Thursday, 19 June 2025
TheStatesTimes

รู้จัก ‘บิ๊กเล็ก’ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ ผู้กุมบังเหียน ศบ.ทก. สู้ศึก ‘ไทย-กัมพูชา’

(19 มิ.ย 68) เปิดประวัติ ‘บิ๊กเล็ก’ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยฯ กลาโหม กับภารกิจคุมบังเหียน ศบ.ทก. วางแผน แก้ไขปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา เจรจาอย่างสันติ หลีกเลี่ยงการปะทะ

สถานการณ์ตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชายังคงตึงเครียดอย่างต่อเนื่อง พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี ให้เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการแก้ไขปัญหาทั้งในระดับพื้นที่และชายแดน ตั้งแต่วันที่ 29 พ.ค. ที่ผ่านมา

เพื่อให้การแก้ไขสถานการณ์เป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รัฐบาลจึงมีคำสั่งจัดตั้ง “ศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา” (ศบ.ทก.) ขึ้น โดยมีเป้าหมายเพื่อประสานและบูรณาการการทำงานของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

ศูนย์เฉพาะกิจนี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการวางแผน แก้ไข และเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์บริเวณชายแดนอย่างถูกต้องและเป็นเอกภาพ รวมทั้งสนับสนุนการแก้ไขปัญหาในแนวทางสันติวิธี บนพื้นฐานของการเคารพในเอกราช อธิปไตย ความเสมอภาค และบูรณภาพแห่งดินแดนตามหลักทวิภาคี

พร้อมกันนี้ ยังมีการประสานกับสภาความมั่นคงแห่งชาติในการอนุมัติการดำเนินการต่างๆ ให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ และสร้างแนวทางสู่การเจรจาอย่างสันติระหว่างประเทศเพื่อนบ้านต่อไป

สำหรับ พล.อ.ณัฐพล นั้นเป็นผู้ที่เข้าใจในมิติด้านความมั่นคงของประเทศเป็นอย่างดี เนื่องจากเคยดำรงตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) มาแล้ว ไม่เพียงเท่านั้น ยังเคยเป็นกรรมการ “ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019” หรือ“ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19”(ศปก.ศบค.) รวมทั้งยังรั้งตำแหน่งผู้อำนวยการศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ควบคู่กันไปด้วย กล่าวได้ว่าประสบการณ์ในการรับมือกับสถานการณ์วิกฤตของชาติมีอย่างเต็มเปี่ยม

เปิดประวัติบิ๊กเล็ก
พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ หรือ บิ๊กเล็ก เกิดเมื่อวันที่ 13 ก.พ. ปี 2504 จบการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 20 โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 31 (รุ่นเดียวกับพลเอก อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองเลขาธิการพระราชวัง) โรงเรียนเสนาธิการทหารบก และวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร

• ผู้บังคับกองร้อยอาวุธเบา กองพันทหารราบที่ 2 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ พ.ศ. 2531
• อาจารย์โรงเรียนเสนาธิการทหารบก พ.ศ. 2536
• อาจารย์วิทยาลัยการทัพบก พ.ศ. 2540
• ผู้อำนวยการกอง กรมยุทธการทหารบก พ.ศ. 2550
• เจ้ากรมยุทธการทหารบก พ.ศ. 2558
• รองเสนาธิการทหารบก พ.ศ. 2559
• หัวหน้าส่วนอำนวยการ สำนักงานเลขาธิการ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ พ.ศ. 2559
• เสนาธิการทหารบก พ.ศ. 2560
• รองผู้บัญชาการทหารบก พ.ศ. 2561-2563
• กรรมการ บริษัท ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2561-พ.ศ. 2563
• กรรมการอิสระและกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดี บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2562-พ.ศ. 2563
• เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. 2563
• ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563
• ประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อการบูรณาการด้านการแพทย์และสาธารณสุข พ.ศ. 2564
• รองผู้อำนวยการศูนย์บูรณาการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

