Thursday, 19 June 2025
TheStatesTimes

จันทบุรี - ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ประชุมหารือฝ่ายความมั่นคง หาทางแก้ปัญหาผลกระทบกรณีการสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง ฝั่งจังหวัดไพลิน กัมพูชา ที่กระทบต่อกระแสน้ำและเขตแดน

วันนี้ ( 23 เม.ย.64 ) ที่ห้องประชุม ชุดควบคุมทหารพรานนาวิกโยธินที่ 4 อำเภอโป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี นายสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ได้ประชุมหารือแนวทางแก้ปัญหา ผลกระทบกรณีการสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง ฝั่งจังหวัดไพลิน กัมพูชา โดยมี พลเรือตรีปริญญาธรรม พูลพิทักษ์ธรรม รองผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด  นาวาเอกสมเกียรติ ม่วงมี ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินจันทบุรี พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุม ซึ่งนาวาเอก ศราวุธ บุตรเสรีชัย หัวหน้าชุดควบคุมทหารพรานนาวิกโยธินที่ 3 ให้การต้อนรับและบรรยายสรุปสถานการณ์ในพื้นที่

โดยเบื้องต้นการหารือครั้งนี้เป็นการตรวจสอบและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับการที่ บริษัท โก ออฟ วิวล์ ฝั่งกัมพูชาได้มาสร้างสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ติดแนวชายแดนและจากการประเมินตามผังการก่อสร้างนั้น ทางฝั่งกัมพูชาจะต้องสร้างผนังกั้นกันน้ำเซาะตลิ่งเพื่อความมั่นคงของโครงสร้าง ซึ่งจากประเมินหากมีการสร้างจริง พื้นที่ริมคลองฝั่งประเทศไทยจะได้รับผลกระทบอาจถูกกระแสน้ำกัดเซาะ ส่งผลกระทบต่อแนวเขตชายแดน การก่อสร้างโรงแรม โก ออฟ วิวล์ ฝั่งกัมพูชาเริ่มมีการก่อสร้างเมื่อปี 2561 ซึ่งเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง ทหาร ได้มีการเฝ้าติดตามอย่างต่อเนื่อง เพราะการสร้างสิ่งปลูกสร้างคิดแนวชายแดนนั้นยังมีบางจุดที่ผิดเงื่อนไข ซึ่งจากการที่คณะลงพื้นที่ตรวจสอบได้มีการหารือกับหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสรุปข้อมูลทำรายงานส่งคณะกรรมาธิการต่อไป


ภาพ/ข่าว จรัล บรรยงคเสนา  ผู้สื่อข่าว จ.จันทบุรี

นาย พรเทพ เขม้นเขตวิทย์ รายงานจากศูนย์ข่าวภาคตะวันออก

การดูแลตัวเองให้ดีที่สุดในวิกฤติโควิด-19 เพื่อไม่ให้กระทบคนในครอบครัว แม้กระทั่ง การกระทบทางด้านจิตใจ...

ในสถานการณ์เดียวกัน สำหรับคนที่อยู่กับครอบครัวแบบเราแล้วมันเกิดขึ้น 2 แบบ ขอเล่าแบบแรกและย้อนไปตอนล็อกดาวน์เมื่อปี 2563 ก่อน น่าจะเริ่มตั้งแต่ช่วงเดือนมีนาคม เมษายน ซึ่งตอนนั้นการอาศัยอยู่เป็นครอบครัวของเรา เป็นการอาศัยอยู่แบบเป็นบ้าน 2 ชั้น 3 ห้องนอนปกติ และไม่ใช่เรื่องยากเท่าไหร่ เพราะเราค่อนข้างมีพื้นที่ส่วนตัวมาก นอกจากห้องนอนที่แยกกันอยู่แล้ว พื้นที่จับจ่ายใช้สอยก็ค่อนข้างมีพอเช่นกันที่จะเว้นระยะห่างกัน บวกกับปกติครอบครัวเราจะไม่ค่อยเจอหน้ากันเท่าไหร่

ซึ่งบอกไว้ก่อนว่าครอบครัวเราเป็นคนสนุกสนานมาก และมีเสียงหัวเราะเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันเสมอ แต่เป็นเพราะว่าทุกคนต่างมีหน้าที่ของตัวเองที่ต้องทำ เวลาเลยไม่ค่อยตรงกัน เราก็จะเป็นประเภทที่ค่อนข้างติดห้องนอนอยู่แล้ว และอยู่ในช่วงที่เราเองเรียนจบใหม่ ก็ถือว่าได้รับผลกระทบเต็ม ๆ จากการว่างงาน ทำให้ต้องอยู่บ้านเรื่อยเปื่อยไปอีกยาว ๆ ครอบครัวเรามีกัน 4 คน

ในตอนนั่นนอกจากแม่ก็เหลือพ่อคนเดียว ที่ยังคงต้องไปทำงานอยู่ แต่ช่วงเวลาในการทำงานสั้นลง บริษัทของพ่อไม่ได้มีการประกาศปิด ไม่รู้ว่ามันดีหรือไม่ดีที่พ่อไม่ได้หยุดงานและยังต้องเจอความเสี่ยงมากแค่ไหน แต่คงยังต้องทำมาหากินกันต่อไป เพราะเราก็เลือกไม่ได้แต่สถานการณ์นั้นก็ทำให้เราผ่านมันมาได้ อาจจะด้วยเราก็ไม่ได้ปรับเปลี่ยนอะไรมากไปจากเดิมจากการเป็นอยู่ แต่ก็ถือว่าทุกคนในครอบครัวปลอดภัยก็เพียงพอ

จากนั้นที่สถานการณ์เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนเราก็ได้เริ่มทำงานแล้วในช่วงเดือนกรกฎาคม ขอเล่าต่อในแบบที่ 2 แบบที่ครอบครัวเราได้ย้ายจากบ้านที่เคยอยู่ มาอยู่คอนโด 1 ห้องนอน ตอนนี้เราอยู่กัน 3 คน เนื่องจากน้องชาย 1 สมาชิกของเราต้องไปอยู่หอเนื่องจากมหาวิทยาลัยไกลจากบ้าน ดูทุกอย่างจะลงตัวขึ้น พ่อ แม่ และเราไปทำงานปกติ แต่สิ่งที่ยังคงปฏิบัติอยู่เสมอ คือการสวมหน้ากากตลอด พกเจลแอลกอฮอล์ ล้างมือ หรือแม้กระทั่งใส่ถุงมือในการไปซื้อของ ยิ่งต้องออกข้างนอกไปทำงาน เดินทาง

ซึ่งการย้ายมาอยู่คอนโดจะแตกต่างจากการอยู่บ้านแบบแต่ก่อน เพราะต้องมีการใช้ลิฟท์ส่วนรวม หรือการแสกนนิ้ว และอีกอย่างหลาย ก็ยิ่งค่อนข้างจะเป็นระเบียบและเข้มงวดกับตัวเองมาก กลับมาบ้านทุกคนจะต้องไปอาบน้ำก่อนเลยอันดับแรก พอได้ออกมาข้างนอกหรือมาทำงานเราเลยอยากดูแลตัวเองให้ดีที่สุด เพราะจากเหตุการณ์ที่ผ่าน เราอาจจะไม่ได้เล่าในมุมมองส่วนตัวมากเท่าไหร่ เพราะเราก็เครียดมากจากสถานการณ์โควิด-19 จะเสพข่าวทุกวันว่ามีใครติดเพิ่ม บอกตามตรงว่าเราโกรธโควิดมาก แต่ขอหยุดเล่าถึงความโกรธไว้แค่ตรงนี้

เพราะว่าไม่นานหลังจากนั้น มันกลับมาให้โกรธอีกครั้งจนได้ โอยยยย อยากจะกรี้ดดัง ๆ ๆ แต่คอนโดห้ามเสียงดัง... จากที่โควิด-19 กลับมาระบาดหนักอีกครั้งอีกครั้งในช่วงเดือนธันวา หรือระลอก 2 นี่จะเป็นเรื่องที่เรารู้สึกแย่มาก “ถ้าเราอยู่บ้านเหมือนเดิมก็คงดี” (บ้านก่อนจะย้ายมาคอนโด) นี่เป็นคำที่เราบอกกับพ่อและแม่ออกไปหลังจากที่แม่บอกว่าให้น้องกลับมาอยู่บ้านก่อน เพราะแม่เป็นห่วงทุกคนโดยเฉพาะพ่อที่เป็นเสาหลักของครอบครัว

ตอนนั้นเราไม่ได้ตั้งใจที่จะสื่อไปแบบนั้น เรานึกแค่ว่า จะอยู่กันยังไง ก็ต้องอึดอัด ถ้าเราอยู่บ้านแบบที่เคยอยู่ อย่างที่บอกข้างต้นว่า มีพื้นที่ส่วนตัว และก็ค่อนข้างกว้างแบบเดิมคงดีกว่า ต่างจากคอนโดที่ค่อนข้างหลีกเลี่ยงหรือเว้นระยะห่างได้ยาก และยังต้องมีการใช้พื้นที่ส่วนรวมร่วมกันหลายอย่าง ซึ่งมันแย่มากหลังจากที่ได้พิมพ์ไป (เนื่องจากเหตุผลที่เราย้ายมาอยู่คอนโดก็มาจากปัจจัยที่เราต้องการลดภาระลงด้วย) แต่เรากลับทำให้ครอบครัวรู้สึกแย่...นึกแค่ว่าถ้าอยู่ห้องแยกกันเหมือนเดิมก็คงดีกว่า ซึ่งเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัวมาก จนเราไม่ได้สังเกตเลยว่าตอนช่วงสถานการณ์เริ่มกลับมาปกติ และการที่เราได้ย้ายบ้านมาบ้านใหม่ นอกจากวันอาทิตย์หรือวันหยุดของครอบครัวแล้ว เราได้เจอหน้ากันทุกวัน และได้พูดคุยกันมากขึ้นกว่าเดิมในวันจัทร์-ศุกร์ ซึ่งมันไม่เหมือนเดิม มันดีกว่าเดิม และความสนุกในครอบครัวมันก็ยิ่งทวีคูณมากกว่าเดิมอีก

