Tuesday, 24 June 2025
TheStatesTimes

เอกชนเริ่มทนไม่ไหว วอนรัฐบาลเร่งกระจายวัคซีนโควิด พร้อมมีแผนดำเนินงานอย่างชัดเจน หลังพบวัคซีนโควิด อืดเป็นเรือเกลือ ลั่นบริษัทเอกชนยินดีจ่ายค่าวัคซีนให้พนักงานเอง

นายกลินท์ สารสิน ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ทางรอดเศรษฐกิจไทยหลังวิกฤติโควิด เรื่องของวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นสิ่งสำคัญต่อการเปิดประเทศ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศ แต่ไทยเพิ่งเริ่มฉีดวัคซีนได้เพียงแค่ 40,000 โดสในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ส่วนแผนกระจายของรัฐบาล ทราบว่า ได้ทำสัญญาซื้อไปแล้ว 60 ล้านโดส แต่จะเริ่มฉีดให้กับคนไทยได้อย่างเต็มที่เดือนละ 10 ล้านโดสเริ่มเดือน มิ.ย.64 นั้น ถือว่า ล่าช้ามาก

ทั้งนี้หอการค้าไทยเสนอ 4 แนวทาง คือ

1.)การกระจายวัคซีนอย่างทั่วถึง โดยในภาคธุรกิจนั้น กลุ่มที่มีความเสี่ยงในธุรกิจบริการที่ต้องมีการติดต่อทั้งกับคนไทยและคนต่างชาติ ควรได้รับการฉีดเป็นลำดับต้น ๆ

2.) รัฐต้องมีแผนกระจายวัคซีนที่ชัดเจน เพื่อให้เอกชนสามารถบริหารจัดการธุรกิจให้สอดคล้องกับแผนการกระจายวัคซีนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.) เร่งฉีดอย่างรวดเร็ว โดยเอกชนสามารถร่วมทำแผนการกระจายวัคซีนเพื่อให้เข้าถึงประชาชนอย่างรวดเร็ว และบริษัทที่มีกำลังก็ยินดีจ่ายค่าวัคซีนให้พนักงานเอง

และ 4.) การสื่อสารสร้างความมั่นใจ โดยทุกฝ่ายต้องช่วยกันสื่อสารชี้แจงถึงความปลอดภัยของวัคซีน ซึ่งจะเป็นแนวทางในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของไทยให้เร็วยิ่งขึ้น

ส.ส. ก้าวไกล บุกกรมราชทัณฑ์ จี้ตอบกรณีคุกคามผู้ต้องขังกลุ่ม ‘ม็อบ 3 นิ้ว’ กลางดึกในเรือนจำ ด้านรองอธิบดีฯแจง การตรวจโรคกลางดึกเป็น ‘เรื่องปกติ’ ส่วนชายชุดน้ำเงินไม่ติดป้ายชื่อ เป็นเรื่องของ ‘โอกาส’ ในการแต่งเครื่องแบบ

เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2564 ที่กรมราชทัณฑ์ ท่าน้ำนนท์ นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยนางสาวเบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล, นายประเสริฐพงษ์ ศรนุวัตร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล, และนายปริญญา ช่วยเกตุ คีรีรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล เดินทางมาเพื่อยื่นหนังสือขอทราบข้อเท็จจริงต่อกรมราชทัณฑ์ ในกรณีเหตุการณ์คุกคามนายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา “ไผ่ ดาวดิน” และนายภานุพงศ์ จาดนอก “ไมค์ ระยอง” สองผู้ต้องขังระหว่างการพิจารณาคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กรณีการชุมนุมของกลุ่มราษฎร

โดยมีความพยายามนำตัวทั้งสองออกจากแดนคุมขังที่ 2 ในเรือนจำพิเศษ กรุงเทพมหานคร ออกจากแดนคุมขังกลางดึก โดยอ้างว่าจะนำไปตรวจโรคโควิด-19 โดยเป็นการกระทำหลายระลอก มีการใช้เจ้าหน้าที่พร้อมกระบองเสริมกำลังเข้ามากดดัน และมีการนำตัวบุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ใส่ชุดสีน้ำเงิน ไม่ระบุชื่อและสังกัด เข้ามาร่วมปฏิบัติการ ต่อเนื่องตั้งแต่เวลา 20.00 น. ของคืนวันที่ 15 มีนาคม 2564 ไปจนถึงเวลา 03.00 น.ของเช้าวันที่ 16 มีนาคม 2564 แต่ทั้งสองปฏิเสธที่จะปฏิบัติตาม เนื่องจากเป็นการปฏิบัติที่ผิดปกติวิสัย ท่ามกลางข่าวลือว่าจะมีการทำร้ายร่างกายผู้ต้องขังคดีการชุมนุมกลุ่มราษฎรในเรือนจำ

ซึ่งนางอมรัตน์ ได้เดินทางมาถึงกรมราชทัณฑ์ในเวลาประมาณ 14.00 น. พร้อมกับมีประชาชนผู้มีความห่วงใยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เข้าร่วมสังเกตการณ์และขอรับทราบข้อเท็จจริงร่วมกับนางอมรัตน์ด้วย โดยทางกรมราชทัณฑ์ ได้ส่งนายแพทย์วีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เข้าพบเพื่อรับหนังสือและอธิบายข้อเท็จจริงต่อนางอมรัตน์