ประวัติการศึกษา พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์
• พ.ศ.2529 หลักสูตรชั้นนายร้อย รุ่นที่ 74 โรงเรียนทหารราบ
• พ.ศ.2532 หลักสูตรชั้นนายพัน รุ่นที่ 52 โรงเรียนทหารราบ
• พ.ศ.2540 หลักสูตรภาษาอังกฤษสำหรับผู้บริหาร กรมยุทธศึกษาทหารบก
• พ.ศ.2542 หลักสูตรความมั่นคงภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ประเทศสหรัฐอเมริกา
• พ.ศ.2560 วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ หลักสูตรป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 59

อิสราเอลคุมเข้มสื่อ ห้ามพูดเรื่องสงคราม ผิดเจอข้อหาหนัก ‘ภัยคุกคามด้านความมั่นคง’

(19 มิ.ย. 68) รัฐบาลอิสราเอลออกคำสั่งใหม่ ห้ามนักข่าว เจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนรายงานข่าวเกี่ยวกับสงครามภายในประเทศ หากไม่ได้รับอนุมัติล่วงหน้าอย่างเป็นทางการ โดยระบุชัดว่ามาตรการนี้มีผล ‘ทุกกรณี’ เพื่อควบคุมข้อมูลในภาวะวิกฤต

คำสั่งดังกล่าวครอบคลุมทั้งสื่อกระแสหลัก บล็อกเกอร์ ยูทูบเบอร์ สตรีมเมอร์ ไปจนถึงผู้ใช้งาน Telegram โดยไม่มีข้อยกเว้น หากมีการเผยแพร่ข้อมูลก่อนการขออนุมัติ จะถูกพิจารณาว่าเป็นการ ‘คุกคามความมั่นคงของรัฐ’ และอาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมายความมั่นคง

การควบคุมนี้ส่งผลให้ช่องทางสื่อสารในประเทศต้องได้รับการอนุญาตจากรัฐบาลก่อนเผยแพร่ข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์สงครามทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นข่าวจากแนวหน้า การโจมตี หรือความเสียหายใด ๆ

‘เนทันยาฮู’ ยกย่อง ‘ทรัมป์’ เพื่อนแท้อิสราเอล หลังสหรัฐฯ หนุนเต็มที่ในสงครามกับอิหร่าน

(19 มิ.ย. 68) นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล กล่าวขอบคุณประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ที่ให้การสนับสนุนในการ ‘ปกป้องน่านฟ้าอิสราเอล’ ท่ามกลางสถานการณ์การสู้รบกับอิหร่านที่ยืดเยื้อมานานกว่า 6 วัน

เนทันยาฮูกล่าวว่า อิสราเอลกำลังโจมตีด้วยพลังมหาศาลใส่ ‘ระบอบของอยาตอลเลาะห์’ โดยมุ่งเป้าไปที่โครงการนิวเคลียร์ ฐานยิงจรวด และศูนย์บัญชาการทางทหารของอิหร่าน แต่ก็ยอมรับว่าอิสราเอลก็สูญเสียอย่างหนักเช่นกัน

“เรากำลังเผชิญกับความสูญเสียอันเจ็บปวด แต่แนวหลังยังมั่นคง ประชาชนยังแข็งแกร่ง และรัฐอิสราเอลเข้มแข็งกว่าที่เคย” เนทันยาฮู กล่าว

ทั้งนี้ ตั้งแต่การปะทะเริ่มต้นเมื่อวันศุกร์ สำนักงานนายกรัฐมนตรีอิสราเอลระบุว่ามีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 24 ราย และบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน ขณะที่อิหร่านอ้างว่า มีผู้เสียชีวิตในประเทศมากกว่า 220 ราย ซึ่งรวมถึงทหารระดับสูงและนักวิทยาศาสตร์ด้านนิวเคลียร์ โดยยังไม่มีการอัปเดตตัวเลขล่าสุดจากทางการเตหะราน

เปิด 5 รายชื่อ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่มีโอกาสนั่งเก้าอี้ หาก ‘แพทองธาร’ ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกฯ

เปิด 5 รายชื่อ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่มีโอกาสนั่งเก้าอี้ หาก ‘แพทองธาร’ ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งนายกฯ

