กเล็กเทศบาลตำบลแม่คือ พบว่าเกิดจากคุณครูที่ติดเชื้อโดยไม่แสดงอาการ ทำให้เกิดการแพร่ระบาดในกลุ่มเด็กเล็ก ซึ่งจากการตรวจกลุ่มเสี่ยงสูงทั้งหมด 120 ราย พบว่ามีเด็กในศูนย์เด็กเล็กอายุ 4-6 ปี ติดเชื้อทั้งหมด 14 ราย และอีก 2 ราย เป็นผู้ใหญ่ ทั้งนี้ ทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ ได้มอบหมายให้โรงพยาบาลนครพิงค์และโรงพยาบาลดอยสะเก็ด ร่วมกับทางอำเภอดอยสะเก็ด จัดตั้งโรงพยาบาลสนามเฉพาะกิจขึ้น เพื่อดูแลรักษาผู้ติดเชื้อกลุ่มนี้

คลัสเตอร์สถานปฏิบัติธรรม ที่ตำบลป่าแดด อำเภอเมืองเชียงใหม่ พบว่าเกิดขึ้นจากการร่วมกิจกรรมปฏิบัติธรรม และรับประทานอาหารร่วมกันในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จำนวน 44 คน ซึ่งจากการตรวจหาเชื้อในกลุ่มดังกล่าว พบว่ามีผู้ร่วมกิจกรรมติดเชื้อจำนวน 23 ราย โดยเป็นผู้ติดเชื้อของจังหวัดเชียงใหม่จำนวนทั้งสิ้น 21 ราย และอีก 2 ราย เป็นผู้ติดเชื้อในจังหวัดลำพูน โดยผู้ติดเชื้อทั้ง 21 ราย ได้ถูกนำเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสนาม มหาวิทยาลัยแม่โจ้แล้ว

สำหรับมาตรการการค้นหาเชิงรุกด้วยการสุ่มตรวจกลุ่มตัวอย่างตามสถานที่สาธารณะสำคัญ ขณะนี้ทำการตรวจแล้วทั้งหมด 2,133 ราย พบว่ามีผู้ติดเชื้อจำนวน 34 ราย คิดเป็น 1.59% จากจำนวนทั้งหมดที่สุ่มตรวจ

แนวโน้มสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 จังหวัดเชียงใหม่ พบว่ามีการแพร่กระจายไปยังพื้นที่ต่างอำเภอมากขึ้น เห็นได้จากยอดผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้นของเขตต่างอำเภอ และจากสถิติ พบว่ามีการแพร่ระบาดในกลุ่มครอบครัวเพิ่มสูงขึ้นถึง 15.1% ในขณะที่การระบาดกลุ่มสถานบันเทิงลดน้อยลงจากมาตรการปิดสถานบันเทิงและสถานบริการ ซึ่งจะเห็นได้ว่าการแพร่ระบาดนั้นอยู่ใกล้ตัวทุกคนมากขึ้น

จึงขอเน้นย้ำให้ประชาชนรักษามาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด และต้องสวมหน้ากากอนามัย 100% รักษาระยะห่าง ล้างมือให้บ่อยครั้ง สแกนแอปพลิเคชันไทยชนะ และงดงานเลี้ยงสังสรรค์ การรวมกลุ่ม เพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการระบาดในคลัสเตอร์ล่าสุด ทั้งนี้หากมีอาการไข้ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ เดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง ให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อได้ที่ รพ.ประจำอำเภอ โรงพยาบาลรัฐและเอกชน รวมถึงศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

‘ศักดิ์สยาม ชิดชอบ’ ส่งทนายไล่ฟ้องดะ ‘เต้ มงคลกิตต์’ โดนคนแรก แถมพ่วงสื่อเครือเนชั่นตั้งแต่ระดับผู้บริหาร ไปจนถึงพิธีกร ปมกล่าวหาเที่ยวสถานบันเทิงย่านทองหล่อจนติดเชื้อโควิด

