Wednesday, 25 June 2025
TheStatesTimes

รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ หนุนเลื่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัย 64 ออกไป 2 สัปดาห์ หวังช่วยเพิ่มโอกาสนักเรียนสอบติดคณะที่ตั้งใจมากขึ้น เหตุเพราะโควิด ทำให้ไม่สามารถเรียนได้ตามปกติ

นางสาวศิริภา อินทวิเชียร รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ หนุนนักเรียน เรียกร้องเลื่อนการสอบเข้ามหาวิทยาลัยปีการศึกษา 2564 ขอให้นายกฯ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทบทวนการเลื่อนสอบสองสัปดาห์ สอบ GAT-PAT จากวันที่ 20 - 23 มี.ค. 2564 เป็นวันที่ 1 - 4 เม.ย. 2564 และเลื่อนสอบวิชาสามัญ จากวันที่ 3 - 4 เม.ย. 2564 เป็นวันที่ 17 - 18 เม.ย. 2564 ส่วนสอบ O-NET วันที่ 27 - 28 มี.ค. 2564 และ สอบ กสพท (กลุ่มสถาบันแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย) วันที่ 10 เม.ย. 2564 ตามกำหนดการเดิม เพื่อเพิ่มโอกาสให้นักเรียนในการสอบเข้าเรียนคณะต่าง ๆ ตามที่ตั้งใจไว้

เนื่องจากผลกระทบจาก COVID-19 ทำให้นักเรียนไม่สามารถเข้าเรียนในชั้นเรียนตามปกติได้ และเห็นว่านักเรียนจำนวนมากไม่สามารถเข้าถึงการเรียนการสอนออนไลน์ได้บางส่วน และรวมถึงการติวนอกเวลา ทำให้นักเรียนมีความจำเป็นที่จะต้องใช้เวลาในการเตรียมตัวสำหรับการสอบเพิ่มเติมเพราะต้องใช้เวลาในการอ่าน และทำความเข้าใจบทเรียนด้วยตนเอง ดังนั้นการเลื่อนสอบ 2 สัปดาห์ จะเป็นทางออกที่จะช่วยเพิ่มโอกาสให้นักเรียนอีกจำนวนมากในสอบเข้าคณะที่ตั้งใจไว้

เพราะคะแนนเพียงครึ่งคะแนนก็ทำให้มีตัวเลือกคณะมากขึ้นแล้ว และเชื่อว่านักเรียนที่พร้อมสอบเข้าใจ และอยากเห็นเพื่อน ๆ สอบเข้าคณะที่ตั้งใจไว้ด้วยเช่นกัน ในเรื่องบางเรื่องเราไม่สามารถเอาเสียงส่วนมากหรือส่วนน้อยว่าอยากเลื่อนสอบหรือไม่มาใช้ได้ในการตัดสินใจ แต่ควรยึดหลักว่าอะไรจะเป็นการช่วยเพิ่มโอกาส และสร้างศักยภาพให้กับเยาวชนอนาคตของชาติ

รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สั่งเร่งหาข้อเท็จจริง กรณีปล่อยกลุ่มการเมืองโฟนอินหาเสียง ในโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณ์ราชวิทยาลัยมุกดาหาร พร้อมสั่งห้ามจัดกิจกรรมทางการเมืองในสถานศึกษาของกระทรวงฯ เด็ดขาด

นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย โฆษกกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยว่าตามที่มีข้อมูลปรากฏเป็นข่าวกรณีที่นาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าคณะก้าวหน้า ได้มีการโฟนอินเพื่อไปร่วมพูดคุยกับน้อง ๆ นักเรียนโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณ์ราชวิทยาลัยมุกดาหาร เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา สำหรับเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น ดร.คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการรักษาราชการแทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้รับทราบข้อมูลเบื้องต้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมิได้นิ่งนอนใจ

และได้สั่งการทันทีที่ทราบเรื่องไปยังนายอัมพร พินะสา เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ให้ดำเนินการอย่างเร่งด่วนเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีกภายใต้สามมาตรการ คือ

หนึ่ง ห้ามมิให้สถานศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการทุกแห่งจัดกิจกรรมทางการเมืองเพื่อใช้ในการหาเสียงสำหรับกลุ่มการเมือง หรือพรรคการเมืองโดยเด็ดขาด

สอง ให้สถานศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการทุกแห่งมีมาตรการเฝ้าระวัง สอดส่อง แบบเข้มงวดไม่ให้ผู้ปกครอง ศิษย์เก่า หรือบุคคลหนึ่ง บุคคลใด เข้ามาทำกิจกรรมในสถานศึกษาเพื่อหวังผลทางการเมือง

สาม ให้ผู้อำนวยการเขตพื้นที่เขตการศึกษาในพื้นที่รับผิดชอบดูแลโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณมุกดาหาร เร่งหาข้อเท็จจริงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และรายงานผลกลับมายังกระทรวงศึกษาธิการโดยเร็ว

ทั้งนี้ ในกรณีที่ทราบว่าบุคลากรของสถานศึกษามีพฤติกรรมในการเอื้ออำนวยประโยชน์ให้บุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเข้ามาใช้สถานศึกษาเพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองจะต้องมีบทลงโทษตามระเบียบราชการอย่างเคร่งครัด

นางดรุณวรรณ ยังกล่าวต่อด้วยว่า คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช ยินดีสนับสนุนการสร้างองค์ความรู้ทางด้านประชาธิปไตยให้กับนักเรียน นักศึกษา ตามหลักการการสร้างพลเมืองประชาธิปไตย และพร้อมเปิดกว้างให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม แต่ต้องเป็นไปภายใต้แนวทางการให้ความรู้และส่งเสริมการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ที่มิได้หวังผลทางการเมืองหรือมีประเด็นอื่นใดแอบแฝง

“ขอให้ทุกคนเชื่อมั่นว่า ท่านรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ คุณหญิงกัลยา มิได้นิ่งนอนใจและได้สั่งการไปยังผู้เกี่ยวข้องทันทีที่ทราบเรื่อง พร้อมทั้งกำชับทุกภาคส่วนที่จะต้องไม่เกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นอีกในสถานศึกษาทุกแห่งภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงศึกษาธิการ” นางดรุณวรรณ กล่าว

