Tuesday, 24 June 2025
TheStatesTimes

ศาลฎีกากระบี่พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้ประหารชีวิต “บังฟัต” พร้อมอีก 8 คน ก่อเหตุวางแผนและฆ่า อดีตผู้ใหญ่บัติ เสียชีวิตพร้อมสมาชิกในครอบครัวรวม 8 ศพ

เมื่อปีพ.ศ.2560 ขณะที่ญาติผู้เสียชีวิตพอใจในคำตัดสิน  ขณะที่ผลพวงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ครอบครัวผู้เสียชีวิตต้องสูญเสียบ้านที่อยู่อาศัย 

จากคดี นายซูริก์ฟัต หรือบังฟัต บ้านนบวงศ์สกุล อายุ 41 ปี พร้อมกับพวกรวม 8 คน ร่วมกันก่อเหตุสังหารโหดนายวรยุทธ หรือผู้ใหญ่บัติ สังหลัง อายุ 46 ปี อดีต ผญบ.หมู่ 1 ต.บ้านกลาง อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ พร้อมครอบครัวและญาติ ๆ รวม 8 ศพ เหตุเกิดที่บ้านเลขที่ 14/3 หมู่ 1 ต.บ้านกลาง อ.อ่าวลึก เมื่อวันที่ 9 ต่อเนื่องวันที่ 10 มี.ค.60  คดีดังกล่าวสร้างความสะเทือนขวัญแก่ประชาชนเป็นอย่างมาก  

หลังเกิดเหตุได้ 5 วัน ทางจนท.ตำรวจได้ ติดตามจับกุมตัว ผู้ก่อเหตุได้ทั้ง 8 คน  ประกอบด้วย นายซูริก์ฟัต บ้านนบวงศ์กุล หรือ บังฟัต อายุ 41 ปี  นายคมสรรค์ เวียงนนท์ (ม่อน) อายุ 36 ปี นายอับดุลเลาะ ดอเลาะ (เลาะห์) อายุ 30 ปี.นายอรุณ ทองคำ (กี้ร์) อายุ 29 ปี นายประจักษ์ บุญทอย (จักร์) อายุ 36 ปี.นายธนชัย จำนอง (โกบ) อายุ 41 ปี  นายธวัฒชัย บุญคง (ชัย) อายุ 37 ปีและ น.ส.ชลิดา สังข์โชติ อายุ 41 ปี ภรรยานายชูริก์ฟัต

ต่อมาเมื่อวันที่ 12 ก.ค.62  ที่ผ่านมา ศาลอุทธรณ์ได้ พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1-7 โดยศาลให้ความเห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้ง 7 คน เป็นการกระทำที่อุกอาจ ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง และเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่น ชดใช้ค่าเสียหายให้กับญาติผู้เสียชีวิตทุกคนทนายจำเลยจึงได้ยื่นฏีกา  ส่วนจำเลยที่ 8 คือ น.ส.ชลิดา สังข์โชติ ภรรยานายชูริก์ฟัต ถูกตัดสินจำคุก 12 เดือน  และได้รับโทษครบกำหนดไปก่อนหน้านี้แล้ว

ความคืบหน้าเมื่อเวลา 10.30 น.วันที่ 18 มี.ค.64  ที่ ห้องพิจารณาคดี ที่ 8  ศาลจังหวัดกระบี่ ได้อ่านคำพิพากษาศาลฏีกา ผ่าน Video Conference จากศาลจังหวัดกระบี่  ไปยังจำเลย 7 คน ที่ถูกคุมขังในเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช  โดยในวันนี้ทางญาติผู้เสียชีวิต  ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษาที่ศาลจังหวัดกระบี่ด้วย แต่ศาลไม่ได้อนุญาตให้เข้าร่วมรับฟังคำพิพากษาในห้องพิจารณาคดี โดยศาลได้นัดแยกให้มาฟังคำพิพากษาอีกครั้งในวันที่ 24 เมษายนนี้  จึงต้องรอติดตามผล ด้านนอกอาคารศาลจังหวัดกระบี่ ซึ่งผลการพิจารณาคดี ศาลฎีกาได้พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์  ให้ประหารชีวิตจำเลยทั้ง7 คน  สร้างความพึงพอใจแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิต

หลังทราบผลพิพากษา ของศาลฏีกา นางอาส้า บุตรเติบ  แม่ยายของ ผู้ใหญ่บัติ  กล่าวว่า รู้สึกพอใจกับคำพิพากษา  ขอบคุณศาลที่ให้ความยุติธรรมต่อครอบครัว เนื่องจากตลอดเกือบ 4 ปี ที่ผ่านมาทางครอบครัว ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างหนักทั้งจากการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปทั้งหมดถึง 8 คน และยังต้องแบกรับภาระหนี้สินที่เกิดจากการที่บังฟัต นำบ้านหลังที่เกิดเหตุและบ้านของพ่อตา ไปจำนองไว้กับธนาคาร จนกระทั่งทำให้บ้านทั้งสองหลังซึ่งเป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของครอบครัวถูกธนาคารยึด  ทำให้คนในครอบต่างวิตกกังวลว่าจะไม่มีที่อาศัย  จึงอยากวอนขอความช่วยเหลือ จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ด้านนายเกรียงศักดิ์  สารภี นายความ ของนายซริก์ฟัต และพวก กล่าวว่า หลังศาลฏีกามีคำพิพากษาให้ประหารชีวิต จำเลยทั้ง 7 คน  ก็ได้ปรึกษากับทางญาติจำเลย เพื่อหาทางยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษฯ ภายในเวลาระยะ 60 วัน หลังจากนี้


ภาพ/ข่าว : ณัฏฐพงษ์  ศรีปล้อง รายงาน

เกษตรกระบี่ พาไปชมการผลิตกาแฟขี้ชะมดและการจัดการสวนกาแฟอย่างมืออาชีพ ในงาน Field Day 2564 ที่อำเภอลำทับ

เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2564 เวลา 10.00 น. นายธนากร ชูจิตต์ นายอำเภอลำทับ เป็นประธานเปิดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีเพื่อเริ่มต้นฤดูการผลิตใหม่ (Field Day) ปี 2564 มีนายอนุชา ยาอีด เกษตรจังหวัดกระบี่ พบปะพี่น้องเกษตรกรที่มาร่วมงาน และนางสาวจันทร์ฉาย เพ็ญเขตวิทย์ เกษตรอำเภอลำทับ กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดงาน ณ ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร(ศูนย์เครือข่าย) หมู่ที่ 3 ตำบลดินแดง อำเภอลำทับ จังหวัดกระบี่

นายธนากร ชูจิตต์ นายอำเภอลำทับ กล่าวว่า การจัดงานในวันนี้เป็นการกระตุ้นให้เกษตรกรเกิดความตระหนักในการทำการเกษตร ซึ่งต้องมีการใช้เทคโนโลยีและข้อมูลในการผลิตทางการเกษตร นำไปสู่การลดต้นทุนการผลิต การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต พัฒนาคุณภาพผลผลิตและเชื่อมโยงตลาด มีการพัฒนาให้สามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์ และความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ

โดยใช้ศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร เป็นแหล่งเรียนรู้ของอำเภอ ดังนั้น การเริ่มต้นปีการเพาะปลูกใหม่ ถ้าเกษตรกรนำองค์ความรู้ที่เหมาะสม ในแต่ละพื้นที่ไปประยุกต์ใช้ในไร่นาและสวนของตนเองได้ จะทำให้เกิดประสิทธิภาพการผลิตได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญ หากมีการขยายผลหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้เกษตรกรได้เข้าถึงและนำไปใช้ ก็จะทำให้เกษตรกรมีความเข้มแข็งและพึ่งพาตนเองได้ รวมถึงสังคมก็จะมีแต่ความสุข

นางสาวจันทร์ฉาย เพ็ญเขตวิทย์ เกษตรอำเภอลำทับ กล่าวเพิ่มเติมว่า การจัดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีและบริการการเกษตรเพื่อเริ่มต้นฤดูการผลิตใหม่ (Field Day) ปี 2564 ในวันนี้ สืบเนื่องมาจากภาคการเกษตรของไทยได้เข้าสู่ฤดูการผลิตใหม่แล้ว  ซึ่งโดยทั่วไปถือว่าวันที่ 1 พฤษภาคม ของทุกปี  เป็นวันเริ่มต้นปีเพาะปลูก  ดังนั้นเพื่อให้การผลิตมีประสิทธิภาพจึงจำเป็นต้องมีการใช้องค์ความรู้ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ โดยมีองค์ประกอบของศูนย์ ได้แก่ เกษตรกรต้นแบบ แปลงเรียนรู้  หลักสูตรการเรียนรู้ และฐานการเรียนรู้ 

อำเภอลำทับได้คัดเลือกพื้นที่ของนายพิศิษฎ์  เป็ดทอง หมู่ที่ 3 ตำบลดินแดง เป็นศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรเครือข่าย กลุ่มผลิตกาแฟขี้ชะมด มีเป้าหมายในการพัฒนาเรื่องกาแฟ รวมถึงการทำการเกษตรโดยนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินชีวิต

สำหรับวัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้ มีดังนี้

1.) เพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรเริ่มต้นการผลิตในปีการเพาะปลูกใหม่โดยใช้เทคโนโลยีและภูมิปัญญาที่มีความเหมาะสมกับพื้นที่

2.) หน่วยงานต่าง ๆ มีการให้บริการด้านการเกษตรตามภารกิจเพื่อสนับสนุนเกษตรกรเริ่มต้นการผลิตในปีการเพาะปลูกใหม่

