Sunday, 18 May 2025
Region

แม่ฮ่องสอน - ททท.แม่ฮ่องสอน จัดส่วนลดโรงแรม 7 อำเภอ เพิ่มกิจกรรม ‘เดินป่าหน้าฝน’ เตรียมพร้อมการท่องเที่ยว” สามหมอก...หยอกฝน”

นายโยธิน ทับทิมทอง ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า หากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย ททท.แม่ฮ่องสอน ได้เตรียมความพร้อมเกี่ยวกับการท่องเที่ยวในไตรมาสที่ 4 ไว้แล้ว โดยเป็นแผนเตรียมพร้อมหลังจากเปิดจังหวัด ซึ่งในเรื่องนี้ทางจังหวัดโดยผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน นายสิธิชัย จินดหาหลวง  ได้มีการเตรียมนโนบายและแนวทางในการดำเนินการไว้เบื้องต้นแล้ว ทาง ททท.จึงได้เตรียมแผนรองรับและส่งเสริมการท่องเที่ยว ในไตรมาส 4 ที่อยู่ในระหว่างฤดูฝน หรือกรีนซีซั่น

ในฤดูท่องเที่ยวกรีนซีซั่นของจังหวัดแม่ฮ่องสอน มีเสน่ห์เป็นอย่างมาก หากนักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวในระยะนี้ จะพบเจอกับบรรยากาศการท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยความงาม จากหุบเขาสีเขียวทั้งจังหวัด รวมถึงความของแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติ  ซึ่งนักท่องเที่ยวที่กำลังวางแผนเดินทางมาท่องเที่ยวภายในจังหวัดแม่ฮ่องสอน จะพบว่าการท่องเที่ยวที่นี่ มีจุดเด่นคือไม่แออัด คนไม่พลุกพล่าน ส่วนผู้ประกอบการเริ่มทยอยเปิดกิจการร้านค้า ปฏิบัติตามมาตรการภายใต้สถานการณ์โควิด อย่างไรก็ตาม ทาง ททท. ได้วางแผนการกระตุ้นการท่องเที่ยวแบบค่อยเป็นค่อยไป และเน้นย้ำให้นักท่องเที่ยวระมัดระวังตนเอง สำหรับแผนในระยะสั้น ได้วางแผนร่วมกับผู้ประกอบการโรงแรมทั้ง 7 อำเภอ จัดโปรโมชั่น มอบส่วนลด โดยใช้ชื่อว่า แฮปปี้ เรนนี่ ซีซั่น (HAPPY RAINNIE SEASON) และอีกหนึ่งกิจกรรมสำหรับสายลุย คือการ “เดินป่าหน้าฝน” โดยจะจัดนักท่องเที่ยวเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ท่องเที่ยวชมป่า

ทั้งนี้ ททท.คาดการณ์ว่าการท่องเที่ยวในภาคเหนือในระยะอันใกล้นี้ มีความสำคัญมาก เนื่องจากข้อมูลสถิติที่เก็บในช่วงที่ผ่านมา พบว่า ร้อยละ 40 เดินทางมาจากภาคเหนือด้วยกัน จึงได้วางแผนประชาสัมพันธ์เชิงรุก โดยเจาะกลุ่มภาคเหนือก่อน ถือเป็นการพัฒนาการท่องเที่ยวในระยะใกล้ อาจร่วมกับบริษัทนำเที่ยวในพื้นที่ภาคเหนือ เสนอขายทัวร์ให้กับนักท่องเที่ยวเฉพาะกลุ่ม ที่สำคัญต้องเน้นย้ำมาตรการของสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดในการท่องเที่ยวในพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน


ภาพ/ข่าว  สุกัลยา / รุจิรา

นครนายก – พิธีเปิดโครงการดำเนินงานชุมชนยั่งยืน เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจร

สถานีตำรวจภูธรเมืองนครนายก จัดพิธีเปิดโครงการดำเนินงานชุมชนยั่งยืน เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจร ตามยุทธศาสตร์ชาติ

ที่ห้องประชุมโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ บ้านคลองเหมือง พลตำรวจตรี อิทธิพร โพธิ์ทอง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครนายก เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการดำเนินงานชุมชนยั่งยืน เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจร ตามยุทธศาสตร์ชาติ โดยมีพันตำรวจเอกทนงศักดิ์ คำมาตย์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองนครนายก กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ โดยมีหน่วยงานราชการ ,เจ้าหน้าที่ตำรวจ, ผู้นำชุมชน ,ราษฎรบ้านคลองเหมือง เข้าร่วมในพิธีเปิดงานพร้อมรูปเป็นที่ระลึก

