Tuesday, 24 June 2025
TheStatesTimes

‘ปิดทองหลังพระ’ ด้วยเศรษฐกิจพอเพียงสร้างรายได้ให้ชุมชน | BizMAX EP.30

จากข่าว "สร้างรายได้จากแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ‘ปิดทองหลังพระ’ ช่วยเพิ่มรายได้ชุมชน 426 ล้าน เล็งขยายเพิ่มอีก 9 จังหวัดพื้นที่ต้นแบบในปีนี้"

Link ข่าว : https://thestatestimes.com/post/2021022820 ​

จากเนื้อหาข่าว สถาบันส่งเสริมและพัฒนากิจกรรมปิดทองหลังพระ นำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงประยุกต์ใช้แก้ปัญหาชุมชนในท้องถิ่น ในพื้นที่ 12 จังหวัด ช่วยสร้างรายได้เพิ่ม 426 ล้าน เล็งขยายเพิ่มอีก 9 จังหวัดในปีนี้ เศรษฐกิจพอเพียงที่ว่านั้นคืออะไรและมีแนวทางอะไรบ้าง มาร่วมวิเคราะห์กันกับ หยก THE STATES TIMES

.

มูลนิธิรำลึก 18 พฤษภาคมแห่งนครควังจู สาธารณรัฐเกาหลีใต้ ออกแถลงการณ์เรียกร้องทางการไทย หยุดคุกคามนักกิจกรรมในเรือนจำ

ความว่า มูลนิธิรำลึก 18 พฤษภาคม ขอเตือนทางรัฐบาลไทยว่า โลกกำลังจับตามองปฏิบัติการ อันน่าสงสัยของเจ้าหน้าที่ และรัฐบาลไทยในการความพยายามกระทำการ ต่อ นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ผู้ได้รับรางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2017 และ นายอานนท์ นำภา ผู้ได้รับรางวัลกวางจูเพื่อสิทธิมนุษยชน ประจำปี 2021 กับเพื่อนนักกิจกรรมของเขา ในคืนวันที่ 15 มีนาคม 2564

ทางเจ้าหน้าที่รัฐของไทยได้ใช้ความพยายามอันน่าสงสัยถึง 3 ครั้ง เพื่อจะนำเอาตัว นายจตุภัทร์และนายอานนท์กับพวกไปยังส่วนอื่นของเรือนจำ ในเวลากลางดึกจนถึงช่วงวันใหม่ และพวกเรามีความกังวลต่อสวัสดิภาพและความปลอดภัย ของผู้ได้รับรางวัลทั้งสองกับเพื่อนนักกิจกรรมของเขาเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้นทางมูลนิธิฯ กับกลุ่มองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนนานาชาติ จะจับตาปฏิบัติการของรัฐบาลไทย ที่กระทำกับพวกเขาอย่างใกล้ชิด ในโอกาสนี้ ทางมูลนิธิขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยปล่อยตัวผู้ได้รับรางวัลของเรา และเพื่อนนักกิจกรรมของเขาในทันที

ทั้งนี้มูลนิธิรำลึก 18 พฤษภาคม แห่งนครควังจู สาธารณรัฐเกาหลีใต้ เป็นมูลนิธิที่ตั้งขึ้นมาเพื่อรำลึกวีรชนและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนให้กับโลก มูลนิธิเกิดขึ้นจากการรวมตัวของครอบครัววีรชนชาวควังจู ที่ลุกขึ้นต่อสู้กับรัฐบาลเผด็จการทหารเกาหลีใต้ในปี 1980 ซึ่งทำให้มีคนเสียชีวิตจำนวนมาก

และในระหว่างเรียกร้องความเป็นธรรมนั้น ก็มีผู้สละชีวิตประท้สวงรัฐบาลเกาหลีใต้ให้หันมาสนใจ และคืนความเป็นธรรมและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เมื่อเกาหลีใต้มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น การเรียกร้องให้คืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และคืนความเป็นธรรมให้กับวีรชนและครอบครัวผู้เสียชีวิต ชาวควังจูก็ได้เล็งเห็นความสำคัญในการรณรงค์ เพื่อประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชน

จึงได้มอบรางวัลสิทธิมนุษยชนฯ ดังกล่าว แก่ผู้มีผลงานในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน และสันติภาพ ซึ่งในหลายปีที่ผ่านมามูลนิธิรำลึก 18 พฤษภาคม ได้มอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้แก่ ซานาน กุสเมา ปี 2000, อองซานซูจี ปี 2004 ในบทบาทยุคที่ถูกเผด็จการทหารกักตัว, สำหรับประเทศไทย ผู้ได้รับรางวัลนี้ได้แก่ นางอังคณา นีละไพจิตร ปี 2006, นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา ปี 2017 และ นายอานนท์ นำภา ปี 2021


ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/politic/2051601

'พานทองแท้' บ่นตอนพ่อเป็นนายกฯ ไปเจรจาระหว่างประเทศ เคยนั่งเครื่องไปด้วยหลายสิบครั้ง เสียดายที่ตอนนั้นไม่ได้เรียนรู้เทคนิคการเจรจาระดับสูงจากพ่ออย่างเต็มที่ ก่อนถามเสียดายโอกาสของประเทศไทยที่หายไปกันบ้างหรือเปล่า

จากเฟซบุ๊ก Oak Panthongtae Shinawatra ของนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องหาหลบหนีคดีอาญาแผ่นดิน ได้โพสต์ข้อความเล่าความหลังว่า...

“โดนจับนั่งเครื่องไปด้วยตอนพ่อเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อเจรจาระหว่างประเทศหลายสิบครั้ง #ไปเองจ่ายเองนักเลงพอ #ไม่ใช้เงินหลวง #NoDrama

ตอนนั้นยังเรียนไม่จบเพิ่ง 20 ต้น ๆ ยังไม่สนใจการเมือง จึงไม่สนใจว่าพ่อจะเจรจาอย่างไรบ้าง เพิ่งจะได้ฟังเทคนิคการเจรจาระดับสูงจากพ่อ ตอนมาฟังคลับเฮาส์พร้อมๆ กับ Tony’s FC วันนี้นี่เอง ฟังแล้วก็คิดถึง และเสียดายที่ตอนนั้นไม่ได้เรียนรู้จากพ่ออย่างเต็มที่

เพื่อน ๆ ล่ะครับ!! เสียดายโอกาสของประเทศไทย ที่หายไปกันบ้างหรือเปล่า? #tonywoodsome”


ที่มา: https://mgronline.com/onlinesection/detail/9640000025528

จีนเตรียมผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเข้าประเทศ ด้วยการออกวีซ่าให้แก่ชาวต่างชาติจากบางประเทศ ที่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ของจีน หากสถานการณ์การแพร่ระบาดดีขึ้น จนสามารถกลับมาเดินทางได้ตามปกติอีกครั้ง

โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนแถลงต่อผู้สื่อข่าวที่กรุงปักกิ่งว่า สถานทูตจีนในหลายประเทศพร้อมเปิดให้ประชาชนในบางประเทศที่ฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 ของจีนแล้วสามารถยื่นขอวีซ่าเข้าจีนได้ สถานทูตจีนในสหรัฐฯ แถลงลงวันที่ 15 มีนาคม ว่า ตั้งแต่สัปดาห์นี้เป็นต้นไป จะเริ่มเปิดรับการยื่นขอวีซ่าจากผู้รับการฉีดวัคซีนจีนที่จะเดินทางเข้าจีนแผ่นดินใหญ่เพื่อไปทำงาน ทำธุรกิจ หรือความจำเป็นทางมนุษยธรรม เช่น กลับไปพบหน้าครอบครัว ผู้มีสิทธิยื่นขอวีซ่าจะต้องรับการฉีดวัคซีนจีนครบ 2 โดส หรืออย่างน้อย 1 โดส ในช่วง 14 วันก่อนยื่นขอวีซ่า และมีผลการตรวจเชื้อโควิดเป็นลบ ด้านสถานทูตจีนในอินเดีย ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ อิตาลี และศรีลังกาก็ออกประกาศลักษณะเดียวกัน

