Thursday, 19 June 2025
TheStatesTimes

สรยุทธคืนจอเดือนพฤษภาคมนี้ มีเรื่องอะไรบ้างที่ผู้ชมจะได้เจออีกครั้ง?

หลังเปิดตัวว่าจะกลับมาเป็นหนึ่งในพิธีกรข่าวช่อง 3 อีกครั้ง กระแส ‘สรยุทธคัมแบ็ก’ ก็แรงขึ้นตลอดทั้งสัปดาห์ เปิดหน้าฟีดในโซเชี่ยลมีเดีย ก็จะได้เห็นข่าวการคืนจอของกรรมข่าวคนนี้ หรือใครขึ้นรถไฟฟ้า BTS ก็จะได้เห็นแคมเปญโฆษณา การกลับมาของเขาผู้นี้

งานนี้ ‘จัดใหญ่’ สมการรอคอยของบรรดาแฟนคลับสรยุทธ The States Times เลยลองรวบรวมเหล่าเรื่องราวความคุ้นเคย ที่เชื่อแน่ว่า แฟน ๆ ยังจดจำบรรยากาศเดิม ๆ ได้อยู่ ซึ่งหากพิธีกรข่าวคนนี้ กลับมานั่งยังบัลลังก์ของเขาอีกครั้ง เรา ๆ ท่าน ๆ คงจะได้เห็นสิ่งเหล่านี้อีกครั้งแน่นอน
 

ประโยคคลาสสิก: ใครๆ ก็จำคำพูดอันคุ้นเคยของเฮียยุทธได้แม่น เมื่อไรที่เขาเล่าข่าวจบ หรือไล่เรียงเปิดภาพข่าวให้ดูจนจบ เฮียยุทธจะปิดท้ายเป็นประจำว่า “นั่นละฮะคุณผู้ชม” 

ขยับแว่นตา เวลาสงสัย: เป็นอีกท่วงท่าหนึ่งที่พิธีกรข่าวคนนี้ทำเป็นประจำ เวลาที่ขยับตัวเพื่อจะยิงคำถามอันดุเดือด หรือเวลาที่เตรียมจะเคลียร์ประเด็นการพูดคุยร้อน ๆ เฮียยุทธจะชอบขยับขาแว่นตาให้เห็นเป็นประจำ


 

คำถามเข้ม ๆ: เป็นหนึ่งในจุดขายของพิธีกรข่าวคนนี้ ช่วง 5 ปีที่ไม่ออกหน้าจอทีวี เหมือนคนดูขาดหายรสชาติคำถามแบบเข้ม ๆ โดน ๆ จากเจ้าตัวไปเยอะพอสมควร กลับมาคราวนี้ มีโจทย์ใหญ่คือการกระชากเรตติ้งข่าวคืนสู่ช่อง 3 ดังนั้น ผู้ชมจะได้เห็นการยิงคำถามเด็ด ๆ ของเขาอย่างแน่นอน

รายงานผลลิเวอร์พูล: เรื่องนี้แฟนคลับต่างรู้ดี เฮียยุทธมีทีมฟุตบอลทีมรักคือ ลิเวอร์พูล ถ้าเมื่อไรทีมรักลงสนาม เช้าวันต่อมา เฮียจะจัดการรายงานผล พร้อมแสดงทัศนะเป็นสีสันอยู่เป็นประจำ ตามประสาทีมนี้พี่รัก

คู่ซี้ ‘โก๊ะตี๋’: นอกจากทีมฟุตบอลที่รัก ยังมีน้องรักอีกคน นั่นคือ ‘โก๊ะตี๋’ ที่ห่างหายหน้าไปจากหน้าจอเล่าข่าว เมื่อศิษย์พี่กลับมา ศิษย์น้องรักก็ต้องกลับมาด้วยแน่นอน งานนี้จะคืนฟอร์มเรียกเสียงหัวเราะได้แค่ไหน ต้องติดตาม

แน่นอนว่า พฤษภาคมนี้ได้เจอกัน อย่างที่เจ้าตัวประกาศเอาไว้ แฟนคลับเฮียยุทธคงหายคิดถึงกันไป แต่สมรภูมิการข่าวเวลานี้นั้นร้อนระอุดุเดือด ต้องติดตามกันว่า เฮียยุทธจะกลับมาเรียกความฟิต คืนฟอร์มเก่งของตัวเองได้หรือไม่ ไม่นานรู้กัน!

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 23 เมษายน พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ไทยยอดติดเชื้อใหม่พุ่งกว่า 2,070 ราย!  ขณะที่ในอาเซียนยอดยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง!

Land Bridge กับพิธีการศุลกากร

การส่งสินค้าระหว่างประเทศ นอกจากจะต้องพิจารณาถึงเส้นทาง ระยะเวลา หรือรูปแบบการเดินทาง ยังมีเรื่องของกฎระเบียบทางพิธีศุลกากรเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ในตอนนี้จึงขอมาเล่ากรณีศึกษาการเลือกใช้เส้นทางการขนส่งที่มีผลมาจากพิธีทางศุลกากร

จากเดิมการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศไอร์แลนด์และยุโรป ใช้วิธีการขนส่งทางรถบรรทุก แล้วรถบรรทุกขึ้นเรือเฟอร์รี่ที่กรุงดับลิน เมืองหลวงของไอร์แลนด์ เพื่อข้ามฝากมายังเมือง Holyhead ของอังกฤษ ต่อจากนั้นรถบรรทุกก็วิ่งลอดอุโมงค์ข้ามช่องแคบอังกฤษเพื่อไปยังทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ซึ่งเรียกเส้นทางนี้ว่า UK Land Bridge