โลกหวั่น ‘อิหร่าน’ ปิดช่องแคบฮอร์มุซ อาจทำราคาน้ำมันพุ่ง 300 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล

(19 มิ.ย. 68) ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่าน ดร.ทิลัค โดชิ จากศูนย์วิจัยพลังงาน King Abdullah Petroleum Studies and Research Center ประเทศซาอุดีอาระเบีย ประเมินว่าหากอิหร่านตัดสินใจปิดช่องแคบฮอร์มุซ ซึ่งเป็นเส้นทางเดินเรือขนส่งน้ำมันสำคัญของโลก ราคาน้ำมันอาจพุ่งสูงถึง 130 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หรืออาจทะลุ 300 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 10,950 บาท)

ด้าน ดร.คาซี โซฮัก นักเศรษฐศาสตร์พลังงาน ชี้ว่าหากย้อนดูปี 2008 ราคาน้ำมันเคยพุ่งสูงถึง 147 ดอลลาร์ โดยไม่มีความขัดแย้งใหญ่เกิดขึ้น ขณะที่ในปี 1973 ราคาน้ำมันเคยพุ่งขึ้นถึง 300% จากเหตุการณ์คว่ำบาตรน้ำมันระหว่างสงครามยมคิปปูร์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดตอบสนองต่อความเสี่ยงทางการเมืองได้อย่างรุนแรงเพียงใด 

มาร์ค อายูบ นักวิจัยนโยบายพลังงาน เสริมว่าแม้ไม่เกิดการปิดช่องแคบ แต่หากมีการโจมตีโครงสร้างน้ำมันของอิหร่าน ราคาน้ำมันก็อาจแตะระดับ 80–90 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล โดยเฉพาะหากมีเป้าหมายที่แหล่งก๊าซสำคัญของอิสราเอล เช่น คาริช หรือ เลวีอาธาน ก็อาจทำให้ราคาขยับขึ้นอีก 5–10 ดอลลาร์

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์บางรายเตือนว่า ราคาน้ำมันในระดับนี้ไม่เป็นที่พึงประสงค์ของรัฐบาลสหรัฐฯ และอาจเร่งให้ฝ่ายต่าง ๆ พยายามหาทางยุติสงครามโดยเร็ว เพื่อควบคุมผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและตลาดพลังงานโดยรวม

‘สรรเพชญ’ ซัดแรง!! นายกฯ ผลักกองทัพเป็นฝ่ายตรงข้าม อ้างแค่ “เทคนิคเจรจา” – ถามกลับ “แล้วความจริงอยู่ตรงไหน?”

(19 มิ.ย. 68) - นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา กล่าวตำหนิอย่างรุนแรงต่อถ้อยคำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ระบุระหว่างการสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ผู้นำกัมพูชา ว่า “แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาล” ก่อนจะชี้แจงภายหลังว่าเป็นเพียง “เทคนิคในการเจรจาทางการทูต”

“หากการกล่าวว่าทหารของชาติเป็นศัตรู คือเทคนิคในการเจรจา แล้วข้อเท็จจริงอยู่ตรงไหน? นี่ไม่ใช่แค่การบั่นทอนขวัญกำลังใจของกองทัพ แต่เป็นการบ่อนทำลายสถาบันหลักของประเทศอย่างร้ายแรง” นายสรรเพชญกล่าว

เขาย้ำว่า กองทัพภาคที่ 2 คือแนวหน้าสำคัญในการดูแลชายแดนและปกป้องอธิปไตยของชาติ การที่ผู้นำรัฐบาลเลือกใช้ถ้อยคำที่ลดทอนความชอบธรรมของกองทัพไทยต่อหน้าผู้นำต่างชาติ เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้

“นายกรัฐมนตรีไม่ได้พูดกับเพื่อนฝูงในร้านกาแฟ แต่พูดในฐานะผู้นำประเทศ ถ้อยคำที่ใช้จึงมีน้ำหนักและส่งผลสะเทือนกว้างไกล การอ้างว่าเป็นเทคนิคจึงไม่น่าเชื่อถือ และสะท้อนถึงภาวะผู้นำที่อ่อนแออย่างยิ่ง”

