Wednesday, 25 June 2025
TheStatesTimes

เมื่อต้องมีพ่อ​ 3​ คน​ ใต้นิยามใหม่ของคำว่า "ครอบครัว" ที่ไม่ต้องเป็น "ชีวิตคู่" เสมอไป

เปิดโลกทัศน์สมัยใหม่ กับการใช้ชีวิตคู่ ที่ดูเหมือนจะเป็นกรอบนิยามที่ล้าสมัยไปแล้ว เมื่อการสร้างครอบครัวให้สมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้องมีเพียงคู่รักหญิง - ชาย สามี - ภรรยา เสมอไป

โดยปัจจุบันคนยุคใหม่เริ่มคุ้นเคยกับครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว ซิงเกิ้ลมัม ซิงเกิ้ลแดด หรือ คู่รักเพศเดียวกัน มากขึ้น

แต่นี่อาจเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่านั้น​ หลังจากมีครอบครัวอีกรูปแบบ​ ผ่าน​ชาย​ 3 และเด็ก 1 ที่อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวเดียวกันอย่างมีความสุข และพยายามต่อสู้ให้ชาย​ 3​ คนนั้น​ เป็นพ่อที่ได้รับการรับรองสถานะ "บิดา" อย่างถูกต้องตามกฏหมาย

เรื่องมุมมองครอบครัวสุดพิสดารในสายตาของคนอื่น แต่เป็นเรื่องสุดแสนธรรมดาในสายตาของพวกเขา เริ่มต้นจาก เอียน เจนคินส์ ปัจจุบันเป็นถึงผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขต ซาน ดิเอโก้

เขาได้เล่าเรื่องครอบครัว 3 หนุ่มลูกติดของเขา ผ่านหนังสือชื่อ Three Dads and a Baby: Adventures in Modern Parenting และการตัดสินใจครั้งใหญ่ที่สุดของครอบครัว คือการมีลูก และยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ใส่ชื่อพวกเขาทั้ง 3 คนเป็นพ่อในใบเกิดลูก

โดยเริ่มจากชีวิตในวัยเด็กของ เอียน เจนคินส์ ในรัฐเวอร์จิเนีย ที่รู้ตัวว่าเขาเป็นเกย์ แต่เมื่อเขาบอกความจริงออกไป กลับไม่เป็นที่ยอมรับของคนในสังคมในสมัยนั้น เขาถูกคนรอบข้างต่อต้านอย่างรุนแรง ไม่มีเพื่อนเลย จนกระทั่งเขาย้ายมาเรียนแพทย์ที่บอสตัน เรียนดีจนได้เป็นถึงอาจารย์หมอ และทำให้เขาได้พบกับ อลัน หนึ่งในลูกศิษย์ของเขา ที่เป็นเกย์เช่นกัน

แล้วทั้งคู่ก็ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน และย้ายมาอยู่ที่เมือง ซาน ดิเอโก้ โดยเอียน ยังคงเป็นอาจารย์สอนที่คณะแพทย์ ใน UC San Diego ส่วน อลัน ทำงานเป็นแพทย์ประจำในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง

ทั้งคู่ร่วมชีวิตกันนานถึง 10 ปี จนกระทั่ง อลัน เกิดไอเดียแปลก ๆ​ ว่า ทำไมเราไม่ขยายครอบครัว หาคนร่วมชีวิตเพิ่มหล่ะ

และไอเดียแปลก ๆ​ นี้ ก็พาพวกเขามารู้จักกับ เจอรามี สัตวแพทย์หนุ่มในสวนสัตว์ ซาน ดิเอโก้ ที่ยินดีใช้ชีวิตไตรเน็ต ชัดเจนทุกความถี่ร่วมกัน 3 คน

แต่ต่อมา อลันก็มาพร้อมกับไอเดียแปลก ๆ​ อีกครั้ง คราวนี้เขาบอกว่าอยากได้ลูกสักคน

เรื่องนี้ทำให้ทั้ง 3 คน ต้องมานั่งโต๊ะคุยกันอย่างจริงจังในเรื่องการมีลูก ซึ่งสถานะครอบครัวอย่างพวกเขา การขอบุตรบุญธรรมคงไม่มีใครอนุมัติ และพวกเขาก็ต้องการลูกที่เป็นของพวกเขาจริง ๆ