จากนั้นเราได้คิดทบทวนหลายอย่างว่าทำไมเราถึงโทษสิ่งนั้น ทั้งที่เราไม่ได้นึกคิดเลยว่า การที่ทุกคนในครอบครัวเราอยู่ร่วมกันได้ มันเริ่มจากที่ทุกคนในครอบเรารักกัน และช่วยดูแล รับผิดชอบตัวเองได้ดีมาก ๆ ขนาดเราไปทำงานทุกวันยังนึกเสมอเลยว่า อย่าติดนะ เรากลัวนะ อย่าเป็นนะ ห้ามเป็นนะ ถ้าเป็นไม่ได้นะ มีคนที่บ้านอีกนะ แล้วความกลัวมันทำให้เราระมัดระวังตลอด เราเลยเชื่อว่าทุกคนในบ้านคิดเหมือนเรา ทุกคนเลยปฏิบัติ ดูแลตัวเองมาตลอด เพื่อกลับไปถึงที่บ้านอย่างปลอดภัย และทุกคนในบ้านก็ปลอดภัยด้วยเป็นสิ่งสำคัญที่สุดจนถึงทุกวันนี้

ก่อนนั้นเราเคยถามแม่ว่า ทำไมแม่คอยบอกตลอดว่า ไม่อยากให้พ่อติดโควิด หรือดูเป็นห่วงพ่อมาก แม่ตอบว่าเป็นห่วงทุกคนมากเท่ากัน ส่วนตัวแม่เอง ก็บอกตัวกับตัวเอง ดูแลตัวเองอยู่แล้ว และส่วนที่บอกกับพ่อบ่อย ๆ เพราะไม่อยากให้พ่อเป็นอะไรไปรวมถึงแม่เอง เพราะไม่อย่างงั้นใครจะอยู่ดูแลลูก เป็นคำพูดสั้น ๆ ที่เข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง นี่คือสิ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้และเป็นบทเรียนที่มีค่าที่สุด

ถ้าเรายิ่งดูแลตัวเองดีเท่าไหร่ เราก็ยิ่งดูแลคนที่เรารักได้ดีมากขึ้นเท่านั้น อาจจะเป็นที่มาของคำว่า ก่อนจะดูแลคนอื่น ดูแลตัวเองให้ดีก่อน อาจจะฟังดูฮาร์ดคอร์ หรือแปลก ๆ ไปหน่อย แต่ก็พอที่จะใช้ได้กับเหตุการณ์ที่เป็นแบบนี้ เพราะสุดท้ายมันมีเหตุผลที่ดีกว่าอยู่เบื้องหลังเสมอ


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

กักตัว 14 วัน ทำไรดี ?

‘อยู่อย่างคนเหงาเหงา..อยู่กับความเดียวดาย..แม้ใครจะมองว่าทุกข์..แต่ฉันกลับสุขใจ’

ขอยกเพลง ‘อยู่อย่างเหงา ๆ’ ของ สิงโต นำโชค ให้เป็นบทเพลงที่แทนความในใจของเราได้ดีที่สุดในตอนนี้

ก่อนหน้านี้เราก็เคยอยู่อย่างคนเหงา ๆ ตามเนื้อเพลงจริง ๆ ในช่วงที่ไวรัสระบาดรอบสอง เดือนมกราคม 2564 เราไปเที่ยวเกาะกูดกับเพื่อน ๆ จังหวัดตราด ซึ่งตอนนั้นจังหวัดตราด ถือเป็นพื้นที่สีแดง พอเรากลับมาจากท่องเที่ยวเสร็จ ที่ทำงานของเราสั่งให้กักตัว 14 วัน นั่นเป็นการกักตัวครั้งแรกของเราเลย แต่เป็นการกักตัวที่ยังไม่ได้เตรียมความพร้อม เตรียมข้าวของ เตรียมใจ อะไรทั้งสิ้น อารมณ์แบบเที่ยววันนี้ พรุ่งนี้กักตัว

ตอนที่ทำงานประกาศให้ Work from home เพื่อกักตัว 14 วัน เรามีความคิดชั่ววูบนึง ว่ากักตัวก็ดีสิ ได้อยู่ห้อง อยู่บ้าน ไม่ต้องไปไหน ได้ใช้ชีวิตแบบ Slow Life ตามหนังที่เคยดู หรือตามมายาคติที่หลายๆ คนเคยบอก เราจะได้ลองทำมันในช่วงนี้แหละ

แต่ทำไมพอได้ลองกักตัวอยู่จริงถึงยิ่งเหงากันนะ ?

อย่างแรกเลย พอเราได้อยู่ห้อง และแน่ใจแล้วว่าจะต้องอยู่ห้องแน่ ๆ ไปอีก 14 วัน ไม่ต้องไปไหน ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องแต่งตัว ความขี้เกียจก็จะเข้ามาครอบงำเราทันที อย่างเรา ช่วงกักตัวคือเป็นคนที่ใช้เตียงนอนได้คุ้มค่ามาก เราสามารถอยู่บนเตียงนอนได้ทั้งวัน นั่ง นอน เล่นเกม คอลกับเพื่อน ลุกออกจากเตียงแค่ไปห้องครัว และเข้าห้องน้ำเท่านั้น

อย่างที่สอง เราใช้ชีวิตเดิม ๆ ตื่นมาในห้องเดิม เตียงเดิม หมอนเดิม กิจวัตรเหมือนเดิม ทุกอย่างมันเดิมไปหมด พอถึงจังหวะนี้ เริ่มก็คิดถึงข้างนอก ยิ่งนั่งดูรูปที่เพิ่งไปเที่ยวมา ก็ยิ่งอยากเผชิญโลกอีกครั้ง ร้านสะดวกซื้อในซอยก็ยังดี

และอย่างที่สามที่เราคิดออกในตอนนี้ มันเป็นเพราะว่าเราไม่ได้เลือกเองว่าเราจะอยู่ตรงนี้ มันเป็นสภาพความจำยอมที่ต้องอยู่ เพื่อไม่แพร่เชื้อให้คนอื่น และให้คนอื่นมาแพร่เชื้อให้เรา เปรียบไปตอนเด็ก ๆ ที่เรารู้อยู่แล้วว่าเดี๋ยวเราต้องล้างจาน แต่พอแม่มากระตุ้นก่อนเวลาที่เราจะทำ เราจะไม่อยากทำเสียเฉย ๆ อารมณ์ประมาณว่า ถ้าอยากทำเดี๋ยวทำเอง ไม่ต้องบอก!

การกักตัวสำหรับเรา พอเข้าวันที่ 5 - 6 มันรู้สึกเฉื่อยมาก เวลาแต่ละวันกว่าจะผ่านไปคือนานมาก นอกจากทำงานที่ได้มอบหมายจากที่ทำงาน ในแต่ละวันเราไม่ได้อะไรเลย เราแค่ทำตัวเดิม ๆ อยู่กับกิจวัตรเดิม ๆ

จนมีวันนึง ที่เรานอนอยู่บนเตียงนิ่ง ๆ เราไม่มีอะไรทำเลย ไม่มีอารมณ์อยากเล่นโทรศัพท์ เล่นเกม ดูซีรีส์เลยแม้แต่นิด สิ่งที่เรานอกจากนอนมองเพดานห้อง แล้วเราก็ได้ตั้งคำถามกับตัวเอง แล้วทำไมเราถึงต้องใช้ชีวิตให้มันไม่สนุกด้วย

เราอยากใช้ชีวิตให้มันสนุกแล้วล่ะ

สิ่งแรกที่เราทำ คือทำความสะอาด และจัดห้องใหม่ ยกโต๊ะ ตู้ เตียง ย้ายที่ตามที่ใจเราอยาก ล้างแอร์ รวมไปถึงเปลี่ยนสีหลอดไฟ ทีแรกคิดว่าแค่หาอะไรทำฆ่าเวลา แต่พอจัดเสร็จมันกลายเป็นว่าเราได้เปลี่ยนบรรยากาศ เราได้ใช้พื้นที่ห้องในทุกมุมแล้ว จากปกติเราทำทุกอย่างอยู่บนเตียงนอน เราก็ได้โอกาสออกจากเตียงมานั่งโซฟา ดูโทรทัศน์ ออกไประเบียงรดน้ำต้นไม้ เลี้ยงปลาหน้าห้อง เรียกได้ว่าได้คราวใช้พื้นที่ห้องอย่างคุ้มค่าเสียที

พอจัดห้องเสร็จ สงสัยวิญญาณแม่บ้านเข้าสิง เราอยากทำอาหาร! เราเริ่มจากสั่งวัตถุดิบออนไลน์มาส่งที่คอนโด คิดว่าถึงคราวแล้วที่เราจะได้โชว์สกิลแม่ศรีเรือน พอทำจริง ๆ อาหารของเรากลายเป็นเมนูลดน้ำหนักได้ดีทีเดียว เพราะเราทำอะไรไม่อร่อยเลย นอกจากเมนูไข่ สุกี้ และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่ไม่รู้ทำไมเราก็ยังคงทำอาหารทานเองอยู่ทุกมื้อ อาจจะเพราะเราสนุก อ๋อ โอเค งั้นเอาสนุกก่อนแล้วกัน ความอร่อยค่อยพัฒนาตามมา