นายสรรเพชญยังกล่าวว่า การใช้ถ้อยคำเช่นนี้ ไม่เพียงสะท้อนความไม่รอบคอบของผู้นำ แต่ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนานาชาติ และเสถียรภาพภายในประเทศเอง

“การเจรจาทางการทูตไม่ควรถูกแลกมาด้วยศักดิ์ศรีของทหารไทย หากสิ่งที่เรียกว่า ‘เทคนิค’ คือการกล่าวหากองทัพของชาติว่าเป็นฝ่ายตรงข้าม รัฐบาลชุดนี้ควรทบทวนตัวเองอย่างจริงจังว่า ยังยืนอยู่ข้างประเทศหรือไม่”

ในช่วงท้าย นายสรรเพชญยังได้กล่าวให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ทหาร โดยย้ำว่า “แม้คำพูดของรัฐบาลจะทำให้เสียขวัญ แต่ประชาชนจำนวนมากยังคงเชื่อมั่นและขอบคุณทุกท่านที่ยืนหยัดปกป้องผืนแผ่นดินอย่างมั่นคงเสมอมา”

‘ลีดเดอร์ชิพโพลล์’ ม.รังสิต สะท้อนวิกฤตผู้นำ ชี้ ประชาชนไม่เชื่อมั่น ‘แพทองธาร’ แก้ปมเขมร

(19 มิ.ย. 68) ลีดเดอร์ชิพโพลล์ วิทยาลัยผู้นำและนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเรื่อง “มุมมองต่อสถานการณ์ชายแดน (ไทย–กัมพูชา)” จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,500 คนทั่วประเทศ ผ่านช่องทางออนไลน์ ระหว่าง วันที่ 12–18 มิถุนายน 2568 โดยสะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกห่วงกังวลของสังคมต่อความขัดแย้งชายแดน ตลอดจนความไม่เชื่อมั่นในศักยภาพของรัฐบาลชุดปัจจุบันในการบริหารจัดการสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนนี้

จากผลสำรวจ พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่จำนวนมากถึงร้อยละ 60.13 ระบุว่า “ไม่มีความเชื่อมั่นเลย” ว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะสามารถจัดการปัญหาข้อพิพาทชายแดนกับกัมพูชาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะที่อีกร้อย ละ 23.47 ก็ระบุว่า “ไม่ค่อยเชื่อมั่น” โดยมีเพียงส่วนน้อยคือร้อยละ 7.93 ที่ “ค่อนข้างเชื่อมั่น” และเพียงร้อยละ 1.07 เท่านั้นที่ “เชื่อมั่นสูง” ในศักยภาพของรัฐบาล ข้อมูลนี้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายเชิงภาวะผู้นำที่นายกรัฐมนตรีต้องเผชิญท่ามกลางวิกฤตความมั่นคงระหว่างประเทศ

ในทางกลับกัน กองทัพไทยกลับได้รับความเชื่อมั่นในระดับสูงจากประชาชน โดยร้อยละ 59.73 ระบุว่ามี “ความเชื่อมั่นสูง” ว่ากองทัพจะสามารถจัดการกับสถานการณ์ชายแดนในครั้งนี้ได้ ขณะที่อีกร้อยละ 30.27 “ค่อนข้างเชื่อมั่น” ซึ่งต่างจากความรู้สึกที่มีต่อฝ่ายบริหารอย่างชัดเจน

ในประเด็นแนวทางการแก้ไขปัญหา ประชาชนร้อยละ 55.80 เสนอว่าไทยควรใช้การเจรจาทวิภาคีกับกัมพูชา ขณะที่ร้อยละ 27.93 สนับสนุนความร่วมมือผ่านกลไกอาเซียน และมีเพียงร้อยละ 6.87 ที่เห็นว่าควรยื่นเรื่องต่อศาลโลก (ICJ)

