การตัดสินใจรับคำพิพากษาแบบแมน ๆ ของ 'สรยุทธ' ที่น่านับถือ

“ยืนยันว่าไม่เคยคิดจะหนี เพราะถ้าจะหนีต้องหนีตลอดชีวิต….ถ้าอยู่ในเรือนจำยังมีจุดสิ้นสุด”

การตัดสินใจรับคำพิพากษาแบบ แมนๆ ของสรยุทธ ที่น่านับถือส่วนหนึ่งของคำพูดที่ สรยุทธ สุทัศนะจินดา นักเล่าข่าวชื่อดังกล่าวไว้ในขณะที่กำลังเข้าสู่กระบวนการพิพากษาในชั้นศาลฏีกาของคดี “ไร่ส้ม” อันสั่นสะเทือนจริยธรรมของสื่อมวลชน แต่ด้วยความเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นเยี่ยมและได้รับพระราชทานอภัยโทษ จากเดิมที่ต้องโทษจำคุก 6 ปี 24 เดือน จึงลดเหลือ เพียง 3 ปี 6 เดือน 20 วัน และเมื่อหักวันต้องโทษจำคุกมาแล้วจึงเหลือโทษอยู่อีกเพียงแค่ 2 ปีเศษเท่านั้น ซึ่งเข้าข่ายหลักเกณฑ์การพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ โดยจะได้พักการลงโทษ ปล่อยตัวในวันที่ 13 มีนาคม 2564 นี้

แต่ต้องติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว หรือกำไล EM (Electronic Monitoring) และต้องปฏิบัติตนตามเงื่อนไขที่กำหนดอย่างครบถ้วน รวมไปถึงต้องรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุกเดือนจนกว่าจะพ้นโทษ นี่เป็นอิสรภาพในการควบคุมของกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม ที่น่าติดตาม แม้ว่าการพักโทษครั้งนี้อาจยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดการต้องโทษของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา แต่เมื่อ “กรรมกรข่าว” comeback เมื่อ “คนเล่าข่าวอันดับหนึ่ง” กลับคืนหน้าจอ วงการจะสั่นสะเทือนมากน้อยแค่ไหน ?

บนสังเวียนข่าวกว่า 30 ปี สรยุทธ เริ่มต้นเส้นทางนี้ที่ The Nation ในปี 2531 มา MCOT ที่เขาและรายการของเขาเป็นรายการเดียวที่ได้สัมภาษณ์นายกรัฐมนตรีทักษิณ ในช่วงก่อนการรัฐประหาร 2549 ไล่เรียงมาจนถึงการเล่าข่าวและเป็นพิธีกรรายการข่าวถึง 4 รายการคือ เรื่องเล่าเช้านี้, เรื่องเด่นเย็นนี้, เรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์, จับเข่าคุย ทางช่อง 3 ซึ่งเป็นเขาที่สร้างแรงสั่นสะเทือนให้สังคมจากการรายงานข่าวอุทกภัยในปี 2554 อย่างเกาะติด พร้อมดึงเพื่อนในหลายแวดวงร่วมมือกันจนหาเงินบริจาคให้ชาวบ้านที่ทุกข์ร้อนได้มากมาย โดยไม่เคยมีผู้สื่อข่าวคนไหนทำมาก่อน

วีรกรรมของเขาครั้งนั้นโด่งดังขนาดที่คนนึกถึงและเรียกหาชื่อเขาก่อนนายกรัฐมนตรีเสียอีก เรียกได้ว่า สรยุทธ คือจ้าวแห่งการสื่อสารด้วยคำพูด (Speech Communication) โดยเฉพาะเรื่องเล่าของเขาที่สามารถสื่อสารไปยังผู้ชม ผู้ฟัง ได้อย่างลึกซึ้ง กว้างขวางและน่าเชื่อถือ ซึ่งเกิดจากเตรียมพร้อมและการย่อยข่าวอันเป็นพรสวรรค์ของเขา ว่ากันว่าการเตรียมพร้อมประจำวันของ สรยุทธ ตอนช่วงพีกสุด ๆ เขาต้องเดินทางมาถึงช่อง 3 ตั้งแต่ตี 4 กว่า เตรียมข้อมูลเพื่อออกอากาศ 6 โมงเช้า ช่วงบ่ายไปหาที่งีบหลับในตึกของช่อง พอบ่าย 2 โมงเริ่มเตรียมเนื้อหาข่าวเข้ารายการ “เรื่องเด่นเย็นนี้” วันหนึ่งเขานอนประมาณ 3 - 4 ชั่วโมงเท่านั้น กิจวัตรนี้นับเฉพาะส่วนของงานข่าวบนหน้าจอโทรทัศน์ไม่รวมไปถึงผลงานการเขียนหนังสือและงานอื่น ๆ อีกมากมายของเขาในช่วงนั้น

โลกที่หมุนเร็วขึ้นจะเป็นอุปสรรคต่อกลับมาของสรยุทธมากน้อยแต่ไหน? การจะกลับมาอยู่บนจอท่ามกลางกระแสโซเชียลอันเชี่ยวกรากจะยากเกินไปไหม ? คำตอบคือไม่เป็นอุปสรรคและไม่ยาก หากดูจากเพจ “สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว” ที่มีผู้ติดตามอยู่เกิน 1 ล้านคน เขายังคงเป็น Main Influencer ของประเทศนี้ บริษัทของเขาก็ยังมีกำไรต่อเนื่องในฐานะผู้ผลิตรายการ ปัญหาของเขาน่าจะอยู่ที่ช่อง 3 นั่นเอง

แม้ทีวีดิจิตอลในวันนี้จะมีเม็ดเงินโฆษณาอยู่พอสมควรแต่การแข่งกันสร้างนักเล่าข่าวใหม่ ๆ ผนวกกับรายการข่าวที่พัฒนาทั้งรูปแบบและช่องทางเพื่อสนองต่อโลกที่ผ่านวิกฤติโควิด-19 ไปสู่โลกวิถีใหม่ ก็ทำเอาทีวีดิจิตอลหลายช่องไปไม่เป็น โดยเฉพาะช่อง 3 ที่ประสบปัญหาขาดทุน มีการปรับเปลี่ยนและเลย์ออฟพนักงานอยู่หลายคราว

ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบแต่อุปสรรคจะทำให้เรารู้ว่า “ชีวิตที่แท้จริง” เป็นอย่างไร เชื่อว่าการกลับมาของ สรยุทธ สุทัศนะจินดา จะเป็นแรงกระเพื่อมครั้งสำคัญของวงการข่าว สมใจบรรดาแฟนข่าวของเขา แต่การจะกลับมายืนเป็นเบอร์หนึ่งและเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจได้เหมือนเดิมหรือไม่ ? คงต้องให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ เพราะหลายๆ ช่องทาง หลาย ๆ สื่อคงไม่มีใครอยู่นิ่ง ๆ แล้วให้รายการของสรยุทธกลับมากระชากเรตติ้งกลับไปเป็นของเขาเหมือนเดิมแน่ ๆ แต่ที่ได้ประโยชน์แน่ ๆ คงเป็นเรา ๆ ท่าน ๆ ผู้บริโภคข่าว เพราะต่อไปนี้รายการข่าวจะมีคุณภาพขึ้นกว่าช่วงที่ไม่มีสรยุทธอยู่แน่นอน