หอการค้าไทย - จีน มั่นใจ เศรษฐกิจฟื้น พร้อมชง ศบค. เร่ง ‘วัคซีนพาสปอร์ต’ คาดช่วยนักท่องเที่ยวปีนี้เพิ่ม 8 ล้านคน ย้ำ!! หากช้าจะเสียโอกาสให้ประเทศอื่นที่มีความพร้อมมากกว่า

หอการค้าไทย - จีน ได้จัดทำผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจหอการค้าไทย - จีน ซึ่งสำรวจความคิดเห็นจากคณะกรรมการหอการค้าไทย - จีน และสมาคมธุรกิจ รวม 409 คน ต่อภาวะเศรษฐกิจไทยปี 2564 โดยสำรวจในระหว่างวันที่ 18 - 26 ก.พ.2564 พร้อมทั้งมีข้อเสนอให้รัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาผลกระทบจากโควิด-19

นายณรงค์ศักดิ์ พุทธพรมงคล ประธานกรรมการหอการค้าไทย - จีน เปิดเผยว่า หอการค้าไทย - จีน จะทำหนังสือถึงศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดต่อไวรัสโควิด-19 (ศบค.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อให้รีบดำเนินมาตรการออก ‘วัคซีนพาสปอร์ต’ ให้เร็วที่สุดภายในเดือน มี.ค.2564 หลังจากที่ประเทศไทยเริ่มมีทยอยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ไปแล้ว

ทั้งนี้ เมื่อดำเนินการออกวัคซีนพาสปอร์ตแล้ว ศบค.ควรกำหนดให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนพาสปอร์ต ไม่ต้องกักตัวแล้ว เพราะไม่มีความจำเป็นที่ต้องกักตัวแล้ว ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะช่วยให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในไทยปีนี้เพิ่มขึ้นมากกว่า 8 ล้านคน และคาดว่าในจำนวน 8 ล้านคน จะเป็นนักท่องเที่ยวจีนที่จะเดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยมากกว่า 2 ล้านคน

“หอการค้าไทย - จีน อยากให้รัฐบาลรีบดำเนินการเรื่องของวัคซีน พาสสปอร์ต ให้เร็วที่สุด เพราะหากช้าไทยสูญเสียตลาดนักท่องเที่ยวให้กับประเทศอื่นที่มีความพร้อมมากกว่า ซึ่งขณะนี้คนจีนมีความต้องการท่องเที่ยวต่างประเทศมาก ประเทศที่เป็นตัวเลือกก็คือ เอเชีย โดยเฉพาะประเทศไทย เพราะเห็นว่าประเทศไทยปลอดภัย”

นอกจากนี้ หากมีวัคซีนพาสปอร์ต ออกมาภายในเดือน มี.ค. คาดว่านักท่องเที่ยวจะเริ่มเดินทางเข้ามาเที่ยวไทยได้อย่างช้าสุดภายในเดือน เม.ย.เป็นต้นไป ส่วนการท่องเที่ยวจะกลับมาเป็นปกติเหมือนก่อนเกิดโควิด-19 คาดว่าจะใช้ระยะเวลาอีก 2 ปี หรือประมาณปลายปี 2565 หรือต้นปี 2566

ส่วนการชุมนุมทางการเมืองจะกระทบต่อการท่องเที่ยวหรือไม่นั้น นายณรงค์ศักดิ์ กล่าวว่า นักท่องเที่ยวจีนไม่กังวล เพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ ก็ไปท่องเที่ยวตามหัวเมืองหลักของประเทศ โดยจังหวัดหลักที่นักท่องเที่ยวต้องการไป คือ เชียงใหม่ ภูเก็ต พัทยา

สำหรับผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจหอการค้าไทย - จีน พบว่า 60% มั่นใจเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนในไตรมาส 2 จะเติบโตต่อเนื่อง แม้จะยังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

ในส่วนของการส่งออกของไทยไปจีน ผลสำรวจส่วนใหญ่เห็นว่าการส่งออกของไทยไปจีนจะเพิ่มขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจของจีนที่เติบโตต่อเนื่อง และการนำเข้าของไทยจากจีนก็เริ่มฟื้นตัวเช่นกัน รวมทั้งแนวโน้มการลงทุนในไทยของนักลงทุนจีนจะไม่ลดลงและมีทิศทางเพิ่มขึ้น ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่จะเข้าประเทศไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากมาตรการการสนับสนุนการท่องเที่ยวและการมีวัคซีน ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลจีนได้เริ่มมีการฉีดให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ หอการค้าไทย - จีน คาดว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโต 1.5 - 2.5% เพราะยังมีความกังวลต่อเศรษฐกิจไทยใน 5 ด้าน โดยเฉพาะการแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ต่อเนื่องไปถึงปี 2565 ปัญหาเสถียรภาพการเมือง เศรษฐกิจโลกที่ยังคงตกต่ำต่อเนื่อง ปัญหาหนี้ภาครัฐและหนี้ครัวเรือนของไทย และประสิทธิภาพของวัคซีนที่ไทยกำลังทยอยฉีดว่าได้ผลมากน้อยแค่ไหน

รวมทั้งผลสำรวจยังเห็นว่า การฉีดวัคซีนจะมีส่วนช่วยฟื้นเศรษฐกิจไทย และเห็นด้วยว่าหากต่างชาติได้รับการฉีดวัคซีนแล้วสามารถเดินทางเข้าประเทศไทยได้ โดยไม่ต้องกักตัว โดยเฉพาะจะช่วยหนุนภาคท่องเที่ยวของไทยที่รับผลกระทบหนัก และจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขเร่งด่วน เนื่องจากภาคการท่องเที่ยวเป็นเครื่องจักรสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย

ดังนั้นจึงสนับสนุนให้รัฐบาลออกมาตรการเปิดประเทศอย่างปลอดภัย เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 แล้ว และต้องการเข้ามาเที่ยวพักผ่อนในประเทศไทย โดยขอให้ภาครัฐเร่งรัดการออกนโยบายให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้ประกอบการภาคเอกชนมีเวลาเตรียมตัว และนักท่องเที่ยวต่างชาติจะได้วางแผนการท่องเที่ยวล่วงหน้า

“ดัชนีเชื่อมั่นในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 เห็นแนวโน้มการขยายตัวทางการค้าไทยและจีน สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนในเดือน ม.ค.2564 และการค้าไทยและจีนมีมูลค่า 7,579 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 6.11% ซึ่งผลสำรวจส่วนใหญ่มองการส่งออกไปจีนในปีนี้จะเพิ่มขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจของจีนที่เติบโตต่อเนื่อง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการเศรษฐกิจจีนปีนี้เติบโต 8.1% เป็นปัจจัยบวกต่อการส่งออกไทย”