คาดการณ์กันว่ามีรถบรรทุกใช้เส้นทางนี้ถึงปีละ 150,000 คัน เนื่องจากใช้ระยะเวลาในการเดินทางไม่เกิน 20 ชั่วโมง  หากเทียบกับการที่รถบรรทุกขึ้นเรือเฟอร์รี่แล้วลงที่ท่าเรือในเรือที่ยุโรป (Roll-on/roll-off : RoRo) ที่ใช้ระยะเวลาประมาณ 40 ชั่วโมง หรือการขนสินค้าขึ้นลงที่ท่าเรือตามวิธีปกติ (Lift-on/lift-off : LoLo) ที่ใช้ระยะขนส่งนานถึง 60 ชั่วโมง  นอกจากนั้นการขนส่งด้วยรถบรรทุกเส้นทางนี้ยังสามารถแวะรับส่งสินค้าระหว่างทางในอังกฤษได้ตามข้อตกลงของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป

แต่เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงกำหนดที่สหราชอาณาจักรสิ้นสุดสถานภาพการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป อย่างเป็นทางการ สินค้าที่นำเข้า-ส่งออก และผ่านแดนไปยังยุโรป ต้องผ่านพิธีศุลกากรซึ่งต่างจากเดิมสามารถวิ่งผ่านได้เลย เนื่องจากเป็นไปตามข้อตกลงทางศุลกากรของกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป ส่งผลให้การเลือกใช้เส้นทางนี้ต้องพบกับการขั้นตอนการตรวจสอบ ระยะเวลาและค่าใช้จ่ายการขนส่งที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะบริเวณด่านชายแดนที่อุโมงค์ข้ามช่องแคบอังกฤษ จุดเชื่อมต่อที่สำคัญระหว่างอังกฤษกับยุโรปที่คาดการณ์ว่าน่าจะมีรถบรรทุกรอตรวจสอบมากถึง 7,000 คัน และอาจส่งผลให้เกิดความล่าช้าได้มากถึง 48 ชั่วโมง

ดังนั้นผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องเลือกเส้นทางที่มีความเสี่ยงต่อความล่าช้าน้อยกว่า ถึงแม้จะใช้ระยะเวลาในการขนส่งที่นานกว่าก็ตาม ผู้นำเข้าส่งออกของไอร์แลนด์จึงเลือกใช้วิธีการขนส่งตรงไปยังทวีปยุโรปแทน ส่งผลให้รถบรรทุกที่ใช้เส้นทาง UK Land Bridge ลดลงถึง 50% และเที่ยวเรือที่วิ่งตรงระหว่างไอร์แลนด์กับยุโรปเพิ่มขึ้นจาก 12 เที่ยวเป็น 42 เที่ยวต่อสัปดาห์

จากเรื่องที่เล่ามาจะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการให้ความสำคัญกับความเสี่ยงต่อความล่าช้าในการขนส่งมากกว่าความเร็ว เพราะถึงแม้ระยะเวลาการขนส่งจะนานขึ้นก็สามารถปรับแผนการสั่งซื้อสินค้า การวางแผนสินค้าคงคลังได้ใหม่ แต่หากระยะเวลาขนส่งไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้จะส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในโซ่อุปทาน และขั้นตอนการผ่านพิธีศุลกากรก็เป็นสาเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดความล่าช้าในการขนส่ง

สำหรับประสิทธิภาพด้านการดำเนินงานพิธีศุลกากร ทางธนาคารโลก (World Bank) ได้มีการประเมินไว้เป็นหัวข้อหนึ่งใน Logistics Performance Index (LPI) และในปี 2018 ประเทศไทยถูกจัดอันดับอยู่ที่ลำดับ 36 จาก 160 ประเทศทั่วโลก ถ้าเทียบกับสิงคโปร์ที่ถูกจัดอันดับในลำดับที่ 6  ประเทศไทยยังต้องพัฒนาประสิทธิภาพในด้านนี้หากต้องการส่วนแบ่งเรือขนสินค้าที่แล่นผ่านช่องแคบมะละกาให้มาผ่านแลนด์บริดจ์ที่กำลังศึกษากันอยู่  

ข้อมูลอ้างอิง
https://www.instituteforgovernment.org.uk/explainers/trade-uk-landbridge
https://www.thejournal.ie/less-landbridge-mroe-action-how-irish-trade-changes-5356884-Mar2021/
https://lpi.worldbank.org/international/global?sort=asc&order=Customs#datatable 


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

จุรินทร์-นิพนธ์” นำคณะ เข้าคารวะ “จุฬาราชมนตรี” เนื่องในเดือนรอมฎอน

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2564 ที่ ห้องรับรอง สำนักจุฬาราชมนตรี เขตหนองจอก นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายนิพนธ์บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พล.ต.ต.สุรินทร์ ปาราเล่  ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และคณะเดินทางเข้าเยี่ยมคารวะ พร้อมมอบกระเช้าอินทผาลัม และผลไม้ แด่ ท่านอาศิส พิทักษ์คุมพล จุฬาราชมนตรี เนื่องในเดือนรอมฎอน หรือเดือนแห่งการถือศีลอดของพี่น้องชาวมุสลิม ซึ่งได้รับการต้อนรับอย่างดีจากท่านจุฬาราชมนตรีและคณะ โดยท่านจุฬาราชมนตรี ได้ขอพรพระอัลเลาะห์ ให้กับหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และคณะด้วย

ศบค.เร่งจัดระบบรับข้อมูลติดเชื้อ แยกระดับรุนแรง วอนให้ปชช.รอติดต่อกลับ ขอโทษผู้ป่วยรอนาน รับ เตียงไอซียูอาจไม่พอ เร่งเบ่งเตียงขยายรองรับ เผย 1,423 คนในกทม. รอเตียงหวั่น หากติดเชื้อ 2 พันต่อวันน่ากังวล