โดยหนังสือของ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ได้เรียกร้องให้มีการตรวจสองกล้องวงจรปิดในห้องขังเรือนจำ และตรวจสอบบุคคลแปลกหน้าที่เข้าออกเรือนจำกลางดึกเมื่อคืนนี้ และขอให้ชี้แจงกับประชาชนให้เกิดความกระจ่างและความเชื่อมั่นต่อการปฏิบัติหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์

ด้านนายแพทย์วีระกิตติ์ ผู้ลงมารับหนังสือ ได้พยายามอธิบายข้อเท็จจริงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยระบุว่ากรณีดังกล่าว ทางกรมราชทัณฑ์ได้ตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงขึ้นมาแล้ว การตรวจหาเชื้อโควิด-19 กลางดึกในลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับผู้ต้องขังกลุ่มดังกล่าว รวมทั้งผู้ต้องขังในกลุ่มอื่นๆด้วย ความพยายามนำตัวผู้ต้องขังกลุ่มราษฎรทั้งสองออกจากแดน ไม่ใช่การนำออกไปที่อื่น แต่เป็นการนำไปรับการตรวจในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเอง ซึ่งมีสถานที่ตรวจหาเชื้อโควิด-19 อยู่แล้ว

การมีหลายระลอก เพราะระลอกแรกผู้ต้องขังเข้ามาถึงเรือนจำในเวลาประมาณ 19.00 น. เข้าไปห้องกักเดียวกันกับผู้ต้องขังที่มาจากพื้นที่เสี่ยงโดยบังเอิญ จึงได้ขอเจรจาว่าจะนำผู้ต้องขังกลุ่มราษฎรแยกไปอยู่ในห้องกักอื่นที่ยังว่างอยู่

เมื่อมีการปฏิเสธจึงต้องมีการป้องกันความปลอดภัยทางสุขภาพของผู้ต้องขัง คือการตรวจหาโรคโควิด-19 โดยเร็วที่สุด จึงได้มีการส่งกำลังเจ้าหน้าที่เพิ่มเติมเพื่อเข้าไปขอทำ swab เป็นเจ้าหน้าที่ ๆ มีใบประกอบโรคศิลป์ ซึ่งทั้งสองคนได้ปฏิเสธ ในขณะที่ผู้ต้องขังรายอื่นๆให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี

ทั้งหมดเป็นไปตามความชอบธรรมของนโยบายการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ที่มีการปฏิบัติกันเป็นปกติอยู่แล้ว แต่เมื่อทั้งหมดไม่ยอมตรวจ ทางกรมราชทัณฑ์ก็ไม่ได้ดำเนินการอะไรอีก เพราะไม่ต้องการที่จะเผชิญหน้า มีเพียงการนำผู้ต้องขังรายอื่นที่ได้ตรวจหาเชื้อโควิด-19 แล้วออกจากห้องขังนั้นไป

ส่วนบุคคลชุดน้ำเงินที่เข้ามา เป็นชุดปฏิบัติการปกติของกรมราชทัณฑ์ เพื่อนำผู้ต้องขังอื่นๆที่อยู่ร่วมกันและให้ความร่วมมือออกไปจากห้องขัง ไม่ได้มีการทำร้ายร่างกายหรือการกระทำอื่นใดผู้ต้องขังทั้งสิ้น

“เรื่องป้ายชื่อเนี่ยมันเป็นโอกาสที่เขาจะใส่ชุดใดๆ ซึ่งเครื่องแบบชุดนั้นผมไม่ได้สังเกต แต่ที่แน่ ๆ ไม่มีการทำร้ายหรืออะไรใดๆทั้งสิ้น เราได้บันทึกภาพ บันทึกอะไรต่าง ๆ ไว้หมด แล้วในกรณีนำไปเปรียบเทียบกับหมอหยองไม่ได้ เพราะหมอหยองไม่ได้อยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพก่อนเกิดเหตุ มันเป็นความชอบธรรมในเรื่องนโยบายโควิด เพราะคุกมันมีความแออัด มีคนตั้ง 3 - 4 พันคน การตรวจโควิดเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับ” นายแพทย์วีระกิตติ์กล่าว

จากนั้น นางอมรัตน์จึงได้ซักถามเพิ่มเติม กรณีนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ ผู้ต้องขังระหว่างการดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 อีกรายหนึ่งจากกรณีการชุมนุมกลุ่มราษฎร ถูกแยกตัวออกไปคุมขังร่วมกับนักโทษเด็ดขาด (นักโทษประหาร) ว่าเป็นความปกติหรือไม่

นายแพทย์วีระกิตต์ ตอบเพียงว่าเป็นความปกติ เรื่องนี้เป็นเรื่องในทางปฏิบัติและทัณฑวิทยา โดยไม่อาจให้รายละเอียดของเหตุผลได้ เมื่อความพยายามอธิบายของนายแพทย์วีระกิตติ์ ยังคงไม่สามารถทำให้ประชาชนที่มาร่วมรับฟังข้อเท็จจริงเกิดความสิ้นสงสัยได้ ทั้งในกรณีข้ออ้างการตรวจโรคโควิด-19 กลางดึก และกรณีของนายพริษฐ์ จึงเกิดการโต้แย้งแสดงความไม่พอใจออกมา จนทำให้นายแพทย์วีระกิตต์รับหนังสือจากนางอมรัตน์และเดินกลับเข้าไปในกรมราชทัณฑ์ทันที