ส่วนความเห็นเกี่ยวกับธุรกิจรายสาขาที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 ยังคงเป็นธุรกิจออนไลน์มากที่สุด รองลงมาเป็นธุรกิจพืชผลเกษตร โลจิสติกส์ ธุรกิจบริการสุขภาพ และเกษตรแปรรูป ในขณะที่ธุรกิจท่องเที่ยวเป็นกลุ่มที่เห็นว่าควรได้รับการแก้ไขมากที่สุด รองลงมาเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง อุตสาหกรรมการผลิต ธุรกิจค้าปลีกค้าส่ง


ที่มา: https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/926950

“ถ้าวงการบันเทิงมี พี่เบิร์ด เป็นตำนาน วงการข่าวต้องมี สรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นตำนานกว่า”

มั่นใจว่า คนไทย เติบโตมากับ สรยุทธ ผ่านหน้าจอทีวี เช้า เย็น ค่ำ ตามแต่ช่วงเวลาที่ สรยุทธ รายงานข่าว แบบไม่มีวันหยุด ไม่มีวันพัก ไม่มีวันป่วย หลายคนสงสัยวัน นอนตอนไหน

การทำงานสไตล์ สรยุทธ ถูกถ่ายทอด ผ่านหนังสือขายดีชื่อ กรรมกรข่าว และออกมาเป็นซีรีย์ ได้หลายเล่มทีเดียว บทสรุปของหนังสือเล่มนี้คือ ทำในสิ่งที่ชอบ และ รัก จะอยู่กับมันได้นาน เหมือนไม่ได้ทำอะไร

สไลต์ข่าวของ สรยุทธ คือ เล่าข่าวให้ชาวบ้านเข้าใจ เน้นเรื่องที่เกียวกับคนส่วนมาก ส่วนเรื่องการเมืองในหลาย ๆ กรณี สรยุทธ ไม่ออกตัวชัดเจนว่าเป็น สีไหน ข้างไหน แต่บางสี เลือกที่จะโจมตีบ้าง เลือกที่จะนำมาใช้ประโยชน์บ้าง สุดแท้แต่สิ่งที่ออกจากปาก สรยุทธ ว่าฝ่ายไหนจะตีความอย่างไร และเป็นประโยชน์กับใคร และใครมองไปทางไหน

สรยุทธ เลือกที่จะพุ่งเป้าไปที่คนหมู่มาก รู้จักการสร้างกระแส เคสใหญ่ ที่เรียกเสียงฮือฮา ได้คือ เมื่อตอนน้ำท่วมใหญ่ประเทศไทย ปี พ.ศ. 2554 ถือเป็นการใช้สื่อ เพื่อช่วยเหลือ แก้ไขปัญหา ได้ตรงจุด และ สร้างการรับรู้ ความไว้วางใจ ได้เผลอ ๆ จะมากกว่ารัฐบาลซะด้วยซ้ำ

ในชีวิตส่วนตัว สรยุทธ เลือกที่จะไม่เปิดเผย ทำตัวเรียบง่าย เงียบนิ่ง ให้สัมภาษณ์ไม่มากครั้ง เน้นการทำงาน

อีกสิ่งที่ สรยุทธ ทำแต่ได้ผลเสมอ คือ การสร้างทีมงาน ทั้งหน้าจอ และ หลังจอ ทำให้ สรยุทธ มี แก๊งค์ ก๊วนของตัวเอง คล้าย ๆ กับ Youtuber สมัยนี้ มีไม่ได้ออกแค่คนเดียว นับเป็นความสำเร็จที่ใครได้มา ประกบ หรือ ปั้น โดยยี่ห้อ สรยุทธ ถือว่าเกิดได้เพียงข้ามคือ ขออนุญาติไม่เอ่ยว่าเป็นใครบ้าง มั่นใจว่า ทุกท่านตอบถูกต้องแน่นอน และทุกคนที่ได้ร่วมงานกับ สรยุทธ รักและเคารพ สรยุทธมาก ๆ เช่นกัน

ในทางกลับกัน แม้มีเสียงชื่นชม แต่ในวิกิพีเดีย ก็มีข้อมูลที่ถูกสรุป ข้อวิพากษ์วิจารณ์ไว้ถึง 14 กรณี ไม่นับรวมคดีไร่ส้มที่มีปัญหาใหญ่สุด ต่าง ๆ นานา ต่างเคส ต่างคู่กรณีกันไป แต่ก็ผ่านมาได้ทุกครั้ง

สิ่งที่สรยุทธ ได้ทำตามคำพิพากษาของศาล นับเป็นเคสของกรณีศึกษาด้านจริยธรรมของสื่อเป็นอย่างมาก รายละเอียดต่าง ๆ สรยุทธ ได้เลือกที่จะเดินหน้าต่อสู้ตามกระบวนการธุติธรรมของ พิสูจน์ความจริง แม้จะใช้เวลา และที่สุดแล้ว ศาลพิจารณาให้จำคุก

สรยุทธ เลือกที่จะเดินตามกระบวนการ และ รับผิดตามคำพิพากษา ศาลฎีกา จำคุก 6 ปี 24 เดือน หลายต่อหลายคำวิพากษ์วิจารณ์ ว่าทำไมติดจริงแค่ปีเศษ ๆ ก็ได้รับการพักโทษ และ ใส่กำไรอีเอ็ม ต่างๆ นานา

ผลสุดท้าย ไม่ว่าอดีตเป็นอย่างไร

แหล่งข่าวคอนเฟิมว่า สรยุทธ จะกลับสู่หน้าจอทีวีช่อง 3 อย่างแน่นอน เพียงแต่รอวันเวลาว่าวันไหน เท่านั้น

14 มีนา นี้ I ll’be Back สรยุทธ กลับมาแล้วแน่นอน!!!