วันที่ 23 เมษายน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค.แถลงสถานการณ์ประจำวัน ว่า กระทรวงสาธารณสุข รับทราบปัญหาเรื่องเตียง ทรัพยากรและบุคลากรทางการแพทย์ โดยพยากรณ์เรื่องการใช้เตียงที่มีความน่าเป็นห่วงเรื่องเตียงไอซียู ของกรุงเทพฯมีจำนวน 262 เตียง ว่างอยู่ 69 เตียง และเป็นห้องความดันลบ มี 479 เตียง ใช้ไป 410 เตียง ว่าง 69 เตียง คาดการณ์ว่าถ้ามีการติดเชื้อประมาณ 1,500 รายต่อวัน จะใช้เตียงประมาณ 52 เตียงต่อวัน ถ้าใช้ต่อวัน 10-13 เตียงรองรับเต็มที่ 6-8วัน สำหรับเตียงทั่วประเทศเหลือประมาณ 1,000 เตียง ถ้าใช้ต่อวัน 52 เตียง จะรองรับได้อีกประมาณ 19 วัน หรือสามสัปดาห์ของทั้งประเทศ

ผู้สื่อข่าวถามว่าหากผู้ติดเชื้อเกิน 2,000คน จะกระทบต่อระบบสาธารณสุข ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ และเตียงผู้ป่วยมากน้อยแค่ไหน และศบค.มีแผนรองรับอย่างไร นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า มีผลกระทบแน่นอน เพราะยังไม่รู้ว่าปลายทางจะเป็นอย่างไร ในภาวะวิกฤตรุนแรงจะต้องทำอย่างไร ขณะนี้มีเตียงไอซียูรองรับในระยะหนึ่ง ยังไม่เพียงพอและต้องเพิ่มมากขึ้นโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้ง

กทม.โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวง โรงเรียนแพทย์ มีการเบ่งเตียงคือเพิ่มจำนวนเตียงในสถานที่เดิม เพื่อให้เกิดการใช้พื้นที่ไอซียู ขยายกว้างขึ้นจากการปรับปรุงวอร์ดอื่นเพื่อรองรับคนไข้กลุ่มนี้เข้าไปอยู่ร่วม และกันคนไข้ที่ไม่เกี่ยวข้องออก 

นอกจากนั้นมีการพูดคุยเรื่อง ไอซียูสนาม ซึ่งจะมีความยุ่งยากและต้องปรับปรุงสถานที่ ทั้งนี้โรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งเป็นโรงพยาบาลหลักจะเป็นผู้ขยายเตียงเพื่อรองรับเพิ่มเติมก่อน ยืนยันว่าเราพยายามทำเต็มที่เมื่อป่วยหนักจะรักษาและทุกคนทำงานเต็มที่เช่นกัน

เมื่อถามถึงระบบคัดกรองผู้ติดเชื้อ มีข้อติดขัดอย่างไร เพราะมีเสียงสะท้อนว่าผู้ป่วยรอเตียงนานยังไม่ได้เข้ารับการรักษาในระบบ และบางรายเสียชีวิตในระหว่างรอรักษา นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ต้องกราบขออภัยประชาชนทุกคนทุกสาย ที่โทรเข้ามา 1668 1669 และ 1330 ซึ่งพล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะผอ.ศปก.ศบค.มช.ได้แจ้งให้ที่ประชุมศบค.รับทราบว่ามีสายเข้ามาจำนวนมากและยังไม่เพียงพอ และได้ให้ปรับระบบคู่สายเพิ่มขึ้นมาหนึ่งทีม 50 คู่สาย  เพื่อรับข้อมูลจากทีมแรกที่รับสายเก็บข้อมูลที่สำคัญเบื้องต้นแลเวส่งต่อให้กับชุด 50 สายนี้เพื่อจะโทรศัพท์ติดต่อกลับไปที่ผู้ป่วย โดยผู้ที่ทราบผลเป็นบวกติดเชื้อโควิด ให้ฝากเบอร์โทรศัพท์และข้อมูลที่สำคัญชุดตรวจเตรียมไว้ให้เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับ เวลานี้มีผู้ป่วยรอเตียงในระบบ 1,423 เพิ่มขึ้น 224 คน รับรักษาไปแล้ว เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา 474 คน 

ทั้งนี้จะแยกผู้ป่วยเป็นสีเขียว สีเหลือง สีแดง โดยผู้ป่วยสีเขียว ต้องแยกคนไข้กลุ่มนี้ก่อนเพื่อให้ได้มีที่อยู่และไม่แพร่เชื้อไปที่อื่น ส่วนกลุ่มสีเหลืองและสีแดง ซึ่งเตียงยังไม่พอต้องขอให้อดทน และบุคลากรของเราพยายามบริหารจัดการ ยืนยันว่าไม่มีใครที่มีเจตนาไม่ดีหรือทำไม่ดี และเวลานี้ต้องสร้างกำลังใจและสร้างโอกาสที่ดี เพื่อเราจะผ่านวิกฤตต่าง ๆ ไปด้วยกัน

“อนุทิน” เผย แก้ปมบินไทย เดินหน้าตามแผนฟื้นฟู แจง ยังมีอีกหลายขั้นตอน ปัด ยังไม่ถกตั้งสายการบินแห่งชาติใหม่

วันที่ 23 เมษายน พ.ศ.2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์หลังเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เพื่อหารือแนวทางการแก้ไขปัญหา บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ว่า ยังไม่ได้สรุปเลือกวิธีไหน ยังใช้แนวทางเดิมที่ให้เข้าสู่แผนฟื้นฟู 

ผู้สื่อข่าวถามว่าการบินไทยต้องกลับมาเป็นรัฐวิสาหกิจหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ยังไม่ได้หารือกัน วันนี้หารือว่าแผนการฟื้นฟูดำเนินการไปถึงไหน แต่ยังไม่มีการสรุปอะไร ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการก่อน โดยต้องรอถึงวันที่ 12 พ.ค. จึงจะสรุปได้ว่าเจ้าหนี้จะตอบรับแผนหรือไม่