หลังจากการยื่นหนังสือ นางอมรัตน์ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน และประชาชนที่มาร่วมชุมนุมติดตามการชี้แจงจากกรมราชทัณฑ์ในวันนี้ โดยระบุว่าทางเจ้าหน้าที่ได้อธิบายเบื้องต้นแล้ว ยังคงไม่มีการแสดงหลักฐานอื่นใดจากทางกรมราชทัณฑ์ แม้ทางรองอธิบดีกรมราชทัณฑ์จะระบุว่ามีภาพหลักฐานทุกอย่างที่พร้อมนำมาแสดง ส่วนที่ยังไม่ได้รับความกระจ่างนักคือกรณีเจ้าหน้าที่ในชุดสีน้ำเงินที่ไม่ได้ติดป้ายระบุชื่อและสังกัด ซึ่งทางกรมราชทัณฑ์ก็คงจะต้องออกมาแถลงสร้างความกระจ่างให้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่งให้สิ้นความสงสัยต่อไป

“เป็นเหตุการณ์ที่ดูแล้วไม่ปกติ เราห่วงใยในความปลอดภัยของผู้บริสุทธิ์ที่ยังอยู่ในระหว่างพิจารณาคดี ยังไม่ได้ถูกตัดสิน ยังไม่ได้เป็นนักโทษ วันนี้จึงมายื่นหนังสือต่ออธิบดีกรมราชทัณฑ์ให้ท่านช่วยตรวจสอบกล้องวงจรปิด และตรวจสองการเข้าออก และให้ท่านได้ชี้แจงให้สังคงกระจ่างด้วยว่าเหตุการณ์นี้มันปกติหรือไม่ เพราะในยามวิกาลจะมีคนแปลกหน้าในชุดสีน้ำเงินมาพยายามนำตัวผู้ถูกคุมขังออกไป ก็ขอให้ท่านชี้แจงกับสังคมให้กระจ่างด้วย ว่าเหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?” นางอมรัตน์กล่าว

“ทิพานัน” ซัด “ธนาธร” เรื่องการรุกป่าขอให้พูดความจริง ทั้งที่มีประสบการณ์โชกโชน วอนหยุดสร้างความเข้าใจผิดให้สังคม - ชาวบางกลอย ย้ำเชื่อมั่นรัฐบาลจริงใจแก้ปัญหา ไม่เหมือนเอ็มโอยูบลายทรัสต์ปาหี่

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. เขตจอมทอง - ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ขึ้นเวทีของกลุ่มพีมูฟและภาคีเซฟบางกลอยและกล่าวว่าป่าใดที่มีชุมชนก็จะเป็นป่าที่ยั่งยืน ป่าใดที่ไม่มีชุมชนก็มักจะเป็นป่าที่ไม่ยั่งยืน ว่า นายธนาธรคงสับสนประเภทป่าต่าง ๆ

และความหมายของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน จึงแสดงความคิดเห็นออกมาว่าป่าที่มีชุมชนเป็นป่าที่ยั่งยืน และแนวความคิดนี้อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้นายธนาธรและครอบครัวมีประสบการณ์โชกโชน กำลังถูกดำเนินคดีฐานบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติกว่า 2,000 ไร่ ดังนั้นนายธนาธรจึงไม่ควรไปให้ความเห็นผิด ๆ กับสังคมและชาวบางกลอย

“ที่นายธนาธรพูดนั้นเป็นความหมายของ ‘ป่าชุมชน’ ตาม พรบ. ป่าชุมชน 2562 มาตรา 4 ที่บัญญัติว่า ‘ป่าชุมชนโดยชุมชนร่วมกับรัฐในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู จัดการ บำรุงรักษาตลอดจนใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และความหลากหลายทางชีวภาพในป่าชุมชนอย่างสมดุลและยั่งยืน’ แต่ป่าชุมชนต้องเป็นป่านอกเขตอนุรักษ์ ดังนั้นบริเวณใจแผ่นดิน พื้นที่บางกลอยไม่สามารถจัดการในรูปแบบป่าชุมชนได้เพราะอยู่ในเขตป่าอนุรักษ์ เป็นป่าต้นน้ำ

ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความโดดเด่นสวยงามทางธรรมชาติเป็นพิเศษหรือมีความหลากหลายทางชีวภาพ ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และสัตว์ป่า ที่สมควรสงวนหรืออนุรักษ์ไว้เพื่อประโยชน์ของคนในชาติหรือเพื่อเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ทางธรรมชาติหรือนันทนาการของประชาชนอย่างยั่งยืน” น.ส ทิพานัน กล่าว

นอกจากนี้ รัฐบาลมีความมุ่งมั่นที่จะอนุรักษ์ผืนป่าแก่งกระจานเพื่อประโยชน์ทางนิเวศน์และเพื่อประโยชน์ของคนรุ่นถัดไปในอนาคตไม่เพียงแต่เพื่อคนไทย แต่ต้องการเพื่อให้เป็นสมบัติของมวลมนุษยชาติจึงผลักดันให้แก่งกระจานเป็นมรดกโลก ซึ่งคณะกรรมการมรดกโลกเห็นว่ามีความเป็นไปได้สูงและยังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ ดังนั้นรัฐบาลไทยจึงมีความจริงใจที่จะอนุรักษ์ผืนป่าและคุ้มครองดูแลให้กลุ่มชาติพันธุ์มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี

โดยที่ผ่านมากลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงในพื้นที่บ้านโป่งลึก - บางกลอยได้รับการจัดสรรที่ดินครอบครัวละ 7 ไร่ 3 งาน มีผู้ถือครองที่ดินจำนวน 260 ราย 337 แปลง คิดเป็นพื้นที่ 1,890 ไร่ และจากการเชิญทูตจาก 10 ประเทศประจำประเทศไทย IUCN ผู้แทนรัฐภาคีสมาชิกในคณะกรรมการมรดกโลก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ลงพื้นที่ก็ได้เห็นการจัดการของเจ้าหน้าที่ การทำงาน และความเป็นอยู่ของชาวบ้านในพื้นที่ ซึ่งทุกประเทศต่างก็มีความพอใจการทำงานที่ได้ไปพบเห็นมาและชื่นชมในความอุดมสมบูรณ์ทางธรรมชาติของพื้นที่บริเวณอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน

น.ส ทิพานัน กล่าวว่า "สิ่งที่นายธนาธรพูดว่า รัฐบาลไม่เห็นคุณค่าของประชาชน คนกะเหรี่ยงบางกลอยเขาอยู่ในพื้นที่มานานก่อนที่จะมีกฎหมาย ก่อนที่จะมีอุทยานเสียอีก ก็เป็นการพูดที่ขาดข้อมูลความจริง ความจุสมองและความสามารถในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของนายธนาธรคงมีจำกัดจึงไม่ทราบว่า รัฐบาลกำลังดำเนินการตรวจพิสูจน์สิทธิ์ในที่ทำกินในพื้นที่บางกลอยบน-ใจแผ่นดิน โดยดูแต่ละช่วงปีตามหลักฐานภาพถ่ายดาวเทียม เพราะก่อนจะประกาศเป็นพื้นที่อุทยานแห่งชาติ ก็เป็นพื้นที่ป่าตาม พรบ.ป่าไม้ 2484 และ พรบ.รักษาป่า 2456 ด้วย และหากพบว่าประชาชนอยู่มาก่อนก็จะเป็นสิทธิ์ของประชาชนในพื้นที่ดังกล่าว นอกจากนี้ยังจะจัดสรรที่ทำกินที่เหมาะสมให้ชาวบ้านที่ยังไม่มีที่ทำกิน ส่วนพื้นที่ที่จัดสรรแล้วแต่ทำกินไม่ได้ ก็กำลังพัฒนาที่ดิน จัดระบบสาธารณูปโภคให้ ดังนั้นรัฐบาลให้ความสำคัญกับประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมทั้งกลุ่มชาวบ้านที่ต้องการใช้ประโยชน์ และประชาชนทั่วไปที่ได้ประโยชน์จากป่าแก่งกระจาน ทั้งเพื่อคนรุ่นปัจจุบันและคนรุ่นถัดไปในอนาคตด้วย"

สำหรับที่นายธนาธรสื่อสารว่ากลุ่มชาวบ้านบางกลอยไม่ต้องการทำบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU กับรัฐเพราะคิดว่าจะฉีกเมื่อไหร่ก็ได้นั้น อาจเป็นเพราะกลุ่มชาวบ้านเคยได้ยินการจัดทำ MOU ปาหี่เรื่อง "บลายทรัสต์" มาแน่นอน ทั้งนี้ขอให้ชาวบ้านมั่นใจว่ารัฐบาลแตกต่างจากนายธนาธรที่พูดแล้วไม่ทำ และเหตุที่ต้องสื่อสารย้ำอีกครั้งหนึ่งเพื่อไม่ให้ประชาชนบางกลุ่มหลงเชื่อข้อมูลผิด ๆ จากนายธนาธร

สถานการณ์การชุมนุมในเมียนมากำลังยกระดับความรุนแรงเพิ่มขึ้นในทุก ๆ วัน หลังจากกลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนได้บุกเผาโรงงานจีนหลายแห่งในกรุงย่างกุ้ง และได้ถูกเจ้าหน้าที่รัฐสลายการชุมนุมตอบโต้ จนวันเดียวมีผู้เสียชีวิตถึง 39 ศพ

ล่าสุดนาย “มาน วิน แคง ทาน” หนึ่งในเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากพรรค NLD ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างหลบหนีการจับกุมตัวของกองทัพเมียนมา ได้กล่าวบนเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า "นี่คือช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดของชาติและเป็นช่วงเวลาที่ใกล้รุ่งอรุณ"

ตอนนี้สมาชิกพรรค NLD คนอื่นๆที่หลบหนีการจับกุมตัวได้จัดตั้งกลุ่ม “รัฐบาลเงาหรือรัฐบาลใต้ดิน” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในนาม “คณะกรรมการตัวแทนของรัฐสภาเมียนมา (CPRH)” และแต่งตั้งให้นาย “มาน วิน แคง ทาน” ดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดี

โดยทางกลุ่ม CPRH ได้ประกาศเจตนารมณ์อย่างชัดเจนว่า “พวกเราต้องการสร้างประชาธิปไตยแบบสหพันธรัฐ ซึ่งในขณะนี้ผู้นำของพวกเราได้เข้าพบกับตัวแทนขององค์กรติดอาวุธชาติพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดของเมียนมาซึ่งมีอำนาจในการควบคุมพื้นที่ทั่วประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพวกเขาก็พร้อมที่จะสนับสนุนเราด้วย”

นาย “มาน วิน แคง ทาน” ยังกล่าวเสริมอีกว่า “นี่แหละคือความต้องการที่แท้จริงของพ่อแม่พี่น้องทุกคนที่ได้รับความทุกข์ทรมานจากการกดขี่ข่มเหงของระบอบเผด็จการมานานหลายทศวรรษ การปฏิวัติในครั้งนี้เป็นโอกาสที่เราจะได้ร่วมแรงร่วมใจกัน”

แต่ถึงอย่างนั้นรัฐบาลทหารเมียนมาก็ได้กล่าวว่า “กลุ่ม CPRH คือกลุ่มผิดกฎหมาย หากใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องจะถูกตั้งข้อหากบฏและมีโทษถึงประหารชีวิต”


ที่มา: https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=281752333510928&id=103491098003720

นายอัษฎางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก “อัษฎางค์ ยมนาค” ชี้ชวนให้คนไทย “มาร่วมภูมิใจในความเป็นไทยกัน” ว่า...