เมื่อเวลา 09.10 น. วันที่ 23 เม.ย. ที่สภ.เมืองบุรีรัมย์ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม และเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ได้มอบอำนาจให้นายทิวา การกระสัง ทนายความส่วนตัว เดินทางมาแจ้งความดำเนินคดีกับนายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคไทยศรีวิไลย์ กรณีที่ได้เผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จ ไลฟ์สดผ่านเฟสบุ๊กชื่อ “มงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์” เมื่อวันที่ 17 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยนายมงคลกิตติ์ได้ระบุว่า นายศักดิ์สยามไปเที่ยวผับในย่านทองหล่อ เมื่อปลายเดือนมี.ค. ทําให้เกิดคลัสเตอร์ทองหล่อ มีผู้ติดเชื้อประมาณหมื่นกว่าคน ทำให้นายศักดิ์สยาม ได้รับความเสียหาย เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) และมาตรา 16

นอกจากนี้ นายศักดิ์สยาม ยังได้ฟ้องเอาผิดกับ กลุ่มบริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จํากัด รวมไปถึงระดับผู้บริหารอย่างประธานกรรมการ และประธานกรรมการบริหาร และอีก 2 พิธีกรจัดรายการชื่อ “เนชั่นทันข่าวค่ำ” ที่เผยแพร่ทางสื่อโทรทัศน์ของเนชั่นทีวี และเว็บไซต์ยูทูป ช่อง NationTV22 เมื่อวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยระบุว่า เป็นการนำข้อความอันเป็นเท็จมาว่านายศักดิ์สยามไปเที่ยวสถานบันเทิงย่านทองหล่อ

ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การกระทำของผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าว ทำให้ผู้เสียหายได้รับความเสียหาย เป็นความผิดตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 (1) มาตรา 16 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326,328 ประกอบมาตรา 83,90 และ 91


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

สงขลา - สืบ ตม.6 ร่วม ตม.สงขลา ทลายเครือข่ายลักลอบ ช่วยเหลือคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองเข้าเมืองฯ

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด 

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.สุเมธ เมฆขจร ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ศุภชัชจ์ เปี่ยมมนัส รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ภาณุภาคยณ์ จิตต์ประยูรตี รอง ผบก.ตม.6 และ พ.ต.อ.ภคยศ ทนงศักดิ์ ผกก.สส.บก.ตม.6 ร่วมแถลงข่าวจับกุมคดีคนต่างชาติกระทำความผิดรายสำคัญ และคดีที่น่าสนใจ ดังนี้ สืบ ตม.6 ร่วม ตม.สงขลา ทลายเครือข่ายลักลอบ ช่วยเหลือคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง รายสำคัญ

เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจได้ร่วมกันจับกุมนายณรงค์ อายุ 40 ปี โดยกล่าวหาว่า “ให้ที่พักพิง ซ่อนเร้น หรือให้การช่วยเหลือประการใด ๆ แก่คนต่างด้าวที่เดินทางเข้ามาผิดกฎหมาย เพื่อให้พ้นจากการจับกุมของพนักงานเจ้าหน้าที่” พร้อมรถตู้ที่ใช้กระทำความผิดทะเบียนกรุงเทพมหานคร นำส่ง พนักงานสอบสวน สภ.หาดใหญ่ ดำเนินคดีตามกฎหมาย ต่อมาจากการสืบสวนขยายผล และรวบรวมพยานหลักฐานทราบว่า นายณรงค์ได้รับการว่าจ้างจากนายโยฮัน หรือบังโย นำรถตู้ของกลางช่วยเหลือรับคนต่างด้าวสัญชาติเวียดนาม จำนวน 3 คน ไปพักไว้ที่รีสอร์ตแห่งหนึ่งใน อ.หาดใหญ่ จว.สงขลา จากนั้นนายประมวลได้มารับคนต่างด้าวสัญชาติเวียดนามจำนวน 2 คน จากรีสอร์ตดังกล่าวไปส่งยัง ท่าอากาศยานหาดใหญ่ โดยมีนายห่อง (HONG) อายุ 30 ปี และนายเหงียน (Mr.NGUYEN) อายุ 33 ปี ชาวเวียดนาม มารอรับที่สนามบินเพื่อช่วยเหลือให้เดินทางจากท่าอากาศยานหาดใหญ่ ไปยัง ท่าอากาศยานอุดรธานี 