3.) เพื่อเผยแพร่ให้เกษตรกรรู้จักและใช้ประโยชน์จากศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร ที่มีอยู่ในพื้นที่

กิจกรรมภายในงาน จัดให้มีสถานีเรียนรู้ต่าง ๆ ซึ่งแต่ละสถานี จะมีเนื้อหาที่สอดคล้องกันเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์/เป้าหมายของการจัดงานวันถ่ายทอดเทคโนโลยีฯ   โดยมีจำนวน 5 สถานีเรียนรู้ ดังนี้

      สถานีที่ 1 บริการด้านวิชาการ

      สถานีที่ 2 การสร้างมูลค่าเพิ่มผลผลิตกาแฟ

      สถานีที่ 3 การจัดการและตกแต่งสวนกาแฟ

      สถานีที่ 4 การปลูกไม้เศรษฐกิจในสวนกาแฟ

      สถานีที่ 5 การเลี้ยงชะมด

นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงองค์ความรู้  กิจกรรมทางการเกษตร และการให้บริการด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องจากส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ กลุ่ม/สถาบันเกษตรกร ภาคเอกชน  ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นในการถ่ายทอดความรู้

สำหรับการจัดงานในครั้งนี้มีเกษตรกรในพื้นที่อำเภอลำทับ และพื้นที่ใกล้เคียงมาร่วมงานไม่น้อยกว่า 120 คน ซึ่งเกษตรกรจะสามารถนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในการประกอบอาชีพการเกษตรในพื้นที่ของตนเอง  โดยยึดหลักพอเพียง ความพอดีกับศักยภาพของตนเอง บนพื้นฐานของการพึ่งพาตนเอง รวมทั้งมีความเอื้ออาทรต่อคนอื่นๆ ในสังคมเป็นประการสำคัญ


ภาพ/ข่าว : มโนธรรม ใจหาญ  รายงาน

ปลดล็อก!! ‘นิ้วล็อก’

ในโลกยุคดิจิทัล เพียงใช้ปลายนิ้วสัมผัสก็สามารถเนรมิตทุกสิ่งได้ตามที่ต้องการ ผลที่ตามมาคือมีผู้ประสบปัญหา ‘นิ้วล็อก’ จำนวนมากขึ้นและที่สำคัญคือช่วงอายุที่เป็นน้อยลง เนื่องจากการใช้งานของนิ้วมือที่เปลี่ยนไป จากที่เคยใช้นิ้วกดแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ พัฒนาเป็นการแตะเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์มือถือแทน นอกจากนี้ยังติดเล่นโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานานอีกด้วย จึงส่งผลให้ชะลอการเจริญเติบโตทางโครงสร้างของกระดูกและกล้ามเนื้อในร่างกาย วัยรุ่นหลายคนมีอาการกระดูกสันหลังคด หลังค่อม เสียบุคลิกภาพ และเมื่อถึงวัยทำงานก็อาจเกิดออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome)

‘นิ้วล็อก’ เป็นความผิดปกติของนิ้วมือที่ไม่สามารถ ‘งอ’ หรือ ‘เหยียด’ ได้อย่างปกติ ต้องใช้นิ้วมือด้านตรงข้ามมาแกะนิ้วที่ล็อกออกจนเกิดเสียงดัง ‘กึ้ก’ คล้ายเสียงไกปืนลั่น อาจเป็นนิ้วเดียวหรือหลายนิ้ว หากเป็นมาก นิ้วอาจค้างอยู่ในท่างอ(ท่าเหนี่ยวไกปืน) พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย 3 - 4 เท่า และ พบในนิ้วมือข้างที่ถนัดมากกว่า

ใครที่เสี่ยงต่อการเป็น ‘นิ้วล็อก’ !?!

  • แม่บ้านที่ชอบหิ้วถุงพลาสติกหนักๆเวลาจ่ายตลาด หรือ ทำอาหาร
  • ชอบยกของหนัก เช่น หม้อแกง กะละมังใส่น้ำจนเต็ม
  • ทำอาชีพรับจ้างซักผ้า หรือ ต้องบิดผ้า โดยมักจะเป็นนิ้วล็อกที่นิ้วชี้
  • แม่ค้าขายข้าวแกงที่ต้องใช้ตะหลิวหรือทัพพีทำกับข้าวปริมาณเยอะ ๆ
  • นักเรียน นักศึกษา ต้องจับดินสอปากกาบ่อย ๆ หรือ อาชีพนักเขียน จิตรกร
  • เล่นเกม หรือ พิมพ์งานด้วยคอมพิวเตอร์
  • นักกีฬาประเภทที่ต้องออกแรงกำมือมากกว่าปกติ เช่น กอล์ฟ เทนนิส ปิงปอง หรือ แบดมินตัน
  • ทำอาชีพที่ต้องใช้มือทำงานหนัก ๆ ซ้ำ ๆ เช่น ช่างที่ต้องใช้ไขควง ใช้เครื่องเจาะถนน คนส่งน้ำ คนส่งแก๊ส คนสวนที่ต้องใช้กรรไกรตัดกิ่งไม้, ใช้จอบเสียมขุดดิน
  • ทำอาชีพขายเนื้อสัตว์ จะมีการใช้มือซ้ำๆในการสับเนื้อสัตว์
  • ทันตแพทย์
  • ช่างงานฝีมือเย็บปักถักร้อย ช่างตัดเสื้อผ้า
  • ช่างตัดผม ช่างทำผม

ความเสี่ยงต่าง ๆ ล้วนเกิดจากการใช้งานนิ้วมือซ้ำ ๆ ทำให้เอ็นในนิ้วมือเสียดสีกับอุโมงค์หุ้มเอ็นในขณะใช้งานครั้งแล้วครั้งเล่า เกิดการบาดเจ็บหรืออักเสบซ้ำ ๆ เอ็นในนิ้วมือหรืออุโมงค์หุ้มเอ็นมีการปรับตัวหนาขึ้นจนเกิดเป็นพังผืด เป็นเหตุให้เอ็นในนิ้วมือสูญเสียความยืดหยุ่น ประกอบกับเมื่อช่องอุโมงค์หุ้มเอ็นหนาตัวแคบเข้า ส่งผลให้เอ็นในนิ้วมือลอดผ่านอุโมงค์ได้ยากเรียกว่า “นิ้วล็อก”

อาการของ ‘นิ้วล็อก’ 4 ระยะ

ระยะแรก มีการปวดบริเวณโคนนิ้วมือ เมื่อกดแล้วเจ็บปวดมากขึ้น แต่ยังไม่มีอาการติดสะดุด ส่วนใหญ่ปวดมากหลังตื่นนอนตอนเช้าหรืออากาศเย็น

ระยะที่ 2 เริ่มมีอาการสะดุดของนิ้วเวลางอหรือเหยียดนิ้วมือ เวลากำมือหรือแบมือจะรู้สึกตึงๆ เหยียดนิ้วได้ไม่คล่อง อาจได้ยินเสียงดัง ‘กึ้ก’ คล้ายเสียงไกปืนลั่น เกิดจากเอ็นที่เคลื่อนผ่านอุโมงค์หุ้มเอ็น โดยมีการปวดรุนแรงมากขึ้นเมื่อทำงานหนัก

ระยะที่ 3 เกิดอาการ “นิ้วล็อก” พร้อมกับการเจ็บปวด บวม ชา ไม่สามารถเหยียดนิ้วมือออกเองได้ ต้องเอามืออีกข้างมาช่วยเหยียด นิ้วมืออาจค้างอยู่ในท่างอ(ท่าเหนี่ยวไกปืน) หรืออาจติดล็อกในท่าเหยียดนิ้วมือจนไม่สามารถงอนิ้วลงได้เอง

ระยะที่ 4 มีการอักเสบบวมและเจ็บปวดมาก นิ้วมือบวมและติดอยู่ในท่างอไม่สามารถเหยียดออกได้ ถ้าใช้มืออีกข้างช่วยเหยียดจะปวดมาก สร้างความเจ็บปวดและความยากลำบากในการใช้งานมือ

การรักษา “นิ้วล็อก”

ในระยะแรกที่เริ่มปวด ควรพักการใช้งานมือจนอาการปวดทุเลาลง อาจใช้เวลาหลายวัน ในช่วงนี้อาจประคบด้วยความเย็น 15 นาทีใน 1 - 2 วันแรก หลังจากนั้นแช่น้ำอุ่น 15 นาทีในวันถัดมา ทำวันละ 3 - 4 ครั้ง อาจร่วมกับการกินยาต้านการอักเสบหรือวิตามินบีด้วย

ระยะที่ 2 ถ้ามีอาการปวดมากจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันสามารถกินยาระงับปวดได้ ร่วมกับการทำกายภาพบำบัดเพื่อลดการปวดและภาวะตึงของเอ็นนิ้วมือ

ระยะที่ 3 แพทย์อาจพิจารณาฉีดยาสเตียรอยด์ที่อุโมงค์หุ้มเอ็น ซึ่งเป็นการรักษาแบบชั่วคราว ช่วยลดการอักเสบได้ดี อาการจะดีขึ้นใน 2 - 3 วันหลังจากฉีดยา แต่ไม่ควรฉีดมากกว่า 3 ครั้งต่อปี

ระยะที่ 4 การผ่าตัดเพื่อเปิดอุโมงค์หุ้มเอ็นให้กว้างขึ้นให้เอ็นนิ้วมือเคลื่อนผ่านได้สะดวก

อย่างไรก็ตาม ‘นิ้วล็อก’ อาจเกิดซ้ำได้อีก โดยการดูแลเพื่อป้องกันหรือชะลอการเกิด ‘นิ้วล็อก’ มีดังนี้