อีกอย่างที่เราทำเป็นประจำ คือ ร้องเพลง มีดนตรีในหัวใจ เราร้องหมดทุกแนว สากล ไทยสากล ลูกทุ่ง เพื่อชีวิต เราอินได้กับทุกเพลง เพลงไหนเศร้ามาก เรานั่งร้องไห้ เพลงไหนสนุกหน่อย เราเต้นเหมือนโคโยตี้เลย ร้องด้วยเสียงเพี้ยน ๆ ของเราเนี่ยแหละ โครตจะมีความสุข

อย่างเรา เราเป็นคนที่มีความสุขได้ง่ายมาก สถานการณ์โรคระบาดจึงมีผลกับเราน้อย เราไม่ชอบให้ตัวเองไม่มีความสุขด้วย เราเป็นคนที่มีความเชื่อว่าความทุกข์จะต้องอยู่กับเราไม่นาน หรือมีท่าทีว่าจะนาน ก็เป็นเราเนี่ยแหละที่จะทำให้มันหายไปเอง กักตัวเราก็จะสู้ เราจะอยู่รอด อย่างน้อยก็รอดจากความเครียด

ช่วงกักตัวถือเป็นโอกาสสำหรับเราที่ได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับตัวเอง เราได้พูดคุยกับตัวเองมากขึ้น เรารู้ว่าเราต้องการอะไร ไม่ต้องการอะไร เรามีเป้าหมายในชีวิตใหม่ ได้รู้วิธีทำให้ตัวอย่างมีความสุข เราได้ทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราเคยอยากทำแต่พลัดวันไปเรื่อย ๆ จนหมด

เราแชร์วิธีการกักตัวให้มีความสุขฉบับของเรา มาเล่าให้ผู้อ่านฟังนะคะ เผื่อผู้อ่านจะลองนำวิธีของเราไปใช้ดู จริงอยู่ที่เราได้ทำหลาย ๆ อย่างในช่วงกักตัว แต่ให้เลือกได้ เราก็อยากทำทุกอย่างเองแบบอิสระ ไม่ต้องมีสถานการณ์โรคระบาดมาเป็นข้อกำหนดอยู่ดีแหละเนอะ แล้วผู้อ่านคิดว่ายังไงคะ ?


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

Self Home Quarantine​: กักตัวกับบ้าน​ มายาคติแห่งอิสรภาพ​ แต่บาปไปตกกับคนรอบตัว

ช่วงนี้เห็นกระแสบ่นถึง​ 'อิสรภาพ'​ ที่สูญหายจากการถูกกักตัวใน​ State​ Quarantine​ รูปแบบต่าง ๆ​ จากบรรดาผู้ติดเขื้อโควิด-19 ทั้งที่ต้องกักตัวในโรงพยาบาลทั่วไปหรือแม้แต่โรงพยาบาลสนามที่ต้องเปิดเพิ่มกันแทบทุกจังหวัด​

แต่ที่ทำให้ขุ่นมัวประสาทตานิดหน่อย​ คือ​ บางคนที่ต้องกักตัวดันชอบออกมาแชร์​ แอร์ไม่มี​ อาหารสุนัข​ไม่รับประทาน​ บริการไม่​ First​ Class

เฮ้ย!! รู้ไหมว่า​ ไอ้สิ่งที่ตัวคุณเป็นอยู่เนี่ย​ มองในเชิงกายภาพ​แล้ว​ มัน​เหมือน​'​ระเบิดเคลื่อนที่'​ ที่มีความอันตรายสูง​ จนคนเขาอี๋กันอยู่นะเว้ยเฮ้ย

อยากได้อิสรภาพ​ในวันที่ตัวเองติดโควิด-19 จนทำตัวเหมือนตนเองไม่รู้เดียงสา​ เล่นไฮโล​ โชว์ก้น​ เซลฟี่กันเพลิดเพลินในที่กักกัน​ โดยมิได้สำเหนียกว่าตนเองอยู่ในสถานะอะไร​ (ผู้ป่วย)​ ก็อย่าทะลึ่งการ์ดตกกันดิฟระ!!

14​ วันในการกักตัว​ของผู้ติดเชื้อ​ มันน่าอึดอัด​ มันไม่อิสระ​ มันไม่สามารถทำอะไรตามใจนึกได้ อันนี้เข้าใจดี แต่มันไม่มีวิธีไหน​ดีสุดเท่ากับการยึดมั่นในวินัยที่ตัวผู้ติดเชื้อต้องแบกรับ​นะฮิ...

เพราะหัวใจของการควบคุมโควิด-19 ในกลุ่มคนที่ติดเชื้อแล้ว​ มันมีความหมาย​ ต่อทั้งตัวคุณเอง​ ว่า​ 14​ วันนี้จะรุนแรงจนแดดิ้นดับ​ หรือจะได้กลับไปสู่อ้อมอกครอบครัว​ หรือสังคมหรรษาที่จากมา

เอาล่ะ!! ที่ว่ามาทั้งหมด​ ขอจบในกรณีผู้ที่ติดเชื้อ​แล้วต้องถูกเฝ้าดูอาการ...

แต่เนื่องจากโรคนี้ 80% มักไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย ทำให้ยากที่จะรู้ ครั้นจะจับคนมาสวนจมูกตรวจเชื้อ​ ก็ดูจะสิ้นเปลืองทรัพยากรมาก และถึงผลการตรวจจะบอกว่า Negative หรือไม่พบเชื้อ ก็ยังไม่อาจไว้ใจได้ และต้องกักตัว 14 วันอยู่ดี

มันก็เลยเป็นที่มาของ​คนอีกกลุ่มที่เรียกว่า 'กลุ่มเสี่ยง'​ ซึ่งต้องมีการกักตัว 14 วัน​ แบบ 'เฝ้าระวัง'​ เพื่อดูความเคลื่อนไหวของโรค

อย่างไรซะ​ การกักตัว 14 วันแบบเฝ้าระวังของกลุ่มเสี่ยง ก็มีรูปแบบให้เลือกอยู่​ 2​ แนวทาง​ได้แก่...

1.)​ การกักตัวแบบ​ State Quarntine ซึ่งจะสร้างความมั่นใจให้กับสังคมได้มากกว่า​ เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นหรือไม่เป็น​ คนรอบข้างจะไม่เจอผลกระทบ แต่ก็มีราคาที่ต้องจ่ายในระดับหนึ่ง​ รวมถึง ราคาแห่งเสรีภาพที่ผู้ถูกกักต้องสูญเสียไปใน

สถานที่กักตัวที่เป็น State Quarantine นั้น ๆ​ เพราะต้องกักตัวในห้องเดี่ยว ไม่เอาไปนอนรวมกันกับห้องสองคนสามคน​ ที่หากมี 1 คนติดเชื้อคนที่เหลือก็จะติดเชื้อไปด้วย

กลุ่มเสี่ยงที่กลับจากต่างประเทศ หรือกลับจากเมืองและแหล่งเสี่ยงหนักมาก​ จึงมักถูกดูแลกักตัว 14 วันโดยรัฐก่อนกลับสู่ชุมชน หากเสี่ยงน้อยก็สามารถให้กลับบ้านไปกักตัวเองที่บ้านได้ แต่ต้องมีระบบการติดตามเยี่ยมหรือเฝ้าระวังจากคนในชุมชน​ (ส่วนใครที่มีเชื้อจะต้องมาแจ้งเพื่อแยกกักตัวจากทางบ้านโดยอัตโนมัติ​ ห้ามปิดบัง​ เพราะมีความผิด)​

2.) การกักตนเองที่บ้านหรือ Self Home Quarantine เป็นอิสรภาพที่หลายคนที่ผ่านพ้นพื้นที่เสี่ยงมามักแสวงหา​ เพราะมันก็คือการกลับมาบ้านของ​ตนเอง​ ซึ่งสะดวกและมีความสุขในมุมผู้ถูกตีตราให้กักตัว

แต่ทราบหรือไม่ว่า​ ในความเป็นจริงแล้ว​ การกักตัวที่บ้านก็ต้องมีวินัย และต้องเป็นคนพอมีอันจะกินด้วยถึงจะทำให้การกักตัวมีประสิทธิภาพ

ฟังแล้วแปลก ๆ​ และทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ?

เพราะปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจของคนแต่ละคนไม่เหมือนกัน

เคยมีแพทย์อินเดียท่านหนึ่งได้เสนอบทความว่า Home quarantine is priviledge หรือ​ การกักตัวที่บ้านนั้น​ เหมาะแก่​ กลุ่มอภิสิทธิ์ชน ที่สุด​ หมายความว่า เขาต้องมีบ้านหลังใหญ่พอ มีห้องนอนมากพอ มีคนดูแลส่งข้าวส่งน้ำ มีเงินออมที่ไม่ต้องทำงาน 14 วัน​ก็มีข้าวกิน เป็นต้น

ซึ่งชีวิตคนส่วนใหญ่​ มันก็มักจะสวนทางกับสิ่งที่เขาว่ามาทั้งนั้น​ และนั่นก็ยากที่จะทำให้การกักตัวเป็นไปอย่างมีประสิทธิผล

ในประเทศไทย​เอง​ ก็สะท้อนปัญหาด้านความพร้อมของการกักตัวที่บ้านได้ชัด​ โดยผ่านประสบการณ์​ของ​ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ​ ผู้อำนวยการ​ โรงพยาบาล​ จะนะ จังหวัดสงขลา​ ทึ่เคยแชร์ให้ฟังว่า...

"ผมมีประสบการณ์ตรงเกี่ยวกับเรื่องนี้​ โดยผู้ใหญ่บ้านโทรมาปรึกษาว่า มีคนกลับจากมาเลเซีย และเขาเข้าใจว่าต้องกักตัวเอง 14 วัน

"แต่บังเอิญบ้านเขาเล็กมาก แถมดันอยู่เป็นครอบครัวใหญ่ ญาติพี่น้องก็ยากจน ไม่รู้จะทำอย่างไร ให้มากักตัวที่โรงพยาบาลได้ไหม ?