เขาจึงตัดสินใจติดต่อหาผู้ที่ประสงค์บริจาคไข่ และก็ได้เมแกน ที่ยินดีบริจาคไข่ให้ แต่ต้องนำไปฝากไว้ในครรภ์ของคุณแม่อุ้มบุญที่ไม่ประสงค์ออกนาม จนได้ลูกคนแรกออกมาเป็นลูกสาว ชื่อ ไปเปอร์ ซึ่งกลายเป็นนางฟ้าตัวน้อยของบ้าน

แต่ปัญหาที่ตามมาคือ พวกเขาทั้ง 3 คน ต้องการระบุว่าเป็นพ่อเด็กอย่างถูกต้องตามกฏหมาย เพื่อให้ลูกของพวกเขาได้สิทธิ์ผูกพันทางกฏหมายอย่างเสมอภาคทั้ง 3 คน

แต่ปัญหาคือ ตามกฏหมายของรัฐแคลิฟอร์เนียจะอนุญาตให้ระบุชื่อพ่อในใบเกิดมากกว่า 1 คนได้ต่อเมื่อ พ่อคนปัจจุบันมีความผิดปกติ ที่อาจเป็นอันตรายต่อครอบครัว

ทำให้ ครอบครัว 3 หนุ่มต้องยื่นคำร้อง ต่อสู้เรียกร้องสิทธิ์ในชั้นศาล ยอมเสียค่าทนายหลักแสนดอลลาร์ และค่าดำเนินการมากมาย จนได้สิทธิ์ระบุชื่อพ่อ 3 คนในใบเกิดลูก ซึ่งเป็นเคสแรกในรัฐแคลิฟอร์เนีย หรือจะเรียกว่าเป็นเคสแรกในสหรัฐอเมริกาก็ว่าได้

ซึ่งตอนนี้ ครอบครัว 3 หนุ่ม เอียน อลัน เจอรามี ก็มีลูกคนที่ 2 เรียบร้อย เป็นลูกชายที่พวกเขาตั้งชื่อว่า ปาร์คเกอร์ จากผู้บริจาคไข่คนเดิม แต่แม่อุ้มบุญคนใหม่ ที่พวกเขาช่วยกันเลี้ยงลูก แชร์ค่าใช้จ่ายร่วมกัน และออกค่าตั๋วเครื่องบินให้ เมแกน แม่ผู้บริจาคไข่ ที่อยู่ไกลถึงรัฐเทนเนสซี บินมาเยี่ยมเด็กๆ อย่างน้อยปีละครั้ง

และเพื่อไม่ให้ลูกๆสับสนในการเรียกพ่อ ก็ตกลงกันว่าให้เรียก เอียน ว่า Papa เรียก อลันว่า Dada และเรียก เจอรามี ว่า Daddy

การสร้างครอบครัวชาย 3 ที่มีลูกติด ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิต และหน้าที่การงานของพวกเขาแล้วในตอนนี้ เพื่อนร่วมงานของ 3 หนุ่มก็รับได้ และคิดว่าเป็นครอบครัวที่มีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครดี

เอียน เจนคินส์ หวังว่าเรื่องราวของครอบครัวของเขา จะช่วยให้คนทั่วไปมีมุมมองในเรื่องครอบครัวที่กว้างกว่าเดิม และเข้าใจว่าการสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบมีได้หลากหลายรูปแบบ ไม่จำกัดเฉพาะการมี "ชีวิตคู่" เท่านั้น

ตราบใดที่ครอบครัวอิ่มอุ่นด้วยความรัก ความเข้าใจ บทบาทของพ่อ และแม่ ก็มีได้หลายหลายไม่จำกัดนิยามจริง ๆ


อ้างอิง:

https://edition.cnn.com/2021/03/06/us/throuple-three-dads-and-baby-trnd/index.html?

utm_source=fbCNNi&utm_term=link&utm_content=2021-03-13T11%3A29%3A07&utm_medium=social