ด้วยสถานีตำรวจเมืองนครนายก ได้รับมอบหมายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติและรับรู้ปัญหา พิษภัยแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชน โดยเสริมสร้างให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง เข้าใจและรับรู้ปัญหา พิษภัยที่เกิดขึ้นจากยาเสพติด การบำบัดรักษาและการให้ความช่วยเหลือผู้ติดยาเสพติด ย่อมต้องพิจารณาหลายมิติแบบองค์รวม หาสาเหตุที่แท้จริง เพื่อการแก้ไขปัญหาได้รอบด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมิติด้านสังคม การบำบัดโดยชุมชนมีส่วนร่วม และนำไปสู่ชุมชนเข้มแข็งแบบยั่งยืนและครบวงจร โดยใช้ชุมชนเป็นศูนย์กลาง ที่สามารถดูแลผู้ใช้ยาเสพติดได้อย่างมีประสิทธิภาพ สถานีตำรวจภูธรเมืองนครนายก จึงได้จัดทำโครงการดำเนินงานชุมชนยั่งยืน เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาการดำเนินงานชุมชนยั่งยืน ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจร ตามยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อให้เกิดกระบวนการป้องกัน แก้ไข และบำบัดยาเสพติด โดยมีส่วนร่วมของชุมชน เพื่อสร้างรูปแบบการดำเนินงานชุมชนเข้มแข้ง ในการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืนอีกด้วย


ภาพ/ข่าว  สมบัติ เนินใหม่ / รัชชานนท์ เนินใหม่ / ผู้สื่อข่าวจังหวัดนครนายก

นราธิวาส - โฆษก ศรชล.เผย กู้อวนใต้เกาะโลซินสำเร็จ พบความเสียหายบางส่วน เร่งปลูกชดเชย เตรียมลงดาบเรือตัดอวน

วันนี้ ( 21 มิ.ย.64 ) เวลา 08.30 น. พลเรือตรี ปกครอง มนธาตุผลิน โฆษกศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) เปิดเผยถึงการปฏิบัติภารกิจแก้ปัญหาอวนขนาดใหญ่ปกคลุมปะการังบริเวณเกาะโลซิน จว.นราธิวาสในวันสุดท้าย (20 มิ.ย.64) ว่า การปฏิบัติภารกิจยังคงดำเนินการตามแผนที่วางไว้ สภาพอากาศท้องฟ้าแจ่มใส โดยทีมนักดำน้ำได้ทำการดำในช่วงเช้า 2 เที่ยว เพื่อทำการตัดอวนที่เหลือ ซึ่งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สามารถเก็บอวนขึ้นมาได้ทั้งหมดมีน้ำหนักถึง 800 กิโลกรัม ส่วนในช่วงบ่ายได้ทำการดำอีก 1 เที่ยวเพื่อประเมินความเสียหายของปะการังและปลูกซ่อมแซม

จากการสำรวจพบว่า พื้นที่อวนทั้งหมด 2,750 ตารางเมตร พื้นที่ที่อวนปกคลุมปะการัง 550 ตารางเมตร ผลการประเมินความเสียหายของปะการัง พบลักษณะความเสียหายหลักคือปะการังมีสีซีดจางร้อยละ 10 ของพื้นที่ปกคลุมทั้งหมด รองลงมาคือแตกหัก ร้อยละ 5 ของพื้นที่ปกคลุมทั้งหมด และรอยถลอกเสียดสี บางส่วนบาดจนปะการังเคลือบติดกับเนื้ออวน ร้อยละ 5 ของพื้นที่ปกคลุมทั้งหมด

นอกจากนั้นยังมี ผลกระทบอื่นที่ไม่ใช่ปะการัง ประกอบด้วยดอกไม้ทะเลและสัตว์หน้าดิน เสียหายเล็กน้อย