1.) พักการใช้งานมือ เมื่อต้องใช้มือทำงานหนักเป็นเวลานาน

2.) หมั่นเคลื่อนไหวข้อมือและข้อนิ้วมือทุกข้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดและป้องกันไม่ให้เกิดการคั่งค้างของของเสียบริเวณข้อต่อ

3.) ออกกำลังกายยืดเหยียดกล้ามเนื้อแขน, ข้อมือและนิ้วมือ ช่วยให้กล้ามเนื้อและเอ็นต่าง ๆ มีความยืดหยุ่นและผ่อนคลายดังนี้

ยกแขนระดับไหล่ ใช้มือข้างหนึ่งดันให้ข้อมืออีกข้างหนึ่งกระดกขึ้น - ลง

ปลายนิ้วเหยียดตรงค้างไว้ 10 วินาที ทำ 10 ครั้งต่อชุด ทำ 3 ชุดต่อวัน

  

ฝึกกำ - แบมือ เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อนิ้วมือและเพิ่มกำลังของกล้ามเนื้อภายในมือ

หรืออาจบีบลูกบอลในฝ่ามือก็ได้

สามารถเพิ่มกำลังกล้ามเนื้องอ-เหยียดนิ้วมือโดยการใช้หนังยางเป็นแรงต้าน

เหยียดนิ้วมืออ้าออกพร้อมออกแรงต้านกับยางยืดค้างไว้ 10 วินาที ทำ 10 ครั้งต่อชุด ทำ 3 ชุดต่อวัน

4.) นวดและดูแลมือให้สะอาดอยู่เสมอ เมื่อพบอาการติดขัดหรือเคลื่อนไหวลำบากของนิ้วมือ โดยเฉพาะช่วงหลังตื่นนอน สามารถใช้นิ้วมืออีกข้างนวดและช่วยยืดเหยียดนิ้ว

วางนิ้วโป้งขวาไว้ที่โคนนิ้วโป้งซ้าย จากนั้นเคลื่อนนิ้วโป้งขวากดนวดจากโคนนิ้วจนสุดข้อมือ

ทำเช่นนี้ทีละนิ้วจนครบทุกนิ้ว สลับมืออีกข้างในลักษณะเดียวกัน

ใช้นิ้วโป้งขวานวดคลึงกล้ามเนื้อฝ่ามือซ้ายในลักษณะวงกลมเล็ก ๆ ซ้อนกัน

เริ่มจากทางด้านนิ้วก้อยไปหานิ้วโป้ง

ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ประกบเข้ากับนิ้วที่ต้องการนวด ออกแรงนวดจากปลายนิ้วไปยังโคนนิ้ว ทั้งด้านหน้า ด้านหลังและด้านข้างของทุกนิ้ว

ใช้นิ้วโป้งและนิ้วชี้ประกบเข้ากับด้านข้างของนิ้วที่ต้องการนวด

ออกแรงดึงจากโคนนิ้วไปยังปลายนิ้ว

ทำเช่นนี้ทีละนิ้วจนครบทุกนิ้ว สลับมืออีกข้างในลักษณะเดียวกัน

5.) เมื่อต้องทำงานลักษณะกำมือหรือจับสิ่งของแน่นๆ เช่น จับตะหลิว หิ้วของ จับปากกา ควรดัดแปลงอุปกรณ์ที่ใช้ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นและเหมาะสม เพื่อช่วยกระจายน้ำหนัก หรือ หาอุปกรณ์ที่ช่วยผ่อนแรง เช่น ใช้เสียมด้ามใหญ่ทำให้ไม่ต้องกำมือแน่นเกินไป หรือ ใช้ผ้าจับช่วยหมุนเปิดขวด เป็นต้น

6.) ระมัดระวังการใช้งานมือและไม่ใช้มือทำงานผิดประเภท เช่น ขุดดิน ปอกเปลือกมะพร้าว เป็นต้น และถ้ามีการบาดเจ็บให้รีบรักษาทันที


เอกสารอ้างอิง

รศ.นวลอนงค์ ชัยปิยะพร. (2556). นิ้วล็อก. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน.

นพ.วิชัย วิจิตรพรกุล. (2548). นิ้วล็อก. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์ดอกหญ้ากรุ๊ป.

กนกอร บุญพิทักษ์. (2555). นิ้วล็อกกับโรคของกระดูกและเอ็น. พิมพ์ครั้งที่ 1. กรุงเทพฯ:  สำนักพิมพ์ feel good.

ฤา…‘พม่า’ จะประวัติศาสตร์ ซ้ำรอย!

วันที่ผมเขียนบทความนี้ ผมได้เห็นประกาศของคณะกรรมการผู้แทนสมัชชาแห่งสหภาพเมียนมา ได้ออกประกาศว่า ประชาชนมีสิทธิ์ในการปกป้องตนเองจากเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นจากการปราบปรามของคณะรัฐประหาร ซึ่งในความคิดของงผมมองว่า ‘นี่มันไม่ใช่แล้ว’ เพราะการประกาศแบบนี้เสมือนการสั่งให้ประชาชนไปตาย

ผมไม่เห็นประโยชน์อันใดจากคนที่ตายไปแล้ว ยกเว้นคนที่ต้องการหาประโยชน์จากจำนวนศพที่มากขึ้น ผมถามเพื่อนพม่าของผมว่า คนพม่าจะได้ประชาธิปไตยได้อย่างไร ถ้าไม่มีชีวิตเข้าคูหาไปเลือกตั้ง เพราะโลกมันไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เมียนมาไม่ใช่ประเทศพม่าในอดีต

เมื่อพูดถึงหัวใจที่ไม่ยอมแพ้ถามว่าดีไหม ผมบอกได้เลยว่าการไม่ยอมแพ้นั้นเป็นสิ่งที่ดีและอาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้อยุธยาต้องเสียกรุงถึงสองครั้งก็เป็นได้ แต่เมื่อเวลาผ่านไปการที่สู้อย่างไม่ยอมแพ้อาจจะไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก หากย้อนไปถึงสมัยราชวงศ์คองบองครั้งเมื่อสงครามพม่า - อังกฤษครั้งที่หนึ่ง การที่พม่ายกทัพไปปราบกบฏยะไข่ หากหากพม่าไม่ได้ยกทัพเข้าไปถึงอัสสัมหรือจิตตะกอง นั่นก็ไม่สามารถทำให้อังกฤษอ้างเหตุผลในการรบกับพม่า และหากในช่วงเวลารบนั้น นายพลมหาพันธุละ เลือกที่จะยอมจำนนเมื่อรู้ว่าตนเพลี่ยงพล้ำ ท่านก็อาจจะไม่จำเป็นต้องเสียชีวิตในสนามรบ และย่างกุ้ง, พะโค จนไปถึงเมืองแปร ก็อาจจะไม่ต้องตกไปเป็นของอังกฤษทั้งหมดก็เป็นได้

เช่นเดียวกันกับในช่วงสงครามพม่า-อังกฤษครั้งที่ 3 หากฝั่งพม่าเลือกดำเนินนโยบายอย่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกับทางบริษัท บอมเบย์ เบอร์มาร์ เทรดดิ้ง คอมปะนี แม้จะเสียบ้าง แต่หัวใจยังอยู่ นั่นก็อาจจะทำให้แผนการเข้ายึดพระราชวังมัณฑะเลย์ไม่เกิดขึ้นก็เป็นได้

กรณียอมหักไม่ยอมงอของพม่า จะเรียกได้ว่าเป็นนิสัยหรือสิ่งที่เป็นอัตลักษณ์ของคนพม่าที่ภาคภูมิใจในศักดิ์ศรีแต่ในขณะเดียวกันหากเราต้องสู้กับศัตรูที่มีพลังทำลายล้างเหนือเรามาก การยอมหักไม่ยอมงอ มันคือกำแพงที่สูงจนนำพาความล่มสลายมายังชีวิตผู้คนและอาณาจักร หากไม่เหลือแม้กระทั่งชีวิตจะใช้วิธีใดไปทวงคืนเอกราชที่ต้องการกันเล่า

หากย้อนมองดูประเทศไทยในยุคที่ยังเป็นสยามประเทศ ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น ในช่วง รศ. 112 ไทยเองก็ประสบชะตากรรมไม่ต่างกับพระเจ้าธีบอ นั่นคือการถูกรุกรานโดยศัตรูที่มีแสงยานุภาพเกินต้านทาน แต่แทนที่ท่านจะเลือกที่จะสู้จนตัวตายสิ้นเอกราช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านทรงกลับเลือกเส้นทางที่รักษาหัวใจแห่งแผ่นดินไทย โดยการเฉือนตัดแผ่นดินให้แก่เหล่าประเทศผู้ล่าอาณานิคมไป ดังปรากฏข้อความในพระราชปรารภที่ว่า “—การเสียเขตแดนแต่เพียงเล็กน้อยตามชายพระราชอาณาจักร ซึ่งเราเองก็ทำนุบำรุงรักษาให้เจริญเต็มที่ไม่ได้นั้น ก็เปรียบเหมือนกับเสียปลายนิ้วของเราไป ยังไกลอยู่รักษาหัวใจกับตัวไว้ให้ดีก็แล้วกัน—”

ในวันนี้ผมก็หวังว่าชาวพม่าที่ต้องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในประเทศเมียนมานั้น ขอให้ใช้สติตรึกตรองให้ถี่ถ้วน ว่าเรากำลังไปสู้เพื่อผลประโยชน์ของใครหรือเปล่า..?