"ผมก็ตอบไปว่า หากป่วยติดเชื้อ มากักที่โรงพยาบาลได้ แต่หากเป็นการเฝ้าระวังเช่นนี้ ก็ต้องให้ผู้ใหญ่เป็นธุระในการจัดการ ซึ่งจะใช้โรงเรียน ใช้กุฏิร้าง ได้ไหม ผู้ใหญ่ต้องปรึกษากันเองในหมู่บ้าน"

จากตัวอย่างนี้​ ลองนึกภาพดูว่า​ ถ้าคุณเกิดติด​เชื้อโควิด-19​ ในช่วงเฝ้าระวังขึ้นมาบนพื้นฐานครอบครัวราว ๆ​ นี้ โอกาสที่คนในครอบครัวจะติดจากคุณ​ จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ? ยิ่งถ้าคนในบ้านเกิดมีผู้สูงอายุอยู่ด้วยจะเป็นอย่างไร ? เพราะหากย้อนดูข้อมูลจากกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขแล้ว​ จะพบว่า​ ที่ผ่านมากลุ่มผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 เป็นผู้ป่วยที่มีอายุมาก คิดเป็นค่าเฉลี่ยประมาณ 50% ของคนสูงอายุที่เกิน 70 ปี ขึ้นไป​ทั้งสิ้น

ฉะนั้นหากมองภาพความเป็นจริงของสังคมไทย​ หรืออาจจะสังคมอื่น ๆ​ คนที่มีศักยภาพพอที่จะกักตัวได้แบบไม่สร้างภาระหรือนำโรคไปแพร่ให้คนในครอบครัวได้​ 'มันน้อย'​ ก่อนหน้านี้คนเขียนก็เจอกับตัวมาแล้ว​ เพราะบ้านเพื่อนติดกันทั้งบ้าน​จากการกักตัว​เอง​แบบเฝ้าระวัง แต่มีข้อจำกัดของการใช้พื้นที่ร่วมในบ้านและวินัยที่ต่ำ​ จนคนในบ้านร่วม​ 5​ ชีวิตตั้งแต่เด็กยันแก่​ ติดโควิดกันถ้วนหน้า​

อย่าปล่อยให้พวกเขาต้องมาเจ็บและเสียชีวิตจากโควิด-19 เพียงเพราะคำว่าอิสรภาพโง่ ๆ​ ที่มักนำพาวินัยต่ำ ๆ​ มาสู่ตน​ ภายใต้การการ์ดตก​ของตัวเอง...ว่าแล้วโบกหัวตัวเอง​ 10​ ที​ ปฏิบัติด่วน!!

อ่ะ​!! บ่นไปเยอะ​ เอาเป็นว่าใครที่อยู่คนเดียว การกักตัวเฝ้าระวัง 14 วันที่บ้านไม่ใช่เรื่องยาก แต่หากใครต้องอยู่บ้านกับครอบครัวที่อยู่กันหลายชีวิต​ อยากให้เคร่งครัดกับวินัยตามนี้...

1.) ที่วัดอุณหภูมิร่างกาย ที่ปกติแล้วอุณหภูมิในร่างกายไม่ควรเกิน 37.5 องศาเซลเซียส ซึ่งข้อนี้ใครกักตัว 14 วันที่บ้าน และอยู่บ้านคนเดียวก็ต้องมีไว้ เพื่อเช็กอาการของตัวเองเป็นระยะ ๆ

2.) ล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์บ่อยๆ อยู่คนเดียวก็ต้องปฏิบัติข้อนี้เช่นกัน

3.) หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับคนในบ้าน มีระยะห่าง 1-2 เมตร โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และคนในบ้านที่มีโรคประจำตัว

4.) แยกห้องนอน เป็นห้องพักที่โปร่ง อากาศถ่ายเท แสงแดดเข้าถึง

5.) แยกห้องน้ำ หากแยกไม่ได้ ให้ใช้เป็นคนสุดท้าย ทำความสะอาดทันที ปิดฝาก่อนชักโครกทุกครั้ง จุดเสี่ยงที่สำคัญคือ โถส้วม อ่างล้างมือ ก๊อกน้ำ ลูกบิดประตู

6.) แยกของใช้ส่วนตัว จาน ชาม แก้วน้ำ เสื้อผ้า ผ้าห่ม ผ้าเช็ดตัว และแยกทำความสะอาด

7.) แยกรับประทานอาหาร ตักแบ่งมาต่างหาก ล้างด้วยน้ำยาล้างจาน ผึ่งแห้ง ตากแดด

8.) แยกขยะที่มีสารคัดหลั่ง น้ำมูก น้ำลาย เช่นหน้ากากอนามัย ทิชชู เพราะเป็นขยะติดเชื้อ ใส่ถุงขยะ 2 ชั้น ราดด้วยสารฟอกขาว มัดปากถุงให้แน่นก่อนนำไปทิ้ง กรณีนี้สำคัญมากรวมถึงคนที่กักตัว 14 วันที่บ้าน ที่กักตัวอยู่คนเดียวก็ต้องทำด้วยเช่นกัน เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อออกไปสู่คนอื่น

9.) สวมหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะเมื่อต้องพบปะคนอื่น และต้องอยู่ห่างกัน 1 - 2 เมตร

10.) ทั้งคนที่กักตัว 14 วันที่บ้านคนเดียว และอยู่บ้าน ก็ต้องงดกิจกรรมนอกบ้าน หยุดงาน หยุดเรียน งดใช้รถสาธารณะ

นอกจากนี้คนในครอบครัวเองก็ต้องระมัดระวังตัวเองด้วย โดยต้องล้างมือบ่อยๆ ระวังจุดเสี่ยงสัมผัสต่างๆ แยกใช้สิ่งของร่วมกัน

ส่วนพวกที่อยู่คอนโด แม้อยู่คนเดียว ก็ต้องเน้นเรื่องการแยกขยะฆ่าเชื้อ ใส่ถุงขยะ 2 ชั้น มัดปากถุงให้แน่นก่อนทิ้ง งดใช้บริการของส่วนกลาง เช่น สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส

ส่วนการเริ่มนับวันกักตัวจำนวน 14 วันที่บ้าน​ จะต้องนับจากวันไหนนั้น ขอให้เริ่มนับจากวันที่เจอผู้ติดเชื้อโควิดวันสุดท้าย เช่น หากเจอเพื่อนที่เป็นโควิดวันที่ 1 เมษายน ซึ่งยังไม่แสดงอาการ จนกระทั่งยืนยันว่าพบเชื้อวันที่ 4 เมษายน ก็ให้นับตั้งแต่วันที่เจอคือ 1 เมษายน​ และต่อไปอีก 14 วันเลย

อย่างไรเสียคนที่ยอมกักตัวเองอย่างมีวินัย ยอมทิ้งอิสรภาพบางประการ​ พร้อมทำตัวเหมือนคนไข้คนหนึ่งที่เต็มไปด้วยความรับผิดชอบและเชื่อฟังตามแพทย์แนะนำ​ ควรได้รับความชื่นชม ไม่ไปรังเกียจเขา

เพราะเขาจะเป็น​ 'ฮีโร่'​ ได้​ทันที​ หากวินัยในช่วง 14 วันนั้น ส่งผลต่ออนาคตที่ภาคส่วนด้านสาธารณสุขควบคุมต่อได้โดยง่าย

.

ข้อมูลอ้างอิง:

https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2068084

https://www.chanahospital.go.th/content/

https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/873235


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit
คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

ถ้าต้องโดนกักตัวอยู่บ้าน 14 วัน เหล่าคนดังจะทำอะไร ‘ทิพย์...ทิพย์’ กันบ้าง?

ก่อนอื่น มิได้แช่งใครให้ต้องกักตัวนะครับ แฮ่! แต่อย่างที่ทราบกันดี ช่วงเวลานี้ ข้าศึก เอ้ย! พี่โควิด บุกกระหน่ำทำแฮททริคไปแล้ว 3 รอบ เล่นเอาประเทศไทย คนไทย ป่วนสุดอะไรสุด ณ ขณะนี้

จึงเป็นที่มาของการขอความร่วมมือจากทางการให้ ‘อยู่กับบ้าน’ หรือเรียกทางการสักหน่อย คือการกักตัวเอง อยู่กับที่ ไม่เคลื่อนตัวไปไหน จะเป็นการช่วยกันในยามนี้ ได้ดีที่สุด

เวลากักตัวอยู่บ้าน ถ้าทำงานไปด้วย เราเรียก ‘เวิร์ค ฟอร์ม โฮม’ บางคนจมอยู่หน้าจอดูซีรี่ย์ อันนี้เรียก ‘เน็ตฟลิกซ์ ฟอร์ม โฮม’ หรือบางคนจิ้มๆ ๆ ๆ ซื้อของบนมือถือ อันนี้เรียก ‘โชปี๊ ฟอร์ม โฮม’ (หรือใครจะเถียงว่า เป็นอาการ ‘ลาซาด้า ฟอร์ม โฮม’ อันนั้นก็สุดแท้)

เวลานี้ ไม่ว่าใคร ล้วนแต่ต้องกักตัวเองให้ปลอดภัย จะปลอดภัยกับตัวเอง หรือจะปลอดภัยกับคนอื่น ยังไงก็ควรต้องทำ แต่ไหน ๆ ก็เบื่อ ๆ เครียด ๆ กับบรรยากาศการระบาดของโควิด แถมยังต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน งั้นเรามาลองตั้งโจทย์สนุก ๆ กันดีกว่า

ช่วงนี้ไปไหนไม่ได้ เห็นหลายคนใช้วิธีไปแบบทิพย์..ทิพย์ ถ้างั้นสมมตินะครับสมมติ ถ้าเหล่าคนดังระดับประเทศ ต้องโดนกักตัวอยู่บ้าน 14 วัน คิดว่าพวกเขา (น่าจะ) ทำอะไร ‘แบบทิพย์...ทิพย์’ กันบ้าง?

