สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2564
สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน
ประจำวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด-19 ประเทศไทยและอาเซียน
ประจำวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ.2564
‘Startup’ ชื่อเท่ ๆ ของธุรกิจดิจิทัล และหรือธุรกิจแนวคิดใหม่ เย้ายวนให้บรรดาคนรุ่นใหม่ใฝ่ฝันอยากเข้าไปเกี่ยวข้อง สามารถทำเงินถึงหลักหมื่นล้านได้ภายในเวลาไม่กี่ปี (หากประสบความสำเร็จ)
แต่ทราบหรือไม่ว่าธุรกิจสตาร์ทอัพระดับโลกที่คนทั่วไปรู้จักกันดี อาทิเช่น Apple, Facebook, SpaceX, Amazon และ Alibaba ต่างก็เริ่มต้นจากกลุ่มคนทำงานไม่กี่คนในโฮมออฟฟิศเล็กๆ ที่บ้าน ก่อนที่จะผลักดันธุรกิจให้เติบโตจนกลายเป็น ‘ยูนิคอร์น’ ในทุกวันนี้
ว่าแต่ ‘ยูนิคอร์น’ คืออะไร?
ยูนิคอร์น หมายถึง ธุรกิจสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จเติบโตจนมีมูลค่าเกิน 1 พันล้านเหรียญ (ประมาณ 30,000 ล้านบาท) โดยปัจจุบันมีธุรกิจสตาร์ทอัพมากกว่า 300 ล้านบริษัททั่วโลก แต่มีเพียง 556 บริษัทเท่านั้นที่สามารถเติบโตจนถึงระดับยูนิคอร์น ซึ่งในนั้นเป็นบริษัทสัญชาติอเมริกันมากที่สุดถึง 137 บริษัท รองลงมาคือจีน 120 บริษัท
ส่วนประเทศในย่านอาเซียนนั้น ก็มีสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นอยู่ 11 บริษัท โดยประเทศอินโดนีเซียมีการผลิตสตาร์ทอัพสัญชาติอิเหนาได้มากถึง 6 บริษัท และทำให้อินโดนิเซียเป็นประเทศที่มีสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นมากเป็นอันดับ 9 ของโลก รวมถึงเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน
เพราะเหตุใดอินโดนิเซียถึงกลายเป็นเจ้าแห่งยูนิคอร์น ‘สตาร์ทอัพ’ อะไรเป็นปัจจัยที่ส่งเสริมให้เกิดระบบนิเวศน์เชิงธุรกิจที่เอื้ออำนวยต่อการเติบโตของธุรกิจสตาร์ทอัพในอินโดนิเซีย วันนี้เรามาลองแอบส่องเหตุ ‘ปัจจัย’ ในการสร้าง ‘ลูกม้า’ ให้กลายเป็น ‘ยูนิคอร์น’ ของเมืองอิเหนา ประเทศเพื่อนบ้านของเรากัน
จุดเริ่มต้นของธุรกิจสตาร์ทอัพในอินโดนิเซียเกิดขึ้นในช่วงราว ๆ ปี 2009 จากกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่ได้เรียนรู้การทำธุรกิจในยุค ดอทคอมรุ่งเรืองและนำมาต่อยอด เพื่อสร้างธุรกิจในอินโดนิเซีย และตอนนี้ในอินโดนิเซีย ก็มีกลุ่มสตาร์ทอัพที่ยังคงอยู่ในธุรกิจมากถึง 2,000 บริษัท และเป็นถึงระดับยูนิคอร์น 6 บริษัท ได้แก่...
1.) Gojek ก่อตั้งครั้งแรกในปี 2009 โดยนาเดียม อันวาร์ มาคาริม นักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่เริ่มต้นจากการพัฒนาแอปพลิเคชัน เรียกรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่มีอยู่เพียง 20 คัน จนกลายเป็น Super App ที่มีบริการหลากหลายถึง 24 ประเภท และขึ้นแท่นยูนิคอร์นตัวแรกในอินโดนิเซียเมื่อปี 2017 แถมตอนนี้ก็ยกระดับธุรกิจขึ้นไปอีกขั้น จนกลายเป็น ‘ดีคาคอร์น’ ที่มีมูลค่าของบริษัทมากกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญ (3 แสนล้านบาท) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
2.) Tokopedia เว็บไซด์ e-Commerce ที่ก่อตั้งปีเดียวกับ Gojek โดยนักธุรกิจดาวรุ่ง วิลเลี่ยม ทานุวิชยา ที่ต้องการสร้างแพลตฟอร์ม Customer-to-Customer เพื่อรองรับตลาดการค้าที่ใหญ่ และหลากหลายมากในอินโดนีเซีย จนสามารถต่อยอดเป็นธุรกิจระดับยูนิคอร์นได้ แถมยังได้รับทุนสนับสนุนจาก Alibaba, Google และ เทมาเส็ก
3.) Traveloka ผู้ให้บริการจองตั๋วเครื่องบิน ห้องพัก โรงแรม และกิจกรรมสันทนาการต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่อย่างครบวงจร เป็นแอปพลิเคชันที่ใช้อย่างแพร่หลายทั้งในอินโดนิเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ออสเตรเลีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์ รวมถึงไทยด้วย ที่หลายคนอาจไม่คิดว่าบริษัทแม่ของ Traveloka ตั้งอยู่ที่กรุงจาการ์ต้า ในอินโดนิเซียนี่เอง แถมมีมูลค่าธุรกิจสูงกว่า 3 พันล้านเหรียญแล้วในปัจจุบัน
4.) Bukalapak เป็นอีกหนึ่ง e-Commerce ระดับยูนิคอร์นอีกเจ้าของอินโดนิเซีย แม้ว่าชาวอินโดฯ จะมี Tokopedia ไปแล้ว แต่ตลาดออนไลน์เจ้าเดียวคงไม่พอสำหรับประชากรที่มากถึง 270 ล้านคน ซึ่ง Bukalapak ก็มีจุดเริ่มต้นที่แสนจะคลาสสิค เนื่องจากทีมผู้ก่อตั้งบริษัท เกิดจากการรวมตัวของ เพื่อนร่วมสถาบัน 3 คนจาก Bandung Institute of Technology ที่ต้องการสร้างสตาร์ทอัพของตัวเองหลังเรียนจบ และมาลงตัวที่การสร้างมาร์เก็ตเพลส สำหรับผู้ประกอบการรายย่อยที่ขายทุกอย่างตั้งแต่ของโชห่วย ไปจนถึงประกันชีวิต จนกลายเป็นแพล็ตฟอร์มตลาดนัดที่มีผู้ใช้บริการสูงถึง 70 ล้านคนต่อเดือน
5.) OVO ผู้ให้บริการด้านธุรกรรมออนไลน์ รายล่าสุดของอินโดนิเซียที่มาแรงมาก เกิดจากการร่วมทุนของบริษัทสตาร์ทอัพยักษ์ใหญ่อย่าง Grab Tokopedia ที่ทำให้ OVO ผู้ให้บริการ e-Payment ใช้เวลาไม่ถึง 2 ปีก็สามารถเติบโตจนกลายเป็น ยูนิคอร์น สตาร์ทอัพได้ในปี 2019
6.) JD.id ธุรกิจสตาร์ทอัพยูนิคอร์นตัวล่าสุดของอินโดนิเซีย ที่เป็นธุรกิจลูกของ JD.com จากประเทศจีน เป็นธุรกิจ e-Commerce ที่เน้นสินค้าเทคโนโลยี แก็ดเจททันสมัยที่หายากในท้องตลาด สินค้าพรีเมี่ยม เจาะตลาดเฉพาะกลุ่มในอินโดนิเซีย แต่ก็สามารถสร้างมูลค่าธุรกิจระดับพันล้านเหรียญได้
หลายคนอาจมองว่าอินโดนิเซียเป็นประเทศที่มีประชากรกว่า 270 ล้านคน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิด สตาร์ทอัพ ยูนิคอร์น มากกว่าใครในย่านนี้ และหากคำนวนคร่าว ๆ แล้ว ก็เท่ากับว่าในอินโดนิเซียมีอัตราการเกิดสตาร์ทอัพ ยูนิคอร์น 1 บริษัทต่อประชากร 45 ล้านคน
แต่หากมองมาที่ประเทศสิงคโปร์ที่มีประชากรเพียง 5.7 ล้านคน ที่มีธุรกิจระดับยูนิคอร์นแล้วถึง 4 บริษัท แล้วกับประเทศไทยที่มีประชากรเกือบ 70 ล้านคน กลับไม่มีสตาร์ทอัพ ยูนิคอร์น เกิดเลยแม้แต่เจ้าเดียว ก็พอจะบอกได้ว่าปัจจัยเรื่องปริมาณของประชากรไม่ใช่ทั้งหมดที่จะสร้างสตาร์ทอัพ ยูนิคอร์นได้
ดังนั้นสูตรสำเร็จของการแจ้งเกิดยูนิคอร์นของอินโดนิเซียนั้น มีความน่าสนใจมากกว่าขนาดของตลาดและประชากรในประเทศ
โดยมูลเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดยูนิคอร์นน่าจะมาจาก…