ต้องรอติดตามว่าจะเคลื่อนไหวอะไรอย่างไร มั่นใจว่าต้องไม่ธรรมดาแน่นอน


อ้างอิง :

https://th.wikipedia.org/wiki/สรยุทธ_สุทัศนะจินดา

การตัดสินใจรับคำพิพากษาแบบแมน ๆ ของ 'สรยุทธ' ที่น่านับถือ

“ยืนยันว่าไม่เคยคิดจะหนี เพราะถ้าจะหนีต้องหนีตลอดชีวิต….ถ้าอยู่ในเรือนจำยังมีจุดสิ้นสุด”

การตัดสินใจรับคำพิพากษาแบบ แมนๆ ของสรยุทธ ที่น่านับถือส่วนหนึ่งของคำพูดที่ สรยุทธ สุทัศนะจินดา นักเล่าข่าวชื่อดังกล่าวไว้ในขณะที่กำลังเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในชั้นศาลฏีกาของคดี “ไร่ส้ม” อันสั่นสะเทือนจริยธรรมของสื่อมวลชน แต่ด้วยความเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยมและได้รับพระราชทานอภัยโทษ จากเดิมที่ต้องโทษจำคุก 6 ปี 24 เดือน จึงลดเหลือ เพียง 3 ปี 6 เดือน 20 วัน และเมื่อหักวันต้องโทษจำคุกมาแล้วจึงเหลือโทษอยู่อีกเพียงแค่ 2 ปีเศษเท่านั้น ซึ่งเข้าข่ายหลักเกณฑ์การพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ โดยจะได้พักการลงโทษ ปล่อยตัวในวันที่ 13 มีนาคม 2564 นี้

แต่ต้องติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว หรือกำไล EM (Electronic Monitoring) และต้องปฏิบัติตนตามเงื่อนไขที่กำหนดอย่างครบถ้วน รวมไปถึงต้องรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุกเดือนจนกว่าจะพ้นโทษ นี่เป็นอิสรภาพในการควบคุมของกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ที่น่าติดตาม แม้ว่าการพักโทษครั้งนี้อาจยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดการต้องโทษของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา แต่เมื่อ “กรรมกรข่าว” comeback เมื่อ “คนเล่าข่าวอันดับหนึ่ง” กลับคืนหน้าจอ วงการจะสั่นสะเทือนมากน้อยแค่ไหน ?

บนสังเวียนข่าวกว่า 30 ปี สรยุทธ เริ่มต้นเส้นทางนี้ที่ The Nation ในปี 2531 มา MCOT ที่เขาและรายการของเขาเป็นรายการเดียวที่ได้สัมภาษณ์นายกรัฐมนตรีทักษิณ ในช่วงก่อนการรัฐประหาร 2549 ไล่เรียงมาจนถึงการเล่าข่าวและเป็นพิธีกรรายการข่าวถึง 4 รายการคือ เรื่องเล่าเช้านี้, เรื่องเด่นเย็นนี้, เรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์, จับเข่าคุย ทางช่อง 3 ซึ่งเป็นเขาที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้สังคมจากการรายงานข่าวอุทกภัยในปี 2554 อย่างเกาะติด พร้อมดึงเพื่อนในหลายแวดวงร่วมมือกันจนหาเงินบริจาคให้ชาวบ้านที่ทุกข์ร้อนได้มากมาย โดยไม่เคยมีผู้สื่อข่าวคนไหนทำมาก่อน

วีรกรรมของเขาครั้งนั้นโด่งดังขนาดที่คนนึกถึงและเรียกหาชื่อเขาก่อนนายกรัฐมนตรีเสียอีก เรียกได้ว่า สรยุทธ คือจ้าวแห่งการสื่อสารด้วยคำพูด (Speech Communication) โดยเฉพาะเรื่องเล่าของเขาที่สามารถสื่อสารไปยังผู้ชม ผู้ฟัง ได้อย่างลึกซึ้ง กว้างขวางและน่าเชื่อถือ ซึ่งเกิดจากเตรียมพร้อมและการย่อยข่าวอันเป็นพรสวรรค์ของเขา ว่ากันว่าการเตรียมพร้อมประจำวันของ สรยุทธ ตอนช่วงพีกสุด ๆ เขาต้องเดินทางมาถึงช่อง 3 ตั้งแต่ตี 4 กว่า เตรียมข้อมูลเพื่อออกอากาศ 6 โมงเช้า ช่วงบ่ายไปหาที่งีบหลับในตึกของช่อง พอบ่าย 2 โมงเริ่มเตรียมเนื้อหาข่าวเข้ารายการ “เรื่องเด่นเย็นนี้” วันหนึ่งเขานอนประมาณ 3 - 4 ชั่วโมงเท่านั้น กิจวัตรนี้นับเฉพาะส่วนของงานข่าวบนหน้าจอโทรทัศน์ไม่รวมไปถึงผลงานการเขียนหนังสือและงานอื่น ๆ อีกมากมายของเขาในช่วงนั้น

โลกที่หมุนเร็วขึ้นจะเป็นอุปสรรคต่อกลับมาของสรยุทธมากน้อยแต่ไหน? การจะกลับมาอยู่บนจอท่ามกลางกระแสโซเชียลอันเชี่ยวกรากจะยากเกินไปไหม ? คำตอบคือไม่เป็นอุปสรรคและไม่ยาก หากดูจากเพจ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว” ที่มีผู้ติดตามอยู่เกิน 1 ล้านคน เขายังคงเป็น Main Influencer ของประเทศนี้ บริษัทของเขาก็ยังมีกำไรต่อเนื่องในฐานะผู้ผลิตรายการ ปัญหาของเขาน่าจะอยู่ที่ช่อง 3 นั่นเอง

แม้ทีวีดิจิตอลในวันนี้จะมีเม็ดเงินโฆษณาอยู่พอสมควรแต่การแข่งกันสร้างนักเล่าข่าวใหม่ ๆ ผนวกกับรายการข่าวที่พัฒนาทั้งรูปแบบและช่องทางเพื่อสนองต่อโลกที่ผ่านวิกฤติโควิด-19 ไปสู่โลกวิถีใหม่ ก็ทำเอาทีวีดิจิตอลหลายช่องไปไม่เป็น โดยเฉพาะช่อง 3 ที่ประสบปัญหาขาดทุน มีการปรับเปลี่ยนและเลย์ออฟพนักงานอยู่หลายคราว

ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแต่อุปสรรคจะทำให้เรารู้ว่า “ชีวิตที่แท้จริง” เป็นอย่างไร เชื่อว่าการกลับมาของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา จะเป็นแรงกระเพื่อมครั้งสำคัญของวงการข่าว สมใจบรรดาแฟนข่าวของเขา แต่การจะกลับมายืนเป็นเบอร์หนึ่งและเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจได้เหมือนเดิมหรือไม่ ? คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ เพราะหลายๆ ช่องทาง หลาย ๆ สื่อคงไม่มีใครอยู่นิ่ง ๆ แล้วให้รายการของสรยุทธกลับมากระชากเรตติ้งกลับไปเป็นของเขาเหมือนเดิมแน่ ๆ แต่ที่ได้ประโยชน์แน่ ๆ คงเป็นเรา ๆ ท่าน ๆ ผู้บริโภคข่าว เพราะต่อไปนี้รายการข่าวจะมีคุณภาพขึ้นกว่าช่วงที่ไม่มีสรยุทธอยู่แน่นอน

นาทีนี้ ชื่อ 'สรยุทธ' ยังขายได้?