ทำไมต้องนำชีวิตไปทิ้งในขณะที่คนปลุกระดมไม่เคยออกมานำทัพเองปล่อยให้พวกคุณนำทัพไปตายกันเอง กลับกันหากวันนี้คนพม่าจะถอยสักหนึ่งก้าว อาจจะไม่ใช่การยอมศิโรราบให้แก่ระบบเผด็จการ แต่เป็นการเปิดทางไปสู่หนทางประชาธิปไตยตามที่คณะรัฐประหารได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 1 ปี

ดอกแบบเบี้ยใหม่ ได้ใจลูกหนี้เต็ม ๆ

เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา หลายท่านอาจจะเห็นข่าวหนึ่งที่น่าสนใจ คือ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) ซึ่งเป็นการแก้ไขปรับปรุงเรื่องดอกเบี้ยในรอบเกือบ ๆ 100 ปีนับแต่ที่ ป.พ.พ. เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2468

โดยสาระสำคัญของการแก้ไขดังกล่าว คือ การปรับลดดอกเบี้ยในกรณีที่คู่สัญญาไม่ได้ตกลงกันไว้จากร้อยละ 7.5 ต่อปี เหลือเพียงร้อยละ 3 ต่อปี และปรับลดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดจากร้อยละ 7.5 ต่อปี เหลือเพียงร้อยละ 5 ต่อปี รวมทั้งเปลี่ยนวิธีการคิดดอกเบี้ยผิดนัดให้คิดบนฐานของเงินต้นที่ผิดนัดจริง ไม่รวมส่วนของเงินต้นหรือค่างวดในอนาคตที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระ

แต่ลูกหนี้ทั้งหลายอย่าพึ่งดีใจไปนะครับ เพราะ กฎหมายดังกล่าวยังไม่มีผลใช้บังคับในตอนนี้ เพราะหลังจากที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบหลักการแก้ไขร่างกฎหมายดังกล่าวแล้ว ขั้นตอนต่อไป คือ การนำร่างกฎหมายนั้นเข้าไปสู่กระบวนการพิจารณาของดังกล่าวยังต้องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรอีก 3 วาระ แล้วหลังจากนั้นถึงจะมีผลเป็นกฎหมายออกมาให้เราได้ใช้กัน ซึ่งน่าจะต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติม ป.พ.พ. จะยังไม่มีผลใช้บังคับ แต่เมื่อปีที่แล้ว (2563) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็ได้ออกประกาศ เรื่อง การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้และการตัดชำระหนี้ ออกมาโดยลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาตั้งแต่วันที่ 28 ตุลาคม 2563 แล้ว

แปลว่า การกู้ยืมเงินกับธนาคารหรือสถาบันการเงินใด ๆ ที่อยู่ภายใต้การกำกับของ ธปท. จะต้องปฏิบัติตามประกาศดังกล่าวแล้ว ไม่ต้องรอให้สภาผู้แทนมีมติแก้ไข ป.พ.พ. แต่อย่างใด

สาระสำคัญของประกาศ ธปท. นั้นจะคล้ายกับร่างแก้ไขเพิ่มเติม ป.พ.พ. นั่นแหละครับ คือ มีการปรับปรุงแก้ไขวิธีการคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ใหม่ให้สอดคล้องกับยุคสมัยปัจจุบัน รวมถึงกำหนดลำดับการตัดชำระหนี้ให้มีความเป็นธรรมกับลูกหนี้มากยิ่งขึ้น ซึ่งประกาศของ ธปท. ดังกล่าวจะมีแนวปฏิบัติที่สำคัญ 3 เรื่อง ดังนี้ครับ

หนึ่ง การคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ (เริ่มมีผลบังคับใช้ 1 เม.ย. 64) ธนาคารหรือสถาบันการเงินจะ “ต้องคิดบนฐานของเงินต้นที่ผิดนัดจริง” ห้ามนำเงินต้นที่คงค้างทั้งหมด หรือเงินค่างวดที่ยังไม่ถึงกำหนดชำระเข้ามารวมเพื่อคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ดังกล่าว

มาลองดูตัวอย่างกันครับ สมมุติว่านายสมชายกู้เงินซื้อบ้าน 5 ล้านบาท กำหนดผ่อนชำระ 20 ปี คิดดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 8 ต่อปี ตกลงค่างวดไว้ 42,000 บาทต่อเดือน ปัจจุบันนายสมชายผ่อนชำระไปแล้ว 24 งวด งวดที่ 25 เกิดผิดนัด และมาชำระล่าช้าไป 1 เดือน ทั้งนี้ ในสัญญาได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดไว้ร้อยละ 10 ต่อปี นายสมชายจะต้องชำระหนี้ดอกเบี้ยผิดนัด ดังนี้

ภาพจาก bot.or.th

แบบเดิม แม้นายสมชายผิดนัดชำระหนี้งวดใดงวดหนึ่ง แต่ธนาคารจะถือว่านายสมชายผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาทั้งหมด การคิดดอกเบี้ยผิดนัดนั้น ธนาคารจะนำเงินต้นคงค้างทั้งหมดมาคิดดอกเบี้ยจากนายสมชาย เช่นกรณีนี้ นายสมชายยังเหลือหนี้เงินต้นอีก 4.77 ล้านบาท นายสมชายจะต้องจ่ายดอกเบี้ยผิดนัดร้อยละ 10 ต่อปี จากยอดเงินต้น 4.77 ล้านบาท

ดังนั้น นายสมชายจะต้องชำระเงินดอกเบี้ยผิดนัด 1 เดือน เป็นจำนวนเงินทั้งสิ้น

                                     4,770,000 x 2% x 30/365 = 7,841.10 บาท

และเมื่อรวมกับดอกเบี้ยค้างชำระในงวดที่ 25 นายสมชายจะต้องชำระดอกเบี้ยรวม 32,000 + 7,841.10 = 39,841.10 บาท

แบบใหม่ ตามประกาศของ ธปท. ที่แก้ไขใหม่ ธนาคารจะไม่สามารถนำเงินต้นคงค้าง 4.77 ล้านบาทมาคิดดอกเบี้ยผิดนัดได้ ธนาคารจะต้องพิจารณาก่อนว่าในงวดที่ 25 ที่นายสมชายผิดนัดชำระหนี้นั้น งวดดังกล่าวมีเงินต้นที่นายสมชายจะต้องชำระอยู่เท่าไหร่ แล้วหลังจากนั้นธนาคารค่อยเงินต้นในงวดดังกล่าวมาคิดดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้

จากตัวอย่าง งวดที่ 25 ที่นายสมชายผิดนัดชำระหนี้นั้น ความจริงแล้วมีเงินต้นที่ค้างชำระเพียง 10,000 บาท แปลว่าธนาคารจะคิดดอกเบี้ยผิดนัดกับนายสมชายได้เพียง

                                           10,000 x 2% x 30/365 = 16.44 บาท

และเมื่อรวมกับดอกเบี้ยค้างชำระในงวดที่ 25 นายสมชายจะต้องชำระดอกเบี้ยรวม 32,000 + 16.44 = 32,016.44 บาท แปลว่าตามประกาศใหม่ของ ธปท. นายสมชายจะสามารถประหยัดดอกเบี้ยผิดนัดลงได้เกือบ ๆ 8 พันบาทเลยทีเดียว

สอง ปรับลดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ (เริ่มมีผลบังคับใช้ 1 ก.ค. 64) ธนาคารหรือสถาบันการเงินจะกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้ได้แค่ “อัตราดอกเบี้ยตามสัญญาบวกไม่เกิน 3%” เท่านั้น ไม่สามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยสูงสุดได้เองอีกต่อไป

สมมุติว่านายสมชายกู้เงินธนาคาร 1 แสนบาท โดยตกลงดอกเบี้ยเงินกู้ไว้ร้อยละ 8 ต่อปี หากนายสมชายผิดนัดชำระหนี้

ภาพจาก bot.or.th

แบบเดิม ธนาคารสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยผิดชำระหนี้เท่าไหร่ก็ได้ แต่ต้องไม่เกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด เช่น ธนาคารอาจกำหนดไว้ที่อัตราร้อยละ 15 ต่อปี ก็ได้

แบบใหม่ ตามประกาศของ ธปท. ที่แก้ไขใหม่ ธนาคารจะคิดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดได้ไม่เกินอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาบวก 3% ดังนั้นในกรณีตามตัวอย่างที่ธนาคารคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นายสมชายไว้ร้อยละ 8 ต่อปี ธนาคารจะคิดอัตราดอกเบี้ยผิดนัดจากนายสมชายได้สูงสุดเพียงร้อยละ 8 + 3 = 11 ต่อปีเท่านั้น

สาม กำหนดลำดับการตัดชำระหนี้ (เริ่มมีผลบังคับใช้ 1 ก.ค. 64) ธนาคารหรือสถาบันการเงินจะ “ต้องตัดชำระค่างวดที่ค้างขำระนานที่สุดเป็นลำดับแรก” ไม่ใช่นำเงินที่ชำระเข้ามาไปตัดค่าธรรมเนียม ตามด้วยดอกเบี้ยก่อน แล้วค่อยนำส่วนที่เหลือไปตัดเงินต้นแบบในอดีต

ตัวอย่างเช่น นายสมชายขอสินเชื่อส่วนบุคคลจากธนาคาร และตกลงกันชำระเงินค่างวดกัน 10,300 บาทต่อเดือน โดยค่างวด 10,300 บาทนั้น ความจริงแล้วเป็นการชำระคืนเงินต้น 6,000 บาท ดอกเบี้ย 4,000 บาท และค่าธรรมเนียม 300 บาท หากนายสมชายค้างชำระ 3 งวด แล้วนำเงินมาชำระ 10,300 บาท