เมื่อถามว่าหากเจ้าหนี้ไม่รับแผนฟื้นฟูเังกล่าว สามารถกลับมาปรับแผนฟื้นฟูได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่ใช่ว่าเจ้าหนี้ไม่รับ แล้วแผนการฟื้นฟูจะจบ ตราบใดที่มูลหนี้ยังมีอยู่ขนาดนี้ ก็ยังมีกระบวนการอยู่ ยังไม่มีแผนปรับเรื่องสายการบินแห่งชาติแห่งใหม่ของไทย 

เมื่อถามว่าจำเป็นต้องกลับมาเป็นรัฐวิสาหกิจหรือไม่ เพื่อให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้ได้ นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องการกลับมาเป็นรัฐวิสาหกิจจะต้องช่างน้ำหนัก ว่าควรกลับมาเป็นรัฐวิสาหกิจหรือไม่และในการประชุมวันนี้ยังไม่ได้กล่าวถึงเรื่องดังกล่าว ยังไม่มีการช่างน้ำหนัก เรื่องนี้สรุปกันแค่ชั่วโมงหนึ่งไม่ได้หรอก ต้องรับฟังข้อมูล แล้วให้เวลาไปคิดก่อน

เผย "อนุทิน" ไม่นิ่งนอนใจ ปม 3 อาม่าติดโควิด ก่อนเสียชีวิต 1 ราย ย้ำ! เข้าใจคนทำงาน แต่ก็ไม่อยากเห็นการสูญเสีย สั่งกรมการแพทย์ประสานกับกทม. บูรณาการแก้ไขปัญหาโดยด่วน

กรณีที่มีการปล่อยให้หญิงชรา 3 คน ซึ่งติดโควิด 19 ใช้ชีวิตตามลำพัง และล่าสุดได้เสียชีวิตไปแล้ว 1 ราย ก่อนจะมีการนำอีก 2 รายเข้ารับการรักษา จนเป็นที่วิพากษ์ วิจารณ์ ของสังคม  ล่าสุด 23 เมษายน 2564 นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) กล่าวว่า นายอนุทิน คณะผู้บริหาร และบุคลากรในกระทรวงทุกคนรู้สึกเสียใจ เวลาทราบข่าว ทุกคนผิดหวัง เพราะมั่นใจว่า ได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว และมองว่า เรื่องนี้ เป็นเรื่องใหญ่มาก เพราะเรายึดนโยบายเดียวกันว่า จะต้องรักษาผู้ป่วยให้ปลอดภัย เมื่อมีเคสเข้ามา จะทำงานกันอย่างเต็มที่ แต่การระบาดรอบนี้ สถานการณ์รุนแรงกว่าทุกครั้ง พบผู้ติดเชื่อในจำนวนที่สูงขึ้น เนื่องจากเชื้อ เป็นคนละสายพันธุ์จากที่คนไทยเคยเจอ 

ขณะนี้ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า คือ สิ่งที่สำคัญมาก ทางกระทรวงฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เพิ่มช่องทางการประสานทั้งขอคำปรึกษา และรับตัวผู้ป่วย ในส่วนของการรับตัวผู้ป่วยนั้น ทุกหน่วยงานพยายามอย่างสุดความสามารถ เพื่อให้เข้าถึงตัวผู้ป่วยอย่างเร็วที่สุด แต่หลายครั้ง ก็ติดปัญหา อุปสรรค ก็ต้องแก้ไขกันต่อไป กรณีที่ผู้สูงอายุ ต้องอยู่โดยลำพังทั้งที่ติดโควิด 19 ถือเป็นบทเรียนการทำงานให้กับทุกคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ซึ่งท่านอนุทิน รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ท่านไม่ได้โทษคนทำงาน เพราะทราบว่าทุกคน ทุกฝ่าย ทำงานกันอย่างสุดความสามารถ และนี่ไม่ใช่เวลาจะมาชี้นิ้วโทษใคร ท่านย้ำเรื่องนี้อยู่เสมอว่าไม่ต้องหาคนผิด แต่ขอให้ช่วยกันทำงาน และขอให้ทุกคนช่วยเข้าไปหาทางปรับปรุงการให้บริการให้ดีขึ้น  

ส่วนที่มีการแชร์ภาพว่าสายด่วน 1668 ขาดแคลนเรื่องเครื่องมือในการทำงาน มีเพียงเจ้าหน้าที่ กับโทรศัพท์ ใช้ระบบจดด้วยมือแทนคีย์ข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์โดยตรง ขอเรียนชี้แจงว่า รูปแบบการทำงานนั้น จะให้เจ้าหน้าที่จดข้อมูล เมื่อได้ข้อมูลครบถ้วน จึงจะไปประมวล และบันทึกในคอมพิวเตอร์ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน ปกติ จะทำงานกันตั้งแต่เวลา 8.00 – 22.00 น. แต่ปัจจุบันนี้ ทำงานกันจนถึงตีหนึ่ง ก็ไม่ได้หยุด เจ้าหน้าที่ทุ่มเทเสียสละอย่างยิ่ง 