ประชากรที่มีความหลากหลายด้านเชื้อชาติ จากการเป็นประเทศที่มีหมู่เกาะน้อยใหญ่รวมกันมากกว่า 17,000 เกาะ จึงเป็นความท้าทายในเรื่องงานสร้างสรรค์บริการที่ต้องเข้าถึงคนในท้องถิ่น และการจัดการระบบขนส่ง
ขณะเดียวกันชาวอินโดนิเซียนิยมการใช้ ‘เงินสด’ มากกว่า ‘เครดิตการ์ด’ ซึ่งเป็นประเทศที่ใช้เงินสดในการซื้อขายมากเป็นอันดับ 2 ของโลก และนิยมใช้สินค้า/บริการจากคนในท้องถิ่น
จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค พบว่า ชาวอินโดนิเซียมากถึง 60% นิยมใช้สินค้า/บริการจากผู้ให้บริการในประเทศ มากกว่าแบรนด์ต่างประเทศ และมักเลือกสินค้า/บริการจากความรู้สึกที่คุ้นเคย และเข้ากับวิถีชีวิตแบบอินโดนิเซีย แต่ก็รับเทคโนโลยีในโลกดิจิทัลได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
ในอินโดนิเซียมีผู้ใช้งานอินเตอร์เน็ตอยู่ 171 ล้านคน และมีสัดส่วนผู้ใช้สมาร์ทโฟนถึง 45% ของจำนวนประชากรในอาเซียนทั้งหมด
ดังนั้นชาวอินโดนิเซีย จึงมีความพร้อมในการตอบรับธุรกิจสตาร์ทอัพใหม่ๆ ขอเพียงแค่คุณต้องเข้าใจความต้องการของคนอินโดนีเซียได้อย่างแท้จริง ซึ่งโจทย์นี้เองที่เป็นความหินของสตาร์ทอัพต่างชาติที่ต้องการตีตลาดในอินโดนิเซีย แต่ก็เป็นความได้เปรียบของนักธุรกิจในประเทศที่มีความรู้ ความเข้าใจผู้บริโภคในตลาดได้ดีกว่า
ยกตัวอย่างเช่น Gojek ที่มีจุดมุ่งหมายในการสกัดการรุกคืบตลาดของ สตาร์ทอัพ Ride-sharing ระดับโลกอย่าง Uber ทั้งๆ ที่มีทุนต่างกันมาก แต่เพราะ Gojek เข้าใจวิถีการเดินทางของชาวอินโดนิเซีย ที่คุ้นเคยกับการใช้บริการมอเตอร์ไซด์รับจ้างมากกว่าระบบ Ride-sharing ในโมเดลของตะวันตก ทำให้ Gojek ยังคงรักษามาร์เก็ตแชร์ในบริการเรียกรถขนส่งเป็นอันดับ 1 ไว้ได้ และยังกินส่วนแบ่งตลาดถึง 95% ของบริการส่งอาหาร จน Uber ต้องยอมล่าถอยจากตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในที่สุด
นอกจากจะเข้าใจคนอินโดนิเซียแล้ว การสร้างแพลตฟอร์มเพื่อสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่น ก็ทำให้ธุรกิจสตาร์ทอัพของชาวอินโดนิเซีย ‘ได้ใจ’ ผู้ใช้ในประเทศอย่างมาก อย่างโมเดลการทำธุรกิจของ Bukalapak ที่ต้องการสร้างมาร์เก็ตเพลสที่ช่วยสนับสนุน SME รายย่อยในอินโดนิเซียที่มีอยู่กว่า 99% ของภาคธุรกิจทั้งหมดในประเทศ ที่อาจเข้าไม่ถึงเทคโนโลยีอินเตอร์เน็ต หรือไม่มีกำลังพอที่จะสู้กับธุรกิจค้าปลีกทุนหนาให้สามารถขายสินค้าได้อย่างหลากหลาย ทั้งของชำทั่วไป ชิ้นส่วนอุปกรณ์ช่างทั่วไป จนถึงตั๋วรถไฟ หรือประกันชีวิต ทุกวันนี้จึงมี SME มากกว่า 4.5 ล้านราย นำเสนอสินค้าบน Bukalapak และมีการทำธุรกรรมซื้อขายไม่น้อยกว่า 2 ล้านครั้งต่อวัน
จอห์น ฟิทซ์แพทริค หัวหน้า Google Cloud Startup Program ในเขตเอเชียแปซิฟิค ได้ให้ความเห็นถึงปัจจัยที่ทำให้ สตาร์ทอัพของอินโดนิเซียประสบความสำเร็จ คือ การมีฐานผู้บริโภคที่เป็นคนรุ่นใหม่ ที่กระตือรือร้นต่อการเปลี่ยนแปลงในโลกดิจิทัลอย่างมาก และมีกลุ่มผู้ใช้สมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ทำให้สตาร์ทอัพหน้าใหม่ ๆ ยังมีโอกาสโต แม้จะมีรุ่นพี่ระดับยูนิคอร์นเป็นเจ้าตลาดอยู่แล้วก็ตาม
นอกจากนี้ ฟิทซ์แพทริค ยังเสริมว่า นักธุรกิจสตาร์ทอัพในอินโดนิเซียมี Mindset ที่ดีและพร้อมเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจเพื่อโอกาสใหม่ๆเสมอ โดยไม่ยึดติดกับสูตรเดิม ๆ
"เราคงไม่เห็น Gojek ที่อัพเกรดจากแอปพลิเคชันที่มีเครือข่ายมอเตอร์ไซด์รับจ้างเพียงแค่ 20 คัน กลายเป็น Super App ที่มีบริการให้ผู้ใช้งานได้เลือกถึง 24 ประเภทไม่ซ้ำกัน Traveloka คงอยู่ไม่รอดในวิกฤติ Covid-19 หากยังคงยึดติดเพียงแค่ผู้ให้บริการจองตั๋วเครื่องบิน และธุรกิจสตาร์ทอัพของอินโดนิเซียคงไม่เติบโตจนกลายเป็นยูนิคอร์นที่แข็งแกร่ง หากมองเพียงโอกาสแค่ตลาดในประเทศ"
ด้วยเหตุนี้ ธุรกิจสตาร์ทอัพในอินโดนิเซีย จึงดึงดูดนักลงทุนรายใหญ่จากต่างประเทศ ทั้ง Amazon, Alibaba, Tencent, Softbank หรือ Microsoft ที่มองเห็นโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจที่สามารถต่อ ยอดได้ไกลทั่วภูมิภาค และยิ่งส่งเสริมให้ระบบนิเวศน์ของธุรกิจสตาร์ทอัพของอินโดนิเซียยังสามารถโตได้อีกอย่างไม่จำกัด
จากทั้งหมดที่ว่ามานี้ จึงไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมอินโดนิเซียถึงได้กลายเป็นเซียนสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นในย่านอาเซียน และยังสามารถตีตลาดประเทศเพื่อนบ้านได้ด้วย และนี่แหละที่จะเป็นโจทย์สำคัญของไทยนับจากนี้ ในการเร่งพัฒนาธุรกิจสตาร์ทอัพของคนไทยให้เติบโต และก้าวไปไกลกว่าในประเทศตัวเอง
อ้างอิง:
https://www.mime.asia/6-startup-unicorn-indonesia-that-you-should-know/
https://techcollectivesea.com/2021/02/22/we-take-a-closer-look-at-the-indonesian-unicorn-startups/
https://techsauce.co/news/indonesia-the-startup-ecosystem-with-the-most-unicorns-in-southeast-asia
https://greenhouse.co/blog/how-do-unicorn-startups-grow-so-fast-in-indonesia/
https://www.techinasia.com/indonesias-unicorns-achieved-hyperscale
José ‘Pepe’ Mujica (โฮเซ่ อัลเบอร์โต้ เปเป้ มูฮีก้า คอร์ดาโน) เป็นอดีตประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐบูรพาอุรุกวัย (The Oriental Republic of Uruguay) หรือที่เราท่านรู้จักกันในชื่อ ‘อุรุกวัย’ ประเทศเล็ก ๆ ซึ่งตั้งอยู่ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ของอเมริกาใต้ มีพรมแดนติดกับอาร์เจนตินาทางตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ และบราซิลทางเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีแม่น้ำ Río de la Plata (แม่น้ำเงิน: Silver River) อยู่ทางทิศใต้ และมหาสมุทรแอตแลนติกทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
อุรุกวัยมีประชากรประมาณ 3.51 ล้านคน ซึ่ง 1.8 ล้านคนอาศัยอยู่ในเขตเมืองหลวงและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดอย่าง ‘กรุงมอนเตวิเดโอ’ ด้วยพื้นที่ทั้งประเทศประมาณ 176,000 ตารางกิโลเมตร (68,000 ตารางไมล์)
อุรุกวัยเป็นผู้ส่งออก ขนสัตว์, ข้าว, ถั่วเหลือง, เนื้อวัวแช่แข็ง, มอลต์ และนมที่สำคัญระดับโลก ส่วนพลังงานไฟฟ้าในประเทศเกือบ 95% มาจากพลังงานหมุนเวียนเป็นส่วนใหญ่ อาทิ โรงไฟฟ้าพลังน้ำและพลังลม