จีนกำลังเร่งเดินหน้าโครงการฉีดวัคซีนผลิตเองในประเทศที่ได้รับอนุมัติแล้ว 4 ขนาน ได้แก่ Sinapharm, Sinovac, Coronavac และวัคซีนที่พัฒนาโดยบริษัทอันฮุย จื้อเฟย หลงเขอ ไบโอฟาร์มาซูติคัล ให้แก่คนในประเทศ แต่ยังไม่อนุมัติวัคซีนที่ผลิตจากต่างประเทศแม้แต่ขนานเดียว

นอกจากนี้ ยังส่งออกหรือบริจาควัคซีนที่ผลิตเองให้แก่หลายประเทศ เช่น ตุรกี อินโดนีเซีย กัมพูชา ปากีสถาน ส่งผลให้สหรัฐฯ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตวัคซีนรายใหญ่ของโลก ประกาศแผนร่วมมือกันเตรียมส่งวัคซีนให้กับประเทศต่าง ๆ ในเอเชียเช่นกันเพื่อแข่งขันกับจีนก่อให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ‘การทูตวัคซีน’ เต็มรูปแบบ

ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนประสบความสำเร็จในการควบคุมการระบาดภายในประเทศ หลังจากที่พบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แพร่ระบาดในเมืองอู่ฮั่นเป็นที่แรกของโลกเมื่อปลายปี 2019 แต่เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงที่ผู้เดินทางจากต่างประเทศจะนำไวรัสเข้ามาแพร่จนเกิดการระบาดซ้ำ จีนได้ใช้นโยบายจำกัดการเข้าเมือง โดยอนุญาตให้ชาวต่างชาติเข้าประเทศภายใต้วัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง เช่น มาทำงาน เป็นต้น และผู้ที่ได้รับอนุญาตแล้วก็จะต้องผ่านกระบวนการกักตัวตามระเบียบ


ที่มา : รอยเตอร์

https://www.naewna.com/inter/559621

คิม โย จอง น้องสาวของนายคิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เตือนสหรัฐฯ อย่ากระทำการใด ๆ ที่จะทำให้ ‘หลับไม่ลง’ เมื่อรัฐบาลโจ ไบเดน เริ่มส่งเจ้าหน้าที่ระดับสูงทั้งรัฐมนตรีกลาโหมและรัฐมนตรีต่างประเทศเยือนประเทศพันธมิตรอย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้

หนังสือพิมพ์โรดอง ชินมุน ของทางการเกาหลีเหนือตีพิมพ์ถ้อยแถลงของคิม โย จอง น้องสาวของนายคิม จอง อึนผู้นำเกาหลีเหนือ หลังจากสหรัฐและเกาหลีใต้เปิดฉากซ้อมรบร่วมเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ขอแนะนำรัฐบาลใหม่สหรัฐฯ ที่กำลังหาทางแพร่กระจายกลิ่นดินปืนในดินแดนเกาหลีเหนือว่า หากอยากนอนหลับสบายตลอด 4 ปีข้างหน้า ทางที่ดีอย่าได้หาเรื่องตั้งแต่ต้น ที่จะทำให้ข่มตาหลับไม่ลง 

นับเป็นครั้งแรกที่เกาหลีเหนือแสดงท่าทีต่อรัฐบาลไบเดนที่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนมกราคม แม้ว่ายังไม่เอ่ยชื่อไบเดนโดยตรง และมีขึ้นหลังจากที่ พล.อ.ลอยด์ ออสติน รัฐมนตรีกลาโหม และนายแอนโทนี บลิงเคน รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ เดินทางถึงญี่ปุ่นเมื่อวานนี้ เพื่อเริ่มการเยือนต่างประเทศเป็นครั้งแรก หวังตอกย้ำความร่วมมือต่อต้านอิทธิพลจีนและการพัฒนานิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ

นักวิเคราะห์ในเกาหลีใต้มองว่า ที่ผ่านมาการออกถ้อยแถลงของเธอมักเป็นการส่งสัญญาณว่าเกาหลีเหนือเตรียมเพิ่มท่าทีแข็งกร้าว จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าเกาหลีเหนืออาจยั่วยุทางทหารระหว่างหรือหลังจากที่รัฐมนตรีทั้งสองคนของสหรัฐเสร็จสิ้นการเยือนพันธมิตร ส่วนช่วงไม่กี่วันก่อนไบเดนเข้ารับตำแหน่ง นายคิม จอง อึน ตราหน้าสหรัฐว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดของประเทศ และใช้พิธีสวนสนามเปิดตัวขีปนาวุธนำวิถียิงจากเรือดำน้ำรุ่นใหม่ อย่างไรก็ดี ตอนที่ประธานาธิบดีไบเดน ขึ้นรับตำแหน่งใหม่ๆ เกาหลีเหนือก็ไม่ได้ยิงทดสอบขีปนาวุธเป็นการท้าทายอย่างที่เคยทำมา

ท่าทีของเกาหลีเหนือมีขึ้น ท่ามกลางการซ้อมรบร่วมระหว่างสหรัฐฯ กับเกาหลีใต้ที่ลดขนาดลงเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขณะที่นางเจน ซากี โฆษกหญิงประจำทำเนียบขาว ไม่ได้กล่าวถึงแถลงการณ์จากน้องสาวของผู้นำเกาหลีเหนือ แต่ยอมรับว่า จนถึงปัจจุบันรัฐบาลเกาหลีเหนือยังไม่ตอบกลับความพยายามติดต่อผ่านทุกช่องทางของรัฐบาล รวมถึงผ่านคณะผู้แทนถาวรเกาหลีเหนือประจำสหประชาชาติ มาตั้งแต่กลางเดือนกุมภาพันธ์ และใน 1 ปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ เองไม่ได้มีการเจรจากับเกาหลีเหนืออย่างต่อเนื่องแม้จะมีความพยายามมาจากฝ่ายสหรัฐฯ ก็ตาม

ขณะเดียวกัน นายโนบูโอะ กิชิ รัฐมนตรีกลาโหมของญี่ปุ่น พบปะกับ พล.อ.ออสติน รัฐมนตรีกลาโหมของสหรัฐฯ ที่กรุงโตเกียว เรื่องความเคลื่อนไหวทางทหารของกองทัพจีนในบริเวณทะเลจีนใต้ ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการอ้างสิทธิเหนือหมู่เกาะหลายแห่ง นายกิชิ กล่าวว่า บรรยากาศในทะเลจีนใต้และทะเลฝั่งตะวันออกเต็มไปด้วยความตึงเครียดและรุนแรง

จากการเคลื่อนไหวทางทหารทั้งของกองทัพจีน และกองทัพสหรัฐฯ จนน่าวิตกกังวลเกี่ยวกับความมั่นคง ประเทศพันธมิตรที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแบ่งพื้นที่ในทะเลจีนใต้จึงหวังว่า สหรัฐฯ กับจีนจะใช้วิธีทางการทูตด้วยการเจรจาจำกัดกรอบการเคลื่อนไหวทางทหารในพื้นที่ขัดแย้ง เพื่อให้บรรยากาศต่าง ๆ ดีขึ้น จนนำไปสู่การเจรจาในระดับต่อไปได้


ที่มา : เอเอฟพี/รอยเตอร์/บีบีซีนิวส์
https://www.naewna.com/inter/559622

แฟนคลับ เฮ! “เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย” ยอมใจอ่อนเปิดอินสตาแกรมแล้ว ใต้ชื่อแอคเคาท์ @birdthongchaiofficial แถมเปิดใช้แปปเดียวยอดฟอลโล่เพียบ!