นายอนุทิน และผู้บริหาร ได้เดินหน้าเพื่อแก้ไขปัญหา เรื่องการประสานงานแล้ว เป็นทีมประเทศไทย มุ่งหวังให้ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาโดยเร็วที่สุด สายด่วน1668 เป็นสายด่วนเฉพาะกิจ บูรณาการหลายหน่วยงานเข้ามาช่วยในเรื่องของการดูแลแก้ไข เรื่องการสื่อสารกับประชาชนในสถานการณ์โควิด 19 โดยเฉพาะ แบ่งเป็น 1. ทีมรับสาย Hotline 1668 จากผู้ป่วยโควิด-19 สอบถามข้อมูลรายละเอียดของผู้ป่วย 2. ทีมข้อมูล มีหน้าที่ในการรวบรวมข้อมูลจากทีมงานสายด่วนและทีมประสานงาน วิเคราะห์ข้อมูล จัดทำฐานข้อมูล สรุปข้อมูลรายวัน 3. ทีมแพทย์ มีทีมแพทย์ประเมินอาการระดับความรุนแรงของผู้ป่วย ซึ่งแบ่งเป็น 3 ระดับ ตามความรุนแรงของโรค และ 4. ทีมตอบสนองและประสานงาน มีหน้าที่ประสานขอเตียงจากโรงพยาบาลเป้าหมาย รวมทั้งโทร.เยี่ยมติดตามอาการของผู้ป่วย ซึ่งแต่ละสายใช้เวลาในการพูดคุย จนกว่าจะเข้าใจตรงกัน ทางเจ้าหน้าที่จะไม่ถามคำ ตอบคำ แต่จะให้ความสำคัญกับทุกสายที่โทรเข้ามา โดยแต่ละวันมีประชาชนโทรเข้ามา 200 - 300 สาย จนทำให้คู่สายล้น ได้จัดให้มีการส่งต่อข้อมูล 

ขณะที่ ในส่วนของการรักษา ได้ปรับมาตรการสำรองยาฟาวิพิราเวียร์จาก 5 แสนเม็ด เป็น 2 ล้านเม็ด พร้อมปรับเกณฑ์ การใช้ยาให้เร็วขึ้น ทุกคนใน กระทรวงสาธารณสุข ทำสุดความสามารถในการแก้ไขวิกฤติ สถานการณ์ ณ ตอนนี้ ต้องขอความร่วมแรงร่วมใจจากพี่น้องประชาชนคนไทย ขอให้ตั้งการ์ดให้สูงที่สุดใส่ หน้ากาก หมั่นล้างมือ เว้นระยะห่าง ลดการเดินทาง ทุกคนสามารถช่วยประเทศไทยได้

เมื่อ “ร้านโชห่วย” ออกมาช่วยในยามวิกฤติ

อินเดียตอนนี้ถือว่าอยู่ในช่วงวิกฤติและน่าเป็นห่วงอย่างมาก เพราะมีจำนวนผู้ติดเชื้อจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 รายวันทำสถิติสูงที่สุดในโลกโดยในวันพุธที่ 21 เมษายน 2564 ที่ผ่านมามีผู้ติดเชื้อสูงถึงเกือบ 3 แสนรายหรือจำนวน 294,290 รายภายใน 24 ชั่วโมง ทำให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมอยู่ที่ 15,609,004 รายมากเป็นอันดับสองรองจากสหรัฐอเมริกา และมีจำนวนผู้เสียชีวิตภายใน 1 วันในวันดังกล่าวสูงถึง 2,020 คนซึ่งสูงที่สุดในโลก ทำให้มียอดผู้เสียชีวิตสะสมสูงถึง 182,570 ราย โดยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญออกมาระบุว่าสาเหตุที่ COVID-19 กลับมาแพร่ระบาดอย่างรุนแรงอีกครั้งก็เนื่องมาจากการผ่อนปรนมาตรการป้องกันโรคต่าง ๆ ทำให้ประชาชนการ์ดตก และล่าสุดที่น่าจะเป็นสาเหตุสำคัญของการแพร่ระบาดใหญ่ในครั้งนี้ก็คือ การจัดพิธีศักดิ์สิทธิ์ในเทศกาลกุมภเมลา ที่มีผู้แสวงบุญที่นับถือศาสนาฮินดูจำนวนมากกว่า 3 ล้านคนแห่ร่วมพิธีอาบน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่แม่น้ำคงคาตามความเชื่อและความศรัทธาโดยไม่สนใจเรื่องการแพร่ระบาดของ COVID-19 เลย

ผลจากการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงในระลอกใหม่นี้ทำให้รัฐบาลอินเดียต้องออกมาตรการล็อกดาวน์ในเมืองใหญ่เพื่อสกัดการแพร่ระบาดโดยให้แต่ละรัฐบริหารจัดการกันเอง เริ่มจากรัฐมหาราษฏระซึ่งมีมุมไบเป็นเมืองหลวง ได้กำหนดช่วงเวลาเคอร์ฟิวไว้ระหว่างเวลา 21.00 น. จนถึง 5.00 น. ของอีกวันหนึ่ง และอนุญาตให้ร้านโชห่วยที่ขายสินค้าจำเป็นแก่การดำรงชีวิตเปิดได้แค่วันละ 4 ชั่วโมง ระหว่างเวลา 7.00-11.00 น. เท่านั้น แต่บริการจัดส่งสินค้าจากร้านค้าต่าง ๆ สามารถทำได้ระหว่างเวลา 7.00-20.00 น. เท่านั้น จนถึงวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 หลังจากนั้น กรุงนิวเดลีเมืองหลวงของอินเดียก็ได้ออกมาตรการล็อกดาวน์เช่นกันเป็นเวลา 1 สัปดาห์ในช่วงวันที่ 19-26 เมษายน 2564 ซี่งมาตรการล็อกดาวน์ของกรุงนิวเดลีมีการบังคับให้ธุรกิจที่ไม่จำเป็นต่อการใช้ชีวิตของประชาชนต้องปิดบริการทั้งหมด โดยในช่วงเคอร์ฟิว แพลตฟอร์ม eCommerce จะได้รับอนุญาตให้ส่งสินค้าได้เฉพาะสินค้าจำเป็นเช่น อาหาร ยารักษาโรค และอุปกรณ์ทางการแพทย์เท่านั้น จนถึงขณะนี้ รัฐต่าง ๆ ในประเทศอินเดียก็ทะยอยประกาศล็อกดาวน์ตามรัฐมหาราษฎระกันแล้ว