อยากมาชวนให้ชมคลิปนี้ โดยเฉพาะคนไทยที่ไม่รักเมืองไทย หรือจะใช้คำว่าชังชาติก็ได้ และถูกแหกตาด้วยการพูดกรอกหูว่า เมืองไทยมีแต่สิ่งไม่ดีและล้าหลัง

คลิปนี้โรซี่ ครูสอนภาษาอังกฤษ ที่หลงรักเมืองไทยและเรียนภาษาไทยตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัยที่อังกฤษ ปัจจุบันอยู่เมืองไทยมา 7 ปีแล้ว

โรซี่: สัมภาษณ์ชาวอังกฤษด้วยกัน ที่อพยพมาอยู่เมืองไทยถาวร ผู้ชายคนนี้ชื่อ ญวน

ซึ่งชื่อเขาเป็นภาษาที่ค่อนข้างแปลกหูเพราะเขาเป็นชาวอังกฤษที่มีเชื้อสายไอริชและสก๊อต

ญวน: เล่าว่าเขามาเมืองไทยเมื่อ 10 ปีที่แล้วตอนเขาอายุ 17 ปี

โดยแวะเข้ามาในเมืองไทยแค่ 2 วันเท่านั้นก็ตกหลุมรักเมืองไทยทันที และบอกตัวเองว่าจะกลับมาที่เมืองไทยอีก

ปัจจุบันเขาอาศัยอยู่ที่จังหวัดเชียงรายและกำลังเรียนปริญญาตรีอยู่ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เอกภาษาไทย ซึ่งเค้าบอกว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่สวยที่สุด

เขามีลูกอายุ 8 เดือนและภรรยาเป็นสาวใต้

เขาบอกว่าเขาสามารถพูดไทยกลางได้ดี แต่ภาษาเหนือฟังได้รู้เรื่องแต่พูดไม่ได้

นอกจากนี้เขายังได้ฟังภาษาใต้จากภรรยาซึ่งเป็นคนใต้อีกด้วย

เขาเลยอยากได้เพื่อนเป็นคนอีสานเพื่อจะได้รู้ภาษาไทยครบทุกภาค

โรซี่: บอกว่า 4 ภาคของไทย มีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งภาษาและอาหารเป็นต้น ซึ่งต่างจากสหราชอาณาจักร ที่ประกอบด้วยสี่ประเทศ ได้แก่ อังกฤษ สกอตแลนด์ ไอร์แลนด์ และเวลส์ นั้นกลับไม่ได้มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนเหมือนสี่ภาคของไทย

โรซี่: ถามว่าเรียกใครว่าพี่หรือน้องบ้างหรือไม่

ญวน: ตอบว่าจะเรียกเฉพาะคนที่อายุมากกว่าหรือน้อยกว่ามากๆ เท่านั้นส่วนคนที่อายุใกล้กันจะไม่เรียกพี่เล่นหรือน้อง

และจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจถ้าจะต้องเรียกใครว่าลุงหรือป้าเพราะรู้สึกว่ากำลังไปว่าเขาเป็น ”คนแก่”

เพราะวัฒนธรรมของฝรั่งจะไม่เรียกคนโดยการแบ่งตามอายุ

โรซี่: บอกว่าการที่เรียกลุงป้าน้าอาพี่น้องคือการแสดงความเคารพนับถือของผู้ใหญ่และเด็กซึ่งเป็นวัฒนธรรมของไทยที่งดงามมาก

โรซี่: ถามญวนว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ตกหลุมรักเมืองไทย และชอบอะไรในเมืองไทย

ญวน: ตอบว่า

1 อาหารไทย

2 วัฒนธรรมไทย

3 ความเป็นธรรมชาติอันสวยงามของเมืองไทย

เขายังยกตัวอย่างว่าขนาดเที่ยงคืนยังสามารถออกมาหาอาหารข้างทางที่เอร็ดอร่อยกินได้

ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าประทับใจมาก

จำกันได้ใช่มั้ยว่า ใครบอกให้คนไทยเลิกเรียกกันว่า พี่น้อง ลุงป้าน้าอา เพื่อความเสมอภาค

ใครบอกให้เลิกยกมือไหว้ ใครบอกว่าการยิ้ม คือคนที่โง่เพราะไม่รู้จะพูดอะไรก็ยิ้มไว้ก่อน

แต่ความจริงจารีตประเพณีของไทยเรากลับถูกฝรั่งชื่นชม ยกย่อง สรรเสริญ

ทำไมต้องชังชาติ

ทำไมต้องดูถูกความเป็นไทย

ทำไมต่อต้านความเป็นไทย

ทำไมถึงคิดว่าต้องต่อต้านและยกเลิกความเป็นไทยเพื่อให้ได้มาซึ่งความเสมอภาค และการเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้า