ประชาชนยังแสดงความห่วงใยต่อผลกระทบจากความตึงเครียดบริเวณชายแดน โดยร้อยละ 39.87 เห็นว่ามีผลกระทบ“มาก” ต่อการค้าชายแดนและการท่องเที่ยว และร้อยละ 35.20 เห็นว่ากระทบ “พอสมควร” สอดคล้องกับข้อค้นพบที่ว่า ร้อยละ 68.73 ของประชาชนรับรู้ถึงการ “ปลุกกระแสชาตินิยม” จากทั้งฝั่งไทยและกัมพูชา

เมื่อถามถึงความสัมพันธ์ของประชาชนสองฝั่งชายแดน ร้อยละ 60.00 เห็นว่ามีความสัมพันธ์เชิงวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่ “แน่นแฟ้นพอสมควร” อีกทั้งยังมีประชาชนถึงร้อยละ 41.33 ที่ต้องการให้อาเซียนเข้ามาเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ยในกรณีพิพาทนี้ ในขณะที่อีกร้อยละ 38.20 เห็นว่าอาเซียนควรมีบทบาทเฉพาะเมื่อสถานการณ์รุนแรงเท่านั้น

สุดท้าย เมื่อประเมินความมั่นใจของประชาชนว่าไทยจะสามารถรักษาผลประโยชน์ของประเทศในกรณีพิพาทชายแดน ครั้งนี้ได้หรือไม่ พบว่า ร้อยละ 36.27 “ค่อนข้างมั่นใจ” และร้อยละ 16.20 “มั่นใจสูง” ขณะที่อีกร้อยละ 29.53 “ไม่ค่อยมั่นใจ” และร้อยละ 11.00 “ไม่มีความมั่นใจเลย”

ผลสำรวจนี้ สะท้อนถึงความกังวลของสังคมอย่างมาก ความท้าทายของรัฐบาลในการฟื้นฟูความเชื่อมั่นของประชาชนภายใต้สถานการณ์ที่มีทั้งความซับซ้อนทางประวัติศาสตร์ และความเปราะบางของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ผลสำรวจของลีดเดอร์ชิพโพลล์ สะท้อนวิกฤตศรัทธาต่อรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร อย่างชัดเจน ขณะที่กองทัพกลับได้รับความ ไว้วางใจสูงกว่ามาก ซึ่งยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ของรัฐบาลที่อ่อนแอในวิกฤตการณ์นี้ ความไม่ไว้วางใจนี้ยิ่งรุนแรงขึ้นจากคลิปเสียง สนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยกับสมเด็จฮุนเซนที่หลุดออกมาท่ามกลางสถานการณ์ที่กำลังอ่อนไหวทางการเมืองในทุกมิติ ทำให้สังคมตั้งคำถามถึงความชัดเจนของท่าทีรัฐบาลและความโปร่งใสในการเจรจาระหว่างประเทศ การที่ประชาชนส่วนใหญ่เสนอให้ใช้การเจรจาทวิภาคี สะท้อนความคาดหวังต่อการดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างสุขุมรอบคอบความท้าทายที่ซับซ้อนสำหรับผู้นำของนา ยกแพทองธาร โดยเฉพาะภาพลักษณ์และวุฒิภาวการณ์เป็นผู้นำ ซึ่งกำลังส่งผลต่อความชอบธรรมของรัฐบาลที่กำลังสั่นคลอนจากความรู้สึกไม่มั่นใจของประชาชนต่อการรักษาผลประโยชน์ของชาติในเวทีระหว่างประเทศ

กต. แถลงตอบโต้ ‘กัมพูชา’ ปมคลิปเสียงหลุด ชี้ ทำลายความเชื่อใจระหว่างกันอย่างร้ายแรง

(19 มิ.ย.68) กระทรวงการต่างประเทศ แถลง คลิปเสียงหลุดของสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา และนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตรของไทยจากฝ่ายกัมพูชา ทำลายความเชื่อใจระหว่างกันอย่างร้ายแรง

นิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงสถานการณ์ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา ตามที่ได้มีการเปิดเผยบทสนทนาระหว่าง สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาของกัมพูชา และ นายกฯแพทองธาร ชินวัตร ของไทยจากฝ่ายกัมพูชา โดยฝ่ายไทยเห็นว่าการกระทำดังกล่าวขัดต่อจรรยาบรรณและมารยาทขั้นพื้นฐานของการปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐที่ไม่อาจยอมรับได้ และถือเป็นการทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน ที่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ และความพยายามที่จะใช้กลไกวิภาคีในการแก้ไขปัญหาของทั้งสองฝ่ายตามแนวปฏิบัติสากล และการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี 