เรียกได้ว่า ไม่มีใครไม่รู้จักนักร้อง นักแสดงมากฝีมือคนนี้กับ “เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย” ที่ฝากผลงานฮิตไว้มากมาย ซึ่งล่าสุด ก็มีข่าวดีหลังจากมีการเรียกร้องจากเหล่าแฟนหลับกันมายาวนาน

เพราะว่า “ป๋าเบิร์ด” ได้เปิดช่องทางให้ติดตามอัพเดตชีวิต ผ่านแอคเคาท์อินสตาแกรม ให้พี่ น้อง แฟนคลับ ได้ติดตามกันแล้ว โดยใช้ชื่อแอคเคาท์ว่า “@birdthongchaiofficial”

แน่นอนว่าคนดังระดับนี้ยอมใจอ่อนเปิดแอคเคาท์อินสตาแกรม ทั้งทีผู้คนก็ต่างให้ควาามสนใจเหล่าแฟนคลับก็แห่กันไปกดฟอลโล่กับพรึ่บ เพียงในเวลาแค่ไม่กี่ชั่ว เรียกได้ว่าวันเวลาลาทำอะไรไม่ได้กับความดัง ของ ป๋าเบิร์ด คนนี้เลยนะเนี่ยย

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้ากลุ่มไทยภักดี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก​ เกี่ยวกับกรณี​ 'เพนกวิน'​

ผมได้เห็นภาพจริงที่เพนกวิน อาละวาดศาล ในทวิตเตอร์ของ Andrew MacGregor Marshall อดีตสื่อต่างชาติในไทย และหนีคดี 112 สิ่งที่น่าสังเกต

1.​ เพนกวินมีการอ่านเอกสารที่จัดเตรียมมาก่อน

2.​ มีการคล้องแขน ล้อมกรอบ ไม่ให้เจ้าหน้าที่เข้าถึงเพนกวิน

3.​ มีการถ่ายภาพจริงออกมา และฝรั่งต่างชาติไปเผยแพร่

สิ่งที่เห็นจึงเป็นการยืนยันว่า มีการวางแผน เพื่อทำลายเครดิต นอกจากสถาบันเบื้องสูง ทหาร ยังรวมถึงสถาบันตุลาการของไทย และเผยแพร่โดยชาวต่างชาติ ซึ่งสอดรับกับภรรยาชาวฝรั่งเศส ของนักการเมืองคนหนึ่ง ก็ทำงานอ้างว่าวิจัย เพื่อทำลายสามสถาบันนี้มาก่อน

เพนกวินอาจจะเล่นสมบท และได้รับรางวัล​ "วีระรัฐบุรุษ" เพื่อเอาใจให้เหลิงในแสง แต่ก็ช่วยไม่ได้ที่ตัวเขาต้องรับกรรม

นี่คือการพิสูจน์ว่า กระบวนการนักการเมืองชั่ว ร่วมกับอาจารย์ นักวิชาการหัวรุนแรง ปั่นหัวศิษย์เลว ร่วมมือกับต่างชาติ เพื่อหวังครอบงำประเทศ ผ่านกระบวนการชักศึกเข้าบ้าน วิธีการที่เราจะชนะเขาคือ การรู้เท่าทันนั้นไม่พอ เราคนไทยต้องรักและสามัคคีกันด้วย เพื่อไม่ให้ไทยเราเป็นเหยื่ออย่างบางประเทศในตะวันออกกลาง


ที่มา : https://www.facebook.com/1635406246730420/posts/2869483936655972/

กระทรวงการคลัง ผนึกกำลังสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ดันนโยบาย ‘Made in Thailand’ สนับสนุนหน่วยงานรัฐซื้อสินค้าที่ผลิตในประเทศ เปิดโอกาสผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยเข้าสู่การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐได้มากขึ้น