อุรุกวัยเป็นประเทศที่เล็กที่สุดเป็นอันดับสองในทวีปอเมริกาใต้ รองจากซูรินาม แต่ก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีระบบการเมืองและระบบเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพที่สุด เป็นประเทศที่มีความปลอดภัยสูงที่สุดประเทศหนึ่งในลาตินอเมริกา และมีสิ่งแวดล้อมที่ดีเป็นอันดับ 6 ของโลก อีกทั้งยังเป็นประเทศส่งออกเนื้อรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก จำนวนประชากรปัจจุบันประมาณ 3.5ล้านคน GDP ต่อคน $24,516 (ราว 754,357.32 บาท) อันดับที่ 59 ของโลก
นอกจากนี้ อุรุกวัยยังได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความก้าวหน้าทางสังคมมากที่สุดในละตินอเมริกา โดยได้รับการจัดอันดับสูงในมาตรการด้านสิทธิส่วนบุคคล ความอดทน และปัญหาการในการรวมกลุ่ม รวมถึงการยอมรับ LGBT ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 5 ของโลก (ดัชนีการเดินทาง LGBT ในปี พ.ศ. 2563) ประชาคมนักเศรษฐศาสตร์ให้ฉายาอุรุกวัยว่า ‘ประเทศแห่งปี’ ในปี พ.ศ. 2556 จากนโยบายการผลิต การขาย และการบริโภคกัญชาอย่างถูกกฎหมาย การแต่งงานเพศเดียวกัน และการทำแท้งก็เป็นเรื่องถูกกฎหมายอีกด้วย
รู้จักอุรุกวัย กันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คราวนี้มารู้จักกันคนที่เราจะพูดถึงกันอย่าง José Mujica บ้าง เขาเกิดเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2478) เป็นชาวนา และนักการเมืองที่เกษียณแล้ว โดยดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 40 ของอุรุกวัยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 ถึง 2558 (ค.ศ. 2010 ถึงปี 2015) เป็นอดีตสมาชิกขบวนการปลดปล่อยแห่งชาติ Tupamaros เคยถูกจำคุกเป็นเวลา 12 ปีในช่วงเผด็จการทหารระหว่างทศวรรษ 1970 และ 1980 เป็นสมาชิกของกลุ่มแนวร่วมฝ่ายซ้าย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงปศุสัตว์ การเกษตร และการประมง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 ถึง 2551 และเป็นวุฒิสมาชิกในเวลาต่อมา ในฐานะผู้สมัครของพรรค Broad Front เขาชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี พ.ศ. 2552 และเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553
ขณะที่เป็นสมาชิกของขบวนการปลดปล่อยแห่งชาติ Tupamaros Mujica ถูกจับกุมถึง 4 ครั้ง และหลบหนีจากเรือนจำได้หลายครั้ง ขณะถูกคุมขัง Mujica มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ โดยเฉพาะสุขภาพจิต หลังจากการฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตยหลายปีต่อมา Mu-jica และสมาชิกของขบวนการปลดปล่อยแห่งชาติ Tupamaros จำนวนมากได้เข้าร่วมองค์กรฝ่ายซ้ายอื่นๆ เป็น ขบวนการพลเมืองมีส่วนร่วม (Movement of Popular Participation : MPP) เพื่อเคลื่อนไหวทางการเมือง และได้รับความนิยมอย่างมาก โดยมีพรรคที่ Mujica สังกัดคือ พรรค Broad Front ร่วมอยู่กับ MPP ด้วย
ในการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2537 Mujica ได้คะแนนเป็นอันดับสอง และในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2542 เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกวุฒิสภา เนื่องจากส่วนหนึ่งด้วยความสามารถของ Mujica และ MPP ยังคงได้รับความนิยม จนคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และในปี พ.ศ. 2547 ได้กลายเป็นกลุ่มการเมืองที่ใหญ่ที่สุด ในการเลือกตั้งในปีนั้น Mujica ได้รับเลือกให้เป็นวุฒิสภาอีกครั้งและ MPP ได้รับคะแนนเสียงมากกว่า 300,000 เสียง จึงมีพลังทางการเมืองในอันดับต้น ๆ เป็นแนวร่วมและเป็นกำลังสำคัญเบื้องหลังชัยชนะของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีที่ได้รับเลือก Tabaré Vázquez
วันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2548 ประธานาธิบดี Tabaré Vázquez ได้แต่งตั้ง Mujica เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวง ปศุสัตว์ การเกษตร และการประมง (พื้นหลังอาชีพของ Mujica อยู่ในภาคเกษตรกรรม) เมื่อมาเป็นรัฐมนตรี Mujica จึงได้ลาออกจากตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา เขาดำรงตำแหน่งนี้จนกระทั่งมีการปรับคณะรัฐมนตรีในปี พ.ศ. 2551 และ Mujica ก็กลับไปนั่งในวุฒิสภาอีกครั้งหนึ่ง จากนั้น Mujica ก็ได้รับเลือกเป็นตัวแทน MPP ในการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในการเลือกตั้งครั้งต่อมา และMujica ก็ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีในปี พ.ศ. 2552
ปกติจะเป็นเรื่องที่บ่นกันทั่วไปว่า วิถีชีวิตของนักการเมืองได้ถูกลบออกไปจากเขตเลือกตั้งของพวกเขา แต่ไม่ใช่ในอุรุกวัย ซึ่งประธานาธิบดี Mujica ผู้อาศัยอยู่ในบ้านไร่ ซักผ้านอกบ้าน และใช้น้ำจากบ่อ สนามหญ้าที่รกครึ้มไปด้วยวัชพืช มีเพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจสองนาย และ Manuela สุนัขสามขาของประธานาธิบดี Mujica คอยเฝ้าอยู่ด้านนอก ที่พำนักของประธานาธิบดีแห่งอุรุกวัย ประธานาธิบดี José Mujica ซึ่งมีวิถีชีวิตที่แตกต่างจากผู้นำระดับโลกคนอื่น ๆ ส่วนใหญ่อย่างเห็นได้ชัด
ประธานาธิบดี Mujica เลี่ยงที่จะพักในบ้านหรูหรา (ทำเนียบประธานาธิบดี) ที่ทางการอุรุกวัยจัดสำหรับผู้นำประเทศ โดยเลือกที่จะอยู่ที่บ้านไร่ของภรรยาซึ่งอยู่ริมถนนลูกรังนอกเมืองหลวง กรุงมอนเตวิเดโอ ด้วยวิถีชีวิตที่เป็นอยู่ และการที่ประธานาธิบดี Mujica บริจาคเงินประมาณ 90% ของเงินเดือนต่อเดือนของเขา ซึ่งคิดเป็นเงินราว 12,000 ดอลลาร์ (360,000 บาท) ให้กับองค์กรการกุศล จึงทำให้ประธานาธิบดี Mujica ถูกระบุว่า เป็นประธานาธิบดีที่ยากจนที่สุดในโลก
จากคำบรรยายของสื่อว่า ประธานาธิบดี Mujica อาศัยอยู่ในบ้านไร่นอกกรุงมอนเตวิเดโอ “ผมใช้ชีวิตแบบนี้มาเกือบตลอดชีวิต” ประธานาธิบดี Mujicaกล่าวขณะนั่งบนเก้าอี้เก่า ๆ ในสวน โดยใช้เบาะรองนั่งที่ Manuela สุนัขสามขาโปรดปราน “ผมอยู่ได้ด้วยดีกับสิ่งที่ผมมี” การบริจาคเพื่อการกุศลของประธานาธิบดี Mujica แก่คนยากจนและผู้ประกอบการรายย่อย หมายความว่า เงินเดือนที่เหลือของเขานั้นใกล้เคียงกับรายได้เฉลี่ยของชาวอุรุกวัยที่ 775 ดอลลาร์ (23,250 บาท) ต่อเดือน