ทั้งนี้ ไม่ว่าผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะเป็นใคร ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคือหัวหน้ารัฐบาลของประเทศที่ควรได้รับการยอมรับและให้เกียรติตามแนวปฏิบัติสากลของการดำเนินการระหว่างประเทศ

วันนี้กระทรวงการต่างประเทศ จึงทำหนังสือประท้วงกรณีดังกล่าวผ่านช่องทางการทูต โดยได้เชิญเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศไทยมารับหนังสือดังกล่าว

ในเนื้อหาเป็นการแจ้งว่าการกระทำของฝ่ายกัมพูชาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ ถือว่าผิดมารยาทพื้นฐานของการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างรัฐ เป็นการทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศเพื่อนบ้านอย่างร้ายแรง

การดำเนินการของฝ่ายไทย ซึ่งรวมถึงการตอบโต้ดังกล่าวเป็นการปฏิบัติตามแนวทางการทูตกระทำโดยใช้วิจารณญาณ มีความรอบคอบ โปร่งใสและมีวุฒิภาวะ ใช้สันติวิธี และดำเนินอย่างเป็นทางการ

ทั้งนี้ รัฐบาลไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศ ได้ประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดูแลคนไทยในกัมพูชาไว้เรียบร้อยแล้ว กระทรวงการต่างประเทศขอย้ำอีกครั้ง ว่าเรื่องนี้เป็นการดำเนินการทางการทูตระหว่างรัฐบาลทั้งสองฝ่ายไม่ใช่ปัญหาระหว่างประชาชนสองประเทศ ซึ่งต่างจากกัมพูชาที่ใช้การสื่อสารผ่านสังคมออนไลน์หรือโซเชียลมีเดีย โดยมุ่งหวังเพื่อปลุกระดมความนิยมจากประชาชนและสร้างความแตกแยกให้กับสังคมของทั้งสองประเทศหรือประเทศอื่น ซึ่งแสดงถึงการไม่เคารพหลักการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี และการกระทำเช่นนี้ไม่ควรได้รับการยอมรับและความไว้วางจากประชาคมระหว่างประเทศ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เดินหน้ารับฟังความคิดเห็น 'ร่าง พ.ร.บ.แก้ไข ป.วิ.อาญา' ต่อเนื่อง จัดเวทีเสวนาภาคใต้ ที่ภูเก็ต

(19 มิ.ย.68)เวลา 09.00 น. ณ ห้องบุตรน้ำเพชร หอประชุมชัยจินดา ตำรวจภูธรภาค 8 จังหวัดภูเก็ต สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี รอง ผบ.ตร. (รับผิดชอบงานด้านกฎหมายและคดี) เป็นประธานในพิธีเปิดการเสวนา ทางวิชาการ หัวข้อ “การคุ้มครองสิทธิของประชาชน บนเส้นทางการสืบสวนสอบสวนตาม ป.วิ.อาญา” เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมต่อร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อาญา (ร่างของ ส.ส.พรรคประชาชน) ในพื้นที่ภาคใต้ โดยมี พล.ต.ท. อิทธิพล อิทธิสารรณชัย  ผู้ช่วย ผบ.ตร.  พล.ต.ท.สุรพงษ์ ถนอมจิตร ผบช.ภ.8  พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน  ก.ร.ตร./อดีต ผบช.ภ.1 พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับ รอง ผบช. และ ผบก.
ในสังกัด ภ.8 และ ภ.9 ร่วมงานเสวนา  