สำหรับแผนการดำเนินการตามแผนฟื้นฟู ได้ปลูกปะการังทดแทนในพื้นที่เสียหายประมาณ 500 เข่งและติดตามผลการดำเนินการในอีก 3 เดือนโดยนักดำน้ำทั้งหมดที่มาจากกองทัพเรือ 16 นายนักดำน้ำของ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) และอาสาสมัครดำน้ำจำนวน 26 นายรวมทั้งนักข่าวใต้น้ำจำนวน 6 นายปลอดภัย การปฏิบัติการเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและไม่มีอุปสรรคใดๆ โดย พลเรือโท สำเริง จันทร์โส ผอ.ศรชล.ภาค 2 / ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 2 (ผบ.ทรภ.2) ได้ขอบคุณหน่วยงานที่ร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ โดยเฉพาะนักดำน้ำและถ่ายภาพใต้น้ำทั้ง 38 นาย ที่เสียสละเข้าร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ จนทำให้ภารกิจได้สำเร็จลุล่วงเป็นอย่างดี

โฆษก ศรชล.กล่าวว่า สำหรับการติดตามผู้กระทำความผิด ทาง ศรชล.ร่วมกับ ทร./ทช./กรมประมง เพื่อดำเนินการร่วมกัน โดยเบื้องต้น ทช.จะนำของกลางเข้าแจ้งความเพื่อหาผู้กระทำผิด และศรชล.ได้สั่งการให้หน่วยที่เกี่ยวข้องดำเนินการ ดังนี้

1.ให้ศูนย์ยุทธการตรวจสอบ เรือประมงพานิชย์ ประเภทอวนล้อมจับ ที่มีประวัติเดินทางผ่าน เกาะโลซิน ตั้งแต่ 1 มิ.ย.64- ปัจจุบัน

2. ซากอวนทั้งหมดที่ตัดมาให้นำอวนมาส่งที่ ท่าเรือตรวจประมง ปัตตานี และให้ ศรชล.จังหวัดปัตตานีตั้งคณะทำงานร่วมกันกับสมาคมประมง และประมงจังหวัด เพื่อหาที่มาของอวน

3.ให้ศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือจังหวัดต่าง ๆ ตรวจสอบเรือที่แจ้งเข้าว่า อวนบนเรือมีลักษณะตรงกับตัวอย่างที่เก็บมาได้ และอวนบนเรือได้หายไปเนื่องจากการประมงหรือไม่เพื่อตรวจสอบหาเรือที่กระทำความผิดต่อไป

สำหรับโทษที่กำหนดไว้เกาะโลซินเป็นพื้นที่ห้ามทำประมงชอบ/อวน ตาม พรบ. กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งมาตรา 17 โทษปรับ 100,000 บาท จำคุก 1 ปีหรือทั้งจำทั้งปรับ รวมถึงโทษตาม พรบ.สงวนคุ้มครองสัตว์ป่า 2562 ฐานทำให้ปะการังเสียหายหรือถูกทำลายจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สมุทรปราการ - “แพรกษาปันสุข” ครั้งที่ 3 สส.พลังประชารัฐ จับมือ ทุกภาคส่วนลงพื้นที่มอบสิ่งของช่วยเหลือประชาชน สู้วิกฤติโควิด ครั้งที่ 3

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสมุทรปราการ นำคณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาลแพรกษา บูรณาการร่วมกับทุกภาคส่วน ลงพื้นที่ 4 ชุมชน มอบสิ่งของช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนในชุมชนและประชาชนผู้ขาดรายได้ มีประชาชนจำนวนมาก ร่วม 2,000 คน เดินทางมารอรับมอบสิ่งของช่วยเหลือ

ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สส.สมุทรปราการ เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วย นางอรัญญา สุวรรณบุตร  นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา นายรัชชานนท์ ทองอร่าม เลขานุการนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ  เป็นตัวแทนนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรปราการ และเป็นตัวแทนนางสาวนันทิดา แก้วบัวสาย  นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ นายชนะ หงวนงามศรี รองประธานสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ 

นางนงนุช แพหมอ สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ นายเมธากุล สุวรรณบุตร สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ นำคณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาลตำบลแพรกษา หัวหน้าส่วนราชการ พนักงานและผู้ประกอบการ ร่วมลงพื้นที่มอบสิ่งของช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนรวมถึงประชาชนที่ขาดรายได้ในชุมชนต่าง ๆ รวม 4 ชุมชน เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

โดย ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร สส.สมุทรปราการ กล่าวว่า การลงพื้นที่มอบสิ่งของช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนในวันนี้ นับเป็นครั้งที่ 3 ที่ได้มีการลงพื้นที่มอบสิ่งของช่วยเหลือประชาชน  ภายใต้ชื่อ ”แพรกษาปันสุข”  โดยเป็นความห่วงใยจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสมุทรปราการ เขต 2 พรรคพลังประชารัฐ และความห่วงใยจากนางอรัญญา สุวรรณบุตร  นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา นายเมธากุล สุวรรณบุตร สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ  ที่มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนในเขตพื้นที่แพรกษา ที่ได้รับผลกระทบและได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 