ในปี พ.ศ. 2553 การประกาศบัญชีทรัพย์สินประจำปีของประธานาธิบดี Mujica ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำหรับนักการเมืองในอุรุกวัย คือ 1,800 ดอลลาร์ (54,000 บาท) ซึ่งเป็นมูลค่าของรถยนต์ Volkswagen Beetle ปี พ.ศ. 2530 ของเขา ในปีนี้เองเขาได้เพิ่มทรัพย์สินของภรรยา ได้แก่ ที่ดิน รถแทรกเตอร์ และบ้าน มูลค่า 215,000 ดอลลาร์ (6,450,000 บาท) นั่นเป็นเพียงประมาณสองในสามของบัญชีทรัพย์สินที่ประกาศของรองประธานาธิบดี Danilo Astori และหนึ่งในสามของตัวเลขที่ประกาศโดยประธานาธิบดี Tabare Vasquez ซึ่งเป็นประธานาธิบดีที่ประธานาธิบดี Mujica ดำรงตำแหน่งสืบต่อมา
โดย ประธานาธิบดี Mujica กล่าวว่า หลายปีที่ถูกจองจำช่วยเรื่องมุมมองในชีวิตของเขา “ผมถูกเรียกว่า 'ประธานาธิบดีที่ยากจนที่สุด' แต่ผมไม่รู้สึกยากจน คนจนคือคนที่ทำงานเพื่อพยายามรักษาวิถีชีวิตที่มีราคาแพง และต้องการมากขึ้นเรื่อย ๆ” ประธานาธิบดี Mujica กล่าว “นี่เป็นเรื่องของอิสรภาพ หากคุณไม่มีทรัพย์สินมากมาย คุณก็ไม่จำเป็นต้องทำงานตลอดชีวิตเยี่ยงทาสเพื่อรักษาชีวิตที่หรูหราหรือเพิ่มพูนทรัพย์สินให้มากขึ้นและมากขึ้น ดังนั้นคุณจึงมีเวลาให้กับตัวเองมากขึ้น” ประธานาธิบดี Mujica กล่าวเสริม
“ผมอาจดูเหมือนชายชราที่แปลกประหลาด...แต่นี่เป็นทางเลือกที่ไม่ไม่มีค่าใช้จ่าย” อดีตผู้นำอุรุกวัยได้กล่าวถึงการประชุมสุดยอด Rio + 20 ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2555 ว่า “เราคุยกันตลอดบ่ายเกี่ยวกับการพัฒนาที่ยั่งยืนเพื่อให้มวลชนหลุดพ้นจากความยากจน แต่เรากำลังคิดอะไรอยู่ เราต้องการรูปแบบการพัฒนาและการบริโภคของประเทศที่ร่ำรวยหรือ ผมขอถามคุณตอนนี้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับโลกใบนี้ถ้าชาวอินเดียจะมีรถยนต์ต่อครัวเรือนในสัดส่วนที่เท่ากันหรือมากกว่าชาวเยอรมัน? “โลกใบนี้มีทรัพยากรเพียงพอต่อการที่ประชากรเจ็ดหรือแปดพันล้านจะมีการบริโภคและมีของเสียในระดับเดียวกับที่เห็นในสังคมที่ร่ำรวยในปัจจุบันหรือไม่ มันคือระดับการบริโภคที่มากเกินไปจนทำร้ายโลกของเรา” ประธานาธิบดี Mujica กล่าวโทษต่อผู้นำของโลกส่วนใหญ่ว่ามี “ความหมกมุ่นอย่างมืดบอดเพื่อให้มีความเจริญเติบโตด้วยการบริโภคราวกับว่า หากทำตรงกันข้ามจะหมายถึงจุดจบของโลก”
แต่แม้จะมีช่องว่างของความแตกต่างขนาดใหญ่ระหว่างประธานาธิบดี Mujica ผู้เป็นมังสวิรัติกับผู้นำคนอื่นๆ แต่เขาก็ไม่มีภูมิคุ้มกันทางการเมืองที่ต้องเผชิญทั้งในยามรุ่งโรจน์และในยามที่ตกต่ำ “หลายคนเห็นอกเห็นใจประธานาธิบดี Mu-jica ด้วยเพราะวิถีชีวิตของเขา แต่สิ่งนี้ไม่ได้หยุดประธานาธิบดี Mujica จากการที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐบาลกำลังทำอะไรอยู่” อิกนาซิ โอซัวนาบาร์ นักสำรวจความคิดเห็นชาวอุรุกวัยกล่าว
ฝ่ายค้านอุรุกวัยกล่าวว่า ความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจที่ผ่านมาของประเทศไม่ได้ส่งผลให้บริการสาธารณะด้านสุขภาพและการศึกษาดีขึ้น และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่การเลือกตั้งของประธานาธิบดี Mujicaในปี พ.ศ. 2552 ที่คะแนนนิยมของเขาลดลงต่ำกว่า 50% ในปี พ.ศ. 2555 ประธานาธิบดี Mujica ยังตกอยู่ภายใต้แรงกดดัน อันเนื่องจากความขัดแย้งกันสองครั้ง โดยรัฐสภาของอุรุกวัยได้ผ่านร่างกฎหมายที่ทำให้การทำแท้งถูกต้องตามกฎหมายสำหรับการตั้งครรภ์นานถึง 12 สัปดาห์ ซึ่งแตกต่างจากฉบับก่อนซึ่งเขาเสนอ และประธานาธิบดี Mujica เองก็ไม่ได้ใช้สิทธิยับยั้ง
ประธานาธิบดี Mujica ยังอภิปรายสนับสนุนเกี่ยวกับการบริโภคกัญชาอย่างถูกต้องตามกฎหมายในร่างกฎหมายที่จะทำให้รัฐมีการผูกขาดการค้ากัญชา “การบริโภคกัญชาไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวลที่สุด การค้ายาเสพติดต่างหากที่เป็นปัญหาที่แท้จริง” เขากล่าว
อดีตประธานาธิบดีอุรุกวัย José Mujica ได้ปฏิเสธเงินบำนาญ เมื่อเข้าสู่การเกษียณอายุโดยสมัครใจในวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2562 ชายวัย 83 ปีที่เข้ารับตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาในปี พ.ศ. 2558 ก่อนสิ้นสุดวาระในปี พ.ศ. 2563 และได้เลือกที่จะเกษียณอายุก่อนกำหนด อันเนื่องจากความเหนื่อยล้า แม้ว่าวาระของอดีตประธานาธิบดี Mu-jica จะสิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการในปี พ.ศ. 2563
อดีตประธานาธิบดี Mujicaได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งในประธานาธิบดีที่ยากจนที่สุดของโลก อันเนื่องจากวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ซึ่งทำมาก่อนที่จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี ระหว่างดำรงตำแหน่งอดีตประธานาธิบดี Mujica บริจาคเงิน 90% จากรายได้ 12,000 ดอลลาร์ต่อเดือน และปฏิเสธที่จะอาศัยอยู่ในทำเนียบประธานาธิบดี โดยยังคงอาศัยอยู่ในบ้านไร่ของเขาและภรรยาต่อไป ทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของเขาคือ รถยนต์เต่า Volkswagen สีฟ้า
ซึ่งเขาได้ปฏิเสธข้อเสนอซื้อรถคันนี้ด้วยเงินหนึ่งล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ. 2557 โดยกล่าวว่า ยังต้องใช้รถเพื่อรับส่งสุนัขสามขาตัวโปรด อดีตประธานาธิบดี Mujica สมรสกับ Lucia Topolansky รองประธานาธิบดีหญิงคนแรกของอุรุกวัยในปี พ.ศ. 2548 ภารกิจในตำแหน่งประธานาธิบดีของอดีตประธานาธิบดี Mujica ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การลดระดับความยากจน ซึงอดีตประธานาธิบดี Mujica สามารถลดลงได้จากอัตรา 40% เป็น 13%
ความพ่ายแพ้ของตระกูล ‘เสนพงศ์’ ในการเลือกตั้งซ่อมเขต 3 จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งประกอบด้วย อำเภอชะอวด, อำเภอจุฬาภรณ์ เฉลิมพระเกียรติ และอำเภอพระพรหม ที่เรียกว่าเป็นฐานมั่นของพรรคประชาธิปัตย์ สุดแข็งโป๊ก ไม่เคยแพ้เลยในรอบหลายสิบปี
แต่เบื้องหลังความพ่ายแพ้ครั้งนี้ เทพไท เสนพงศ์ ทำให้ผู้ใหญ่ในพรรคที่ครองพื้นที่เจ็บปวดมาก เช่น เขตอำเภอจุฬาภรณ์ และร่อนพิบูลย์ บ้านเกิด อดีต ส.ส. และรัฐมนตรี ชื่อชำนิ ศักดิเศรษฐ์ ยึดครองมาหลายสิบปีไม่เคยพ่ายแพ้
เขตอำเภอชะอวด อดีต ส.ส. ดร.อภิชาติ การิกาญจน์ ก็ยึดครองมานาน ไม่เคยพ่ายแพ้เช่น ส่วนอำเภอพระพรหม และเฉลิมพระเกียรติ ที่มีจำนวนประชากรไม่เยอะมาก และเป็นอำเภอตั้งใหม่ พรรคประชาธิปัตย์ ก็ไม่เคยพ่ายแพ้เช่นกัน งานนี้อดีต ส.ส.ชำนิ และอภิชาต หนาว ๆ ร้อน ๆ เพราะมีสิทธิ์เสียพื้นที่ถาวรให้พรรคพลังประชารัฐยาว ๆ ได้
‘คบเทพไท’ จะเรียกว่าคบเด็กสร้างบ้านได้หรือไม่?