การประกาศล็อกดาวน์ของรัฐต่าง ๆ ในประเทศอินเดียจริง ๆ แล้วน่าจะส่งผลดีต่อบริษัท eCommerce ต่าง ๆ โดยเฉพาะบริษัทที่ดำเนินธุรกิจ Online Grocery Supermarket ที่น่าจะตอบโจทย์ได้ดีที่สุดเพราะผู้บริโภคสามารถสั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์ได้สะดวก แต่ปรากฏว่าหลังจากมีการประกาศล็อกดาวน์ บริษัทออนไลน์เหล่านี้กลับประสบปัญหาเป็นอย่างมากในเรื่องของการจัดส่งสินค้า เพราะแม้ว่าผู้บริโภคจะมีความสะดวกในการสั่งซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์ แต่บริษัทกลับมีปัญหาด้านการจัดส่งสินค้าให้กับผู้บริโภคเนื่องจากไม่มีกำลังคนและยานพาหนะเพียงพอในการจัดส่งและยังประสบกับปัญหาเรื่องช่วงเวลาในการจัดส่งด้วย ซึ่งปรากฏการณ์นี้แม้แต่ร้านค้าปลีกออนไลน์ชื่อดังอย่าง Amazon Fresh ซึ่งเป็น Online Grocery Supermarket ที่จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นก็ประสบปัญหาเช่นกัน โดยไม่สามารถจัดส่งสินค้าให้ผู้ซื้อที่สั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์ได้ตามปกติ ทำให้เกิดความล่าช้าในการจัดส่งสินค้าไปหลายวัน ซึ่งสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นแล้ว ผู้บริโภคไม่สามารถรอคอยได้นานหลายวันขนาดนั้น เลยทำให้หน้าเพจสั่งซื้อสินค้าของ Amazon Fresh ต้องถึงกับมีข้อความขึ้นแจ้งลูกค้าไว้เลย เช่น “ตารางเวลาจัดส่งของเราเต็มแล้ว” หรือ “เรากำลังเร่งเพิ่มขีดความสามารถในการจัดส่งให้ดีขึ้น” หรือ “กรุณากลับมาตรวจสอบอีกครั้ง” เป็นต้น หรืออย่างบริษัท BigBasket ซึ่งเป็นบริษัท Online Grocery Supermarket ชื่อดังอีกบริษัทหนึ่งก็มีข้อความแจ้งถึงลูกค้าบนหน้า Home Page ของบริษัทฯ เช่นกันว่า “การจัดส่งสินค้าให้ลูกค้าอาจจะล่าช้าเนื่องจากมาตรการจำกัดการเคลื่อนที่อันเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่”

เมื่อสถานการณ์วิกฤติขนาดนี้ ก็เลยทำให้บริษัทผู้จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ของอินเดียตอนนี้หันมาให้ความสำคัญกับการเติมสต๊อคสินค้าหรือสินค้าคงคลังให้กับร้านโชห่วยหรือ Kirana มากกว่าที่จะไปเพิ่มไว้กับบริษัท eCommerce ซึ่งปรากฏว่าในช่วงหลังที่การแพร่ระบาดของ COVID-19 หนักหนาสาหัสขึ้นในประเทศอินเดียทำให้บริษัทที่จำหน่ายสินค้าออนไลน์หรือบริษัท eCommerce ต่าง ๆ ประสบปัญหากับความล่าช้าในการจัดส่งสินค้าที่มีการซื้อผ่านแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ตามที่ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้ว โดยบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่ของอินเดียต่างออกมาแสดงความคิดเห็นในทิศทางเดียวกันว่าตอนนี้ผู้บริโภคชาวอินเดียได้หันมาซื้อสินค้าจำเป็นจากร้านโชห่วยมากยิ่งขึ้นหลังจากมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 รอบใหม่ที่รุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากความล่าช้าในการจัดส่งสินค้าที่สั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์ ทำให้บริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ต้องกลับลำหันมาให้ความสำคัญกับร้านโชห่วยมากขึ้นด้วยการเติมสินค้าคงคลังให้กับร้านโชห่วยก่อนร้านค้าปลีกประเภทอื่นโดยเฉพาะร้านค้าปลีกสมัยใหม่และร้านค้าปลีกออนไลน์ 

ตอนนี้บริษัทต่าง ๆ ต้องหันมาพึ่ง “ร้านโชห่วย” เป็นหลัก ด้วยการจัดส่งสินค้าไปเพิ่มไว้ในสต๊อคของร้านโชห่วยแทบจะตลอดเวลา โดยทุกบริษัทหันมาให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการรอบเวลาในการจัดส่งสินค้าให้ร้านโชห่วยมากที่สุดด้วยการจัดส่งสินค้าด้วยจำนวนรอบที่ถี่มากขึ้นเพื่อไม่ให้สินค้าขาดตลาดในช่วงเคอร์ฟิว ทั้งนี้ สินค้าที่เป็นที่ต้องการมากจะเป็นสินค้าจำเป็นประเภทอาหารสำเร็จรูปและเครื่องดื่มในบรรจุภัณฑ์ต่างๆ (Packaged Food) และสินค้าเกี่ยวกับสุขอนามัย (Hygiene Products) ซึ่งบริษัทต่างๆจะไม่ยอมให้ขาดตลาดอย่างเด็ดขาด ทั้งนี้ ผู้บริหารของบริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ก็ออกมาสื่อสารกับผู้บริโภคว่าไม่ต้องวิตกกังวลว่าสินค้าจะขาดตลาดและไม่จำเป็นต้องมีการกักตุนสินค้าแต่ประการใด เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ ตอนนี้ให้ความสำคัญกับการเติมสต๊อคสินค้าให้กับร้านโชห่วยใกล้บ้านของผู้บริโภคเป็นอันดับแรกอยู่แล้ว 