นาทีนี้ต้องเรียกว่าคนทำงานวงการสื่อสารมวลชน นั่งกันไม่ติด นอนคิดหลายตลบ นับคอยวันเวลาที่รุ่นใหญ่ ตำนานแห่งคนข่าวที่เปลี่ยนหน้าจอทีวี จากการนำเสนอข่าวแบบผู้ประกาศข่าวเป็นเหมือนเครื่องอ่านข่าว มาเป็นการเล่าข่าวแบบเข้าถึง จนกลายเป็นเพื่อนที่ต้องอยู่คู่กันทุกเช้า “สรยุทธ สุทัศนะจิดา” ที่มีกำหนดการพักโทษและจะออกจากเรือนจำในวันที่ 14 มีนาคมนี้ ในแวดวงคนสื่อเอง ต่างก็คาดเดากันว่า หลังจากก้าวออกจากเรือนจำ อาจจะได้เห็น สรยุทธ ในหน้าสื่อกระแสหลักทันที แว่วๆมาด้วยซ้ำว่า ต้นสังกัดเดิม พร้อมลงหน้าจอทันทีไม่รีรอ

“สรยุทธ” กลับมาแบบนี้ ! สะเทือนข่าวผังรายการข่าวทีวีทั่วฟ้าเมืองไทยไม่น้อย โดยเฉพาะ “ข่าวช่วงเช้า” ที่แต่ละช่องมีการปรับแผน ยกผัง เปลี่ยนกลยุทธ์กันมาตั้งแต่ต้นปี หลายช่องเตรียมพร้อมรับมือการกลับมาของ “สรยุทธ” แต่ก็สุดจะคาดเดาว่ากลับมาครั้งนี้ จะงัดไม้ไหนออกมาให้ตะลึงกันอีก

ที่แน่ ๆ “สรยุทธ” ที่หลายคนคิดถึง คงมีแฟน ๆ รอการกลับมาของเขามากล้นเลยทีเดียว แต่อย่างไรก็ตามก็ต้องยอมรับ ว่ายุคก่อน “สรยุทธ” เข้าเรือนจำ กับยุคปัจจุบัน ช่องทางสื่อเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จาก Digital Disruption การพุ่งพรวดของเทคโนโลยี ทำให้สื่อทีวี ไม่ใช่สื่อหลักอีกต่อไป ถ้ายอมรับความจริงข้อนี้ได้ สื่อออนไลน์ได้เข้ามาแทนที และไปไกลกว่าสื่อทีวีไปมากแล้ว ซึ่งคนในแวดวงสื่อเองก็ได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้กันถ้วนหน้า ทั้งการปลดพนักงานออก หรือการขยับตัวของรุ่นใหญ่ลงมาหน้าสื่อออนไลน์เต็มสูบ อย่าง “สุทธิชัย หยุ่น” ถึงขนาดพยากรณ์ไว้ใน Clubhouse แอพลิเคชั่นสังคมออนไลน์สุดฮิตว่า “ในอีกไม่เกิน 5 ปี ข้างหน้า สื่อทีวีสุดท้ายจะกลายเป็นเพียงของหายาก แต่จะไม่มีใครต้องการอีกต่อไป”

รุ่นใหญ่อย่าง “สุทธิชัย หยุ่น” ลงมานำเสนอข่าวผ่านสื่อออนไลน์แล้ว ตามมาติดๆด้วยลูกรักศิษย์เนชั่น อย่าง “จอมขวัญ หลาวเพ็ชร” ที่ฉีกสัญญาต้นสังกัดเดิม ลงมาเปิดหน้าในสำนักข่าวออนไลน์เต็มตัว ไม่เพียงเท่านั้น คนข่าวรุ่นใหม่หลายคนที่อายุงานยังไม่มาก บ้างก็ปรับตัวลงมาลุยสื่ออออนไลน์ควบสื่อทีวี บ้างก็ถอดใจย้ายเส้นทางชีวิต ไม่เดินเส้นทางสื่อทีวีต่อ ไปทำอย่างอื่นที่มีอนาคตกว่า

จึงน่าจับตาว่าคนที่เรียกตัวเองว่า “กรรมกรข่าว” อย่าง “สรยุทธ สุทัศนะจินดา” บุคคลผู้ทรงอิทธิพล ผู้เปลี่ยนหน้าวงการสื่อทีวี กรุยทางให้กับคนข่าวทีวีเดินตาม จนบางคนโด่งดังสุดๆจากสไตล์เดียวกับสรยุทธ สุดท้ายแล้วเมื่อกลับมาใหม่ในครั้งนี้ จะมีแนวทางในการนำเสนอข่าวอย่างไร จะยังคงได้รับการตอบรับจากแฟนข่าวเดิมอยู่หรือไม่ แล้วจะดึงแฟนข่าวที่ย้ายไปภักดีกับสองช่องยักษ์ในตอนนี้กลับมาอย่างไร ท้าทายมากกว่านั้นกับคนรุ่นใหม่และสื่อออนไลน์ “สรยุทธ” จะเข้าไปสร้างปรากฏการณ์อีกครั้งในสื่อเหล่านี้หรือไม่ การกลับมาครั้งนี้จะสร้างปรากฏการณ์รุ่งหรือร่วง อีกไม่นานคงได้รู้กัน

อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่า “จมูกไวต่อข่าว” ไม่ได้มีกันทุกคน แต่ “สรยุทธ” คือคนข่าวตัวจริงที่จมูกไวและประสบการณ์สูง ซึ่งสิ่งนี้เป็นข้อได้เปรียบสื่อออนไลน์ในปัจจุบัน ที่เน้นความไว แต่ไร้ซึ่งมิติและอ่อนประสบการณ์