จากผลการเลือกตั้งปรากฎ อดีตนายอำเภอเฉลิมพระเกียรติ ‘นายอาญาสิทธ์ ศรีสุวรรณ’ ชนะ ‘นายพงศ์สินธ์ เสนพงศ์’ โดยพื้นเพ นายอาญาสิทธ์ ศรีสุวรรณ นั้น คนที่มีนามสกุลนี้ มีพื้นเพเป็นคนอำเภอร่อนพิบูลย์ และจุฬาภรณ์ หรือเรียกว่าเป็นคนในพื้นที่เขต 3 เลยก็ว่าได้
แต่ตระกูลเสนพงษ์ เป็นคนอำเภอเชียรใหญ่ ไม่ได้อยู่ในเขตเลือกตั้งนี้ เลยมีความเสียเปรียบในเรื่องวงศาคณาญาติอยู่พอสมควร ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนพื้นเพปักษ์ใต้
...ตำนานเทพไท
เทพไท เสนพงศ์ ไม่เคยได้ลง ส.ส.ในพื้นที่บ้านเกิด อำเภอเชียรใหญ่เลย เขาเข้าการเมืองมาเพราะมีชื่อเป็นนักกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยรามคำแหง เลยคุ้นเคยกับบิ๊กเนมในรามคำแหง อย่าง ‘วัชระ เพชรทอง’ และ ‘จตุพร พรหมพันธ์’ หรือคนอื่น ๆ ที่ดังจากรั้วรามคำแหง
ในยุคแรกเขาอยู่กับ อดีต รมช.มหาดไทย ‘ชำนิ ศักดิเศรษฐ์’ ชื่อเขาโผล่ขึ้นมาในนามบอร์ดการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จนพนักงานร้องยี้ เพราะไม่เคยมีชื่อนี้ในสารบบวงการการไฟฟ้า หลังจากนั้นป้ายขนาดยักษ์ของเขาติดที่สี่แยกหัวถนน ทางเข้าตัวเมืองนครศรีธรรมราช จนชาวบ้านงงว่าเขาเป็นใคร จะมาทำอะไร เพราะมีโลโก้พรรคประชาธิปัตย์ติดไปด้วย มารู้ทีหลังว่าคน ๆ นี้ จะกลับบ้านมาลง ส.ส. ในนามพรรคประชาธิปัตย์ แต่ต่อมาทราบว่าพื้นที่ นครศรีธรรมราช ‘แน่นเอี๊ยด’ มีคนจับจองเต็ม ‘เทพไท’ จึงต้องตบยุงต่อไป
แต่เทพไท ก็มีวิธีลงจนได้ เพราะอดีต ‘ส.ส.ตรีพล เจาะจิตต์’ ยกพื้นที่ อำเภอทุ่งใหญ่ ให้เทพไท ‘แจ้งเกิด’ โดยมีข้อแลกเปลี่ยนด้วยการมีข้อแลกเปลี่ยนให้ ตรีพล จำนวนนึง และตรีพล ไปลงสนาม ส.ว.แทน ในที่สุดเทพไท ก็ได้เป็น ส.ส. สำเร็จ แต่ ‘ตรีพล เจาะจิตต์’ แม้จะชนะเลือกตั้ง ส.ว. แต่โดนตัดสิทธิ์ เพราะลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ครบตามกำหนด เลยออกกำลังทรัพย์ กำลังแรง...ฟรี!!
...เส้นทางดังของเทพไท
เส้นทางเติบโตของ เทพไท เสนพงษ์ ในยุคลุงกำนันเป็นเลขาพรรคประชาธิปัตย์ ‘เป็นใหญ่’ เทพไท ก็ไปสนิทด้วย โดยสังกัดมุ้งลุงกำนัน
ต่อมายุคนายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี จากการพลิกเกมส์ของ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาพรรคประชาธิปัตย์ นายเทพไท เสนพงศ์ ก็ถือว่าเป็นคนสนิทนายก คู่กับ นายศิริโชค โสภา ที่ได้ฉายาว่าวอลล์เปเปอร์ จนเสื้อแดงหมายหัว เมื่อมีเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมืองแรงๆ ที่ต้องพานายกอภิสิทธ์ ไปหลบภัยในค่ายทหารราบ 11 ตัวเทพไท ก็เป็น 1 ในคนสนิทอดีตนายกอภิสิทธิ์ ที่ต้องไปหลบภัยเสื้อแดงด้วยกัน
หลังจากอภิสิทธ์ยุบสภา มีการเลือกตั้งใหม่ พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรก แต่การบริหารงานมีแต่ความอื้อฉาว เช่น นโยบายรถคันแรก นโยบายรับจำนำข้าว และ พรบ.กู้เงิน 2.2 ล้านล้านบาท ที่ไม่โปร่งใส จนศาลรัฐธรรมนูญต้องยับยั้ง เพราะผิดรัฐธรรมนูญ ส่วนนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กลับมาเป็นหัวหน้าฝ่ายค้าน ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น...
นายเทพไท เสนพงศ์ ก็ดังเป็นพลุแตก จากการจัดรายการสายล่อฟ้า ทางช่องทีวีดาวเทียม ช่องบลูสกาย หรือเรียกว่าสามเกลอ ประกอบด้วย เทพไท เสนพงษ์ สส.นครศรีธรรมราช / ศิริโชค โสภา สส.สงขลา และ ชวนนท์ อินทรโกมารสุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ชื่อรายการ ‘สายล่อฟ้า’ รายการนี้เน้นวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนมีแฟนรายการที่ตรงข้ามรัฐบาลขณะนั้น ติดกันงอมแงม มีเนื้อหาล่อแหลม จนอดีตนายกยิ่งลักษณ์ ได้ฟ้องร้องสามเกลอ เรื่อง ว.5 โฟร์ซีซัน มาแล้ว
...ยุคล่มสลายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์
พรรคเพื่อไทย เสนอออกกฎหมาย พรบ.นิรโทษกรรม ตอนตี 3 หรือเรียกว่ากฎหมายสุดซอย ทำให้เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรง จนเกิดมวลมหาประชาชน หรือ กปปส. แรก ๆ จะเห็น ส.ส.สายอภิสิทธ์ รวมทั้งเทพไท ขึ้นเวทีเป่านกหวีด พอมาระยะหลังหายหน้าหายตาไปหมด เหลือแต่สายลุงกำนัน และมีเสียงนินทามาตามหลังว่าพวกอภิสิทธิ์ไม่สู้จริง คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ หรือว่า ‘ดีแต่พูด’ นี่แหละ
...สนามเลือกตั้งปี 62
เทพไทต้องย้ายเขตจากอำเภอทุ่งใหญ่ มาเขตอำเภอชะอวด และอำเภอจุฬาภรณ์ เพราะ ส.ส.อภิชาติ การิกาญจน์ เลิกเล่นการเมือง แต่วงในว่าได้รับข้อแลกเปลี่ยนจากเทพไท ไปจำนวนหนึ่ง และการย้ายเขตครั้งนี้ มีเสียงประเมินว่าถ้าเทพไทลงเขตเดิม มีโอกาสแพ้ผู้สมัครพรรคพลังประชารัฐสูง เลยต้องย้ายเขตไปที่ฐานคะแนนพรรคระชาธิปัตย์แข็งโป๊ก ถึงจะช่วยได้ อย่างอำเภอชะอวด แต่ก็เจอคู่แข็งที่ไม่ธรรมดาอย่าง นายอาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ คนอำเภอจุฬาภรณ์ แต่ดวงเทพไทยังดีเพราะเขตอำเภอจุฬาภรณ์ พรรคภูมิใจไทย ไปคว้า ร้อยโทสนั่น พิบูลย์ อดีต ส.จ.ที่ไม่เคยแพ้ใครมาได้เสียก่อน ส่งผลให้พรรคภูมิใจไทย ได้ที่ 1 พรรคพลังประชารัฐ ได้ที่ 2 พรรคประชาธิปัตย์ ได้ที่ 3 ในเขตอำเภอจุฬาภรณ์
ทำให้พรรคพลังประชารัฐโดนพรรคภูมิใจไทยตัดคะแนนไปเยอะ ส่งผลดีกับนายเทพไททันที
ผลการเลือกตั้งปี 62 นายเทพไท ชนะนายอาญาสิทธิ์ไป เกือบ 5,000 คะแนน
ส่วนผลการเลือกตั้งในจังหวัดนครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กวาดไป 5 ที่นั่ง ส่วนพรรคพลังประชารัฐ กวาดไป 3 ที่นั่ง ซึ่งไม่เคยมีพรรคไหนเขย่าบัลลังก์พรรคเก่าแก่ได้แรงขนาดนี้
...เทพไท คือ หอกข้างแครกลุงตู่
หลังเลือกตั้งใหญ่ปี 2557 พรรคพลังประชารัฐ พรรคประชาธิปัตย์ และพรรคภูมิใจไทย ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล และเลือก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย
เทพไทเป็น ‘ฝ่ายค้านในรัฐบาล’ ตลอดเวลา 2 ปี ที่เป็น ส.ส. เลยฝากรอยแค้นให้สาวกที่เชียร์ลุงตู่ และคนในพรรคพลังประชารัฐคอยเอาคืน
ถึงเวลาเหมาะสมเทพไท ที่เทพไทยถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง เพราะศาลชั้นต้นตัดสินว่ามีส่วนร่วมในการทุจริตการเลือกตั้งนายกอบจ. ที่น้องชาย คือ นายมาโนชย์ เสนพงศ์ ชนะการเลือกตั้งในอดีต เคราะห์ซ้ำกรรมซัดทั้งตระกูลเลือกตั้งซ่อม
อย่างไรเสีย คงไม่เคยมีใครคิดว่าฝ่ายรัฐบาลมาแข่งกันเองอย่างดุเดือด เอาเป็นเอาตายขนาดนี้ ถึงขนาดลุงป้อม หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐต้องลงมาพื้นที่กระโดดขึ้นเวทีเองเลย ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ก็เสียพื้นที่ไม่ได้ ยกทัพหลวงมาหมด บิ๊กเนมมาครบครันทีเดียว
ผลการเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ ทำให้พรรคพลังประชารัฐยึดเมืองคอนได้ 4 ที่นั่ง เท่ากับพรรคประชาธิปัตย์แล้ว ตามนโยบายคนละครึ่งของลุงตู่ แต่คนหนาว ๆ ร้อนคือ ‘พรรคสีฟ้า’ นี่แหละว่า การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้ ความศรัทธาต่อลุงตู่จะส่งผลต่อการล้มของโดมิโน่ ของพรรคเก่าแก่หรือไม่ คงประมาทไม่ได้เสียแล้ว
ผลการเลือกตั้งครั้งนี้สร้างรอยปริในรัฐบาลหรือไม่ หรือว่าเพราะชื่อเทพไทเท่านั้น ที่สาวกลุงตู่ยอมไม่ได้ ส่วนคนอื่นยอมได้ เพราะการเลือกตั้งซ่อมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ที่จังหวัดชุมพร และสงขลา ทางพรรคพลังประชารัฐ ‘ไม่น่าส่งสู้’ เพราะชื่อ สส.ลูกหมี ‘ชุมพล จุลใส’ และ อดีตรัฐมนตรี ‘ถาวร เสนเนียม’ ใคร ๆ ก็รู้มา 2 คนนี้ นับถือนายกประยุทธ์ จันทร์โอชา มากไม่น้อยกว่าไปกว่านับถือประธาน ชวน หลีกภัย เลย
เทพไท เสนพงศ์ โดมิโน่
สงกรานต์ปีนี้ ควรเล่นจริงดิ ?