อีกทั้งการลงพื้นที่จัดกิจกรรมในครั้งนี้  ยังได้รับการสนับสนุนจากนายชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม ประธานหอการค้าจังหวัดสมุทรปราการ นางสาวนันทิดา แก้วบัวสาย นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ และทางฝ่ายผู้ประกอบการ ที่ได้ให้การสนับสนุนกิจกรรม “แพรกษาปันสุข” มาโดยตลอด

การจัดกิจกรรมขึ้นในครั้งนี้เป็นการบูรณาการประสานความร่วมมือของทุกภาคส่วน ที่ให้การสนับสนุนนำสิ่งของต่าง ๆ มาร่วมมอบให้กับพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อน  โดยสิ่งของที่นำมามอบในวันนี้ ได้แก่ เงินสดคนละ 200 บาท ข้าวสาร  5 กิโลกรัม มาม่า ปลากระป๋อง สบู่ เจลแอลกอฮอร์  น้ำยาซักผ้า ขันน้ำ และอื่น ๆ อีกหลายรายการเพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนแก่พี่น้องประชาชน

อย่างไรก็ตาม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งของต่าง ๆ ที่นำมามอบให้กับพี่น้องประชาชนในวันนี้ จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนได้ และขอให้ประชาชนทุกคนดูแลสุขภาพตัวเอง  สวมใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง เพื่อที่เราทุกคนจะก้าวผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกัน


ภาพ/ข่าว  คิว-ข่าวสมุทรปราการ  รายงาน

กรุงเทพฯ - “อนุทิน” ตัดช่อดอกกัญชาพันธุ์ไทยที่กรมวิทย์ฯ ผลิตพันธุ์กัญชาต้นแบบคุณภาพดี

วันนี้ (21 มิถุนายน 2564) จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประธานในพิธีตัดช่อดอกกัญชาพันธุ์ไทย 4 พันธุ์ โดยมี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมด้วย

นายอนุทิน กล่าวว่า ช่อดอกกัญชาที่ตัดเป็นช่อดอกกัญชาพันธุ์ไทยที่ปลูกโดยสถาบันวิจัยสมุนไพรกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งได้ขออนุญาตการปลูกกัญชาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เป็นกัญชาพันธุ์ไทย 4 พันธุ์ คือ หางกระรอกภูพานเอสที 1 หางเสือสกลนครทีที 1 ตะนาวศรีก้านขาวดับเบิลยูเอ 1 และตะนาวศรีก้านแดงอาร์ดี 1 เพื่อการศึกษาวิจัยและใช้เป็นต้นแบบ โดยปลูกในโรงเรือนแบบ Greenhouse มีระบบการจัดการปลูกพืชในวัสดุทดแทนดิน (substrate culture) มีการให้น้ำและธาตุอาหารโดยใช้ระบบน้ำหยด ซึ่งการพัฒนากัญชาพันธุ์ไทย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะนำพันธุ์ที่ได้ไปขยายให้กับเครือข่ายที่ทำการวิจัยร่วมกัน ได้แก่ มหาวิทยาลัยราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดสกลนคร เพื่อเป็นแหล่งเมล็ดพันธุ์ให้กับเกษตรกร เพราะแต่ละพันธุ์มีสาร THC และ CBD ที่แตกต่างกัน ทำให้เกษตรกรสามารถเลือกพันธุ์ที่จะนำไปใช้ต่อยอดทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ ได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ สามารถพัฒนาส่งเสริมให้เกษตรกร ผู้ประกอบการไทยมีศักยภาพในการพัฒนากัญชาพันธุ์ไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลก ลดการขาดดุลการค้ากับต่างประเทศได้ ขณะนี้อยู่ระหว่างการขอหนังสือรับรองพันธุ์พืชขึ้นทะเบียนของกัญชาพันธุ์ไทยทั้ง 4 พันธุ์กับทางกรมวิชาการเกษตร โดยคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จประมาณเดือนสิงหาคม 2564 นี้