“เนลสัน แมนเดลา” อดีตประธาธิบดีแอฟริกาใต้ ผู้นำการต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว เคยให้สัมภาษณ์กับนักข่าวสำนักหนึ่งกับคำถามที่ว่า “ท่านรู้สึกอย่างไรที่ติดคุกไปตั้ง 27 ปี? “ แมนเดลา ตอบติดตลกว่า “ใครว่าผมติดคุก ผมเรียนหนังสืออยู่ต่างหาก” ระยะเวลาหลายปีที่สรยุทธหายไปจากหน้าจอทีวี ไปอยู่กับการต่อสู้คดีและเรือนจำ อาจเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ “สรยุทธ” เกิดการตกผลึกบางสิ่งในชีวิตและการทำงานมากขึ้นก็เป็นได้ และเราจะได้เห็น “ผลึก” นั้นผ่านงาน “ข่าว” รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งแน่นอน น่าติดตามและตั้งตารอ

สัญญาณ 'กู้ชีพ' ครั้งใหม่

แม้จะมีการโยกสับเปลี่ยนขยับคนใหม่ ไถคนเก่าออกเป็นระลอกคลื่นในวิก 3 พระราม 4 ตลอดร่วมครึ่งทศวรรษ

แต่ดูเหมือน สัญญาณแห่งการ ‘ฟื้นคืนชีพ’ และสร้างความยิ่งใหญ่แบบในอดีต อาจจะยังไม่เห็นภาพชัดในช่วงนี้นัก

เพราะส่วนหนึ่ง ก็ต้องยอมรับว่าช่อง 3 เป็นสินค้าที่อยู่ในตลาดที่ยากและท้าทายมาก แถมตอนนี้จังหวะของธุรกิจสื่อทีวีดิจิทัลก็ไม่ได้สวยหรูอะไรนัก เพราะโซเชียลมีเดียก็มีข่าวสารให้เสพแบบไม่ต้องง้อทีวี หรือแม้แต่คอนเท้นท์อื่น ๆ ก็มีให้เลือกมากถึงมากที่สุดในโลกออนไลน์

ภาพความลำบากของช่อง 3 จึงเริ่มเห็นได้ชัด จากธุรกิจที่ไม่เคยขาดทุน จนได้สัมผัสกับคำว่าขาดทุนครั้งแรกในช่วงปี 2561

ปี 2560 รายได้ 11,226 ล้านบาท กำไร 61 ล้านบาท

ปี 2561 รายได้ 10,504 ล้านบาท ขาดทุน 330 ล้านบาท

ปี 2562 รายได้ 8,779 ล้านบาท ขาดทุน 397 ล้านบาท

ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าช่อง 3 แบกต้นทุนทำทีวีดิจิทัลทั้ง 3 ช่องมาตลอด แม้เดือนกันยายน 2562 ได้ตัดสินใจคืนใบอนุญาต 2 ช่อง (ช่อง 3SD / ช่อง 3Family) แต่ก็ไม่ช่วยให้ผลประกอบการกระเตื้องขึ้นมาก เต็มที่ก็คือการคงผลขาดทุนให้ลดลง

อีกส่วนหนึ่ง คือ การจากลาหน้าจอของ ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา’ แห่ง ‘เรื่องเล่าเช้านี้’ (เรื่องเด่นเย็นนี้ / เรื่องเล่าเสาร์ - อาทิตย์) หลังจากเมื่อวันที่ 21 มกราคม 2563 ศาลฎีกาได้พิพากษาจำคุกตัวเขาในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัท ไร่ส้ม และอดีตพิธีกรรายการเล่าข่าวชื่อดัง ที่โยงคดีทุจริตค่าโฆษณาส่วนเกิน อสมท. 138 ล้านบาทเป็นเวลา 6 ปี 24 เดือน

อย่างไรก็ตาม เสียง ‘สัญญาณกู้ชีพ’ ครั้งใหม่ ที่เหมือนจะถูกฝากความหวังไว้ ก็เริ่มก่อเค้าลางๆ หลังจากอีกไม่นานอดีตพิธีกรข่าวชื่อดังแห่งช่อง 3 จะได้ก้าวออกสู่โลกแห่งอิสรภาพ พร้อมการคัมแบ็คช่อง 3 ในรายการข่าวเรียกแขกแบบเร็ววันพ่วงกำไล EM ให้ดราม่ากันเบา ๆ

และนั่นก็ทำให้ 'อดมโน' ไม่ได้ว่า สรยุทธ กับรายการ (ที่อาจจะเป็น) เรื่องเล่าเช้านี้ ซึ่งยังมีหน้าตาของเขาเป็นโลโก้แม้วันที่เจ้าตัวไม่อยู่ จะมีส่วนทำให้ช่อง 3 กลับมาผงาดได้เหมือนแต่ก่อน

ความคิดและคำพูดเช่นนี้อาจจะดูเว่อร์ไปนิด แต่ถ้ามองตามตรรกะ ต้องยอมรับว่า ‘ฝีปาก’ ของสรยุทธนั้น พร้อมฉุดให้ทุก ๆ คอนเท้นท์ที่รันบนแพลตฟอร์มของช่อง 3 มีคนดูได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นข่าว, ละคร, อีเว้นท์ หรือผลงานต่าง ๆ ของทางช่อง และต่างค่ายที่อยากมาโปรโมท แต่พอไม่มีสรยุทธ ทุกอย่างก็ดูดรอปลงตามสภาพ

ลองเทียบดูได้จากแค่รายการ ‘เรื่องเล่าเช้านี้’ ที่ไร้สรยุทธ ที่พอจะทำให้เห็นภาพความดรอป โดยอ้างอิงข้อมูลจาก TV Digital Watch พบว่า เรตติ้งรายการเรื่องเล่าเช้านี้ มีแต่ลดฮวบ ๆ ตั้งแต่ที่เริ่มมีกรณีคดีไร้ส้มเข้ามาเอี่ยว และสรยุทธเริ่มเฟดตัวออกจากช่อง 3

...2557 = 2.852

...2558 = 2.139

...2559 = 1.545

...2560 = 1.101

...2561 = 0.945

โดยเรตติ้งเฉลี่ยของภูมิภาคที่ตกแบบเด่นชัด คือ กรุงเทพและปริมณฑล ที่ตกมาตั้งปี 2557 ซึ่งเดิมมีอยู่ 4.794 ลดลงเหลือเพียง 1.881 ในปี 2561 ซึ่งไอ้ที่แย่ คือ ภูมิภาคนี้ คือ ฐานที่ช่อง 3 มีไว้กำราบช่อง 7 ที่ควบคุมตลาดภูธรนี่น่ะสิ