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ร่วมกันทำการจับกุมนายห่อม (Mr.HONG) อายุ 30 ปี สัญชาติเวียดนาม พร้อมคนต่างด้าวสัญชาติเวียดนามอีกจำนวน 15 คน โดยแจ้งข้อกล่าวหาชาวเวียดนามจำนวน 15 คน ว่ากระทำความผิดฐาน “เป็นคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” ส่วนนายห่อม ถูกจับกุมในความผิดฐาน “ให้ที่พักพิง ซ่อนเร้น ช่วยเหลือหรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองมาโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม” ควบคุมตัวส่ง พงส.สภ.คลองหอยโข่งเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งในชั้นจับกุมนายห่อม รับว่าเมื่อวันที่ 16 พ.ย.2563 ได้ร่วมกับนายเหงียน (MR.NGUYEN) สัญชาติเวียดนาม เป็นผู้ช่วยเหลือนำพาคนต่างด้าวสัญชาติเวียดนามจำนวน 2 คน เดินทางจาก ท่าอากาศยานหาดใหญ่ ไปยัง ท่าอากาศยานอุดรธานี 

จากนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ ตม.จว.สงขลา ร่วมกับ กก.สส.บก.ตม.6, สภ.หาดใหญ่ ร่วมกันจับกุม นายนิพล อายุ 54  ปี สัญชาติไทย โดยกล่าวหาว่า “ให้ที่พักพิง ให้การช่วยเหลือ หรือช่วยด้วยประการใด ๆ แก่คนต่างด้าวที่เข้าเมืองมาโดยผิดกฎหมายเพื่อให้พ้นจากการจับกุมพนักงานและความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อฯ, พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ” พร้อมของกลางรถตู้ทะเบียนบุรีรัมย์ โดยมีคนต่างด้าวชาวเวียดนาม 14 คน (หลบหนีเข้าเมือง) ควบคุมตัวพร้อมของกลางส่ง พงส.สภ.หาดใหญ่ ดำเนินคดีตามกฎหมาย ในชั้นจับกุมนายนิพนธ์ฯให้การว่า ได้รับการว่าจ้างจากนายโยฮัน คณะทำงานสืบสวนปราบปรามฯ จึงได้ทำการสืบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลจังหวัดสงขลาออกหมายจับ นายโยฮัน พร้อมพวกรวม 4 คน ในความผิดฐาน “ให้ที่พักพิง ซ่อนเร้น ช่วยเหลือ หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองมาโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม”