พริษฐ์ ชีวารักษ์ & ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล: สำหรับเพื่อนรักสายสามนิ้วคู่นี้ ตอนนี้ไม่ได้แค่กักตัว 14 วัน แต่ถูกควบคุมตัวมาเป็นเดือนแล้วล่ะ แฮ่! ทางเราขอแนะนำว่า ให้คุณเพนกวิน และคุณรุ้ง ลองทำกิจกรรม ‘ม็อบทิพย์’ เพื่อสร้างสีสันในยามกักตัว แก้เหงา หรือจะเพิ่มเอาอีกออพชั่นหนึ่ง ด้วยกิจกรรม ‘อิ่มทิพย์’ เพราะทราบข่าวว่า ทั้งสองท่านอดอาหารกันอยู่ Fighting!

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ : ช่วงนี้ไม่ค่อยเห็นคุณเอก –ธนาธร ตามหน้าสื่อเสียเท่าไร ไม่แน่ใจกำลังกักตัวอยู่หรือเปล่า หรือว่ากำลังเตรียมโปรเจ็คต์ใหญ่ อันนี้ก็ไม่ทราบได้ แต่เอาเป็นว่า แนะนำกิจกรรมทิพย์ให้คุณเอกนิสนึง เป็น ‘วัคซีนทิพย์’ เพราะที่ผ่านมา คุณเอกเป็นหัวหอกด้านการวิพากษ์วิจารณ์การจัดหาวัคซีนของรัฐบาลมาตลอด ๆ ทั้งมาช้า มาน้อย มาได้ มาเสีย โอย...สารพัด คงต้องจัด ‘วัคซีนทิพย์’ ให้ไปเพื่อความฟิน อ๊อ! แต่ไม่แนะนำลูกพรรคก้าวไกล อาทิ คุณวิโรจน์ ลักขณาอดิศร นะครับ ท่านนี้ก้าวไกล ก้าวไว ก้าวก่อน ไปฉีดวัคซีนเรียบโร้ยยย แฮ่ะ ๆ

อนุทิน ชาญวีรกูล: อีกท่านที่แนะนำให้ลองกิจกรรม ‘วัคซีนทิพย์’ เพราะที่ผ่านมา ชุลมุนวุ่นวายกับการจัดหาวัคซีนมาตลอด ได้จินตนาการถึง ‘วัคซีนทิพย์’ เอาที่แบบมาสารพัดยี่ห้อไปเลย เผื่อ ส.ส.ฝ่ายค้านได้ฉีดกันให้ครบถ้วน จะไม่มีประโยคแทงม้าตัวเดียว เพราะงานนี้แทงม้าทั้งคอก เอาที่สบายใจกันไป

ปิยบุตร แสงกนกกุล : จารย์ครับ ทางเราขอแนะนำ ‘กฎหมายทิพย์’ เพราะอย่างที่แควน ๆ เอ้ย! แฟน ๆ ที่ติดตามผลงานอาจารย์ทราบดี อาจารย์ค่อนข้างหมกมุ่น เอ้ย! ใช้คำว่า อาจารย์ค่อนข้างแม่นยำเรื่องกฎหมายมากมาย และอาจารย์ก็อยากแก้กฎหมายนู่นนี่นั่นมากมายเช่นเดียวกัน ดังนั้น แนะนำกิจกรรม ‘กฎหมายทิพย์’ ในช่วงกักตัวอยู่บ้าน อาจารย์เขียนเลยครับ เขียนกฎหมายทิพย์กันให้หนำใจ

ทักษิณ ชินวัตร: สำหรับท่านนี้อาจจะอยู่นอกเมือง เอ้ย! เมืองนอก มาอย่างยาวนานนนนน แต่นี่เป็นเรื่องสมมตินะครับสมมติ สมติถ้าคุณโทนี่จะต้องกักตัวอยู่เฉย ๆ 14 วัน ทางเราก็ขอแนะนำ ‘เมืองไทยทิพย์’ ออกเสียงคล้าย ๆ อุทัยทิพย์ กินชื่นใจดับร้อน แต่สำหรับ ‘เมืองไทยทิพย์’ อันนี้เป็นกิจกรรมให้คุณโทนี่มโนถึงเมืองไทย ให้ชื่นใจคลายเหงา แฮ่! อยากไปเที่ยวไหน จัดเลยขอรับ!

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา: ปิดท้ายที่ ‘ลุงตู่’ นายกรัฐมนตรีประเทศไทย ในโลกความจริงลุงตู่มีภารกิจมากมาย คงยากที่จะได้กักตัว แต่สมมติถ้าได้กักตัว แนะนำกจิกรรม ‘สเปซทิพย์’ ชื่อแปลกหู ดูอินเตอร์ หรือจะเรียกเป็นไทยว่า ‘อวกาศทิพย์’ ก็ได้เช่นกัน ไม่มีที่ไหนจะสงบเงียบและสบายใจไปกว่าอวกาศอีกแล้ว จินตนาการเลยครับ ว่าได้ท่องไปในท่องอวกาศ ล่องลอยยยยย ล่องไปในอ๊าววะกาด! แนะนำให้โทรปรึกษาอีลอน มัสก์ เสียก่อนก็ได้ ถ้าไม่มั่นใจเรื่องการเดินทาง แฮ่!

ย้ำ! สมมตินะครับสมมติ ดังนั้น ขอจบแต่เพียงเท่านี้ ก่อนที่จะได้ไปประกอบกิจกรรม ‘ตะรางทิพย์’ ที่ไหนสักแห่ง แฮ่! ขออนุญาตบ้ายบาย สู้ตายนะพี่น้องชาวไทย เราจะผ่านโควิดไปด้วยกัน ปู๊น ๆ!!


สนับสนุนข่าวโดย : แหล่งรวม "บทความและคอนเทนต์แปลกใหม่!!!" แบบไร้ Toxic ติดตามได้ที่ THE STATES TIMES Blockdit

คลิก : https://www.blockdit.com/pages/60583e7ff90e240c3e7f1c32

การคมนาคมในสวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland) : ใช้ชีวิตด้วยการเดินทาง ที่มีเวลาและระเบียบเป็นสิ่งสำคัญ ทำให้...ชื่นชอบสวิตเซอร์แลนด์

ถ้าพูดถึงเรื่องการเดินทางในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ก็น่าจะเป็นรถยนต์ส่วนตัว และรถสาธารณะหรือรถประจำทางที่เป็นส่วนประกอบสำคัญที่สุด ส่วนทางน้ำคือการใช้เรือและเรือข้ามฟากก็พอมีบ้าง แต่อาจเทียบเป็นเปอร์เซนต์แล้วได้ค่อนข้างน้อย จักรยาน หรือ ebike ก็เช่นกัน รถยนต์น่าจะมีเปอร์เซนต์สูงที่สุดแล้ว

สวิสเป็นประเทศที่ค่อนข้างเล็กจากเหนือจรดใต้ห่างกันเพียง 220 กิโลเมตร และจากตะวันออกถึงตะวันตก 348 กิโลเมตร เท่านั้น และมีประชากรเพียง 8.723.277 ล้านคน ในปี 2020 วันนี้เลยอยากเล่าไปถึงเมื่อสมัย 20 ปีที่แล้ว ตอนที่ผู้เขียนพึ่งมาอยู่สวิสใหม่ ๆ มีรถยนต์บนท้องถนนไม่มากเท่ากับทุกวันนี้ เทียบปี 2000 กับ 2020 มีรถยนต์เพิ่มขึ้นประมาณ 31 % เลยนะ แถมโมเดลของรถก็ค่อนข้างเปลี่ยนไป สมัยก่อนเราจะเห็นแต่รถคันเล็ก ๆ เป็นรถเพื่อการใช้งานโดยเฉพาะ แต่เดี๋ยวนี้เราจะเห็นรถคันใหญ่ ๆ แบบในอเมริกาเยอะขึ้น บริบทของสังคมเริ่มเปลี่ยนไป รถยนต์ไม่ใช่เพื่อการใช้งานเพียงอย่างเดียวแต่เป็นการบอกสถานะทางสังคมไปด้วย ซึ่งแน่นอนไม่ใช่ทั้งหมดเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น คนสวิสนิยมซื้อรถมือสองมากกว่าผ่อนไฟแนนซ์ อย่างที่บอกคือเพื่อใช้งานอ่ะเนอะ รถใหม่ก็อาจเป็นพวกคนชอบเล่นรถจริง ๆ หรือแบบคนฐานะดีมาก ๆ แต่คนประเภทนี้ก็จะเปลี่ยนบ่อย ๆ ไม่รอให้ราคาตกมากก็ไปเทิร์นคันใหม่ ประหนึ่งว่าผ่อนไม่เคยหมดคัน