คืบหน้า อาการของไฮโซดัง ‘ปลาวาฬ’ นักธุรกิจเจ้าของโรงแรมศรีพันวา หลังได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุรถชนเสาไฟฟ้า แพทย์เผยยังรักษาในห้องไอซียู เนื่องจากสมองกระทบกระเทือน

นายแพทย์เฉลิมพงษ์ สุคนธผล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลวชิระภูเก็ต เปิดเผยถึงอาการของ นายวรสิทธิ อิสสระ กรรมการผู้จัดการโรงแรมศรีพันวา ซึ่งประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ได้รับบาดเจ็บเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 14 มี.ค. 64 ว่า ขณะนี้ผู้ป่วยมีอาการหนัก ยังต้องรักษาตัวในห้องงไอซียู เนื่องจากสมองกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง โดยแพทย์ได้ทำTC สแกนสมอง เพื่อดูว่าเลือดคั่งในสมองหรือไม่ รวมทั้งต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ

ทั้งนี้เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น.ของวันที่ 14 มี.ค. 64 ร.ต.อ.ชาตรี ชูวิเชียร พนักงานสอบสวน สภ.วิชิต จว.ภูเก็ต ได้รับแจ้งเหตุรถยนต์เก๋งเสียหลักชนเสาไฟฟ้าข้างทางริมถนน หน้าโรงเรียนบ้านอ่าวน้ำบ่อ ต. วิชิต เมือง จ. ภูเก็ต หลังรับแจ้งจึงเข้าตรวจสอบพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต

ที่เกิดเหตุพบรถยนต์เก๋งป้ายทะเบียน 6 กษ 1245 กรุงเทพมหานคร ชนอัดติดอยู่กับเสาไฟฟ้าโดยคนขับถูกอัดติดภายในรถ เจ้าหน้าที่มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตต้องใช้เครื่องตัดถ่างเพื่อนำผู้บาดเจ็บออกมาจากรถใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจึงนำออกมาได้ เบื้องต้นได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าหน้าที่นำส่งโรงพยาบาลกรุงเทพภูเก็ต และประสานรถยกนำรถเก๋งคันดังกล่าวไปเก็บไว้ที่สภ.วิชิต จว.ภูเก็ต

จากการตรวจสอบคนขับรถยนต์เก๋งคันดังกล่าว คือ นายวรสิทธิ อิสสระ หรือ ปลาวาฬ นักธุรกิจ เจ้าของโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต ส่วนสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุอยู่ระหว่างการสอบสวน


ที่มา : https://www.posttoday.com/social/local/647876

ภาพ มูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ต

อดีตสมาชิกวุฒิสภา ‘เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ’ ส่งหลักฐาน ถึงป.ป.ช. งัด คลิป - รูปภาพ จากสื่อ จี้ สอบพระเครื่อง ‘บิ๊กตู่ - บิ๊กป้อม’ พ่วง ‘สมพงษ์’ ผู้นำฝ่ายค้าน

เมื่อวันที่ 15 มี.ค.นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกวุฒิสภา ได้ส่งหนังสือถึงประธานกรรมการ ป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เนื่องจากเมื่อต้นปี 2564 มีการเผยแพร่ข่าวเปิดกรุพระเครื่องของนายกรัฐมนตรี และเมื่อย้อนไปดูคลิปข่าวที่ พล.อ.ประยุทธ์ เคยให้สัมภาษณ์ และมีการนำเสนอเมื่อวันที่ 12 มกราคม 2564 เปิดกรุพระเครื่องของพล.อ.ประยุทธ์ ที่ได้ปลดกระดุมเสื้อเพื่อโชว์พระที่ห้อยคอ แล้วระบุว่ามีพระมาตั้งนานแล้วแต่ไม่ได้นับว่าทั้งหมดกี่องค์ และเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2559 คลิปที่พล.อ.ประวิตรให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องที่นายกรัฐมนตรีโชว์พระเครื่อง ว่าที่โชว์ยังน้อย จริง ๆ มีเป็นร้อยองค์ และตนก็พกแต่ไม่ได้โชว์