การจัดเวทีเสวนาครั้งนี้นับเป็นเวทีที่ 3 ซึ่งจัดอย่างต่อเนื่องจากเวทีในภาคกลาง (ณ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ จ.นครปฐม) และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (จ.ขอนแก่น) โดยมีเป้าหมายเพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ภายในงาน ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิในกระบวนการยุติธรรมร่วมอภิปราย ได้แก่ คุณอมรพันธุ์ นิติธีรานนท์ อดีตผู้พิพากษา, ดร.รังสรรค์ คงทอง อาจารย์พิเศษ สาขานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต, 

คุณรุ่งนภา พุฒแก้ว ประธานสภาทนายความจังหวัดภูเก็ต, พล.ต.ต.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน อดีต ผบก.สส.ภ.8 และ พล.ต.ต.นรินทร์ บูสะมัญ รอง ผบช.ภ.9 การเสวนาครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมกว่า 300 คน ประกอบด้วย ตัวแทนหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรม ภาคประชาชน นักศึกษาในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตและจังหวัดใกล้เคียง ตลอดจนพนักงานสอบสวนและข้าราชการตำรวจในสังกัด ภ.8 และ ภ.9 ภายหลังการเสวนาในภาคเช้า ยังมีกิจกรรมสัมมนากลุ่มย่อย (Focus Group) เพื่อระดมความคิดเห็นต่อร่างกฎหมาย และเปิดเวทีแลกเปลี่ยนข้อเสนอในการพัฒนางานสอบสวนจากผู้ปฏิบัติ
 
สำหรับร่าง พ.ร.บ.ที่อยู่ระหว่างการหารือ มีสาระสำคัญคือ การให้อัยการมีอำนาจกำกับดูแลงานสอบสวนมากขึ้น เช่น การให้ความเห็นชอบก่อนออกหมายเรียกหรือหมายจับ รวมถึงการกำกับการสอบสวนในคดีสำคัญ หรือคดีที่มีการร้องขอความเป็นธรรม ซึ่งหลายฝ่ายได้แสดงความห่วงกังวลว่า อาจก่อให้เกิดความล่าช้าในกระบวนการสอบสวนจากความซ้ำซ้อนในการปฏิบัติงานของ พงส. อัยการ และศาล และส่งผลกระทบต่อประชาชนที่เป็นผู้เสียหาย เช่น ขั้นตอนการออกหมายเรียก หมายจับ ซึ่งหากนำมาใช้ในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อาจไม่สอดคล้องกับสถานการณ์และไม่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ซึ่งมีข้อจำกัดด้านสถานการณ์และความมั่นคง นอกจากนี้ในวงเสวนายังได้แลกเปลี่ยนข้อมูลในเรื่องของงบประมาณรัฐที่จะต้องจัดสรรเพิ่มเติมเพื่อจัดหาบุคลากร ทรัพยากร และระบบเทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆ เพื่อรองรับภารกิจและกระบวนงานที่จะเพิ่มขึ้นจากร่างกฎหมายนี้        

ประเด็นที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่มีการแลกเปลี่ยนกันในการเสวนา คือ การจะแก้ไขปัญหางานสอบสวนและเพิ่มประสิทธิภาพของการทำสำนวน ระหว่างพนักงานสอบสวนและอัยการ อาจสามารถดำเนินการได้ผ่านการปรับปรุงรูปแบบการประสานงาน หรือการแก้ไขระเบียบและคำสั่งที่เกี่ยวข้อง ซึ่งน่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด เหมาะสม และรวดเร็วกว่า  โดยไม่จำเป็นต้องไปแก้ไข ป.วิ.อาญา เพราะการแก้ไข ป.วิ.อาญา ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทกลับจะทำให้ไปกระทบหลักการภาพใหญ่ของระบบกฎหมายอาญาที่เป็นระบบกล่าวหาของประเทศไทยทั้งระบบโดยไม่จำเป็น และส่งผลให้เกิดความล่าช้าจากการปฏิบัติงานที่ซ้ำซ้อน และส่งผลเสียต่อประชาชนผู้เสียหาย    

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะรวบรวมผลการเสวนาทั้ง 4 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ และภาคเหนือ เพื่อนำมาจัดทำเป็นข้อคิดเห็นอย่างเป็นทางการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เสนอต่อสภาผู้แทนราษฎรในการพิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้ต่อไป

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top