นายแพทย์ศุภกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า สถาบันวิจัยสมุนไพร กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้มีการศึกษาวิจัยกัญชาพันธุ์ไทยที่ครอบคลุมทั้งลักษณะทางพฤกษศาสตร์ (phenotype)  ทางด้านเคมี (chemical profile) และข้อมูลของสารพันธุกรรม (genetic profile) พบว่า กัญชาพันธุ์ไทยมีลักษณะเด่นถึง 3 แบบ 

- แบบที่ 1 กัญชาที่ให้สาร THC สูง  ได้แก่ กัญชาพันธุ์หางเสือสกลนครทีที 1 และกัญชาพันธุ์ตะนาวศรี ก้านขาวดับเบิลยูเอ 1 
- แบบที่ 2 กัญชาที่ให้สาร THC และ CBD (THC : CBD = 1 : 1) ในสัดส่วนที่เท่ากัน ได้แก่ กัญชาพันธุ์ หางกระรอกภูพานเอสที 1 
- แบบที่ 3 กัญชาที่ให้สาร CBD สูง ได้แก่ กัญชาพันธุ์ตะนาวศรีก้านแดงอาร์ดี 1

“กัญชาไทยแต่ละพันธุ์มีลักษณะของต้น ใบ ช่อดอก และกลิ่นมีความแตกต่างกัน นอกจากนี้จากการถอดรหัสพันธุกรรมเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างของพันธุ์กัญชาแต่ละพันธุ์ พบว่า กัญชาไทยทั้ง 4 พันธุ์ เป็นพันธุ์ที่พบได้เฉพาะถิ่นเท่านั้นไม่ได้พบได้ทั่วไป เป็นพันธุ์ที่หายาก ซึ่งกัญชาแต่ละพันธุ์ของไทยมีสารสำคัญ ในสัดส่วนที่ต่างกัน จึงมีประโยชน์ต่อการบ่งใช้ในการรักษาโรคที่ต่างกัน รวมถึงการได้สาระสำคัญคงที่ในการปลูก ทำให้ง่ายต่อการนำไปใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ต่อไป”นายแพทย์ศุภกิจ กล่าว


ภาพ/ข่าว  สมัย นิกูลรัมย์

นนทบุรี - สธ.เปิดห้องปฏิบัติการชีวนิรภัย ระดับ 3 ตรวจเชื้อโรคความเสี่ยงสูง

วันนี้ (21 มิถุนายน 2564) ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานรับมอบห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 (Biosafety Level 3 laboratory) จาก Mr.Nashida Kazuya เอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย และ Dr.Daniel  Kertesz ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย โดยมี นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมด้วย

นายอนุทิน กล่าวว่า กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ได้สร้างความร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่น ในหลายโครงการอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการก่อสร้างอาคารสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุขแห่งชาติ ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จ.นนทบุรี เพื่อเป็นห้องปฏิบัติการอ้างอิงของประเทศด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีหน้าที่ยืนยันสาเหตุและสถานการณ์ของโรคที่เป็นปัญหาด้านสาธารณสุข และปี พ.ศ.2563 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นผ่านองค์การอนามัยโลก จำนวน 38,600,000 บาท สำหรับการพัฒนาห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 2 และระดับ 3 ให้มีความทันสมัย เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านความปลอดภัยและความมั่นคงทางชีวภาพ พร้อมที่จะดำเนินการเต็มขีดความสามารถในการปฏิบัติงานกับเชื้อโรคอันตรายสูงด้วยความปลอดภัยต่อชีวิตนักวิจัยและสิ่งแวดล้อม โดยเป้าหมายที่สำคัญในการพัฒนาห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 ครั้งนี้ เพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดของโควิด -9 ในด้านการตรวจชันสูตร การพัฒนาวิธีการตรวจวิเคราะห์ ชุดตรวจ วัคซีนและยารักษาโรค นอกจากนี้ยังเสริมความเข้มแข็งในการเป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมด้านปลอดภัยและความมั่นคงด้านชีวภาพทางห้องปฏิบัติการ (Laboratory Biosafety and Biosecurity Training Center) สำหรับภูมิภาคอาเซียนในอนาคต