ภาพจาก bot.or.th

แบบเดิม ธนาคารจะนำเงิน 10,300 บาทนั้นไปชำระค่าธรรมเนียมที่ค้าง 3 งวดก่อน จากนั้นนำเงินส่วนที่เหลือไปชำระดอกเบี้ย และถ้ามีเหลือถึงจะไปชำระคืนเงินต้น

                             เงินที่นายสมชายชำระเข้ามา                   10,300 บาท

                             ชำระค่าธรรมเนียม 3 งวด                     10,300 – (300 x 3)   =   9,400 บาท

                             ชำระดอกเบี้ยที่ค้าง 3 งวด                     9,400 – (4,000 x 3)  = - 2,600 บาท

แปลว่าเงิน 10,300 บาทนั้นจะชำระได้เพียงค่าธรรม 900 บาท และดอกเบี้ย 9,400 บาทเท่านั้น นายสมชายยังคงค้างดอกเบี้ยอีก 2,600 บาท และที่สำคัญ คือ เงินที่นายสมชายชำระเข้ามาดังกล่าว ไม่ได้ไปชำระคืนเงินต้นเลยแม้แต่บาทเดียว

แบบใหม่ ธนาคารจะต้องนำเงิน 10,300 บาท นั้นไปชำระค่างวดที่ค้างชำระเก่าที่สุดก่อน ซึ่งค่างวดนั้นจะหมายความรวมถึงค่าธรรมเนียม ดอกเบี้ย และเงินต้น

แปลว่าตามประกาศ ธปท. ฉบับใหม่ เงิน 10,300 บาทที่นายสมชายจ่ายเข้ามานั้นจะไปชำระค่าธรรมเนียม 300 บาท ดอกเบี้ย 4,000 บาท และเงินต้น 6,000 บาท ของงวดเก่าสุดที่ค้างอยู่ ซึ่งจะต่างจากแบบเดิมที่เงิน 10,300 บาท ของนายสมชายจะไม่ถูกนำไปชำระคืนเงินต้นเลย

จะเห็นได้ว่าประกาศของ ธปท. ฉบับใหม่นี้ช่วยให้ลูกหนี้มีโอกาสชำระหนี้คืนได้มากขึ้น ไม่เจอสภาวะหนี้สินแบบดินพอกหางหมู ที่ชำระเข้าไปเท่าไหร่ เงินนั้นก็ถูกนำไปชำระแต่ค่าธรรมเนียมหรือดอกเบี้ย โดยเงินต้นไม่ลดลงเลย ทำให้ไม่รู้ว่าจะสามารถชำระหนี้คืนทั้งหมดได้เมื่อไหร่ และสุดท้ายก็อาจถูกฟ้องบังคับยึดทรัพย์สิน หรือต้องกลายเป็นบุคคลล้มละลายไป

สุดท้ายนี้ ผมก็ต้องขอฝากท่านผู้อ่านเอาไว้ว่า แม้กฎหมายจะออกมาช่วยเหลือลูกหนี้ให้ได้รับความเป็นธรรมมากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือ เราจะต้องไม่ก่อหนี้เกินตัว และเมื่อมีหนี้แล้วเราก็ต้องมีวินัยในการชำระหนี้คืนด้วย เพราะปัญหาหนี้สินนั้นเป็นปัญหาใหญ่ของคนจำนวนมากจริง ๆ

ศึกษาประกาศ ธปท. เพิ่มเติมได้ที่ https://www.bot.or.th/Thai/FIPCS/Documents/FPG/2563/ThaiPDF/25630272.pdf

‘ดร.นิว’ ซัด ‘ปิยบุตร’ เสนอ ‘ความรุนแรง’ หวังเลียนแบบสงครามกลางเมืองฝรั่งเศส เชื่อน่าจะเป็นแกนนำตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังม็อบ ยุยงปลุกปั่นอยู่หลังม่านโซเชียลมีเดียอย่างอำมหิต

ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ "ดร.นิว" นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Suphanat Aphinyan ว่า

ความเคลื่อนไหวล่าสุดหลังวาระ 3 ปิยบุตรเสนอ "สงครามกลางเมืองในฝรั่งเศส" ครั้งการปฏิวัติคอมมูนปารีส เผยเหตุผลว่าทำไมที่ผ่านมาปิยบุตรถึงชี้นำการรื้อถอนสถาบันการเมืองเดิมทิ้ง มุ่งหวังที่จะสร้างสถานการณ์เลียนแบบ

เป็นอย่างที่คาดไว้มาโดยตลอดว่าปิยบุตร แสงกนกกุล น่าจะเป็นแกนนำตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังม็อบ ยุยงปลุกปั่นอยู่หลังม่านโซเชียลมีเดียอย่างอำมหิต

เพราะปิยบุตรจมปลักดักดานอยู่กับคอมมูนปารีสและความรุนแรงในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศสอย่างโงหัวไม่ขึ้น เป็นที่มาของ RT ค้อนเคี้ยวคอมมิวนิสต์ ตลอดจน REDEM ประชาชนนารวม ที่กำลังเคลื่อนไหวไปสู่ความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน

กิโยติน #ม็อบ20มีนา แห่งความป่าเถื่อนของ #REDEM กับการเสนอสงครามกลางเมืองของปิยบุตรในระยะเวลาอันใกล้เคียงกัน คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

ประชาชนชาวไทยจะอดทนกับปิยบุตรที่คอยยุยงปลุกปั่นสร้างความแตกแยกไปสู่ความรุนแรงได้อีกนานแค่ไหน?

#ปิยบุตรนารวม #ปิยบุตรคอมมูนปารีส

ดร.ศุภณัฐ

18 มีนาคม พ.ศ. 2564

#ประชาธิปไตยTheseries by ดร.ศุภณัฐ


ที่มา : https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3990143471048261&id=100001579425464

WHO ออกแถลงการณ์ แนะนำประเทศต่าง ๆ ใช้วัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ฉีดให้ประชาชนต่อไป ชี้ประโยชน์ที่ได้รับ มีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

องค์การอนามัยโลก (WHO) ออกแถลงการณ์ในวันนี้ (17 มี.ค.) ระบุว่า ประเทศต่างๆควรใช้วัคซีนโควิด-19 ของบริษัทแอสตร้าเซนเนก้าต่อไป ในระหว่างที่คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญของ WHO ยังคงทำการพิจารณาทบทวนความปลอดภัยของวัคซีนดังกล่าว หลังมีรายงานการเกิดภาวะลิ่มเลือดอุดตันในผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนบางราย

“การฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ไม่ได้ช่วยลดอาการป่วยหรือเสียชีวิตจากโรคอื่น โดยอาการลิ่มเลือดอุดตันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้บ่อย และอาการลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำนับเป็นโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดหัวใจที่พบเห็นมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ทั่วโลก”

WHO ระบุว่า แม้เป็นเรื่องปกติที่ประเทศต่าง ๆ จะทำการแจ้งเกี่ยวกับผลข้างเคียงที่เกิดจากการฉีดวัคซีน แต่สิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่ามีความเชื่อมโยงโดยตรงกับการฉีดวัคซีน อย่างไรก็ดี ถือเป็นเรื่องดีที่จะมีการสืบค้นในเรื่องนี้ และสิ่งนี้แสดงว่าระบบการเฝ้าระวังยังคงใช้การได้ ขณะที่ระบบการควบคุมยังคงมีประสิทธิภาพ

WHO แถลงว่า จะทำการเปิดเผยผลการสืบค้นต่อสาธารณะโดยเร็วที่สุด ทันทีที่คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญของ WHO เสร็จสิ้นการพิจารณาทบทวนความปลอดภัยของวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งขณะนี้ WHO มองว่าประโยชน์ที่ได้รับจากการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า มีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น และ WHO ขอแนะนำให้ประเทศต่าง ๆ ยังคงใช้วัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าต่อไป

ขณะนี้ หลายประเทศในยุโรปต่างพากันระงับการฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้า หลังมีรายงานว่ามีผู้เสียชีวิตจากอาการแข็งตัวของเลือดที่ผิดปกติ และบางรายมีอาการลิ่มเลือดอุดตันในปอดหลังได้รับวัคซีน

Soft Power ไทย ... อะไรดี ???

ผู้เขียนได้มีโอกาสร่วมวงสนทนาเกี่ยวกับเรื่อง “Soft Power ไทยในอุตสาหกรรมสื่อ” โดยมุมมองของนิสิต เอกการสื่อสารเพื่อการท่องเที่ยว วิทยาลัยนวัตกรรมสื่อสารสังคม มศว ที่จัดงานเสวนาครั้งนี้ขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมา โดยหากจะพูดถึงที่มาของคำว่า Soft Power จากแนวคิดของ Joseph Nye ต้นตำรับแนวคิดเรื่อง Soft Power คำที่เราใช้ทับศัพท์กันจนติดปาก และเหมือนจะเข้าใจกลาย ๆ กันไปแล้วว่าหมายถึงอะไร เมื่อแปลเป็นภาษาไทยแล้วแอบจั๊กจี้หูอยู่เหมือนกัน กับความหมายว่า “อำนาจละมุน” หรือ “อำนาจอ่อน” โดยใช้หลักการโน้มน้าวใจเพื่อสร้างอิทธิพลในการควบคุมผู้อื่นด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่การบังคับ ซึ่งถ้าจะพูดถึงอำนาจอ่อน