นายเรืองไกร กล่าวว่า "เมื่อค้นหาข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับบัญชีทรัพย์สินฯ ที่พล.อ.ประยุทธ์ ยื่นต่อ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2557 กลับมีไม่ถึง 100 องค์ จึงมีเหตุสมควรตรวจสอบว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยื่นบัญชีพระเครื่องไว้ครบถ้วนหรือไม่ และเมื่อไปตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินอื่นของ พล.อ.ประวิตร ที่ยื่นต่อ ป.ป.ช. เมื่อวันที่ 4กันยายน 2557 พบว่าไม่มีการยื่นบัญชีทรัพย์สินอื่นไว้เลย ทั้งที่ในคลิปที่มีการนำเสนอผ่านสื่อระบุชัดเจนว่า พล.อ.ประวิตร ก็มีพระเครื่องที่พกอยู่ด้วยเช่นกัน"

“เมื่อนำคำพูดของบิ๊กป้อมที่บอกว่า บิ๊กตู่มีพระเป็นร้อยองค์ ไปตรวจสอบกับบัญชีทรัพย์สินของบิ๊กตู่ พบว่า มียื่นไว้ไม่กี่รายการ ดังนั้น จึงมีเหตุอันควรสงสัยว่า อาจมีพระเครื่องอีกหลายสิบองค์ที่บิ๊กตู่อาจไม่ได้ยื่นต่อ ป.ป.ช.” นายเรืองไกรกล่าว

นายเรืองไกร ยังขอให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินอื่นของ นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2562 วันที่ 21 สิงหาคม 2562 วันที่ 9 ตุลาคม 2562 วันที่ 26 ตุลาคม 2562 และวันที่ 30 กรกฎาคม 2563 ปรากฏข่าวภาพตามสื่อต่างๆ พบว่านายสมพงษ์ สวมใส่นาฬิกา หรือสร้อยคอหรือมีพระบูชาในห้องทำงานอยู่ด้วย แต่ในบัญชีทรัพย์สินอื่นที่ยื่นไว้เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2562 ไม่มีการยื่นรายการดังกล่าวไว้

นายเรืองไกร กล่าวว่า "ตามคู่มือของ ป.ป.ช. บอกไว้ว่า ทรัพย์สินอื่นถ้ามีมูลค่ารวมกันเกิน 200,000 บาท ก็ต้องยื่นบัญชี เมื่อมีข้อเท็จจริงตามที่กล่าวมา ประกอบกับทั้ง 3 คน เป็นผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง เป็นบุคคลสาธารณะ จึงมีเหตุที่ควรถูกตรวจสอบตามกฎหมายต่อไป ตนจึงส่งหนังสือเพื่อขอให้ ป.ป.ช. ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินอื่นของทั้ง 3 คน ว่า ได้ยื่นไว้ครบถ้วนแล้วหรือไม่"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการยื่นขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบในครั้งนี้ นายเรืองไกร ได้นำคลิป ภาพ และคำสัมภาษณ์จากสื่อต่าง ๆ ที่มีการนำเสนอมาเป็นหลักฐานให้กับ ป.ป.ช.

กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จ่อ ดัน “โชห่วย” เข้าตลาดหุ้น หวังช่วยสร้างความเข็มแข็งให้ธุรกิจเอสเอ็มอีก้าวไปเป็นธุรกิจขนาดใหญ่

นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เปิดเผยว่า ขณะนี้ กรมฯ กำลังหาทางผลักดันให้ร้านค้าปลีกค้าส่งที่อยู่กลุ่มส่งเสริมพัฒนาจากกรมฯ และเป็นร้านค้าต้นแบบ 213 ราย เข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเพิ่มเติม

เพื่อเป็นการช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจค้าปลีกค้าส่งของไทย หลังจากก่อนหน้านี้ สามารถผลักดันเข้าไปจดทะเบียนและมีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ สำเร็จแล้ว 2 ราย คือ บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) ที่เชียงราย และบริษัท เคแอนด์เค ซุปเปอร์สโตร์ เซาท์เทิร์น จากัด (มหาชน) ที่หาดใหญ่

สำหรับประโยชน์ที่ได้รับจากการเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยสร้างความเข้มแข็งให้กับธุรกิจเอสเอ็มอีก้าวไปเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ได้ โดยสามารถระดมเงินทุนมาใช้ในการขยายกิจการ เพิ่มจำนวนสาขา และแข่งขันกับธุรกิจค้าส่งค้าปลีกสมัยใหม่ได้ อีกทั้งยังทำให้ธุรกิจค้าส่งค้าปลีกของคนไทย มีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่อง