.
กลายเป็นแรงกระเพื่อมได้ไม่น้อย สำหรับการถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำ ของคนข่าวนัมเบอร์วันที่ชื่อ ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา’ โดยตามรายงานข่าว สรยุทธ ในฐานะนักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยม เข้าเกณฑ์การพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ ทำให้เจ้าตัวจะได้รับการพักการลงโทษ และกำลังจะถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำ หลังวันที่ 13 มีนาคมนี้
หลังข่าวเผยแพร่ออกไป กระแสการกลับคืนจอของคนเล่าข่าวเบอร์หนึ่งของเมืองไทย ก็ถูกพูดถึงในทันที มีความเป็นไปได้ และเป็นไปได้ที่แฟน ๆ จะได้ชมและฟังผู้ชายคนนี้เล่าข่าวอีกครั้ง เพียงแต่ เขาจะกลับมาทวงบัลลังก์แชมป์ ‘คอนเท้นข่าว’ ได้หรือไม่? และเขา Out ไปแล้วหรือยัง บนเวทีข่าวในวันนี้?
เพราะนาทีนี้ มีสื่อที่ถูกเปิดตัวขึ้นมากมาย เมื่อคู่แข่งเยอะ แถมคู่แข่งยังถูกที่ถูกเวลา และร่วมสมัยกว่า งานนี้จึงต้องจับตาว่า เจ้าของเวทีตัวจริง จะยังคงรักษาพื้นที่ตัวเองไว้ได้หรือไม่ อีกไม่นานเกินรอ คงมีคำตอบให้รู้กัน!
.
นับจากเดือนธันวาคม 2019 ทั่วโลกต้องเผชิญหน้ากับวิกฤติโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาวะเศรษฐกิจ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศต่างๆ ทั่วโลกหดตัวลง หรือขยายตัวในอัตราที่ต่ำกว่าที่ควรจะเป็นอย่างมาก จนหลายคนหวั่นเกรงว่าจะกลายเป็นภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หรือ Great Depression เช่นเดียวกับในช่วงทศวรรษที่ 1930
แต่อย่างไรก็ตามเมื่อการพัฒนาวัคซีนเพื่อพิชิตไวรัสดังกล่าวประสบผลสำเร็จ และเริ่มมีการฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 กว่า 300 ล้านโดสให้กับประชากรทั่วโลก ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2020 ที่ผ่านมา ก็กลายเป็นตัวแปรที่สำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับโลก โดยมีการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะดีขึ้นในช่วงกลางปี 2021 นี้
ประเด็นที่น่าสนใจจากการใช้ประโยชน์จากวัคซีนโควิดที่มีการกระจายวัคซีนอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพนั้น คือ การนำไปสู่ความปกติใหม่ หรือ ’New Normal’ ของการใช้ ‘วัคซีนพาสปอร์ต’ ซึ่งเป็นหลักฐานการได้รับวัคซีนสำหรับผู้ต้องการเดินทางระหว่างประเทศทั้งเพื่อธุรกิจและการท่องเที่ยว ตลอดจนการพัฒนา ‘แอปพลิเคชันพาสปอร์ตวัคซีน’ อาทิเช่น…
...แอปพลิเคชัน IATA Travel Pass ของสมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ
...แอปพลิเคชัน CommonPass เพื่อใช้ในสายการบิน Jet Blue, Lufthansa และ United
...แอปพลิเคชัน IBM Digital Health ของบริษัท IBM
...และแอปพลิเคชัน iProov แพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อการจัดการวิกฤตสุขภาพของประเทศอังกฤษ
เหล่านี้จะช่วยสนับสนุนให้กิจกรรมสำคัญในระบบเศรษฐกิจของหลายประเทศทั่วโลกกลับสู่ภาวะปกติได้เหมือนเดิมอีกครั้ง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ คาดการณ์ว่า หากวิกฤติโรคระบาดคลี่ ‘คลายลง’ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2021 อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวร้อยละ 5.5 โดยกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets) จะดีดตัวขึ้นไปอยู่ที่ 5.8% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศจีนและอินเดียที่จะขยายตัวสูงถึงร้อยละ 6.3
ในส่วนของประเทศไทย ภายหลังจากการนำเข้าวัคซีนซิโนแวค ล็อตแรก 2 แสนโดส (จากทั้งหมด 2 ล้านโดส) เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2564 และวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า 117,600 โดส เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2564 อีกทั้งการยื่นขออนุญาตจาก อย. ของภาคเอกชนจาก 4 โรงพยาบาลใหญ่ ‘ธนบุรี - รามฯ - กรุงเทพ - เกษมราษฎร์’ นำเข้าวัคซีนไฟเซอร์, โมเดอร์นา, ซิโนฟาร์ม, สปุตนิก และโนวาแวกซ์ เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชน ขณะเดียวกันมติเห็นชอบการใช้ ‘พาสปอร์ตวัคซีนของไทย’ จากคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ที่กำลังจะนำเข้าสู่การพิจารณาของ ศบค.ชุดใหญ่ และจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2564 เป็นต้นไปนั้น เชื่อได้ว่าจะทำให้เกิดแรงกระตุ้นสำคัญต่อเศรษฐกิจของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในธุรกิจอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและธุรกิจต่อเนื่องที่ได้รับผลบวกและกระเตื้องขึ้นอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วยสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย ประเมินว่า เศรษฐกิจไทย (GDP) ปี 2564 จะขยายตัวได้ในกรอบ 1.5% – 3.5% ส่วนการส่งออกคาดว่าจะขยายตัว 3% – 5% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 0.8% - 1%
นอกจากนี้ยังชี้ให้เห็นว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะข้างหน้านี้ จะขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก ได้แก่...
1.) ความสามารถในการควบคุมสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งยังคงต้องเฝ้าระวังหลังผ่อนคลายมาตรการ
2.) การกระจายวัคซีนอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
3.) มาตรการเยียวยาผู้ประกอบการและแรงงานที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมโควิด-19 รวมไปถึงการประคับประคองกำลังซื้อในประเทศ
อย่างไรก็ตามในปี 2021 แนวโน้มเศรษฐกิจของโลก และของไทย กำลังจะค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้นจากจุดต่ำสุด ภายหลังจากที่ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในหลายระลอกที่ผ่านมา แต่จะเป็นความหวังของมวลมนุษยชาติแค่ไหน จะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ของระบบเศรษฐกิจอย่างเฉิดฉายเพียงใด อีกไม่ช้านี้ คงได้ทราบกัน...