ตัวอย่างที่เกิดขึ้นเองกับผู้เขียนในช่วงที่ต้องกักตัวอยู่บ้านเมื่อปีที่แล้ว คือ มีโอกาสได้ดูซีรีส์ของเกาหลีเรื่อง Itaewon class จบในแต่ละตอน อยากจะลุกไปหาโซจูมาดื่มพร้อมกับสวมวิญญาณเป็นเถ้าแก่พัคแซรอย ลุกขึ้นไปทำเมนูซุปกิมจิเต้าหู้อ่อน และเชื่อว่าถ้าไม่ติดสถานการณ์โควิด เกาหลีน่าจะลุกเป็นไฟเพราะคนไทยน่าจะไปเดินกันอยู่ในย่าน Itaewon ที่เกาหลีใต้เพราะซีรีส์เรื่องนี้ รวมถึงผู้เขียนด้วย นี่น่าจะเป็น Soft Power จากซีรีส์ที่ผู้เขียน โดนตกไปเต็ม ๆ แบบถอนตัวไม่ขึ้นในช่วงนั้น จนต้องบอกตัวเองว่า หยุด ... เราต้องหยุดการดูซีรีส์เกาหลีไว้ก่อน ไม่อย่างนั้น ได้นอนเกือบเช้าทุกวันแน่ ๆ ซึ่งตัวอย่างของผู้เขียนที่หยิบยกมา เชื่อว่าอาจจะเกิดขึ้นกับผู้อ่านหลาย ๆ คน เมื่อได้ดูละคร ซีรีส์ หรือภาพยนตร์สักเรื่องแล้วรู้สึกอิน อินจนอยากจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างหลังซีรีส์หรือละครจบ ... ใช่เลย เรากำลังโดนพลังของ Soft Power กันไปเต็ม ๆ

หากจะพูดถึงอุตสาหกรรมบันเทิงที่ประสบความสำเร็จด้วยการผลักดัน Soft Power ตัวอย่างที่เรายกมาพูดอย่างเห็นได้ชัดและจับต้องได้อย่างต่อเนื่องมาหลายปี ก็ต้องยกให้ Soft Power จากแดนกิมจิ เพราะนอกจากซีรีส์ที่โด่งดัง สร้างรายได้ และต่อยอดเศรษฐกิจให้กับประเทศเกาหลีใต้ รวมถึงกระแสดนตรี K-pop ที่มีวงบอยแบนด์ เกิร์ลกรุ๊ป อย่าง BTS และ BLACKPINK ที่โด่งดังและสร้างอิทธิพลให้แฟนเพลงได้ทั่วโลก จนเกิดเป็นกรณีศึกษามากมายถึงความสำเร็จของทั้ง 2 วง

หากกลับมามองถึง Soft Power ผลงานในเชิงวัฒนธรรม และอุตสาหกรรมบันเทิงของไทยเรา มีความน่าสนใจอยู่หลาย ๆ ประเด็น เพราะจากการจัดอันดับของนิตยสาร CEOWORLD นิตยสารด้านธุรกิจของอเมริกา ที่จัดให้ไทยอยู่ในอันดับ 5 ด้านมรดกวัฒนธรรมประจำปี 2021 จาก 165 ประเทศทั่วโลก วิเคราะห์และเปรียบเทียบข้อมูล 9 ด้าน ได้แก่ สถาปัตยกรรม มรดกงานศิลป์ แฟชั่น อาหาร ดนตรี วรรณกรรม ประวัติศาสตร์ สถานที่ท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม และการเข้าถึงทางวัฒนธรรม ซึ่งทั้งหมด คือจุดเด่นของประเทศไทยเราที่สามารถขายได้ และเราก็พยายามมาตลอดในการผลักดันให้วัฒนธรรมไทยถูกขับเคลื่อนไปสู่อุตสาหกรรมโลก แต่ดูเหมือนว่าจะยังไปในมิติของผลงานที่เกิดจากภาคเอกชนเป็นผู้ผลิต

สิ่งหนึ่งในวงสนทนาที่ได้พูดคุยกันกับแขกรับเชิญในวันนั้น จากการถอดบทเรียนตัวอย่างผลงานที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทยที่สามารถส่งออกอุตสาหกรรมต่างประเทศไทยได้ เช่น ภาพยนตร์เรื่องฉลาดเกมส์โกง ที่ประสบความสำเร็จจากรายได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ นำมาทำเป็นซีรีส์ทางโทรทัศน์ในประเทศไทย และการถูกนำไปรีเมคฉบับฮอลลีวูด ซึ่งคุณภานุ อารี ผอ.ฝ่ายจัดซื้อภาพยนตร์ต่างประเทศของสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล ได้วิเคราะห์ไว้ว่า ฉลาดเกมส์โกง มีเนื้อเรื่องการมองข้ามความเป็นไทยในแบบเดิม ๆ ที่เราเคยเห็น ไปสื่อสารกับโลก คุยในเรื่องที่โลกกำลังคุยกัน เช่น การพูดถึงเรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา ปัญหาทางโครงสร้างสังคม ความแตกต่างทางฐานะของครอบครัว ซึ่งเป็นการก้าวข้ามในการนำเสนอเรื่องที่หลาย ๆ คนไม่กล้านำเสนอ พูดในภาษาที่โลกกำลังสนใจอยู่ และมีหนังไทย ละครไทยที่พยายามกำลังนำเสนอทางเลือกแบบนี้ให้พวกเราได้ดูกัน

ทางด้านครูทอม จักรกฤต โยมพยอม ได้เพิ่มเติมในประเด็นนี้ว่า เราต้องก้าวข้ามความคิด ความรู้สึกความเป็นไทยในแบบเดิม ๆ ต้องมองว่าเราคือพลเมืองโลก และเรากำลังคุยกับโลก โดยหาทางแทรกความเป็นไทยใส่เข้าไป หรือกรณีอย่างวรรณคดีไทย มันคือสื่อบันเทิง เราควรมองให้เป็นความบันเทิง อย่าพยายามทำให้เป็นของสูงที่เปลี่ยนแปลงหรือแตะต้องไม่ได้ ส่วนค่านิยม แง่คิด ความเป็นไทยที่สอดแทรกอยู่ในเรื่องก็ค่อย ๆ ให้เด็ก เยาวชน หรือคนที่อ่านได้ซึมซับเข้าไปเองทีละนิดในแบบที่เราไม่ได้ยัดเยียด โดยเก่ง ธชย ได้นำเสนออีกคำที่น่าสนใจในการทำงานเพลงที่ต้องการสอดแทรกความเป็นไทยลงไปว่ามันคือการ “ประนีประนอม” โดยการผสมผสานกับเทคโนโลยีและแฟชั่นในแบบปัจจุบันที่เสิร์ฟให้กับคนดูคนฟังและค่อย ๆ ซึมซับไปเอง จากที่คุยกันในวงเสวนา ทางผู้ผลิตเอง ก็ไม่ได้ทิ้งความเป็นไทยไปในการนำเสนอ เพียงแต่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอให้เข้ากับยุคปัจจุบัน มองว่าโลกตอนนี้พัฒนาไปทางด้านใด ประชากรโลก พลเมืองโลกกำลังสนใจในประเด็นไหน และผลิตงานที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค นี่คือสิ่งที่ผู้ผลิตสามารถทำได้อย่างเต็มที่ในฝั่งที่ตนมีส่วนร่วม

แต่การได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ น่าจะเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันสำคัญ ที่จะทำให้ Soft Power ได้รับความสำเร็จและก้าวไปสู่ระดับโลกได้ สิ่งที่สำคัญในยุคปัจจุบันที่ผู้ผลิตงานต้องการคือ ฐานข้อมูลของคนดูหรือข้อมูลของผู้รับสาร เพื่อเอามาวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคตความสนใจของผู้รับสาร เพราะโลกเคลื่อนไหวเร็วขึ้นมาก การผลิตงานในวันนี้คือการเดาทางคนดูในอีก 3 - 4 เดือน หรือ 1 ปีข้างหน้าที่งานจะออกมา ดังนั้นการทำงานในทุกวันนี้คือการเดาทางของผู้รับสารควบคู่กันไป และสิ่งสำคัญคือการสร้างระบบการพัฒนา Soft Power ไทยที่ชัดเจนในระดับมหภาคจากทางภาครัฐ และการเปิดใจรับผลงานในหลากหลายมิติมากกว่าแค่ยัดเยียดความเป็นไทยในแบบเดิม ๆ ใส่ลงไป เพราะมาถึง ณ วันนี้ เราเห็นแล้วว่าผลงานของคนไทยไม่น้อย ที่ถูกส่งออกไปต่างประเทศและประสบความสำเร็จ แต่ถ้าจะให้ Soft Power ของไทยแข็งแกร่ง ส่งออกตลาดโลกได้อย่างต่อเนื่อง อาจจะต้องอาศัยปัจจัยและแรงสนับสนุนจากภาครัฐช่วยขับเคลื่อนไปอีกทาง  เพื่อให้อำนาจละมุน เป็นหมัดฮุกที่แข็งแกร่งในการสร้างชาติและต่อยอดไปถึงการหาประโยชน์ในเชิงพานิชย์ได้อีกด้วย


ข้อมูลอ้างอิง

https://news.ch7.com/detail/468351

https://www.facebook.com/deetalk.official/videos/1138094553307685

"คำรณวิทย์" เดินหน้าสมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย พร้อมดันเด็กปทุมเป็นทีมชาติ ให้นานาชาติยอมรับ

เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2564 เวลา 15:30 น.  พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง เป็นประธานในการมอบทุนการศึกษา ที่สนามกีฬา สมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตำบลบ้านปทุม อำเภอสามโคก จังหวัดปทุมธานี

พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี เป็นประธานในการมอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนยากไร้ในโครงการ  “ มอบทุน มอบรัก มอบใจ สู้ภัยโควิด-19 ” พร้อมถุงพอเพียงให้กับนักเรียนจาก 13 โรงเรียน จำนวน 26 ทุน โดยมี พล.ต.ต.สุรพงษ์ อาริยะมงคล อุปนายกและเลขาธิการสนามกีฬาสมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย , นายสมนึก เกกีงาม เป็นประธานคณะกรรมการมูลนิธิครอบครัวพอเพียง สาขาจังหวัดปทุมธานี และ นายพงศธรรศ รุจิพุฒธันยพัต นายกสมาคมนักข่าวปทุมธานี กล่าวรายงาน โครงการมอบทุน มอบรัก มอบใจ สู้ภัยโควิด-19

ในวันนี้เกิดจาก สมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย , มูลนิธิครอบครัวพอเพียง สาขาจังหวัดปทุมธานี , พุทธสมาคมจังหวัดปทุมธานี , มูลนิธิมงคลจงกล ธูปกระจ่าง และสมาคมนักข่าวปทุมธานี ได้ตระหนักถึงผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี จึงได้ร่วมมอบทุนการศึกษาพร้อมถุงพอเพียงเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน พร้อมชมการฝึกซ้อมของเยาวชนทีมชาติไทยที่ได้ฝึกซ้อมภายในกีฬาสมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทยแห่งใหม่

ด้าน พล.ต.ต.สุรพงษ์ อาริยะมงคล อุปนายกและเลขาธิการสนามกีฬาสมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ชมรมกรีฑาเดิมตั้งอยู่หลังสนามกีฬาแห่งชาติปทุมวัน ต่อมาบริเวณนั้นเริ่มแออัดใกล้ศูนย์การค้า เห็นว่ามีผลกระทบต่อความมุ่งมั่นของนักกีฬาเรา หลังเอเชียเกมส์ปี 2541 ได้ย้ายออกมาอยู่ที่สนามกีฬามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต  โดยที่ดินบริเวณนี้ซื้อตั้งแต่ ปี 2553 จากนั้นเมื่อ 3 ปี ที่แล้วเริ่มทำลานกีฬา จากนั้นเมื่อปี 2563 ได้สร้างสนามลู่วิ่ง ที่มีมาตรฐานเทียบระดับโลก เราสามารถจัดการแข่งขันระดับนานาชาติได้  เราได้จัดชิงแชมป์ประเทศไทยได้รับถ้วยพระราชทานจากในหลวง เมื่อเดือนธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา

สำหรับในอนาคตสนามกรีฑาแห่งนี้จะเป็นที่ทำการของ สมาพันธ์กีฑาเอเชีย ที่ได้ย้ายมาจากประเทศสิงคโปร์ ปัจจุบันตั้งอยู่ภายในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เมื่อที่นี่มีอาคารพร้อมที่พักพร้อมจะได้ย้ายเข้ามาทันที ประกอบด้วย สมาพันธ์กรีฑาเอเชีย สมาพันธ์กรีฑาเซาท์อีสเอเชีย และสมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย ที่แห่งนี้จะเป็นศูนย์พัฒนาการกรีฑาของประเทศไทย และเป็นศูนย์ฝึกของนักกีฬากรีฑาทีมชาติรวมถึงนักกีฬากรีฑาจากนานาชาติที่จะมาซ้อมกับเราที่นี่ด้วย

โดย ที่ท่าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ได้มีนโยบายพัฒนาเยาวชนของจังหวัดปทุมธานี ซึ่งเราคิดว่ากีฬานั้นเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุด ที่สร้างกรอบวินัยและสุขภาพที่แข็งแรงให้เยาวชน คนใดที่มีพรสวรรค์ก็จะก้าวสู่ทีมชาติในอนาคต คนที่มีการฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอถึงจะไม่เก่งจนไปถึงระดับทีมชาติแต่ก็จะมีสุขภาพที่ดี ครั้งนี้โอกาสมาถึงแล้ว เพราะเรามีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ที่ใส่ใจเยาวชน และรักกีฬาจริง ๆ วันนี้เรานับหนึ่งเพื่อเดินไปด้วยกัน ที่จะส่งเสริมเอาลูกหลานชาวปทุมธานีออกมาเล่นกีฬาอย่างทั่วถึง และพัฒนาจะไปสู่ระดับชาติได้อย่างแน่นอน


ภาพ/ข่าว : ประภาพรรณ ขาวขำ / รายงาน

I care a lot เมื่อห่วง….แต่หวังฮุบ

spoil alert (เนื้อหาในบทความอาจมีการกล่าวถึงเนื้อหาสำคัญในหนัง I care a lot)

ได้ดูภาพยนตร์เรื่อง I care a lot ชื่อไทยว่า ห่วง… แต่หวังฮุบ เรื่องราวของมิจฉาชีพในคราบนักธุรกิจ นักธุรกิจสาวที่แสร้งว่าตนเองและธุรกิจของตนเองนั้นเป็นธุรกิจที่ห่วงใย ใส่ใจสิทธิและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ แต่ที่ไหนได้ ลับหลังคือการเอาเปรียบหลอกลวงและหวังจะฮุบเอาทรัพย์สมบัติบ้านช่องของผู้สูงอายุมาเป็นของตนเอง โดยใช้ช่องโหว่ทางกฎหมาย จากหนังเรื่องนี้ทำให้มีพูดถึงปัญหาการจัดการทรัพย์สินให้กับผู้สูงอายุ ซึ่งปัจจุบันกฎหมายในประเทศไทยยังไม่มีการรองรับ กฎหมายที่ใกล้เคียงที่สุด คือร่างพระราชบัญญัติบริหารทรัพย์สินส่วนบุคคล หรือที่เรียกว่า พ.ร.บ ทรัสต์ แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนมากนัก แต่ในบทความนี้จะไม่พูดถึงตัวกฎหมาย แต่อยากชวยคุยในประเด็นสังคมและวัฒนธรรมในการดูแลผู้สูงอายุในประเทศตะวันตก ประเทศที่ได้ชื่อว่าให้ความสำคัญกับการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนเหนือสิ่งอื่นใด แต่หนังเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นอีกมุมอันตรายจากการคุ้มครองสิทธินี้อย่างคาดไม่ถึง

หากมองสภาพสังคมในตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาเราก็จะพบว่ามีลักษณะเป็นสังคมปัจเจกนิยม สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลเปรียบเสมือนศีลสำคัญของความดำรงอยู่ในสังคม  ครอบครัวมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยว  พ่อแม่จะเลี้ยงดูลูกในช่วงวัยหนึ่งเท่านั้น เมื่อโตพอที่จะดูแลตัวเองได้ก็จะแยกบ้านเรือนออกไปใช้ชีวิตตนเอง ไม่นิยมการอยู่รวมกันเป็นครอบครัวขยายอย่างเช่นสังคมในประเทศในฝั่งตะวันออก อย่างประเทศไทยที่ลูกหลานพ่อแม่ปูยาตายายอยู่รวมกัน ทำให้ผู้สูงอายุในประเทศแถบตะวันตกมักอยู่เพียงลำพัง พอถึงจุดหนึ่งผู้สูงอายุอาจถูกมองว่าต้องอยู่ในสภาวะพึ่งพิงผู้อื่น แต่หันซ้ายหันขวาลูกหลานอยู่ไกล หรือไม่รู้อยู่ไหนกัน รัฐจึงยื่นมือเข้ามาหวังจะช่วยดูแลผู้สูงอายุ  โดยให้อำนาจแก่บริษัทฯดูแลผู้สูงอายุที่ไม่สามารถดูแลตัวเอง ได้รวมถึงให้อำนาจบริษัทฯจัดการทรัพย์สินของผู้สูงอายุด้วย  ซึ่งก็ดูเหมือนว่าน่าจะดีแต่หนังเรื่องนี้กลับสะท้อนให้เห็นว่ากฎหมายมีช่องโหว่และสังคมเองก็ไม่ได้เชื่อมั่นว่าผู้สูงอายุมีศักยภาพในการดูแลตัวเองได้อย่างที่ควรจะเป็น แต่กลับเชื่อใจบริษัทตัวแทนเหล่านี้มาก จากกฎหมายที่อยากจะปกป้องสิทธิของผู้สูงอายุ กลับกลายเป็นผู้ลิดรอนสิทธิของผู้สูงอายุเสียเอง

เรื่องราวน่าหดหู่และชวนให้คิดใคร่ครวญ คือการสะท้อนว่าแม้ผู้สูงอายุยังสามารถดูแลตนเองได้ดีและยืนยันจะดูแลตัวเองต่อไป บริษัทฯก็จัดฉากสร้างเรื่องทำให้ผู้สูงอายุที่ตกเป็นเหยื่อนั้นดูเป็นคนไร้ความสามารถ ให้หมอที่รู้กันกับบริษัทวินิจฉัยว่าผู้สูงอายุมีความจำเลอะเลือนบ้าง หรือมีจิตไม่ปกติบ้างจนไม่สามารถดูแลตนเองได้ เพื่อให้ศาลสั่งบังคับให้มีผู้ดูแล ซึ่งศาลก็มักจะเชื่อตามหลักฐานจากหมอมากกว่าจะเชื่อจากปากผู้สูงอายุ และสุดท้ายผู้สูงอายุก็เข้าไปอยู่ในบ้านพักคนชราที่สมรู้ร่วมคิดกับกับบริษัทฯไว้แล้ว แม้ลูกหลานจะพยายามช่วย หรือแม้แต่จะขอเข้าพบพ่อแม่ยังไม่สามารถทำได้เพราะบ้านพักคนชราและบริษัทฯก็ใช้ข้อกฎหมายมาเล่นแง่จนลูกๆไม่สามารถเข้าพบหรือพาพ่อแม่ออกมาได้ 