นายแพทย์ศุภกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เป็นห้องปฏิบัติการที่ออกแบบให้มีลักษณะพิเศษ สามารถป้องกันการหลุดรอดของเชื้อโรค สู่ภายนอก ใช้สำหรับการตรวจวิเคราะห์ วิจัยเชื้อโรคความเสี่ยงสูง เช่น ไข้หวัดนก โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลางหรือโรคเมอร์ส โรคซาร์ส และโรคโควิด-19 เป็นต้น โดยการปฏิบัติงานที่สำคัญได้แก่ การเพาะแยกเชื้อไวรัส การเพาะเลี้ยงเพิ่มจำนวนเชื้อ การสกัดสารพันธุกรรม และการจัดการกับตัวอย่างติดเชื้ออุบัติใหม่ เพื่อเป็นคลังสายพันธุ์เชื้อแห่งชาติ เพื่อประโยชน์ที่จะได้รับ ดังนี้

 - การชันสูตรโรค

 - การศึกษาวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุข

 - การควบคุมโรค

 - การส่งเสริมพัฒนาคุณภาพห้องปฏิบัติการเครือข่าย

 - การต่อยอดพัฒนายาและวัคซีน เพื่อการรักษาและการป้องกันโรค “ห้องปฏิบัติการชีวนิรภัยระดับ 3 ของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สาธารณสุข กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ นับเป็นหนึ่งในผลงานที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างไทยและญี่ปุ่น ซึ่งดำเนินการได้สำเร็จในเวลาอันรวดเร็ว ด้วยการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจริงจังจากองค์การอนามัยโลก ทำให้มีห้องปฏิบัติการทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข ที่มีความเข้มแข็ง มีศักยภาพและความพร้อมในการสนับสนุนนโยบายการแก้ไขปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ และเป็นส่วนหนึ่งในการป้องกัน


ภาพ/ข่าว  สมัย นิกูลรัมย์

ปทุมธานี - นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี นำชุด ตรวจเชิงรุก (RaPid Test) ให้กับประชาชนชาวตำบลสามโคก

เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2564 เวลา 09.00  น. ณ ศาลพลายแก้ว วัดสะแกตำบลสามโคก อำเภอสามโคกจังหวัดปทุมธานี พลตำรวจโทคำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี นายเสวก ประเสริฐสุข รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี พร้อมด้วยนายนิรันดร์ ใจป้ำ

นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลสามโคก นายธนภาค ตรีรัตนนุกูล ที่ปรึกษาพิเศษนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานีและเจ้าหน้าที่นำชุดตรวจเชิงรุก(RaPid Test)มาตรวจให้พี่น้องชาวตำบลสามโคกและใกล้เคียง ด้านนายนิรันดร์ ใจป้ำ นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลสามโคกได้เพิ่มเติมกับผู้สื่อข่าวว่า

ก่อนอื่นต้องขอขอบพระคุณท่านพลตำรวจโทคำรณวิทย์ ธูปกระจ่างนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี และผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่านที่ได้นำเจ้าหน้าที่ พร้อมชุดตรวจ (RaPid Test) มาตรวจให้พี่น้องประชาชนชาวตำบลสามโคกและใกล้เคียง และสืบเนื่องตามที่จังหวัดปทุมธานี ปรากฏการณ์สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส covid-19 เกิดขึ้นในพื้นที่โดยพบผู้ป่วยยืนยันเป็นจำนวนมากนั้นดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันและควบคุม เชื้อไวรัส โควิด 19 ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและทันต่อเหตุการณ์ ทางเทศบาลสามโคกจึงได้ขออนุเคราะห์ชุดตรวจ (RaPid Test)พร้อมเจ้าหน้าที่มาบริการประชาชนในเขตพื้นที่เทศบาลตำบลสามโคกและใกล้เคียง ขณะนี้ได้มีประชาชนในพื้นที่ ทยอยเข้ามาตรวจ วิเคราะห์หาเชื้อไวรัส covid-19 อย่างต่อเนื่อง และขอขอบพระคุณพระอธิการเริงชัย ฐานุตฺตโร เจ้าอาวาสวัดสะแกที่เอื้อเฟื้อสถานที่ไว้เพื่อรองรับประชาชน ที่เข้ามาตรวจหาเชื้อไวรัส covid-19 สุดท้ายนี้กระผมในฐานะนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลสามโคก ขอให้พี่น้องชาวตำบลสามโคก จงดูแลรักษาความสะอาดหมั่นล้างมือ เว้นระยะห่างสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา และเราจะผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน


ภาพ/ข่าว  ประภาพรรณ ขาวขำ/รายงาน

เชียงราย - กอ.รมน.จังหวัด ช.ร. โครงการการสานเสวนาส่งเสริมการมีส่วนร่วม และปรึกษาหารือ กิจกรรมการเสริมสร้างเครือข่ายผู้นำชุมชนประชาธิปไตย ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอเมืองเชียงราย

เมื่อ 21 มิ.ย. 64 เวลา 08.30 น. กอ.รมน.จังหวัด ช.ร. โดย พ.อ.กิตติพล ไพรหิรัญ รอง ผอ.รมน.จังหวัด ช.ร. (ท.) เป็นประธานเปิดการอบรม โครงการการสานเสวนาส่งเสริมการมีส่วนร่วม และปรึกษาหารือ กิจกรรมการเสริมสร้างเครือข่ายผู้นำชุมชนประชาธิปไตย  พร้อมด้วยกำลังพล กอ.รมน.จังหวัด ช.ร.ร่วมกับ ผู้นำชุมชนในพื้นที่ จังหวัดเชียงราย จำนวน 65 คน  ณ หอประชุมที่ว่าการอำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย 

โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ผู้นำชุมชน มีความเข้าใจในบทบาทหน้าที่ ความเป็นพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพื่อสร้างการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องให้กับประชาชน รวมทั้งสื่อสารข้อมูลของภาครัฐให้กับประชาชนรับรู้ถึงการดำเนินงานและรับทราบข่าวสารของประชาชน โดยผ่านการมีส่วนร่วมและปรึกษาหารือในชุมชน และเพื่อรับทราบปัญหา และบูรณาการ การแก้ไขปัญหาร่วมกันของประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหาในแต่ละพื้นที่ โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เด่นศักดิ์ สุริยะ ประธานคณะกรรมการศูนย์พัฒนาการเมืองภาคพลเมือง สถาบันพระปกเกล้าจังหวัดเชียงราย เป็นวิทยากร ทั้งนี้จัดให้มีมาตรการเฝ้าระวังป้องกันเชื้อไวรัสไวรัสโคโรนา 2019 ให้กับผู้เข้ารับการอบรม

ปทุมธานี – บิ๊กแจ๊สชี้ ฉีดซิโนฟาร์มแม่ค้าตลาดหยุดคลัตเตอร์ใหม่ อบจ.ปทุมเปิดลงทะเบียนวันที่ 22 และฉีดวันที่ 26

เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2564  เวลา 16:00 น. ที่ห้องประชุมหงส์มังกร ชั้น 12 เทศบาลนครรังสิต ตำบลประชาธิปัตย์ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี ประชุมแนวทางการฉีดวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์มป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 ร่วมกับภาคีเครือข่ายตลาดสดน่าซื้อ โดยมี 20 ผู้ประกอบการตลาดสดหน้าซื้อหรือตลาดประเภท 1 มีโครงสร้างมั่นคง แข็งแรง สะอาด ถูกสุขลักษณะ ภายในจังหวัดปทุมธานี เช่น ตลาดสี่มุมเมือง ตลาดไทย ตลาดรังสิตเป็นต้นเข้าร่วมประชุม

พร้อมมอบชุดปันสุข จำนวน 300 ชุด ส่งแรงใจ เพื่อมอบให้เจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี สู้ภัยโควิด-19 และมอบเครื่องผลิตออกซิเจน จำนวน 1 เครื่อง เป็นสาธารณะสงเคราะห์ มี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี , ร.ต.อ.ดร.ตรีลุพธ์ ธูปกระจ่าง นายกเทศมนตรีนครรังสิต และเจ้าหน้าที่กองสวัสดิการสังคม เป็นผู้รับมอบสิ่งของจากคณะสงฆ์จังหวัดปทุมธานี ร่วมกับ ภาคีเครือข่ายตลาดสดน่าซื้อจังหวัดปทุมธานี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า ขณะนี้การจัดสรรวัคซีนตัวเลือกซิโนฟาร์มอยู่ระหว่างการตรวจสอบโดยจะเริ่มฉีดเข็มแรกที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ในวันที่ 25 มิถุนายน 2564 จำนวน 6,400 คน ซึ่งทาง อบจ.อยู่ระหว่างการประสานงานคาดว่าน่าจะฉีดให้ประชาชนปทุมในวันที่ 26 นี้ ที่ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต

เนื่องจากปทุมธานีเป็นจังหวัดสุ่มเสี่ยงเป็นพื้นที่สีแดงตลอด คาดว่าพรุ่งนี้จะพี่น้องประชาชนจะสามารถลงทะเบียนได้ที่ลิ้งค์เพจเฟซบุ๊ก “องค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี” ซึ่งจะเปิดให้ลงทะเบียนได้ในวันที่ 22 นี้ รวมถึงวันนี้ต้องขอบคุณเจ้าของตลาดต่าง ๆ ภายในจังหวัดปทุมธานี ซึ่งผมได้แนะนำในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 รวมถึงขั้นตอนในการดำเนินการฉีดให้กับพ่อค้าแม่ค้าภายในตลาดอย่างไร เนื่องจากคลัสเตอร์การแพร่ระบาดส่วนใหม่มาจากตลาด และประชาชนมีความจำเป็นจะต้องออกมาจับจ่ายซื้อของที่ตลาด หากตลาดใดพ่อค้าแม่ค้าภายในตลาดฉีดวัคซีนครบทุกคนแล้ว ก็สามารถขึ้นป้ายได้เลยว่าพ่อค้าแม่ค้าในตลาดนี้ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว ตลาดในปทุมปลอดภัย เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจในการดำเนินชีวิตของประชาชน และพ้นข้อครหาว่าจากการที่ตลาดเป็นแหล่งแพร่เชื้อ หากมีการติดเชื้อต้องระวังจากผู้ซื้อ

นางสาวสุดาลักษณ์ พยัตเทพินทร์ ประธานภาคีเครือข่ายตลาดสดน่าซื้อ กล่าวว่า ในช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทางภาคีเครือข่ายตลาดสดน่าซื้อของจังหวัดปทุมธานีต้องขอขอบคุณ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดปทุมธานี และทีมงานเป็นอย่างมาก ที่ท่านเห็นความสำคัญของผู้ประกอบการค้าขาย และได้แนะนำให้ผู้บริหารและบุคลากรของตลาดรวมถึงผู้ค้าขายได้ปฏิบัติตัวให้รอด ปลอดภัยจากโควิด-19 สร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค เราจะพยายามปรับปรุงเปลี่ยนแปลง รวมถึงสร้างมิติใหม่ในการทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในตลาดเรา


ภาพ/ข่าว ประภาพรรณ ขาวขำ

กรุงเทพฯ - สวธ. ร่วมกับภาคีเครือข่าย ประชุมหารือแนวทางการประกวดออกแบบลายผ้าไทยสู่สากล

เมื่อเร็ว ๆ นี้ นายชาย นครชัย อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ลงพื้นที่ร่วมประชุมหารือร่วมกับเครือข่ายผ้าไทย  ผู้ประกอบการ และตัวแทนจากสถาบันการศึกษา เกี่ยวกับเรื่องกิจกรรมการประกวดออกแบบลายผ้าไทยสู่สากลเพื่อการต่อยอดและพัฒนา (Cultural Textile Awards 2021) และเป็นประธานในงานเผยแพร่และถ่ายทอดองค์ความรู้จากหนังสือแนวโน้มและทิศทางผ้าไทยและการออกแบบเครื่องแต่งกายด้วยผ้าไทย (Thai Textiles Trend Book Spring/Summer 2022) และการชี้แจงแนวทางประกวดออกแบบลายผ้าไทย ภายใต้โครงการพัฒนามรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมผ้าไทยสู่สากล ประจำปี 2564 ซึ่งกรมส่งเสริมวัฒนธรรมดำเนินงานโครงการร่วมกับศูนย์บริการวิชาการ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ

โอกาสนี้ ได้รับเกียรติจากวิทยากรที่มากด้วยประสบการณ์ ความรู้ ความเชี่ยวชาญด้านผ้าไทยและการใช้สีธรรมชาติ อาทิ คุณธนันท์รัฐ ธนเสฏฐการย์ คุณวิชระวิชญ์ อัครสันติสุข คุณศิริชัย ทหรานนท์ คุณสธน ตันตราภรณ์ และ คุณเปรมฤดี กุลสุ  ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับแนวทางการดำเนินงาน โดยมีผู้ประกอบการ นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา และประชาชนผู้สนใจร่วมรับฟังรายละเอียดและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ จำนวนกว่า 40 คน ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid-19) ด้วยการรักษาระยะห่าง วัดอุณหภูมิผู้เข้าร่วมงานทุกท่าน และมีเจลแอลกอฮอล์ล้างมือบริการตลอดทั้งงาน ณ ดินคาเฟ่ (Din Cafe) อำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่


ภาพ/ข่าว  เจนกิจ นัดไธสง รายงาน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top