กก.สส.บก.ตม.6 ได้สืบทราบว่าจะมีการรับจ้างส่งคนต่างด้าวจากพื้นที่ กทม.มายังภาคใต้โดยใช้รถยนต์ส่วนตัว จึงได้วางแผนในการสกัดกั้นจับกุมโดยประสานการปฏิบัติกับ ตม.จว.สงขลา และ ส.ทล.3 กก.7 บก.ทล. (ตำรวจทางหลวงรัตภูมิ) ได้มีรถยนต์ทะเบียนกรุงเทพมหานคร ขับมาถึงบริเวณจุดกลับรถก่อนถึงหน่วยบริการประชาชนตำรวจทางหลวงรัตภูมิ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ตั้งจุดสกัดเพื่อตรวจสอบยานพาหนะ ปรากฏว่ารถคันดังกล่าวได้กลับรถหลบหนีการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ จึงมีการไล่ติดตามจนจับกุมได้บริเวณริมถนนเพชรเกษมช่วง กม.1021-1022 ต.กำแพงเพชร อ.รัตภูมิ จว.สงขลา จากการตรวจสอบภายในรถพบนายประมวล เป็นผู้ขับขี่, น.ส.แสงจันทร์ นั่งโดยสารอยู่ตอนหลังของรถ (ฉายาในวงการ “พ่อใหญ่-แม่ใหญ่”), MR.XIAO ชาวจีนไม่มีหนังสือเดินทาง นั่งอยู่ที่นั่งตอนหน้าข้างคนขับ (ตรวจสอบจากระบบ BIOMETRICS ไม่พบข้อมูลการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรอย่างถูกต้อง) จึงได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า “ร่วมกันให้ที่พักพิง ซ่อนเร้น หรือช่วยด้วยประการใด ๆ เพื่อให้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพ้นจากการจับกุม” และ “คนต่างด้าวเดินทางเข้ามาและอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” และยังพบว่านายประมวลฯ เป็นบุคคลตามหมายจับศาลจังหวัดสงขลาที่ 109/2564 ในความผิดฐาน ร่วมกันให้ที่พักพิง ซ่อนเร้น ช่วยเหลือหรือช่วยด้วยประการใด ๆ ซึ่งเมื่อวันที่ 16 พ.ย.2563 ดังกล่าวข้างต้น และรถยนต์ คันก่อเหตุ เป็นรถคันเดียวกันกับที่ใช้รับชาวเวียดนาม 2 คน ไปส่งยังท่าอากาศยานหาดใหญ่ในวันดังกล่าว และในส่วนของ น.ส.แสงจันทร์ หรือแม่ใหญ่ เป็นภรรยาของนายประมวล ซึ่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูลพบว่ามีความเชื่อมโยงโดยเป็นผู้ติดต่อประสานงานกับขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าว เครือข่าย “โซติแอล” นายหน้านำพาคนต่างด้าวชาวกัมพูชาที่อยู่ระหว่างการหลบหนี

เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สงขลา ร่วมกับ กก.สส.บก.ตม.6, ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายห่อม อายุ 31 ปี สัญชาติเวียดนาม ตามหมายจับศาลจังหวัดสงขลาที่ 110/2564 ลง 5 เม.ย.2564 ควบคุมตัวส่ง สภ.หาดใหญ่ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย

เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ตม.จว.สงขลา, กก.สส.บก.ตม.6 ร่วมกับ กก.สส.ภ.จว.ปัตตานี ได้ร่วมกันรับมอบตัว นาย โยฮัน สัญชาติไทย ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดสงขลาที่ จ.108/2564 ลง 5 เม.ย.64 เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ควบคุมตัวส่ง พงส.สภ.หาดใหญ่ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนนายเหงียน (MR.NGUYEN) สัญชาติเวียดนาม อยู่ในระหว่างการหลบหนี ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังดำเนินการสืบสวนติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีต่อไป 

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ

หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จะขอบพระคุณอย่างยิ่ง

ชลบุรี - ฐานทัพเรือสัตหีบ ร่วมกับ ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จังหวัดชลบุรี ตรวจสถานประกอบการตลาด (เช้า) สัตหีบ กวดขัน ตรวจสอบให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19

เมื่อวันที่ 23 เม.ย.64 ฐานทัพเรือสัตหีบ ร่วมกับ ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จังหวัดชลบุรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันตรวจสถานประกอบการตลาด (เช้า) หน้าเทศบาลเมืองสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เพื่อกวดขัน ตรวจสอบการดำเนินการให้เป็นไปตามมาตรการป้องกันการแพร่ ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019  ผลการตรวจเป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีการปฏิบัติถูกต้องครบถ้วน ตามมาตรการที่กำหนด โดยได้เน้นย้ำให้ผู้ประกอบการประชาสัมพันธ์ให้กับลูกจ้าง ปฏิบัติตามมาตรการตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กำหนดโดยเคร่งครัด


ภาพ/ข่าว  สมนึก เชื้อสนุก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top