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง ได้ร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ผลักดันนโยบาย “Made in Thailand” เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชน และประชาชน หันมาใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศมากขึ้น โดยส่งเสริมและช่วยเหลือผู้ประกอบการให้สามารถแข่งขันด้านการตลาดในประเทศได้

ซึ่งที่ประชุม ครม.ได้พิจารณาอนุมัติกฎกระทรวง กำหนดพัสดุและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุที่รัฐต้องการส่งเสริมหรือสนับสนุน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2563 เพื่อส่งเสริมให้หน่วยงานราชการใช้สินค้าที่ผลิตภายในประเทศเพิ่มขึ้น ประกาศเป็นกฎกระทรวงที่มีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ประเมินว่า จากกฎกระทรวงฉบับนี้ที่สนับสนุนหน่วยงานให้ภาครัฐจัดซื้อจัดจ้างสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย คือผู้ประกอบการสามารถเพิ่มยอดขาย และหน่วยงานภาครัฐได้สินค้าที่ผลิตในประเทศไทยตามที่ต้องการ ภาครัฐมั่นใจว่าการสนับสนุนครั้งนี้ จะช่วยให้ผู้ประกอบการและห่วงโซ่เอสเอ็มอี เข้มแข็งขึ้น จากยอดการซื้อจากภาครัฐ ซึ่งในแต่ละปีหน่วยงานภาครัฐทั่วประเทศจะใช้งบประมาณในการจัดซื้อจัดจ้างกว่า 1.77 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเป็นการยกระดับเสริมศักยภาพการแข่งขันและลดภาระด้านการเงินที่ต้องนำมาหมุนเวียนในธุรกิจ

สำหรับการรับรองสินค้าที่ผลิตในประเทศไทย หรือ Made in Thailand ได้กำหนดสัดส่วนมูลค่าวัตถุดิบผลิตในประเทศอย่างน้อย 40% โดยคุณสมบัติของผู้ขอขึ้นทะเบียนสินค้า Made in Thailand จะเป็นผู้ประกอบการไทยหรือต่างประเทศ ที่มีโรงงานผลิตในประเทศไทย มีใบอนุญาตประกอบกิจการ มีการจดทะเบียน มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรที่ถูกต้องในประเทศไทย และมีคุณสมบัติตามเกณฑ์ที่กำหนด

หากสินค้าใดที่ผ่านการรับรองจะได้รับเอกสารรับรองที่ ส.อ.ท. ออกให้แก่ผู้ประกอบการนำ ไปใช้แสดงคุณสมบัติสินค้า Made in Thailand กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และต่อไปในอนาคตจะมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับกรมบัญชีกลางอย่างเป็นระบบ

สำหรับกลุ่มสินค้า Made in Thailand ที่มีโอกาสเข้าสู่การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ อาทิ วัสดุครุภัณฑ์สำนักงาน, ครุภัณฑ์การศึกษา, จอมอนิเตอร์, เฟอร์นิเจอร์, ชุดยูนิฟอร์ม, อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องปรับอากาศ, อุปกรณ์ไฟฟ้าและพลังงาน, วัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในงานก่อสร้าง อาทิ เหล็ก, ปูนซีเมนต์

รวมถึงจะมุ่งประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลไปยังกลุ่มผู้ค้าส่ง ค้าปลีก ที่เข้าร่วมยื่นเสนองานกับภาครัฐให้เข้าใจในกฎกระทรวงฉบับใหม่และการนำสินค้า Made in Thailand ไปเสนอต่อภาครัฐด้วย ตั้งเป้าหมายในปี 2564 จะมีผู้ยื่นขอการรับรอง Made in Thailand ไม่ต่ำกว่า 100,000 รายการสินค้า


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top