เราภูมิใจในความเป็นไทยไม่ได้หรือ

อัษฎางค์ ยมนาค

ชมคลิปตามลิงค์นี้ https://fb.watch/4glo-khURq/


ที่มา: https://www.facebook.com/1234993066616474/posts/3924271071021980/

วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของ ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน พระธิดาคนเล็กในทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนา พรรณวดี มีอายุครบ 36 ปีบริบูรณ์

ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน เกิดเมื่อวันที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2528 ที่เมืองซานดิเอโก ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีพี่สาวและพี่ชาย คือ ท่านผู้หญิงพลอยไพลิน และคุณพุ่ม เจนเซน ในวัยเยาว์ ท่านผู้หญิงสิริกิติยา หรือ คุณใหม่ ได้ศึกษาขั้นต้นที่โรงเรียนมัธยมศึกษาเอิร์ลวอร์เรนจูเนียร์ (Earl Warren Junior High School) และโรงเรียนมัธยมศึกษาทอร์เรย์ไพนส์ (Torrey Pines High School) ก่อนที่สำเร็จการศึกษาด้านวิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนิวยอร์ก สาขาการศึกษาภูมิภาคเอเชียตะวันออก

หลังสำเร็จการศึกษา ท่านผู้หญิงสิริกิติยาได้ทำงานหลากหลายด้าน อาทิ ทำงานด้านการออกแบบ โดยเริ่มฝึกงานกับ โยจิ ยามาโมโตะ นักออกแบบชื่อดังชาวญี่ปุ่น และทำงานกับแบรนด์แฟชั่นชื่อดังอย่างแอร์เมส กระทั่งกลับมาเมืองไทย จึงได้เข้าฝึกงานในกลุ่มงานวิชาการการอนุรักษ์ สำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร และได้รับการบรรจุเป็นข้าราชการ ของกรมศิลปากร

ในปี พ.ศ. 2561 ท่านผู้หญิงสิริกิติยาเป็นผู้อำนวยการในโครงการ ‘วังน่านิมิต’ ซึ่งเป็นผลงานการเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับพระราชวังบวรสถานมงคล ผ่านเทคโนโลยีสื่อในรูปแบบภาพ (Visual Language) ซึ่งได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากมาย ต่อมายังมีผลงานอันน่าสนใจอื่น ๆ อาทิ การจัดแสดงนิทรรศการภาพถ่าย Hundred Years Between ที่บอกเล่าเรื่องราวการเดินทางของท่านผู้หญิงสิริกิติยา กับการตามรอยเสด็จประพาสรัชกาลที่ 5 ที่นอร์เวย์ ในวาระครบรอบ 115 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทย - นอร์เวย์ พ.ศ.2563

ด้วยเจตนารมย์ในการสืบสานประวัติศาสตร์ไทยในหลากหลายบริบท เพื่อส่งต่อไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ จึงทำให้ท่านผู้หญิงสิริกิติยา มีความมุ่งมั่นสร้างสรรค์ผลงาน ตลอดจนมีส่วนร่วมในการผลักดันผลงานศิลปะ มรดกทางวัฒนธรรมของชาติ เพื่อให้ได้รับความสนใจ และถูกสานต่ออย่างถูกต้องและดีงามต่อไป


ที่มา: https://th.wikipedia.org/wiki/สิริกิติยา_เจนเซน

หลังจากความเห็นขององค์การยาแห่งยุโรป (อีเอ็มเอ) เกี่ยวกับวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าในเชิงบวกปรากฏขึ้นเมื่อวันก่อน ก็ดูจะช่วยคลายข้อกังวลให้ เอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และ มาริโอ ดรากิ นายกรัฐมนตรีอิตาลีในวันอังคาร (16 มี.ค.) ได้เป็นอย่างมาก

โดยอีเอ็มเอ ได้แถลงยืนยันถึงความเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นในประโยชน์ของวัคซีนตัวดังกล่าวที่เหนือกว่าความเสี่ยงจากผลข้างเคียงของมัน

“ถ้อยแถลงในเบื้องต้นในวันนี้จากอีเอ็มเอ ช่วยสร้างกำลังใจ” ถ้อยแถลงของทั้งคู่ที่เผยแพร่โดยสำนักนายกรัฐมนตรีของดรากิ หลังจากผู้นำทั้งสองชาติหารือกันทางโทรศัพท์

ถ้อยแถลงระบุต่อว่า ฝรั่งเศสและอิตาลีจะกลับมาเริ่มฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในทันที หากว่าได้ไฟเขียวจากคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบของอียู ซึ่งคาดหมายว่าจะมีการแถลงการตัดสินใจในวันพฤหัสบดี (18 มี.ค.)

สำหรับในกรณีของอิตาลี การระงับใช้วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้านั้น หมายความว่ามีการฉีดวัคซีนประชาชนชนน้อยลงราว ๆ 200,000 ภายในสัปดาห์นี้ จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวรัฐบาล แต่จากถ้อยแถลงของอีเอ็มเอส น่าจะสร้างความเชื่อมั่นให้กลับมา จนช่วยให้โครงการฉีดวัคซีนคืนสู่ระดับปกติ

ก่อนหน้านี้ ฝรั่งเศส, อิตาลี, เยอรมนี และประเทศอื่นๆ หลายชาติในสหภาพยุโรป ได้ระงับใช้วัคซีนที่ผลิตโดยบริษัทสัญชาติอังกฤษ - สวีเดนแห่งนี้ ท่ามกลางความกังวลว่ามันมีความเป็นไปได้ที่จะเกี่ยวข้องกับเหตุเสียชีวิตจากภาวะลิ่มเลือดอุดตัน