ปัจจุบัน มีร้านโชห่วยทั้งประเทศประมาณ 4 แสนราย โดยตัวเลขที่ทรงตัวอยู่ในระดับนี้มานาน เพราะมีการเปิดใหม่ และปิดตัวไปเท่าๆ กัน โดยรายเดิมที่ปิดตัวไป มีทั้งทำธุรกิจมานาน และไม่มีลูกหลานมาทำกิจการต่อ จึงต้องปิดตัวไป หรือทำแล้วประสบปัญหา แข่งขันไม่ได้ ก็ปิดตัวไป

แต่ก็มีรายที่ปรับตัว และอยู่รอดได้ ก็ทำธุรกิจต่อ และยังมีรายใหม่ ๆ เข้ามาทำธุรกิจเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่รัฐบาลมีมาตรการช่วยบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งโครงการคนละครึ่ง เราชนะ เรารักกัน ทำให้ร้านโชห่วยมีรายได้เพิ่มขึ้น จึงมีร้านโชห่วยเกิดใหม่มากขึ้นตามไปด้วย

พีค of the week EP.10

สัปดาห์ที่ผ่านมา กทม. แทบแตก เพราะ ‘พระมหาเทวีเจ้า’ เดินทางด้วยรถไฟไทย มาเยือน กทม. งานนี้แฟนคลับมารอท่าจนหัวลำโพงแทบแตก พอเปิดหน้าจอสมาร์ตโฟนขึ้นมา โอ๊ว มีข่าวที่ร้อนแรงยิ่งกว่าแม่หญิงลี เป็นเรื่องราวดาราสาว 'จั๊กจั่น' กับโลกหลายใบของเธอ กลายเป็นมหากาพย์ที่สายเผือกจับจ้องกันตาไม่กระพริบ

หันมาทางด้านการเมือง นี่ก็ฮอตได้ตลอด ๆ หลังจากแนวร่วมม็อบสามนิ้ว ทยอยเข้าเรือนจำ บรรดาคณาจารย์จึงต้องออกโรง ขอยื่นเรื่องประกันเพื่อให้ลูกศิษย์ลูกหา ได้กลับไปเรียนหนังสือ ต้องติดตามกันว่า ศาลจะพิจารณาอนุญาตให้ประกันตัวได้เมื่อไร แต่เอาเป็นว่า ตอนนี้ไปดูบรรดาข่าวพีค ๆ เหล่านี้เสียก่อน THE STATES TIMES รวบตึงมาให้ชมกันแล้ว ณ บัดนาว! Let’s go!!

.

 

 

ใครพ่น เราจะลบ!! ลูกเสืออากาศ พิทักษ์สาธารณะ ไล่ล่าลบรอยพ่นสีตามกำแพง

ไม่นานมานี้กลุ่ม ‘ลูกเสืออากาศ’ วิทยาลัยเทคนิคดอนเมือง ได้ดำเนินกิจกรรมจิตอาสา ปฏิบัติการลบรอยพ่นสีตามสถานที่สาธารณะบริเวณดอนเมือง บางเขน หลักสี่ ปากเกร็ด บางกระดี เมื่อวันเสาร์ที่ 13 และ วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม 2564 

โดยเหตุผลของการลบครั้งนี้ เด็ก ๆ มองว่า... 

“เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสังคม 

“ใครพ่นเราลบ จบนะครับ”
 

นายมานพ คีรีภูวดล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีปัญหาพี่น้องชาวกะเหรี่ยงบางกลอยว่า การละเมิดสิทธิมนุษยชน การบังคับให้โยกย้ายถิ่นฐานตั้งแต่ปี 2539 และปี 2554 จนมาถึง ปี 2564

ของเจ้าหน้าที่รัฐต่อพี่น้องชาวกะเหรี่ยงบางกลอยเป็นการกระทำที่ไม่เคารพสิทธิชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม เป็นการโยกย้ายที่ไม่ชอบด้วยหลักการสากลที่รัฐบาลลงนามกับนานาอารยะประเทศ