น่าสนใจว่าทำไมบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านสินค้าอุปโภคบริโภคในอินเดียถึงหันมาสนใจ “ร้านโชห่วย” หรือ “Kirana” ในภาวะวิกฤติเช่นนี้ คำตอบก็คือ ในปัจจุบันทั้งประเทศอินเดียจะมีร้านโชห่วยที่เรียกกันว่า Kirana มากถึง 12 ล้านร้านกระจายอยู่ทั่วทุกหัวมุมถนนในประเทศอินเดียและกลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของคนอินเดียไปแล้ว โดยคนอินเดียหรือคนที่อยู่อาศัยในประเทศอินเดียจะต้องพึ่งพาซื้อหาสินค้าจำเป็นจากร้านโชห่วยเหล่านี้กันเป็นกิจวัตรประจำวันเพราะเป็นร้านใกล้บ้าน มีสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นทุกอย่างทั้งอาหารและของใช้ต่าง ๆ โดยส่วนใหญ่ผู้บริโภคก็มักจะเป็นลูกค้าขาประจำของแต่ละร้านอยู่แล้วด้วย เพราะฉะนั้นการที่บริษัทผู้จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่เลือกที่จะหันกลับมาใช้ช่องทางของร้านโชห่วยในการกระจายหรือจัดส่งสินค้าให้กับผู้บริโภคในช่วงวิกฤติ COVID-19 จึงถือว่าเป็นแนวทางที่ชาญฉลาดมากด้วยการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่แล้ว นั่นคือ เครือข่ายของร้านโชห่วยใกล้บ้านผู้บริโภคที่กระจายตัวอยู่ทั่วประเทศอินเดีย 

สำหรับอุตสาหกรรมค้าปลีกของอินเดียถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่ามหาศาล ยอดขายรวมของอุตสาหกรรมค้าปลีกอินเดียในปี 2019 สูงกว่า 790,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งมากกว่า GDP ของประเทศไทยในปี 2020 ที่มีมูลค่าประมาณ 527,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และคาดว่าในปี 2024 ยอดขายของอุตสาหกรรมค้าปลีกของอินเดียจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว แต่ที่น่าสนใจมากกว่านั้นก็คือ ที่ผ่านมารัฐบาลอินเดียพยายามปกป้องอุตสาหกรรมค้าปลีกเป็นอย่างมากเนื่องจากในอุตสาหกรรมค้าปลีกของอินเดียจะประกอบไปด้วยผู้ค้าปลีกรายย่อยที่เป็นธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิม (Traditional Retailers หรือ Unorganized Retailers) จำนวนมหาศาลซึ่งก็คือ ร้านโชห่วยหรือ Kirana นั่นเอง ทำให้รัฐบาลอินเดียต้องออกกฏระเบียบต่างๆเพื่อกีดกันบริษัทค้าปลีกต่างชาติไม่ให้เข้าไปเปิดหรือขยายธุรกิจค้าปลีกในประเทศอินเดียมาโดยตลอด ด้วยเกรงว่าจะไปกระทบกับร้านโชห่วยที่มีอยู่ทั่วประเทศอินเดียนั่นเอง

และด้วยมาตรการกีดกันธุรกิจค้าปลีกต่างชาตินี่เองที่ทำให้ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade หรือ Organized Retailers) ในประเทศอินเดียมีสัดส่วนน้อยมาก อย่างในปี 2011 ที่รัฐบาลอินเดียเริ่มเปิดเสรีธุรกิจค้าปลีกเพิ่มเติมอย่างจริงจัง ปรากฏว่าธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในอินเดียขณะนั้นมีสัดส่วนอยู่แค่เพียง 5% เท่านั้น ในขณะที่ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมที่เป็นร้านโชห่วยมีสัดส่วนสูงถึง 95% แต่หลังจากมีการเปิดเสรีธุรกิจค้าปลีกเพิ่มเติมในปี 2011 แล้ว ปรากฏว่าจนถึงปี 2015 ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในอินเดียก็มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นเป็น 8% และธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมลดลงไปเล็กน้อยเหลืออยู่ 92% แต่ก็ยังคงมีสัดส่วนสูงมากเมื่อเทียบกับประเทศต่าง ๆ และในปี 2019 ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 9% ในขณะที่ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมมีสัดส่วนลดลงไปเหลือ 88% แต่ที่เพิ่มเติมขึ้นมาก็คือ ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่แบบออนไลน์ (Organized Online Retailers) ที่เข้ามามีสัดส่วน 3% ทำให้โครงสร้างธุรกิจค้าปลีกในประเทศอินเดียประกอบไปด้วยธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่รวมกันมีสัดส่วนเป็น 12% ในขณะที่ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมหรือร้านโชห่วยมีสัดส่วนลดลงเหลือ 88% และล่าสุดได้มีการคาดการณ์กันว่าในปี 2024 ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ในอินเดียจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 25% ประกอบด้วยธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่แบบมีสถานที่จัดจำหน่ายสินค้า 18% กับธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่แบบออนไลน์ 7% ในขณะที่ธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมจะมีสัดส่วนลดลงเหลือประมาณ 75% 

เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าธุรกิจค้าปลีกแบบดั้งเดิมหรือร้านโชห่วยในอินเดียมีแนวโน้มที่จะหดตัวลงเรื่อย ๆ ในขณะที่ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่กลับขยายตัวอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่แบบออนไลน์ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและมาแรงมาก แถมยังมีบทบาทอย่างสำคัญในสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่มาถึงวันนี้ปรากฏว่าธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่แบบออนไลน์ก็ไปไม่รอดเหมือนกันเมื่อรัฐบาลประกาศล็อกดาวน์ด้วยการกำหนดเคอร์ฟิวและจำกัดการเคลื่อนที่ของประชาชน ทำให้ส่งผลกระทบต่อการจัดส่งสินค้าที่มีการสั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์เพราะไม่สามารถจัดการส่งสินค้าได้ตามปกติ และในที่สุดบริษัทผู้ผลิต/ผู้จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคจำเป็นก็ต้องหันกลับมาใช้บริการ “ร้านโชห่วย” อยู่ดี ก็ถือว่าอินเดียยังโชคดีที่มีเครือข่ายร้านโชห่วยใกล้บ้านผู้บริโภคอยู่ทั่วประเทศ วิกฤติการณ์ครั้งนี้ “ร้านโชห่วย”ก็เลยกลายเป็น “พระเอก” ขี่ม้าขาวมาช่วยได้ในที่สุดแม้ว่าจะเป็นแค่ช่วงเวลาวิกฤติก็ตาม