ด้านรถโดยสารก็จะมีรถไฟ และรถบัส การรถไฟของสวิสมีบริการรถไฟโดยสาร 5,000 ขบวนโดยประมาณ ซึ่งครอบคลุมระยะทาง 274,000 กิโลเมตรต่อวันเชียวนะ ผู้เขียนก็เป็นคนหนึ่งที่เดินทางโดยรถบัสและรถไฟไปทำงานในเมืองซูริคทุกวัน จากประตูบ้านถึงหน้าออฟฟิศใช้เวลา 1 ชั่วโมงพอดิบพอดี อาจแลดูเหมือนนานแต่จริง ๆ ไม่นานเลยนะ จากบ้านขึ้นรถบัสเพื่อไปสถานีรถไฟ มีเวลาเปลี่ยนรถ 5 นาที ขึ้นรถไฟไปลงสถานีหลักที่ซูริค จากนั้นต่อรถไฟอีกขบวนไปที่ทำงาน บนรถไฟภาพที่เห็นจนชินตาคือจะเห็นคนนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ฟรีที่แจกตามสถานีรถไฟนั่นแหล่ะ บางคนก็ใส่หูฟัง ฟังเพลง บางคนเอาโน๊ตบุ้คขึ้นมานั่งทำงาน บรรยากาศจะเงียบสงบมาก แต่พอถึงเวลาลงเมื่อไหร่ละก็ เดินแทบจะชนกันเลยล่ะ

ในซูริค ช่วงเร่งด่วนคือเช้ากับเย็น ผู้คนจะเดินกันขวักไขว่และเดินค่อนข้างเร็วไม่เหมือนบ้านเรา ที่รู้เพราะเวลาครอบครัวมาเยี่ยม หรือเพื่อน ๆ มาหาจากเมืองไทยจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทำไมเดินเร็วจัง จริง ๆคือไม่เคยสังเกตตัวเองเลย

บางขบวนรถไฟก็จะมีโบกี้เด็กด้วยนะ มีซไลเดอร์ของเล่นสำหรับเด็ก ทำให้การเดินทางไม่น่าเบื่อสำหรับผู้โดยสารตัวน้อย การเดินทางที่สวิสตรงต่อเวลามาก สามารถกะเวลาได้แบบเป๊ะ ๆ เลย ปี ๆ นึงจะมีการล่าช้าอยู่ไม่กี่ครั้งหรอก ไม่ว่าเราจะอยู่ตรงไหนก็จะมีรถประจำทางเสมอทำให้เราเดินทางไปไหนมาไหนค่อนข้างสะดวก

จริง ๆ ผู้เขียนก็ขับรถเป็นมีใบขับขี่แต่แทบจะไม่ได้แตะรถเลย เพราะรถโดยสารมันสะดวกมาก ถ้าเทียบเรื่องค่าใช้จ่ายก็น่าจะไม่ได้แตกต่างกันมาก เพราะรถส่วนตัวจะมีค่าภาษีรถ ภาษีถนน และอื่น ๆ อีก การขับรถบนไฮเวย์ก็จะเสียค่าสติ๊กเกอร์แปะรถต่อปีคือ 40 สวิสฟรังค์เท่านั้น ซึ่งถูกมากถ้าเทียบกับประเทศใกล้เคียง

ผู้คนค่อนข้างรักษากฎจราจรเคร่งครัดเพราะปรับจริงยึดใบขับขี่จริง จะเห็นก็มีแต่จักรยานที่ไม่ค่อยรักษากฎเท่าไหร่ โดยเฉพาะในเมือง เช่นในซูริค จักรยานจะขี่แบบเย้ยฟ้าท้าดินมาก ผ่าไฟแดงบ้างอะไรบ้างเป็นเรื่องที่เห็นกันชินตา และถ้าจะไม่พูดถึง ebike นี่ไม่ได้เลยนะ ช่วงหลายปีมานี้คือมาแรงมาก เป็นจักรยานที่มีแบตเตอรี่ การปั่นอีไบค์ ก็เหมือนการปั่นจักรยานทั่วไปนั่นแหละ เป็นเครื่องทุ่นแรงเพราะสภาพภูมิประเทศของสวิสที่มีภูเขาน้อยใหญ่ บางครั้งขี่ขึ้นเนินมันก็ง่ายขึ้นอ่ะเนอะถ้ามีมอเตอร์ส่งแรงได้ แถมบางทีเร็วมากด้วยนะ ซึ่งคนสวิสชอบขี่จักยาน ไม่ว่าจะเป็น ebike mountainbike (จักรยานเสือภูเขา), Rennrad (จักรยานเสือหมอบ)

อีกหนึ่งการเดินทางที่จะไม่พูดถึงคงไม่ได้คือทางเรือ เนื่องจากสวิสมีทะเลสาบเยอะ และหน้าร้อนผู้คนก็ชอบที่จะนั่งเรือเล่น อย่างเช่นตัวผู้เขียนเองจะชอบนั่งเรือเล่นจากสถานที่หนึ่งไปสถานที่หนึ่ง และนั่งรถไฟกลับ หรือกลับกัน อาจนั่งรถไฟไปและนั่งเรือกลับ ซึ่งวิวที่นี่มันว๊าวมากขอบอก !! การได้เดินทางและชมบรรยากาศมันเป็นการพักผ่อนอีกรูปแบบหนึ่งของคนสวิสเลยทีเดียว บนเรือก็คล้าย ๆ กับรถไฟ มีชั้นหนึ่งกับชั้นสอง ถ้าเราซื้อตั๋วชั้นสองแต่ไปนั่งชั้นหนึ่งก็มีสิทธิ์ที่จะโดนค่าปรับที่แสนจะแพงด้วยนะเออ เพราะฉะนั้นสังเกตหมายเลขไว้ให้ดี ส่วนเรือข้ามฟากก็มีได้เลือกใช้ แต่รู้สึกว่าไม่ได้เยอะมาก และเรือก็เป็นเรือเล็ก ๆ ที่จุรถได้ไม่เยอะมาก ทุกอย่างเป็นเวลาและเป็นระเบียบ และนี่ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ผู้เขียนชื่นชอบในสวิตเซอร์แลนด์

เดินหลง...ในดงโซเชียล​ By​ รัตนา​ &​ โกสินทร์

ไม่อยากนั่งรอดู ความล่มสลายของระบบสาธารณสุขไทย แต่ปัญหาความไม่พอเพียงของบุคลากร​ และเวชภัณฑ์​ อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือในการรักษามันเป็นเรื่องสำคัญเหมือนกัน

ตรงนี้ก็ไม่ทราบว่า ท่านอนุทิน ชาญวีระกุล จะจัดการอย่างไร ?

ถึงแม้ว่าจะเร่งจัดหาวัคซีนมาให้คนไทย​ ซึ่งเป็นเรื่องดี แต่ถ้าเราไม่มีการบริหารจัดการทรัพยากรทางการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพ​ กว่าที่เราจะได้วัคซีนที่คนแย่งกันทั้งโลก ก็คงเป็นตอนที่เราเหลือกันอยู่น่อยคนเอานะท่าน​ ยังไงๆ​ ทุกอย่างมันต้องขับเคลื่อนไปพร้อมๆ​ กัน จะเน้นอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้น้อ!! 

ว่ากันเรื่องวัคซีน ไถหน้าจอ ไปเจอเกรียนลาว แล้วอยากตบกะโหลก  มาหยามเราว่า สปป.ลาว เริ่มฉีดวัคซีนแล้ว 

ไม่เชื่อไปดู #สปปลาว ได้ เห็นคอมเมนต์เกรียนๆแล้วนั่งขำ ต้นเรื่องบอกว่าลาวได้รับ 2​ พันโดส ไทยเราตามหลังลาว

ส่วนพวกลูกกระจ๊อกก็คอมเมนต์เหยียดไทยไปอีก...

ฮัลโหล!!!! ไม่เกินพรุ่งนี้ เราจะฉีดทะลุ 1 ล้านโดสแล้วจ๊ะหนู.....

ส่วนประเด็นเรื่องวัคซีน​สุดฮือฮาจากปาก​ คุณโทนี่ วูดซัม ที่ออกมาเจื้อยแจ้วฉอเลาะในแอปพลิเคชันคลับเฮ้าส์​เมื่อวันที่ 20 เมษายน ที่บอกจะคุยกับปูติน เรื่องวัคซีนสปุกนิคให้นั้น!! 

ขำก๊ากเลย​ ก็ตรงนี้มันตลกฝืด ออกมาพูดเหมือนอยากตีกิน เอาใจแฟนคลับ ทั้งๆ​ ที่รัฐบาลออกมาพูดว่า จะจัดหาวัคซีน ทั้งของรัสเซีย และสหรัฐอเมริกาไว้ตั้งแต่วันที่ 16 เมษายนแล้ว 

ล่าสุดทางเคลมลิน ก็บอกมาแล้วว่าจะรีบส่งมาให้ ส่วนของอเมริกาก็ตกลงเบื้องต้นจะขายและส่งมาให้ 10 ล้านโดส

ตรงนี้พูดเลยว่า คุณูปการของ ชื่อเสียงหมอไทย ที่ทำให้ทุกชาติ อยากให้เราใช้วัคซีนของเค้า จนเมืองไทยของเรา แทบจะเป็นชาติแรกๆ​ ในโลกที่มีการใช้วัคซีนจากหลายเจ้า 

แต่พูดแบบนี้​ ก็อย่าตีความต่อว่าเค้าเอาเรามาเป็นหนูทดลอง เพราะเราไม่ได้ให้ข้อมูลผู้รับวัคซีนแลกเปลี่ยนเหมือนที่หลายๆ​ ประเทศทำหรอกวุ้ย​ เพราะรู้ไหมว่า​ ต่างแดนน่ะเค้าอยากได้การรับรองจากหมอไทยเพื่อความน่าเชื่อถือเสียมากกว่า​ ไม่ได้โม้!! 

แต่ไอ้ส่วนเรื่องทำไมไม่รีบซื้อมาก่อนหน้านี้ ก็อย่าริเก่งกว่าหมออีกละ เพราะการวิจัยผลการทดสอบ มันค่อยๆ​ ออกมาให้ได้วิเคราะห์
นี่อนุมัติเพื่อชีวิตคนนะ ไม่ใช่อนุมัติยาทาสิว​ เบาๆ​ กันหน่อย!! 