อย่างไรก็ตาม เอเมอร์ คุ้ก ผู้อำนวยการองค์การยาแห่งยุโรป ระบุในวันอังคาร (16 มี.ค.) ว่าทางหน่วยงานของเขา “ยังคงเชื่อมั่นอย่างหนักแน่นว่าประโยชน์ของวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าในการป้องกันความเสี่ยงอาการรุนแรงถึงขั้นเข้าโรงพยาบาลและเสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 มีมากกว่าความเสี่ยงจากผลข้างเคียง”

ในขณะที่ได้มีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดแก่ประชาชนไปแล้วหลายล้านโดส พบว่ามีคนจำนวนเล็กน้อยเกิดอาการลิ่มเลือดอุดตันถึงขั้นเสียชีวิตหลังได้รับวัคซีน

ซึ่งมุมมองดังกล่าวสอดคล้องกับองค์การอนามัยโลกและแอสตร้าเซนเนก้า ที่ระบุว่า “ณ เวลานี้ไม่พบข้อบ่งชี้ว่าวัคซีนเป็นสาเหตุของอาการเหล่านั้น” พร้อมเน้นว่าคณะผู้ควบคุมกฎระเบียบ “กำลังตรวจสอบอาการไม่พึงประสงค์ทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับทุกวัคซีน”


ที่มา: https://mgronline.com/around/detail/9640000025533

โดยนอกเหนือจากห้องสมุดของคนปกติทั่วไป ห้องสมุดเฉพาะทาง อย่างห้องสมุดคนตาบอด ก็เป็นอีกหนึ่งสถานที่สำคัญ ที่เป็นแหล่งความรู้ให้กับผู้พิการทางสายตา ซึ่งในวันนี้เมื่อ 44 ปีก่อน เมืองไทยได้เปิดห้องสมุดสำหรับคนตาบอดเป็นครั้งแรก มีชื่อว่า ห้องสมุดคอลฟิลด์

ห้องสมุดคอลฟิลด์ เป็นหน่วยงานหนึ่งของมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ โดยที่มาของชื่อ คอลฟิลด์ มาจากชื่อของ มิสเจนีวีฟ คอลฟิลด์ สุภาพสตรีชาวต่างชาติ ที่เข้ามาบุกเบิกช่วยเหลือผู้พิการทางสายตาในเมืองไทย

โดยห้องสมุดคอลฟิลด์ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นแหล่งรวบรวมความรู้ในด้านการศึกษา และสาระบันเทิงต่าง ๆ สำหรับคนตาบอด เปิดบริการครั้งแรกเมื่อวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2520 ได้รับการสนับสนุน และร่วมบริจาคจากสมาคมต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ

เช่น สมาคมคนตาบอดสวีเดน ได้บริจาคโรงพิมพ์เก่า อันประกอบด้วยแท่นพิมพ์ อุปกรณ์สำหรับพิมพ์หนังสือเบรลล์ และมอบอุปกรณ์การผลิตหนังสือเทป ต่อมา ประเทศเยอรมนี ได้สร้างห้องบันทึกเสียงสำหรับผลิตหนังสือเทปอย่างดี ทำให้การผลิตหนังสือเพื่อป้อนห้องสมุดคนตาบอด เริ่มมีคุณภาพและผลงานมากขึ้น

กระทั่งย่างเข้าสู่ยุคคอมพิวเตอร์ ข้อมูลข่าวสารสำหรับคนตาบอด ก็ยิ่งมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว คนตาบอดสามารถอ่านหนังสือจากคอมพิวเตอร์ด้วยเสียง รวมทั้งสามารถเข้าถึง Internet ได้อย่างง่ายดาย ห้องสมุดคอลฟิลด์จึงถูกขยายกลายเป็นศูนย์เทคโนโลยีทางการศึกษาเพื่อคนตาบอดในเวลาต่อมา

ปัจจุบัน ห้องสมุดคอลฟิลด์ ยังคงให้บริการ ทั้งการผลิตหนังสือเบรลล์ การผลิตหนังสือเทป และการบริการห้องสมุด ซึ่งเปิดให้บริการให้กับสมาชิกทั่วประเทศโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมการศึกษาสำหรับคนตาบอด และเป็นการเพิ่มทรัพยากรบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ เพื่อเป็นกำลังสำคัญในการสร้างประโยชน์แก่ประเทศต่อไป

ห้องสมุดคอลฟิลด์ ศูนย์เทคโนโลยีการศึกษาเพื่อคนตาบอด ตั้งอยู่ บนถนนติวานนท์ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โทร.0-2583-6518


ที่มา: http://www.blind.or.th/centre/about_show/3, http://tabgroup.tab.or.th/node/30

กลุ่ม อสม. หรือ อาสามัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ที่เป็นหน่วยหน้าในการเข้าไปพบปะดูแล ให้ความรู้เรื่องอาการเจ็บป่วยด้วยโรคโควิด-19 ของคนไทยในชนบท ซึ่งในวันนี้ก็มีการยกให้เป็นวันสำคัญของพวกเขา นั่นคือ วันอสม. หรือวันอาสาสมัครสาธารณสุขแห่งชาติ

วันอาสาสมัครสาธารณสุขแห่งชาติ ตรงกับวันที่ 20 มีนาคม ของทุกปี โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2536 ให้ทุกวันที่ 20 มีนาคม ของทุกปี เป็นวันอสม.แห่งชาติ ทั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ และส่งเสริมให้อสม.ได้รวมพลังสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ประขาชนชาวไทย โดยได้ดำเนินการจัดงานเป็นครั้งแรก ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2537 เป็นต้นมา