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

รมว.สุชาติ คอนเฟอเรนซ์ หารือร่วม รองผู้ว่าฯ ระนอง ขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน ลดความเหลื่อมล้ำในพื้นที่

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประชุมทางไกลผ่านระบบ (Video Conference) ร่วมกับรองผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง เร่งเดินหน้านโยบายขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน แก้ปัญหาความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชน บูรณาการทุกภาคส่วน มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิต ลดความเหลื่อมล้ำสอดคล้องบริบทในพื้นที่ 

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2564 เวลา 14.00 น. นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ประชุมทางไกลผ่านระบบ Video Conference ร่วมกับจังหวัดระนอง โดยผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง มอบหมายให้ นายสมจิตร์ เขียนด้วง รองผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง และคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันจังหวัดระนองเพื่อหารือการดำเนินงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน และแนวทางในการปฏิบัติงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกัน โดยมี นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน นางธิวัลรัตน์ อังกินันทน์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน และผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย 

โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี มีความห่วงใยและต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องคนไทย โดยมอบนโยบายให้ทุกภาคส่วนขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาในระดับพื้นที่ โดยเริ่มจากปัญหาที่เป็นความเดือดร้อนเร่งด่วนเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็วทันเหตุการณ์ ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้รับมอบหมายจากท่านนายกรัฐมนตรีให้รับผิดชอบแนวคิดการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันระดับพื้นที่จังหวัด 

จำนวน 3 จังหวัด คือ นนทบุรี ปทุมธานี และระนอง

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า ในวันนี้จึงถือโอกาสเป็นตัวแทนของรัฐบาล ร่วมรับฟังสภาพปัญหากับคณะกรรมการขับเคลื่อนไทยไปด้วยกันในพื้นที่ จ.ระนอง เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาในเชิงพื้นที่ (Area Based) อย่างครอบคลุม และครบทุกมิติ สามารถช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ให้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่อไป

“สำหรับประเด็นด้านแรงงาน จังหวัดระนองมีผู้ใช้แรงงานอยู่ประมาณ 130,000 คน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานภาคเกษตร มีแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานในจังหวัดระนอง ประมาณ 31,000 คน และกลุ่มที่เดินทางเข้ามาทำงานในลักษณะไป-กลับ หรือตามฤดูกาล ประมาณ 6,000 คน ซึ่งกลุ่มนี้จะได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ของโรคโควิด-19 ที่ทำให้ต้องปิดด่านและห้ามแรงงานต่างด้าวเคลื่อนย้ายแรงงานเข้า-ออกพื้นที่ โดยกระทรวงแรงงาน พร้อมให้ความช่วยเหลือ ดูแล และร่วมแก้ไขปัญหาต่างๆ ของจังหวัดระนองต่อไป” รมว.แรงงาน กล่าวในตอนท้าย

???? LOCK LENS GURU  เปิดตัว ‘กูรู’ ทั้ง 5 ท่าน ในสัปดาห์แรก !! 

???? LOCK LENS GURU  เปิดตัว ‘กูรู’ ทั้ง 5 ท่าน ในสัปดาห์แรก !! 
???? เริ่ม วันจันทร์ที่ 26 เมษายน - วันศุกร์ที่ 30 เมษายน  
???? ทุกเช้า 8 โมงตรง   
???? มาร่วมเจาะลึกประเด็นที่น่าสนใจ ไปกับ ‘กูรู’ ตัวจริง พร้อมกัน เร็วๆนี้

????EP.1 วันจันทร์ที่ 26 เมษายน 
???? GURU : ดร.พีรภัทร  ฝอยทอง 
ทนายความและที่ปรึกษากฎหมาย  
▶️ หัวข้อ  : ก๊อป MV : ‘แรงบันดาลใจ’ หรือ ‘หรือลอกเลียนแบบ’

????EP.2 วันอังคารที่ 27 เมษายน
???? GURU : อ.ระวีวรรณ  ทรัพย์อินทร์  
อาจารย์ประจำหลักสูตรการจัดการมรดกวัฒนธรรมและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (BMCI) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
▶️ หัวข้อ  : I Care a Lot เมื่อห่วง...แต่หวังฮุบ มิจฉาชีพในคราบนักธุรกิจ

????EP.3 วันพุธที่ 28 เมษายน
???? GURU : อ.ศรัณย์ ดั่นสถิตย์  
อาจารย์ประจำหลักสูตรการจัดการโลจิสติกส์ คณะวิทยาการจัดการมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตศรีราชา
▶️ หัวข้อ : ภาวะโลกร้อน กับการบุกเบิกเส้นทางเดินเรือสายใหม่ของจีน  

????EP.4 วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน
???? GURU : กภ.คณิต คล้ายแจ้ง  
นักกายภาพ ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลศิริราช
▶️ หัวข้อ : ปลดล็อก!! ‘นิ้วล็อก’ 

????EP.5 วันศุกร์ที่ 30 เมษายน
???? GURU : อ.อาทิตยา ทรัพย์สินวิวัฒน์ 
อาจารย์ประจำสาขานวัตกรรมการสื่อสาร วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
▶️ หัวข้อ : Soft Power ไทย ... อะไรดี ???

???? ดำเนินรายการโดย เจ  THE STATES TIMES

???? ช่องทางรับชม LIVE 
Facebook: THE STATES TIMES
YouTube: THE STATES TIMES
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top