แหล่งที่มา
https://www.bbc.com/thai/international-52291254
https://www.jsccib.org/th/news/view/350
“ประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ ผ่านยุคป่วยไข้ ไม่นานผ่านไป ทยานไกลสู่อนาคต”
‘ชาตินิยม’ (nationalism) หรืออุดมการณ์รักชาติที่ทำหน้าที่สร้างชาติในรูปแบบมโนทัศน์ รวมถึงแสดงอัตลักษณ์ของกลุ่มมนุษย์ที่เป็นคนในชาติ ไม่ว่าจะเป็นการรักชาติ ภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของชาติ การนำเสนอสิ่งที่เป็นลักษณะเฉพาะและการชื่นชมความเจริญรุ่งเรืองของชาติ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นคุณค่าและพื้นฐานของความเป็นชาตินิยม
หากว่ากันตามทฤษฎีข้างต้นนี้ ประเทศจีนนับว่าครบเครื่องครับ เพราะนับตั้งแต่จีนปฏิรูปเปิดประเทศในปี ค.ศ.1978 จนถึงปัจจุบัน ประเทศจีนได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด อีกทั้งยังหลุดพ้นจากกับดักความขัดแย้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองระหว่างค่ายทุนนิยมและสังคมนิยม
เพราะสำหรับ ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ ผู้นำจีนรุ่นถัดจาก ‘ประธานเหมา’ แล้ว ‘ไม่ว่าแมวขาวหรือแมวดำ ขอให้จับหนูได้ก็ถือว่าเป็นแมวที่ดี’ กล่าวคือ สิ่งสำคัญที่สุดนั้นคือชาติ และมันไม่สำคัญว่าจีนจะมีรูปแบบการปกครองแบบไหน (ทุนนิยมหรือสังคมนิยม) ขอแค่เป็นระบบการปกครองที่ทำให้จีนพัฒนาไปข้างหน้าก็ถือว่าเป็นระบบการปกครองที่ดี
หรือกล่าวง่าย ๆ ได้อีกว่า ทำยังไงก็ได้ให้ชาติจีนแข็งแกร่งโดยไม่เกี่ยงเรื่องวิธีการ เพื่อตอบสนองแนวคิดชาตินิยมที่ฝังรากลึกอยู่ในหัวใจชาวจีน กลายเป็นรากฐานความคิดชาตินิยมแบบจีน ๆ ในปัจจุบัน
สำหรับผม แนวคิดชาตินิยมจีนมีพื้นฐานและขั้นตอนแบ่งออกเป็น 3 ส่วนครับ
1.) ความภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ในอดีต
2.) ความอับอายที่เคยถูกชาวต่างชาติกดขี่
3.) ความต้องการก้าวขึ้นเป็นอภิมหาอำนาจบนเวทีโลกในอนาคต
ความภาคภูมิใจในความยิ่งใหญ่ในอดีต
จีนเป็นชาติที่มีประวัติศาสตร์และอารยะธรรมที่สืบทอดกันมาอย่างเนิ่นนานหลายพันปี บรรพบุรุษหลายร้อยช่วงอายุคน ผ่านการปกครองระบบจักรพรรดิและฮ่องเต้มาทั้งหมดสิบราชวงศ์ มีปรมาจารย์นักคิดนักปราชญ์ชื่อดังมากมายไม่ว่าจะเป็นขงจื๊อ เล่าจื๊อ เมิ่งจื๊อ หรือแม้กระทั่งซุนวู ซึ่งความเจริญรุ่งเรืองทางอารยะธรรมในอดีตเป็นสิ่งที่คนจีนภาคภูมิใจน่าดู ก็ดูอย่างชื่อประเทศจีนสิครับ ‘中国 - จงกว๋อ’ แปลตรงตัวได้ว่า ‘ดินแดนที่อยู่ศูนย์กลาง’ คนจีนสมัยก่อนเขาเชื่อจริง ๆ ครับว่าประเทศจีนคือศูนย์กลางของจักรวาล
ความอับอายที่เคยตกต่ำ รวมถึงเคยถูกชาวต่างชาติกดขี่ในอดีต
ถึงแม้จะมีประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ แต่ก็มีช่วงหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ถือได้ว่าเป็น ‘ยุคป่วยไข้’ เริ่มตั้งแต่การเข้าสู่ยุคถดถอยของราชวงศ์ชิง การถูกชาวตะวันตกเข้ามา ‘มอมฝิ่น’ จนเกิดเป็น ‘สงครามฝิ่น’ ที่จีนพ่ายแพ้จนต้องเสียเกาะฮ่องกงไปเป็นอาณานิคมของอังกฤษ เป็นยุคที่เสื่อมโทรม เศรษฐกิจพังทลาย ประชาชนอยู่อย่างอดอยาก จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติประชาธิปไตยโดย ‘ก๊กมินตั๋ง’ หรือพรรคประชาธิปไตย ซึ่งก็ต้องมาขัดแย้งกับพรรคคอมมิวนิสต์ เกิดสงครามกลางเมือง มีการรบพุ่งกันระหว่างคนจีนกันเองอยู่หลายศึกหลายสนามรบ หลังจากนั้นไม่นานก็เข้าสู่ช่วงสงครามโลก จีนที่กำลังแย่อยู่แล้วก็ยิ่งเข้าขั้นโคม่า เมื่อถูกญี่ปุ่นเข้ารุกราน เกิดเหตุการณ์ ‘สังหารหมู่ที่นานกิง’ หรืออีกชื่อที่เรียกว่า ‘การข่มขืนนานกิง’
เมื่อฝ่ายอักษะพ่ายแพ้ให้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตร ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศแพ้สงคราม กองทัพญี่ปุ่นจึงจำต้องถอนทัพกลับประเทศไป ส่วนประเทศจีนก็ยังต้องผ่านการปฏิวัติซ้ำอีกหนึ่งหนโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน ซึ่งก็ยังไม่ทำให้อะไรดีขึ้น มิหนำซ้ำยังเกิดการปฏิวัติวัฒนธรรมขึ้นอีก......
นี่แหละครับ ความขมขื่นของจีนที่เกิดจากการทะเลาะกันเองก็ดี ถูกต่างชาติเข้ามาเอาเปรียบก็ดี มันทำให้ชาวจีนในปัจจุบันจะไม่ค่อยไว้ใจชาวต่างชาติ (ไม่รวมไทย) โดยเฉพาะชาวตะวันตก เพราะมองว่าพวกเขาจ้องจะเข้ามาเอาเปรียบคนจีน ต้องระวังไว้
ความต้องการก้าวขึ้นเป็นอภิมหาอำนาจบนเวทีโลกในอนาคต
จริง ๆ มันก็ย้อนแย้งอยู่นะครับ ภูมิใจในความยิ่งใหญ่ในอดีตและอับอายที่เคยถูกกดขี่ในเวลาเดียวกัน ซึ่งสองข้อข้างต้นที่กล่าวมานั้นทำให้เกิดเป็นข้อที่สาม คือเมื่อผ่านช่วงที่ตกต่ำมาได้ ก็อยากกลับขึ้นสู่จุดสูงสุดอีกครั้งหนึ่ง เป้าหมายของจีนวันนี้ชัดเจนมากครับ จีนต้องการแซงหน้าสหรัฐอเมริกาขึ้นมาเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก และมีความเป็นไปได้ว่าความต้องการนั้นจะกลายเป็นจริง
เมื่อไม่นานมานี้ ‘สีจิ้นผิง’ ผู้นำสูงสุดแห่งแดนมังกรเพิ่งประกาศชัยชนะที่มีต่อความยากจน หลังจากคนจีนร่วม 100 ล้านชีวิตพ้นขีดความยากจนขั้นร้ายแรงในช่วง 7 ปีที่มีการวางนโยบายเพื่อต่อสู้กับความยากจนตั้งแต่ปี ค.ศ.2013 และล่าสุดก็เพิ่งมีประกาศโครงการใหม่ที่เรียกว่า 'Made in China 2025' จากที่เคยเป็นโรงงานของโลกสู่การเป็น ‘ศูนย์กลางการผลิตสินค้านวัตกรรมของโลก’ ซึ่งเป้าหมายสูงสุดของจีนคือการก้าวเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งบนโลกยุคใหม่ภายในปี ค.ศ. 2049 ซึ่งจะเป็นเวลารอบ 100 ปีพอดีหลังจากการประกาศตั้งสาธารณะรัฐ
เห็นได้ชัดครับ ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ประสบการณ์ต่าง ๆ ที่คนจีนรุ่นก่อนได้ผ่าน เพิ่มเติมด้วยวิธการประชาสัมพันธ์และโฆษณาชวนเชื่อโดยภาครัฐ ทำให้คนจีนในปัจจุบันยังคงผูกพันกับคำว่า ‘ชาติ’ และพร้อมจะฉะกับใครก็ตามที่มาแหยมกับจีน ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี หรือแม้กระทั่งเหล่าพันธมิตรชานมไข่มุกเอง ก็ล้วนเคยถูกชาวเน็ตจีนด่ากราดกันมาแล้วทั้งนั้น
ชาตินิยมแบบจีนนั้นมีลักษณะเฉพาะตัวที่ทั้งชัดเจนและซับซ้อนในเวลาเดียวกัน การจะเข้าใจวิธีคิดแบบจีน ๆ ให้แตกฉานได้นั้นต้องย้อนมองอดีต ศึกษาปัจจุบัน และฝันในอนาคต
แต่สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ คือ แนวคิดชาตินิยมที่หลายคนว่าเป็นแนวคิดที่ล้าหลัง แต่ในตอนนี้มันกำลังพาจีนก้าวไปข้างหน้าใช่หรือไม่?