สิ่งที่ทำให้มิจฉาชีพใช้กฎหมายมาเล่นแง่กับลูกๆของผู้สูงอายุได้นั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความที่ลูกๆก็ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดหรือใส่ใจดูแลพ่อแม่มาก่อนหน้านี้ทำให้บริษัทฯใช้เป็นข้ออ้างถึงการไม่ควรให้ลูกเป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุรวมถึงทรัพย์สินของผู้สูงอายุ พูดง่ายๆว่าระแวงลูกว่าลูกจะไม่ได้ใส่ใจในการดูแลพ่อแม่และศาลก็เชื่อตามนั้น หนังดำเนินเรื่องแบบตลกร้าย แต่ดูแล้วก็ตลกไม่ออกกับการเห็นผู้สูงอายุต้องตกเหยื่อของธุรกิจที่ชั่วร้ายนี้  ผู้สูงอายุทุกคนสมควรจะได้จะมีชีวิตที่ตามที่ใจปรารถนาในช่วงบั้นปลายชีวิต สมควรที่จะมีอิสระและมีความสุขตามวัย  แต่ธุรกิจการดูแลผู้สูงอายุในเรื่องนี้กลับเป็นการพรากคุณค่าและความสุขทั้งหมดทั้งมวลในช่วงบั้นปลายของมนุษย์คนหนึ่งไปอย่างหน้าชื่นตาบาน ซ้ำยังได้รับการชื่นชมในการของการบริหารธุรกิจในโลกของระบบทุนนิยมที่ผลกำไรเป็นเรื่องใหญ่เสมอ  สุดท้ายผู้สูงอายุจึงไม่ใช่ผู้ได้รับการคุ้มครองดูแลตามสิทธิอันพึงได้รับ แต่กลับกลายเป็นเหยื่อของธุรกิจค้าความชราจนผู้สูงอายุไม่มีสิทธิแม้แต่จะเป็นเจ้าของชีวิตของตนเองได้เพียงเพราะความเชื่อว่าผู้สูงอายุไม่สามารถพึงพาตนเองได้และจะต้องอยู่ในการดูแลพึงพาอาศัยผู้อื่น

ดูหนังแล้วย้อนดูสังคมไทยกับสถานการณ์ผู้สูงอายุในประเทศ  แอบใจชื่นขึ้นมาหน่อยเพราะสังคมไทยเราเป็นสังคมที่มีลักษณะความผูกพันในครอบครัวที่เหนียวแน่นกว่าในสังคมตะวันตก การอยู่รวมกันแบบครอบครัวขยายของคน 3 รุ่น ปู่ ย่า ตา ยาย  ลูก หลานยังมีให้เห็นมากมาย ถึงแม้จะมีแนวโน้มว่าจะมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น  ไหนๆก็พูดถึงผู้สูงอายุเลยขอชวนหันมาดูสัดส่วนประชากรผู้สูงอายุกันสักหน่อย จากผลการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ.2553 - พ.ศ.2583 พบว่าสัดส่วนของประชากรสูงอายุ มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจนจากร้อยละ 13.2 ในปี 2553  จะเพิ่มเป็นร้อยละ 26.6 ในปี 2573 และเพิ่มเป็น 32.1 ในปี 2583

จากข้อมูลการสำรวจประชากร จะพบว่าตอนนี้ประเทศไทยเราเดินมาไกลเกินกว่าการเป็นสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) แล้ว ( สังคมผู้สูงอายุ หมายถึง สังคมที่มีสัดส่วนของประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ)  แต่เรากำลังจะก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society)  ภายในปี 2564นี้  ซึ่งหมายถึง สังคมที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ เพราะจากข้อมูลสถิติประชาการศาสตร์ในปี 2562  ไทยมีประชากรรวม 66,558,935 คน  ในจำนวนนี้ มีประชากรวัยสูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ทั้งหมดจำนวน 11,136,059 คน คิดเป็นร้อยละ 16.73   หรือนึกภาพเป็นตัวเลขกลมๆ ให้นึกว่าหากมีคนเดินมา 10 คน  2 คนใน 10 นั้นคือผู้สูงอายุ  และมีแนวโน้มที่ประชาชนจะมีอายุขัยที่ยาวขึ้น ซึ่งเท่ากับว่าประเทศไทยจะมีประชากรสูงอายุวัยปลายมากขึ้นด้วย ดังนั้นภาครัฐของเรานั้นต้องหันมาเร่งดำเนินการเพื่อรองรับกับกับเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากร 

ประเทศไทยมีการจัดทำแผนผู้สูงอายุแห่งชาติมา 2 ฉบับแล้ว ฉบับที่ใช้อยู่ในปัจจุบันคือ แผนผู้สูงอายุแห่งชาติฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545 - 2564) ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1 พ.ศ. 2552 แผนฉบับนี้มีวิสัยทัศน์ว่าผู้สูงอายุเป็นบุคคลที่มีประโยชน์ต่อสังคมและสมควรส่งเสริมให้คงคุณค่าไว้ให้นานที่สุดแต่ในกรณีที่ตกอยู่ในสถานะต้องพึ่งพิงผู้อื่นครอบครัวและชุมชนจะต้องเป็นด่านแรกในการเกื้อกูลเพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถดำรงอยู่ในชุมชนได้อย่างมีสุขภาพที่เหมาะสมที่สมเหตุสมผลได้นานที่สุดโดยมีสวัสดิการจากรัฐเป็นระบบเสริมเพื่อให้เกิดหลักประกันในวัยสูงอายุและความมั่นคงของสังคม  แม้จะมีแผนผู้สูงอายุแห่งชาติมา 2  ฉบับแล้วแต่ภาครัฐต้องเร่งกำลังเตรียมความพร้อมของประชากรเพื่อวัยสูงอายุที่มีคุณภาพ การส่งเสริมและพัฒนาผู้สูงอายุ การคุ้มครองทางสังคมสำหรับผู้สูงอายุ และการพัฒนาบุคลากรด้านผู้สูงอายุซึ่งก็ต้องเร่งพัฒนากันต่อไปให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่เกิดขึ้น   

นอกจากการดำเนินนโยบายต่างๆเพื่อผู้สูงอายุแล้ว สิ่งรัฐต้องเร่งดำเนินดำเนินการควบคู่ไปด้วยคือการสร้างความเข้าใจร่วมกันในสังคมว่า การเป็นสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) นั้นไม่ใช่เรื่องระหว่างรัฐกับผู้สูงอายุเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของทุกครอบครัวและทุกคนในสังคม  เป็นเรื่องของคนทุกช่วงวัยที่ต้องทำความเข้าใจและพึ่งพาอาศัยกันต่อไปด้วยความเอื้ออาทรต่อกัน เคารพสิทธิและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน  ค่านิยมในการมองผู้สูงอายุเป็นบุคคลไร้ความสามารถ เป็นวัยที่ไม่สามารถทำงานหาเงินได้ เป็นวัยที่เป็นภาระ หรือทัศนคติเชิงลบต่อผู้สูงวัยว่า คือคนที่ไม่สามารถปรับตัวหรือเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้  โดยเปรียบเทียบผู้สูงวัยให้เป็นไดโนเสาร์เช่นนี้ อาจทำให้เกิดสถานการณ์อย่างในหนังที่กล่าวถึงขั้นต้นเข้าสักวัน 

ดังนั้นการสื่อสารเพื่อสร้างทัศนคติในการอยู่ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ของคนทุกช่วงวัยจึงสำคัญมาก โดยเฉพาะในสถาบันครอบครัว ความรักความห่วงใยการดูแลเอาใจใส่กันและกันของคนในครอบครัว คือเกราะป้องกันชั้นดีให้กับผู้สูงอายุด้วยเช่นกัน มิใช่แค่เพียงเด็กๆหรือลูกหลานที่ต้องการความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่  ในขณะเดียวกันเมื่อกาลเวลาผ่าน พ่อแม่ในวัยผู้สูงอายุก็ยิ่งต้องการความรัก ควาวมห่วงใยและน้ำใจจากลูกๆ เช่นเดียวกัน ผู้เขียนเชื่อว่าวัฒนธรรมความรักในครอบครัวจะช่วยให้ผู้สูงอายุของไทยสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขและมีความภาคภูมิใจในคุณค่าของตนเอง

ช่วงนี้เห็นมีโฆษณาบ้านพักผู้สูงอายุหลักเกษียณมากมายมาใช้เลือกใช้บริการทั้งราคาย่อมเยาจนถึงราคาสูงลิบ โฆษณาว่าอยู่ดีอยู่สบายครบวงจรทั้งการดูแลสุขภาพ หมอพยาบาลและอาหารการกิน …. แว๊บหนึ่งแอบคิดถึงหนัง I care a lot ห่วง… แต่หวังฮุบ ขึ้นมาทันที  หวังว่าเราจะไม่เจอสภาพเช่นผู้สูงอายุในหนังเรื่องนี้  แต่คิดๆไปก็เบาใจ ผู้เขียนคงไม่เจอสถานการณ์อย่างในหนัง เพราะไม่มีเงินและสมบัติพอให้ใครมาฮุบ  ถ้าจะทำหนังคงต้องชื่อว่า  “ห่วงได้ แต่ไม่มีให้อะไรให้ฮุบ” 


ที่มา

สถานการณ์ผู้สูงอายุในประเทศไทย (ด้านประชากร) – FOPDEV

ข้อเสนอเชิงนโยบายเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุของประเทศไทย (dop.go.th)  กรมกิจการผู้สูงอายุ

แผนผู้สูงอายุแห่งชาติฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2545 - 2564)  คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top