ตนในนาม ส.ส.พรรคก้าวไกล สัดส่วนชาติพันธุ์ เมื่อทราบว่ามีการใช้กฎหมายที่รุนแรง จึงได้นำเรื่องเข้าสู่กรรมาธิการสามัญ ได้แก่ กรรมาธิการ, เด็ก, เยาวชน, สตรี, ผู้สูงอายุ, ผู้พิการ, กลุ่มชาติพันธุ์และผู้มีความหลากหลายทางเพศ, กรรมาธิการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม รวมถึงยังได้หารือในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อกรณีนี้

ทั้งนี้ เพื่อการแก้ปัญหาในระยะยาว พรรคก้าวไกลและเครือข่ายชาติพันธุ์พรรคก้าวไกล จึงได้ร่วมกันยกร่างกฎหมายว่าด้วย พ.ร.บ.ชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย เพื่อเสนอเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นรูปแบบการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน โดยขณะนี้อยู่ในกระบวนการรับฟังความเห็นของประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในแต่ละภูมิภาค และจะนำเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรตามขั้นตอนกระบวนการ โดยประเด็นสำคัญในร่าง พ.ร.บ.ชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมืองแห่งประเทศไทย มี 2 ประเด็นหลัก คือ

1.) การยอมรับและรับรองความมีตัวตนของชาติพันธุ์และชนเผ่าพื้นเมือง ตามรัฐธรรมนูญ 2560 มาตราที่ 70 ในรูปแบบเขตวัฒนธรรมเฉพาะ หรือ เขตวัฒนธรรมพิเศษตามบริบทพื้นที่ของชาติพันธุ์ต่าง ๆ

2.) สร้างกลไกการทำงานประสานความร่วมมือ และการกำหนดแผนงานยุทธศาสตร์ต่างๆร่วมกันระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

นายมานพ กล่าวต่อว่า ส่วนงานนอกสภาผู้เเทนราษฎรตนได้ลงพื้นที่พบปะผู้นำชุมชนบางกลอย และร่วมทำงานกับเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมสิ่งแวดล้อมภาคตะวันตก และเครือข่ายภาคี save บางกลอยเพื่อหาแนวทางการช่วยเหลือทั้งในระยะสั้นและระยะยาวผ่านกลไกคณะทำงานภาคประชาชน และกลไกที่หน่วยงานภาครัฐแต่งตั้งขึ้น

นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับพี่น้องชาวกะเหรี่ยงภาคเหนือระดมข้าวสารและข้าวเปลือก จำนวน 4 ตัน ส่งมอบให้พี่น้องบางกลอยเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในระยะเร่งด่วน และล่าสุดได้ลงไปให้กำลังใจผู้ที่ถูกดำเนินคดีจำนวน 22 รายทั้งในพื้นที่ อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี และสถานที่ชุมนุมที่ข้างทำเนียบรัฐบาล

ไทยครองแชมป์ดื่มเบียร์แห่งเอเชีย หลัง Expensivity เผยรายงาน World Beer Index 2021 หรือดัชนีเบียร์โลก ประจำปี 2021 โดยทำการรีเสิร์ชราคาเบียร์จากซูเปอร์มาเก็ตทั่วโลกผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ numbeo.com ว่า…

ใน 5 ประเทศแรกที่มีประชากรดื่มเบียร์มากสุดในเอเชีย ปี 2021 (เกณฑ์วัด: เบียร์ขวด 330 มล.) ผลปรากฎว่า ประเทศไทยครองแชมป์ โดยมีอัตราการบริโภคเฉลี่ย 142 ขวดต่อคนต่อปี ตามมาด้วย 2.) เกาหลีใต้ (130 ขวด/คน/ปี) 3.) จีน (127 ขวด/คน/ปี) 4.) ฟิลิปปินส์ (114 ขวด/คน/ปี) และ 5.) ญี่ปุ่น (88 ขวด/คน/ปี)