อันที่จริงแล้ว หากตัดปัญหาเรื่องเงินโฆษณา 138 ล้านบาท (กับ อสมท.) ที่ถือเป็นสึนามิครั้งใหญ่ของชีวิต สรยุทธ เชื่อว่าช่อง 3 อาจจะยังมีสถานภาพที่งดงามในโลกดิจิทัลคอนเท้นท์บูม เพราะจะตั้งธงให้พี่ยุทธไปรุกช่องทางไหน หรือชี้บวกชี้ลบคอนเท้นท์ทุกสไตล์ ในวันที่เขาเป็นเหมือนไอดอลของคนทุกรุ่น มันก็ไม่ได้ยากมากเท่าไร

แต่การจากหน้าจอไป ในยุคที่ใคร ๆ ก็ลืมง่าย มันคือช่องว่างที่ยากลำบากแก่การอุด

แถมตลอดช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา ช่อง 3 หรือจะบอกว่าพี่ยุทธและไร่ส้มก็ได้นั้น แทบไม่ได้สร้างนักเล่าข่าวชายเพื่อมารองรับกรณีที่แกจะถอยออกไปเป็นเถ้าแก่ หรือแม้แต่เมื่อเกิดสถานการณ์ที่ต้องเว้นวรรคด้วยแม้แต่น้อย ทำให้ช่อง 3 และรายการข่าวไม่มีตัวแทน พอไม่มีตัวแทนภาพก็เป็นเช่นนี้

ที่บอกว่าไม่มีตัวแทน ไม่ใช่ว่าไม่มีคนมาเล่าข่าวแทน แต่คนที่มีเขี้ยวเล็บแบบนี้ ในปฐพีก็มีน้อย หรือถึงแม้จะมีอยู่ ก็ใช่ว่ามาแทรกปุ๊บจะแทนที่พี่ยุทธได้ทันที และที่สำคัญก็ไม่รู้พี่ยุทธอยากให้มาแทนด้วยรึเปล่านิสิ

อย่างไรก็ตาม ในการกลับมาของ สรยุทธ ที่ว่ากันว่าช่วงอยู่ในเรือนจำ ก็ปั๊มฐานออนไลน์ไว้เพียบ จากแฟนคลับที่ติดตาม ‘เรื่องเล่าชาวเรือนจำ’ หลักล้านคน น่าจะเป็นแรงส่งช่วยดันยอดชมเหวี่ยงมาประคองช่อง 3 ได้ระดับนึง

แต่มันจะถึงขั้นทำให้ช่อง 3 เติบโตเปรี้ยงปร้างได้จริงแค่ไหน? อันนี้น่าคิด เพราะในยุคที่ข่าวกลายเป็นเรื่องที่ ‘คนธรรมดา’ ก็สามารถแจ้งความคืบหน้าได้ แถมตอนนี้ยูทูบเบอร์ หรือบล็อกเกอร์บางราย มีอิทธิพลสูงส่งเสียยิ่งกว่าคนหน้าจอแก้วซะอีก

การพูดให้เชื่อ การโหนให้เฮ!! จะยังเป็นได้เช่นเคยหรือไม่? จึงต้องดู...

ยิ่งไปกว่านั้น การห่างหายจากหน้าจอไปนานของพี่ยุทธ จะยังแรงพอโกยคนที่มีการรับชมคอนเท้นท์แบบ ‘ส่วนตัวสไตล์’ มากขึ้นให้ ‘คืนกลับมาหา’ เพียงเพราะมีชื่อ ‘สรยุทธ’ คนเดียวแล้วกู้สถานการณ์ได้หรือไม่นั้น มันก็อดคิดไม่ได้ว่าจะง่ายได้ขนาดนั้นเลยหรือ?

ยกเว้นแต่ช่อง 3 พลิกคิดคอนเท้นท์ใหม่ แบบที่ ‘น้าเน็ก’ แกออกไปทำเอง แนวๆ คุยให้เด็กมันฟัง เอ้อ!! แบบนั้นอะ!! เข้าที แล้วหลังจากนั้นโมเดลด้านคอนเท้นท์ของช่อง 3 ก็อาจจะต้องรื้อใหม่หมด (หรือไม่?) ละครตบตี กระทำชำเรา ที่ทำให้โซเชียลด่ากันระงม หรือรายการวาไรตี้เดิม ๆ อาจต้องปัดฝุ่นไหม หรือไม่ก็ต้องเปลี่ยนทิ้ง เพื่อเสริมแรงแบบ 2 ทาง (สรยุทธ + ช่อง 3 New Model)

เหล่านี้แลดูน่าสนในเชิงขององค์รวม!!

เพียงแต่ผลลัพธ์ของมันจะปังแค่ไหน ในวันที่มือปืนเก่ายังโบกมือลา ส่วนมือปืนใหม่ ๆ ที่หวังจะเข้ามาช่วยกอบกู้ช่อง 3 ก็ยังอยู่ยาก เพราะวัฒนธรรมหรืออะไรก็ตามมันค้ำสถาบันนี้ไว้

สรุปแล้ว พี่ยุทธ!! อาจเป็นไอดอลของวันนั้น ส่วนวันนี้อาจแค่ ‘หวังได้’ ก็ต้องเผื่อใจไว้นิดสำหรับมวลชนคนวิก 3

คิดไกลไปเกินละ...อย่าคิดตามล่ะ


อ้างอิง:

https://www.posttoday.com/social/think/419034

https://www.tvdigitalwatch.com/news-ch3-reunglow-choanee-21-1-63/

พาเที่ยว 'Kept Pier Cafe' คาเฟ่พัทยาล้อมด้วยทะเล ชมพระอาทิตย์ตก | Aon On Air EP.9

Aon On Air EP. นี้ อ้อนจะพาทุกคนไปที่ 'Kept Pier Cafe' คาเฟ่ที่พัทยา ซึ่งคาเฟ่แห่งนี้มีความพิเศษกว่าที่อื่นตรงที่บริเวณโดยรอบคาเฟ่ล้อมไปด้วย 'ทะเล' ทั้งหมด ! จะสวยงามขนาดไหน ตามอ้อนไปดูด้วยกันเลยค่ะ :)

'Kept Pier Cafe'

⏰ เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่ 11.00 - 22.00

???? https://goo.gl/maps/f37yHrMuUze18MxeA 

.