เพราะดูได้เลยว่า หลายประเทศเค้าดำเนินการตามอย่างที่ไทยเราทำ เรื่องนี้ควรภูมิใจ มากกว่าคิดเล็กคิดน้อยเป็นสมองมด ดูแคลนประเทศตัวเอง

อ้อ!! อีกเรื่องนึงที่ไม่อยากข้าม​ คือ​ เรื่องสายด่วนต่างๆ มีข่าวคุณยาย รอรถพยาบาล จนเสียชีวิต ตรงนี้อ่านฟีดแล้วสลด ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัว​ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าผู้บริหารสายด่วนต่างๆ จะเริ่มตื่นตัว ปรับปรุงและแก้ไขปัญหา หรือ จะปล่อยให้เกิดขึ้นต่อ​ เพราะทำอะไรไม่เป็น​ เก่งแต่รับตำแหน่งมาแล้วปล่อยไว้แบบนี้ ประจานภาพเจ้าหน้าที่ทำงานรับสายโดยไม่มีคอมพิวเตอร์​ ทำงานแบบ 'อนาล็อก'​ ไม่เป็น 4.0​ ห่วยเหลือคณา

ส่วนตัวแปลกใจตั้งแต่การแตกเบอร์ 1422 กรมควบคุมโรคแล้ว​ เพราะก่อนหน้านี้ ถ้าเราจำกันได้​ 1422 นี่เทพยังกะเบอร์ฉุกเฉิน 191 สายด่วนในตำนาน ที่ปีก่อน ตอนโควิดระบาด ทุกภาคส่วนต่าง ให้การซูฮก 1422 ถามได้ตอบได้​ และ "ประสานงานให้การช่วยเหลือ" ได้แบบอับดุล ครอบจักรวาล แม้แต่สายด่วน 1111 ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชนหรือ 191 สายด่วนฉุกเฉิน ยังต้องส่งไม้ต่อมาให้ 1422 เป็นแม่ข่าย 

แต่ตอนนี้พูดถึงเบอร์ใหม่​ (1668-1668) มันน่าฉงน ไม่รู้ว่ากลการเมืองเข้าไป​ 'แย่งชื่อ -​ แย่งแสง'​ หาผลงาน จนต้องแตกสายด่วนออกมาหลายเบอร์ สร้างความสับสนให้ประชาชนกันทำไมไม่รู้ เอาซะจนตอนนี้ 1422 ไม่ต่างอะไรกับสายโทรให้ความรู้ ทั้งๆ​ ที่คนจำได้ทั้งเมืองว่า เอาไว้โทรขอความช่วยเหลือเรื่องโควิด
บอกให้ก็ได้​ การแตกสายด่วน มันทำให้เห็นว่า การประสานงานภายในไม่มีเอกภาพ แบ่งพรรคแบ่งพวก แบ่งและแย่งกันทำงาน

รู้ถึงตรงนี้ แล้วน่าสงสารประชาชนพวกเรากันเอง กับการประสานงานที่ล่าช้ายิ่งกว่าสั่งพิซซ่ามากิน

งงจริงๆ กับระบบงานดีๆ ไม่พัฒนา ให้ดีขึ้น แต่เอามาแยกย่อยเอาไว้สร้างผลงาน ฉงนงงงวยกับ กระทรวงหมอวันนี้จริงๆ

พับผ่าเถอะ!! 

ศรีสะเกษ - ผวาโควิด-19 สั่งกักตัว 11 พระโยม เดินทางจากจังหวัดเสี่ยง เพื่อมาทำบุญฉลองศาลาวัด

เมื่อวันที่ 23 เม.ย.64 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดบ้านก้านเหลือง ต.หมากเขียบ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ พ.ต.อ.เทพพิทักษ์ แสงกล้า ผกก.สภ.เมืองศรีสะเกษ พร้อมด้วย ตัวแทนนายอำเภอเมืองศรีสะเกษ ตัวแทนสาธารณสุข อ.เมืองศรีสะเกษ กำนัน ต.หมากเขียบ ผู้ใหญ่บ้านก้านเหลือง ได้เข้าไปพบกับ นางสุวรรณี เบญจะขันธ์ อายุ 62 ปี อยู่บ้านเลขที่ 5/2 หมู่ 8 ต.เทพารักษ์ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ และคณะ ที่เดินทางมาจาก จ.สมุทรปราการ รวมทั้งสิ้น 11 คน โดยมีพระ 1 รูปด้วย ทั้งนี้เนื่องจากว่า นางสุวรรณีเดินทางมาจากกลุ่มจังหวัดสมุทรปราการ พื้นที่เสี่ยงควบคุมสูงสุด 18 จังหวัด ทำให้นางสุวรรณีและคณะ ไม่พอใจ ทั้งนี้เนื่องจากว่าก่อนที่จะเดินทางเข้ามาที่จังหวัดศรีสะเกษ ได้ประสานงานกับผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งแล้ว แจ้งว่าสามารถเดินทางเข้ามาได้ แต่จะต้องมีจำนวนไม่เกิน 50 คน

นางสุวรรณี เบญจะขันธ์ อายุ 62 ปี อยู่บ้านเลขที่ 5/2 หมู่ 8 ต.เทพารักษ์ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ กล่าวว่า ตนกับคณะที่เดินทางมาครั้งนี้ ได้จัดเตรียมพานบายศรี รวมทั้งวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ในการทำบุญ รวมมูลค่าแล้วประมาณ 100,000 บาท เพื่อมาทำบุญถวายศาลาวัด  ซึ่งพวกตนได้ระดมเงินกันก่อสร้างเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 2,000,000 บาทเศษ เพื่อถวายให้กับวัดบ้านก้านเหลือง และบูชาองค์พระพิฆเนศ ขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นมาด้วยเงินจำนวนประมาณ 100,000 บาท โดยพวกตนเห็นว่าอยู่ในช่วงของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงได้มีการเลื่อนการจัดงานมาแล้ว 2 - 3 ครั้ง ซึ่งก่อนที่จะเดินทางมาในครั้งนี้ ตนได้ประสานงานกับผู้ใหญ่บ้านก้านเหลือง เพื่อจะเดินทางมาทำพิธีถวายศาลาวัดในครั้งนี้ และได้ทราบว่าอนุญาตให้เข้ามาได้ โดยจะต้องมีจำนวนคนเข้ามาไม่เกิน 50 คน ตนจึงได้ลดจำนวนคนลง เหลือเพียง 10 คน และพระ 1 รูป แต่เมื่อมาถึงวัดบ้านก้านเหลือง เพื่อทำบุญก็ปรากฏว่าไม่ได้รับอนุญาตให้ทำพิธีทั้งหมด ตนได้ขออนุญาตว่าขอนำพานพายศรีและเครื่องบูชาขึ้นไปไว้ที่บริเวณลานด้านหน้าพระพิฆเนศ แต่ทางราชการไม่ยินยอม ทำให้ตนและคณะเสียค่าใช้จ่ายไปร่วม 200,000 บาท และสั่งให้พวกตนกักตัว 14 วัน ที่วัดแห่งนี้ ทำให้พวกตนได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าเป็นห่วงครอบครัวที่อยู่ จังหวัดสมุทรปราการ ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้

พ.ต.อ.เทพพิทักษ์ แสงกล้า ผกก.สภ.เมืองศรีสะเกษ กล่าวว่า เรื่องนี้รัฐบาลได้ออก พ.ร.ก.ฉุกเฉินมาแล้ว และทาง ผวจ.ศรีสะเกษ ได้ออกคำสั่ง จ.ศรีสะเกษ ที่ 1658/2564 มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 21 เม.ย.64 ที่ผ่านมา เพื่อให้ผู้ที่เดินทางเข้ามา จ.ศรีสะเกษ ที่เดินทางมาจาก 18 จังหวัดพื้นที่ความเสี่ยงสูง จะต้องมารายงานตัวกับเจ้าพนักงานผู้ควบคุมโรค คือ เจ้าหน้าที่สาธารณสุข รพ.สต.กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และจะต้องอยู่กักตัวเป็นเวลา 14 วัน ตามที่ทางคณะกรรมการ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม.หรือว่าตามที่ทางสาธารณสุขเป็นผู้สั่งการกักตัว โดยที่ไม่สามารถเดินทางไปที่ไหนได้ เราไม่สามารถละเว้นได้ เราเห็นใจประชาชนเป็นชาวพุทธมาทำบุญ แต่เนื่องจากว่าขณะนี้มีการประกาศเกี่ยวกับการแพร่เชื้อโควิด-19 ผวจ.ศรีสะเกษ ได้ออกคำสั่งไว้รองรับ เราจำเป็นต้องรักษากติกา เพื่อชาติบ้านเมือง เพื่อส่วนรวมเอาไว้ จึงต้องดำเนินการตามกฎหมาย โดยสถานที่กักตัวคือที่ศาลาวัดของวัดบ้านก้านเหลืองแห่งนี้ โดยมีคณะกรรมการทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาคอยควบคุมดูแล


ข่าว/ภาพ  บุญทัน ธุศรีวรรณ

ประจวบคีรีขันธ์ – เสริมเตียงผู้ป่วยโควิด-19 อบจ.ประจวบฯ มอบเครื่องพีซีอาร์หาเชื้อโควิด