ขณะเดียวกันประเทศแรกที่มีค่าใช้จ่ายในการดื่มเบียร์สูงที่สุดในเอเชีย เฉลี่ย ก็ยังเป็นประเทศไทยที่ครองแชมป์อีกด้วย เฉลี่ย 686 ดอลลาร์ต่อคนต่อปี 2.) เกาหลีใต้ (595 ดอลลาร์/คน/ปี) 3.) ญี่ปุ่น (544 ดอลลาร์/คน/ปี) 4.) ฟิลิปปินส์ (485 ดอลลาร์/คน/ปี) และ 5.) สิงคโปร์ (439 ดอลลาร์/คน/ปี)

นอกจากนี้ World Beer Index 2021 ยังมีรายงานผลในส่วนอื่นๆ อีก โดยประชากรดื่มเบียร์มากสุดในโลก ปี 2021 ได้แก่ 1.) สาธารณรัฐเช็ก (468 ขวด/คน/ปี) 2.) สเปน (417 ขวด/คน/ปี) 3.) เยอรมนี (411 ขวด/คน/ปี) 4.) โปแลนด์ (398 ขวด/คน/ปี) และ 5.) ออสเตรีย (389 ขวด/คน/ปี)

ประเทศที่มีค่าใช้จ่ายในการดื่มเบียร์สูงที่สุดในโลก ปี 2021 คือ 1.) เยอรมนี (1,908 ดอลลาร์/คน/ปี) 2.) โปแลนด์ (1,738 ดอลลาร์/คน/ปี) 3.) ลิธัวเนีย (1,586 ดอลลาร์/คน/ปี) 4.) ออสเตรีย (1,554 ดอลลาร์/คน/ปี) และ 5.) อังกฤษ (1,554 ดอลลาร์/คน/ปี)

ส่วนประเทศที่มีราคาเบียร์แพงสุดในเอเชีย ปี 2021 ได้แก่ 1.) จีน (7.71 ดอลลาร์/ขวด) 2.) ญี่ปุ่น (6.16 ดอลลาร์/ขวด) 3.) สิงคโปร์ (5.17 ดอลลาร์/ขวด) 4.) ไทย (4.82 ดอลลาร์/ขวด) และ 5.) มาเลเซีย (4.74 ดอลลาร์/ขวด)


ที่มา: https://www.bltbangkok.com/news/33715/?fbclid=IwAR0_lOrfe-mHhG095snyLkaeH4Nh79xYCW5P6SuHLGZDoLjjtpYSusP8RUg

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม แกนนำกลุ่มไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ระบุว่า #อนุทินและธนาธรใครโกหกประชาชน มีเนื้อความว่า

ผมได้อ่านรายละเอียด ความขัดแย้งในคลับเฮาส์ ระหว่าง นายอนุทิน และนายธนาธร เรื่องการฉีดวัคซีน

โดยนายธนาธรกล่าวหานายอนุทินว่า โกหกประชาชน เรื่องแผนการฉีดวัคซีน ด้านนายอนุทินก็ชี้แจงไปว่า สิ่งที่นายธนาธรพูดนั้นข้อมูลเก่า

เมื่อผมติดตามศึกษา รายละเอียดเพิ่มเติมที่ทีมแพทย์แถลง ผมเชื่อนายอนุทินครับ เพราะแผนงานต่าง ๆ นั้นสามารถปรับได้ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์

ต่างจากโครงการเมย์เดย์ เมย์เดย์ 3,000 บาทถ้วนหน้า ไม่ต้องพิสูจน์ความจน มีประชาชนลงทะเบียนมา 3 ล้านคน จ่ายเงินจริงแค่ 2,427 คน ที่สำคัญ มีการเอาเงินบริจาคไปทำอย่างอื่นอีก แบบนี้ถึงจะเรียกว่า โกหกประชาชน

ขอรบกวนคุณหมอท่านใด ที่สนับสนุนนายธนาธร(เพราะหมออย่างผม เขาคงไม่ฟัง) ช่วยเตือนเขาด้วยว่า อย่าเอาการเมือง มายุ่งกับงานวิจัยทางการแพทย์ วัคซีนและการรักษาพยาบาล เพราะเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องของจริยธรรม คนที่ไม่มีจริยธรรมจะไม่ค่อยเข้าใจ


ที่มา: https://www.facebook.com/1635406246730420/posts/2867414883529544/


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top