.

'กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์' | The States Times Story เรื่องจริง ฟังเพลิน โดย เจต ณ นคร : EP.11

 

กว่า 120 ปี หลังนิวัติสยาม ศาลสักการะและพระอนุสาวรีย์กว่า 200 แห่ง เจ้านายผู้ทรงเป็นทั้ง ทหารเรือ หมอยา ผู้ชำนาญไสยเวทย์ จิตรกร นักประพันธ์เพลง ฯลฯ นายทหารเรือพระองค์แรกสู่นายพลเรือผู้หยั่งรากลึกของทัพเรือสยาม

นี่คือเรื่องราวของเจ้านายที่มีคุณูปการอย่างยิ่งยวดต่อประเทศชาติ ต่อกองทัพเรือ แม้พระองค์จะผ่านชีวิตที่มีขึ้น ลง คล้ายกับเรือที่ต้องผ่านคลื่นแห่งมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ แต่เรื่องราวของพระองค์ท่านก็ยังคงเป็นที่เล่าขานมาจวบจนปัจจุบันนี้ เรื่องราวที่แสดงถึงความเป็นมนุษย์ที่มีเนื้อแท้แกร่งกล้ายิ่งกว่าเหล็กในเรือ

พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ หรือ เสด็จเตี่ย “พระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย” 

.

เศรษฐกิจในเมียนมาพังเพราะใคร..?

เป็นเวลากว่า 40 กว่าวันแล้ว ที่กองทัพเมียนมาเข้ายึดอำนาจรัฐบาลพลเรือน ทางกองทัพเข้าคุมตัวนางอองซานซูจีและสมาชิกพรรคเอ็นแอลดีตามมาด้วยการตอบของพรรคเอ็นแอลดีโดยการเรียกประชาชนที่สนับสนุนออกมาประท้วงทั่วประเทศ และก็ไม่เป็นเรื่องที่ยากเย็นนักที่ชาวเมียนมาผู้มีบาดแผลที่กองทัพเมียนมาในอดีตเคยกระทำ จะทำให้คนเมียนมาโกรธแค้นและพร้อมใจกันออกมาเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวผู้นำของเขา

กลยุทธ์ทำลายเศรษฐกิจด้วยวิธีอารยะขัดขืน เป็นกลยุทธ์หนึ่งในการตอบโต้กองทัพเมียนมา ด้วยการไม่ไปทำงาน ซึ่งกลายเป็นความนิยมที่คนพม่าต่างพร้อมใจในการปฏิบัติตาม แต่คนพม่าหารู้ไม่ว่า การทำอารยะขัดขืนด้วยวิธีนี้ ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่เพียงธุรกิจของกองทัพเท่านั้น แต่ยังกระทบถึงประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศด้วย

การไม่ทำงานส่งผลให้หลายธุรกิจต้องปิดอย่างไม่มีกำหนด หรือเปิดบริการได้แบบเปิด ๆ ปิด ๆ หลายบริษัท ห้าง ร้าน ไม่สามารถค้าขายสินค้าได้ แม้ในช่วงแรกเจ้าของกิจการจะร่วมมืออย่างเต็มร้อย แต่เมื่อใกล้ถึงปลายเดือน เหล่าเจ้าของกิจการได้เริ่มตระหนักถึงผลกระทบจากการทำอารยะขัดขืนดังกล่าว

การอารยะขัดขืนทำให้รายรับเขาลดลง ไม่ว่าจากการที่เขาต้องปิดกิจการก็ดี ไม่มีพนักงานมาทำงานก็ดี หรือลูกหนี้ของเขาไม่จ่ายเงินเนื่องมาจากการติดขัดจากการที่ธนาคารปิดเพราะทำอารยะขัดขืนก็ดี ในขณะที่รายจ่ายเขายังคงที่ทำให้หลายๆ ธุรกิจก้าวข้ามผ่านเดือนแรกของการปฏิวัติไปอย่างทุลักทุเล เพราะไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาหลายสิบปี หลายๆ คนถึงขั้นต้องนำเงินสำรองออกมาใช้จ่ายเพื่อพยุงธุรกิจให้ผ่านเดือนที่ผ่านมาไปได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อก้าวข้ามสู่เดือนมีนาคม เดือนที่ 2 ของการต่อสู้ หลายธุรกิจเริ่มปรับตัวได้ และเริ่มปรับกลยุทธ์แบบจ่ายเฉพาะวันที่ทำงาน หรือบางคนปรับลดการทำงานและการจ่ายเงินลงเช่นจ่ายเป็น 3 ใน 4 หรือครึ่งเดียวเป็นต้น ในขณะที่บางบริษัทยังดำเนินการเหมือนเดิมโดยการจ่ายเงินเดือนผ่านระบบ Payroll แม้ว่าธนาคารจะหาตู้กดเงินลำบากก็ตาม

ผมจำได้ว่าหลังจากรัฐประหารมาไม่กี่วัน คณะรัฐประหารออกแถลงการณ์ให้ประชาชนใช้ชีวิตอย่างปกติ และทุกวันนี้ยังมีการออกประกาศต่างๆ ออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาจากการที่ธนาคารก็ดี หรือ ชิปปิ้งที่ทำเรื่องนำเข้าส่งออกก็ดีทำอารยะขัดขืน โดยล่าสุดก็ยกเลิกการทำเอกสาร Import License เพื่อให้ขั้นตอนการนำเข้าทำได้ง่ายมากขึ้น รวมถึงการแก้ปัญหาการนำระบบแมนนวลกลับมาใช้อีกครั้งเพื่อแก้ปัญหาสินค้าติดค้างตรงชายแดน ซึ่งก็มองว่ารัฐบาลทหารมีความพยายามอย่างมากในการประคับประคองเศรษฐกิจเมียนมาที่เปราะบางใกล้จะพังเต็มที

สุดท้ายคงต้องขึ้นกับประชาชนเมียนมาว่าเขาจะมองประชาธิปไตยสำคัญกว่าปากท้องของเขาหรือไม่ เพราะสุดท้ายไม่มีระบอบไหนที่จะให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขได้โดยไม่ต้องทำงาน และเหล่าบรรดาผู้ประกอบการต่าง ๆ จะสามารถช่วยเหลือประชาชนที่มีอุดมการณ์ทางประชาธิปไตยของเขาได้นานแค่ไหนเช่นกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top