วันที่ 24 เมษายน นายแพทย์สุริยะ คูหะรัตน์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้มีผู้ป่วยติดเชื้อสะสม 941 ราย อยู่ระหว่างรักษา 790 ราย รักษาหายแล้ว 150 ราย มีผู้ป่วยโควิดติดเชื้อรายใหม่ในจังหวัด 44 ราย เป็นการระบาดจากการร่วมดื่มกินและชมคอนเสริ์ตที่มายาผับ อ.หัวหินเมื่อวันที่ 30 มีนาคม 64 และ คลัสเตอร์จากผับ ร้านคาราโอเกะใน อ.หัวหิน และ อ.เมืองประจวบฯ ล่าสุดพบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง 15 ราย อาการปานกลาง 25 ราย มีผู้ป่วยเข้ารับการักษามากที่สุดที่ รพ.หัวหิน จำนวน 501 ราย รพ.ปราณบุรี 152 ราย รพ.ประจวบคีรีขันธ์ 91 ราย สำหรับ จ.ประจวบคีรีขันธ์จะรับผู้ป่วยติดเชื้อได้ 1,100 เตียง และเตรียมเตียงไว้ที่ รพ.หัวหินอีก 300 เตียง รพ.บางสะพาน 50 เตียง แม้ว่าแนวโน้มผู้ติดเชื้อเริ่มลดลง มีคนไข้บางส่วนรักษาหายเพิ่มขึ้นทำให้เตียงผู้ป่วยยังพอใช้ แต่ในอนาคตหากมีปัญหาหรือ มีความจำเป็นได้วางแผนจัดทำโรงพยาบาลสนามที่โรงแรมสวนสน 1 จำนวน 216 เตียง และโรงแรม 51 แฟชั่น จำนวน 70 เตียงในพื้นที่ อ.หัวหิน

ขณะนี้จังหวัดประจวบฯได้รับการจัดสรรวัคซีนป้องกันโควิด-19 ของบริษัทซิโนแวค 12,160 โด๊สเพื่อบริการฉีดให้แก่บุคลากรด้านสาธารณสุขเป็นลำดับแรกให้ครบ 100 % ตามข้อสั่งการของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมต.กระทรวงสาธารณสุข จากนั้นจะฉีดให้ อสม. เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานด่านหน้าหน่วยงานอื่นๆ ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค ที่ผ่านมาพบผู้ที่มีอาการไม่พึงประสงค์หลังฉีดวัคซีน 24 ราย โดยมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น ผื่นขึ้น ปวดเมื่อย คลื่นไส้ ส่วนอีก 1 ราย มีอาการคลื่นไส้หลังฉีดวัคซีนไป 10 นาที แพทย์ได้ให้ยาแก้คลื่นไส้ เมื่อพ้นระยะเวลาเฝ้าดูอาการ 30 นาที ได้ให้กลับไปสังเกตอาการ แต่ต่อมาภายใน 1-2 ชม.พบว่าผู้รับวัคซีนรายดังกล่าวมีอาการชาที่แขนและขาด้านซ้าย แพทย์จึงทำการเอ็กซเรย์พบว่าปกติ ผลตรวจเลือดปกติ แต่ให้ยาละลายลิ่มเลือด อาการชาจึงทุเลาไม่มีอาการอ่อนแรงแต่อย่างใด

“ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในวัคซีนโควิด-19 ที่มีประโยชน์ในการช่วยลดความรุนแรงของอาการป่วยได้หากติดเชื้อ โดยขอให้มาลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ในการรับวัคซีนได้ที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือโรงพยาบาลของรัฐทั้ง 8 อำเภอ ส่วนประชาชนที่มีจิตศรัทธาสามารถบริจาคสิ่งของสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่และช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ที่พักรักษาตัวในโรงพยาบาลและโรงพยาบาลสนามได้ที่โรงพยาบาลของรัฐทั้ง 8 อำเภอและโรงพยาบาลสนามทุกแห่ง โดยสิ่งของที่ต้องการมากในขณะนี้ เช่น อาหารแห้ง น้ำดื่ม แอลกอฮอล์ หน้ากากอนามัย และชุดพีพีอี” นพ.สุริยะ กล่าว

ที่ชั้น 4 อาคารผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ นายสราวุธ ลิ้มอรุณรักษ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ประจวบฯ และ นายแพทย์พงษ์พจน์ ธีรานันตชัย ผู้อำนวยการโรงพยาบาลประจวบฯ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงการส่งมอบครุภัณฑ์วิทยาศาสตร์การแพทย์ “เครื่องตรวจวินิจฉัยทางอณูชีวโมเลกุล พร้อมอุปกรณ์หาสารพันธุกรรมโควิด-19” มูลค่า 5,000,000 บาท โดยมี นายยุทธชัย ปริยวาที เลขานุการนายก อบจ. นายพสิษฐ์ รักวัฒนศิริกุล เลขานุการนายก อบจ. นางจันทิสา แดงโชติ รองปลัด อบจ. นางดวงใจ เสมแก้ว รองปลัด อบจ. สมาชิกสภา อบจ.ประจวบฯ นายแพทย์อภิวัฒน์ บัณฑิตย์ชาติ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาล และคณะกรรมการบริหารโรงพยาบาล ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนาม ทั้งนี้ โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ์ ได้เปิดห้องปฏิบัติการตรวจวินิจฉัยทางอณูชีวโมเลกุล ซึ่งใช้สำหรับการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัสด้วยวิธี Real-time RT PCR ช่วยในการวินิจฉัยโรคโควิด-19 ที่ชั้น 3 อาคารอนุสรณ์ 36 ปี โรงพยาบาลประจวบฯ ตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 63 เป็นต้นมา โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจาก อบจ.ประจวบฯ จำนวน 5 ล้านบาท ในการจัดหาเครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์และระบบในห้องปฏิบัติการได้รับการรับรองมาตรฐานจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สามารถรองรับการตรวจได้สูงสุด 280 ตัวอย่างต่อวัน ที่ผ่านมามีการตรวจเชื้อสะสม 11,612 ตัวอย่าง


ภาพ/ข่าว  นายนิพล ทองเก่า ผู้อำนวยการศูนย์ข่าวสยามโฟกัสไทม์ / 4เหล่าทัพ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์

เชียงใหม่ - โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ผ่าคลอดผู้ป่วยโควิด-19 ปลอดภัยทั้งแม่ลูก

โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผ่าคลอดหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อโควิด-19 อายุ 33 ปี วันนี้ (23 เมษายน 2564) เวลา 15.00น. เบื้องต้นเป็นทารกเพศหญิง ปลอดภัยทั้งแม่และลูก

ผศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต ผู้อำนวยการ โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ เปิดเผยว่า “ รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ ได้รับการประสานว่ามีผู้ป่วยหญิงที่ครบกำหนดคลอด 39 สัปดาห์ อายุ 33 ปี มีอาการปวดท้องรุนแรงจากการที่มดลูกหดตัวเริ่มจะมีอาการใกล้คลอด ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าผู้ป่วยรายนี้มีการติดเชื้อโควิด-19 ทำให้ทางโรงพยาบาลต้องวางแแผนการดูแลรักษาและเตรียมการผ่าตัดคลอดอย่างเร่งด่วนตั้งแต่กระบวนการรับผู้ป่วยจากจุดรับเข้าด้วยแคปซูลเคลื่อนย้ายผู้ป่วยติดเชื้อความดันลบสำหรับป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อระหว่างการเคลื่อนย้ายผู้ป่วย จนถึงห้องผ่าตัดเพื่อให้มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยอย่างสูงสุด ทันทีที่ทราบทางรพ.มหาราชนครเชียงใหม่ได้ประสานทีมสหวิชาชีพแพทย์และเตรียมความพร้อมร่วมทีมสูตินรีเวชวิทยา ทีมวิสัญญีแพทย์ และทีมกุมารแพทย์ โดยมีรศ.นพ.กิตติภัต เจริญขวัญ หัวหน้าภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา ,ผศ.พญ.ฌานิกา โกษารัตน์ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ และรศ.พญ.นุชนารถ บุญจึงมงคล หัวหน้าภาควิสัญญีวิทยา และทีมอื่นๆที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งปิดกั้นพื้นที่ภายในโรงพยาบาลเพื่อให้เกิดความปลอดภัยที่สุดสำหรับผู้ป่วยในทันที

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ กล่าวเพิ่มเติมว่า “การผ่าตัดครั้งนี้วิสัญญีแพทย์ได้ใช้เทคนิคการฉีดยาชาเข้าสันหลังหรือการบล็อกหลัง วิธีนี้ไม่ทำให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อ ปลอดภัยทั้งผู้ป่วย ลูก และบุคลากรที่ให้การดูแล ทีมแพทย์สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา ได้ทำการผ่าคลอดทารกเพศหญิงในเวลา15.00น. แม่และทารกปลอดภัย ซึ่งทีมกุมารแพทย์ได้เข้าไปดูแลเด็กตั้งแต่แรกคลอดและเคลื่อนย้ายมายัง cohort ward หรือหอผู้ป่วยแยกโรคโดยมีการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ซึ่งโอกาสที่เด็กติดเชื้อจากในครรภ์มีน้อยมาก ส่วนแม่เข้ารับการรักษาต่อที่ห้องแยกความดันลบสำหรับผู้ป่วยติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ณ ตึกโรคปอด อาคารนิมมาน ชุติมา รพ.มหาราชนครเชียงใหม่ ต่อไป”

การผ่าตัดหญิงตั้งครรภ์ป่วยโควิด-19 ในครั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและปลอดภัยทั้งแม่ เด็ก และบุคลากรทางการแพทย์ ภายหลังการผ่าตัดโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ได้ทำความสะอาดพื้นที่บริเวณห้องผ่าตัดและจุดเคลื่อนย้ายผู้ป่วยทุกจุด บุคลากรทางการแพทย์ได้ตั้งใจทำงานกันอย่างเต็มที่เพื่อบริการประชาชนให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด และเราจะฝ่าวิกฤตนี้ไปด้วยกัน


ภาพ/ข่าว  นภาพร  เชียงใหม่


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top