เมื่อวันที่ 12 มีนาคม ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังการแถลงข่าวถึงสาเหตุการชะลอการให้บริการวัคซีนป้องกันโควิด-19 บริษัทแอสตร้าเซนเนก้า ว่า มันมีข่าวซึ่งทำให้เกิดข้อสงสัย ก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชน
ซึ่งท่านนายกฯ ก็เป็นประชาชน เราก็ต้องดูแลท่านด้วย จึงได้เรียกประชุมแต่เช้า เพื่อพิจารณาทุกอย่างให้รอบคอบ ได้ข้อสรุปร่วมกันกับคณะแพทย์ว่าจะต้องชะลอการให้บริการวัคซีนออกไปก่อน ให้ได้ทราบข้อเท็จจริง แล้วค่อยพิจารณาว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป ประเทศไทย ไม่ได้มีการระบาดที่รุนแรง ยังมีเวลาในการตัดสินใจที่จะทำเรื่องต่างๆอย่างรอบคอบ ระหว่างนี้ จะรอดูผลการสอบสวนจากยุโรป
นายอนุทิน เปิดเผยด้วยว่า ได้หารือกับคณะแพทย์แล้ว ได้ข้อสรุปว่า ไม่ได้เป็นการเสียหาย ที่ไทยจะเลื่อนการรับวัคซีนออกไป เป็นการแสดงให้เห็นถึงระบบสาธารณสุขที่เข้มแข็ง ไม่ดื้อแพ่ง ไม่ใช่หน่วยกล้าตาย เราเคารพ ยืนหยัดบนหลักวิชาการ เราคำนึงความปลอดภัยของประชาชนให้มากที่สุด
ขณะเดียวกัน นายอนุทิน ยังได้โพสต์เฟซบุ๊ก "อนุทิน ชาญวีรกูล" ข้อความว่า
ความปลอดภัยของประชาชน ต้องมาก่อน
การเลื่อนฉีดวัคซีนแอซตราเซเนกา ให้แก่นายกรัฐมนตรี วันนี้ เป็นไปตามการวินิจฉัยของคณะแพทย์ เนื่องจากมีการรายงานผลข้างเคียง หรือ อาการไม่พึงประสงค์ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นกับการฉีดวัคซีน มาก่อน และมีการชะลอการฉีดวัคซีนแอซตราเซนเนกา ในบางประเทศ
เพื่อรอผลการสอบสวน และสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม
ข้อมูลนี้เพิ่งได้รับรายงานเมื่อค่ำวานนี้ และคณะแพทย์ได้พิจารณากันอย่างจริงจัง ตามข้อมูลที่ได้รับจากต่างประเทศ จนได้ข้อสรุป ว่า จะชะลอการฉีดวัคซีนแอซตราเซนเนกา ไว้ระยะหนึ่ง เพื่อรอผลการสอบสวนอาการข้างเคียงที่เกิดขึ้น อย่างละเอียด ก่อน
คณะแพทย์ ยืนยันว่าวัคซีนแอซตราเซนเนกา เป็นวัคซีนที่มีความปลอดภัย และได้รับมาตรฐานจากองค์การอนามัยโลก ฉีดไปแล้วมากกว่า 30 ล้านโดส และมีการสั่งซื้อมากกว่า 3,000 ล้านโดส
คณะแพทย์ยึดหลักความปลอดภัยของประชาชนที่จะได้รับวัคซีน สูงสุด จึงให้ชะลอไว้ก่อน แม้ว่าวัคซีนที่ใช้ในยุโรป กับ วัคซีนที่ส่งมาประเทศไทย เป็นคนละล็อต และมาจากคนละโรงงาน แต่เมื่อมีรายงานอาการที่ไม่พึงประสงค์ แม้จะยังไม่ยืนยันว่าเป็นผลจากวัคซีน โดยตรงก็ตาม
การชะลอ หรือ หยุดฉีดวัคซีน ชั่วคราว เพื่อสอบสวนหาข้อมูลเป็นเรื่องปกติทางการแพทย์ โดยเฉพาะการฉีดวัคซีนใหม่ และ การฉีดวัคซีนในวงกว้างระดับประเทศ และระดับโลก ซึ่งการฉีดวัคซีนโควิด อื่นๆ ในบางประเทศ ก็เคยหยุด หรือ ชะลอ เพื่อรอผลการสอบสวนมาแล้ว ก่อนจะกลับมาฉีด เมื่อมีความมั่นใจในผลการสอบสวนว่า ไม่ใช่ผลจากวัคซีน
นี่เป็นเหตุผลหนึ่งของการใช้วัคซีนแบบสถานการณ์ฉุกเฉิน หากมีอาการไม่พึงประสงค์ แม้จะไม่ชัดเจนว่ามาจากวัคซีนหรือไม่ คณะกรรมการบริหารจัดการวัคซีน ของรัฐบาล จะมีคำสั่งให้หยุดการฉีดวัคซีน ไว้ก่อน เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของประชาชน
นายกรัฐมนตรี ในฐานะประชาชน ต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของคณะกรรมการฯ เช่นเดียวกัน
วันนี้ จึงยังไม่มีการฉีดวัคซีนแอซตราเซนเนกา ในประเทศไทย จนกว่าจะมีผลการสอบสวนชัดเจนว่า มีความปลอดภัย หรือ หากมีผลข้างเคียง จะมีแนวทางแก้ไข ป้องกัน อย่างไร จึงปลอดภัยสูงสุดสำหรับประชาชน
คาดว่าการสอบสวนในยุโรป จะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขจะรายงานให้ประชาชน ทราบต่อไป
ในช่วงนี้ ยังมีการฉีดวัคซีน sinovac ตามแผนเดิม ครับ
#คนไทยต้องปลอดภัย
ที่มา : https://www.facebook.com/2091153520919518/posts/4200972563270926/
เมื่อวันที่ 12 มี.ค.ที่กองบัญชากองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (บก.ทบ.) กล่าวถึงกรณีสนามมวยลุมพินี ที่จะการเปิดแข้งขันในวันพรุ่งนี้ (13 มี.ค.) นัดแรก พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ได้ผ่านการประชุม และตนได้ย้ำนโนบายว่าให้เปลี่ยนเป็นอย่างแรกว่า ‘ศูนย์พัฒนากีฬากองทัพบก’ แต่จะมีวงเล็บต่อท้ายก็เป็นเรื่องที่คณะกรรมการบริหารจะพิจารณาตามระเบียบ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกรมสวัสดิการ ทบ. โดยได้เสนอให้ใช้ชื่อ ‘มวยไทยลุมพินี’ เพื่อเป็นการอนุรักษ์ไว้ แต่ขณะเดียวกันต้องตามวัตถุประสงค์การส่งเสริมกีฬามวยไทยและรักษาวัฒนธรรมไว้
แต่อย่างไรก็ตาม จะไม่ให้มีการขายตั๋ว ไม่มีกิจกรรมเชิงอมายมุข และใช้วิธีถ่ายทอดสด ตามมาตรการของ ศบค. โดยในอนาคตหลังจบสถานการณ์โควิด จะเปิดขายบัตรให้เฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและให้ชาวต่างชาติเรียนรู้ศิลปมวยไทย แต่จะไม่ขายบัตรให้คนไทย เพื่อเข้ามาเล่นการพนันโดยเด็ดขาด แต่ต้องทำประโยชน์ให้กับกำลังพลและนักเรียน นักศึกษา หากมาขอใช้ในการแข่งขันชกมวย ก็ยินดีให้การสนับสนุน รวมทั้งอาจมีกีฬาประเภทอื่นเพิ่มเข้ามา ให้เป็นศูนย์พัฒนากีฬาของ กองทัพบก เพื่อเกิดประโยชน์สูงสุดกับกำลังพลครอบครัวและบุคคลทั่วไป
เมื่อถามว่ายังคงมีตำแหน่งนายสนามมวยหรือไม่ พล.อ.ณรงค์พันธ์ กล่าวว่า ก็ยังต้องมี ในรูปแบบคณะกรรมการชุดหนึ่ง ที่ไม่ใช่เจ้ากรมสวัสดิการกอบทัพบก ซึ่งตำแหน่งต่างๆจะแยกไปตามหน้าที่เพื่อให้ทุกคนทำหน้าที่ได้เต็มที่ เพื่อให้คนมีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหาร ภายใต้ ผอ.ศูนย์พัฒนากีฬากองทัพบก ซึ่งแต่ละแห่งจะมีคณะกรรมการคนละชุดกัน เพื่อให้ทำงานได้เต็มที่ จะได้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายเดียวกัน ไม่ใช่ทำงานหลายมือแล้วจะประสบความสำเร็จได้
ส่วนความคืบหน้าการปฏิรูปกองทัพ ในเรื่องสวัสดิการเชิงพาณิชย์นั้น พล.อ.ณรงค์พันธ์ ว่า สถานพักฟื้นและพักผ่อนกองทัพบก สวนสนประดิพัทธ์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ , สถานที่พักฟื้นและพักผ่อนกองทัพบก ลานนา จ.เชียงใหม่ และ สถานที่พักฟื้นและพักผ่อนกองทัพบก ไชยนารายณ์ จ.เชียงราย ที่เป็นลักษณะสถานที่พักผ่อนได้ให้ทางเครือดุสิตธานีเข้าไปดำเนินการ โดยยึดตามเอ็มโอยูที่กองทัพบกได้ลงนามกับกรมธนารักษ์ ซึ่งจะต้องจ่ายรายได้ให้กับกรมธนารักษ์ตามที่ลงนามไว้ ส่วนที่ไชยนารายณ์นั้นพึ่งเปิดให้บริการ ยังไม่สามารถคำนวณรายได้ที่ต้องจัดส่งให้กรมธนารักษ์