กล่าวถึง อสม.เป็นโครงการที่กระทรวงสาธารณสุขได้เริ่มขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2520 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพกันเองด้วยวิธีประหยัด ตลอดจนช่วยแบ่งเบาภาวะการขาดแคลนบุคลากรทางด้านสาธารณสุขในชนบท จึงได้เปิดรับมัครผู้ที่มีความสมัครใจในการทำงานเพื่อส่วนรวม โดยเป็นผู้ที่ชาวบ้านไว้ใจ และมีที่อยู่อาศัยในท้องถิ่นนั้น ๆ เพื่อมาร่วมเป็นอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน

ในระยะแรกเริ่ม มีการทดลองใน 20 จังหวัด โดยอสม.จะยึดหลักการทำงานที่ว่า ‘แก้ข่าวร้าย กระจ่ายข่าวดี ชี้บริการ ประสานงานสาธารณสุข บำบัดทุกข์ประชาชน ทำตนเป็นตัวอย่างที่ดี’ จนต่อมาได้ขยายจำนวนของอสม. มากขึ้น กระจายไปทุก ๆ จังหวัดของประเทศไทย

กระทั่งในปัจจุบัน มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน เป็นจำนวนกว่า 1 ล้านคน โดยกระจายอยู่ทั่วประเทศ ทั้งในเขตเมือง และเขตชนบท เพื่อทำหน้าที่ในการถ่ายทอดความรู้ กระตุ้นเตือน และส่งเสริมชักชวนให้พี่น้องประชาชนดูแลสุขภาพและป้องกันโรค

โดยเฉพาะในช่วงปีกว่า ๆ ที่ผ่านมา ที่ประเทศไทยต้องประสบกับวิกฤติโควิด -19 ระบาด กลุ่มอสม. ถือเป็นกองทัพมดงาน ที่กระจายกำลังลงไปในพื้นที่ที่อยู่อาศัยของชาวบ้านกว่า 11 ล้านครัวเรือน เพื่อให้ข้อมูล ความรู้ และการปฏิบัติตัวในการป้องกันโรคระบาดชนิดนี้ รวมทั้งยังช่วยเก็บข้อมูลด้านสาธารณสุข ส่งกลับมาให้หน่วยงานใหญ่ หรือภาครัฐ ได้ใช้เป็นฐานข้อมูลสำคัญอีกด้วย

ไม่ผิดไปนัก หากจะบอกว่า อสม. คือ ผู้ปิดทองหลังพระ โดยเฉพาะในสถานการณ์โรคระบาดในตอนนี้ และในวันนี้ที่เป็นวันพิเศษของพวกเขา เราจึงขอร่วมชื่นชม และเป็นกำลังใจ ให้ทำหน้าที่เพื่อสังคมประเทศชาติต่อไปให้ดีที่สุด


ที่มา: https://hrdo.org/อสม-มดงานในระบบสุขภาพไท/

วันนี้เป็นพิเศษของผู้นำทางการเมืองของประเทศไทย เนื่องจากเป็นวันคล้ายวันเกิด ครบรอบ 67 ปี ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของเมืองไทย

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือในชื่อเล่นที่คนไทยคุ้นเคยว่า ‘ตู่’ เกิดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม พ.ศ.2497 ที่จังหวัดนครราชสีมา แต่มาเรียนหนังสือในระดับประถมศึกษาที่จังหวัดลพบุรี กระทั่งเมื่อเข้าสู่ชั้นมัธยม จึงย้ายมาเรียนที่โรงเรียนวัดนวลนรดิศ กรุงเทพมหานคร

ในวัยเยาว์ พลเอกประยุทธ์เป็นนักเรียนเรียนดี จนเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เจ้าตัวจึงได้สอบเข้าเรียนต่อที่โรงเรียนเตรียมทหาร และเป็นนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 23 ในเวลาต่อมา

พลเอกประยุทธ์เข้ารับราชการทหารที่กรมทหารราบที่ 21 รักษาพระองค์ โดยเริ่มจากตำแหน่งผู้บังคับการกองพัน จนถึงผู้บังคับการกรม ต่อมาจึงได้ย้ายไปอยู่กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ และรับตำแหน่งรองแม่ทัพภาคที่ 1 ก่อนจะได้รับการเลื่อนขั้นดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้น และได้เป็นผู้บัญชาการทหารบก ในปี พ.ศ.2553

พลเอกประยุทธ์ เริ่มเข้ามามีบทบาททางการเมือง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 โดยเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ.2557 ตัดสินใจเข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลรักษาการในขณะนั้น ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือ คสช. และเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของประเทศไทย เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ.2557

ต่อมาได้มีการจัดการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ.2562 ภายหลังการประชุมร่วมรัฐสภา มีการนำเสนอชื่อพลเอก ประยุทธ์ ให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกสภาเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้พลเอกประยุทธ์ ได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยเป็นสมัยที่สองติดต่อกัน

จากอดีตนักเรียนวิทยาศาสตร์การเรียนดี สู่การเป็นนายทหารมากความสามารถ วันนี้ ‘บิ๊กตู่’ ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ในวัย 67 ปีบริบูรณ์ ขอให้สุขภาพแข็งแรง และทำหน้าที่บริหารประเทศอย่างเต็มความสามารถตลอดไป


ที่มา:

https://th.wikipedia.org/wiki/ประยุทธ์_จันทร์โอชา,

https://siamrath.co.th/n/83202


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top