Tuesday, 7 May 2024
Region

สมุทรปราการ- “สมาคมผู้ผลิตน้ำดื่มฯ” วอนหน่วยงานช่วยสำรวจควบคุมราคาน้ำดื่มตามสถานศึกษา หลังพบว่ามีราคาที่สูงกว่าต้นทุนมาก

นายประสิทธิ์ เจตน์ทรงธรรม นายกสมาคมผู้ผลิตน้ำดื่มจังหวัดสมุทรปราการ แถลงข่าว มีความเห็นใจนักเรียนรวมถึงเห็นใจผู้ปกครองที่ต้องซื้อน้ำดื่มในราคาที่สูงกว่าต้นทุนมาก อีกทั้ง ได้มีการสำรวจราคาตามสถานศึกษาหลายแห่งในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ หลังจากการสำรวจพบว่าภายในสถานศึกษาได้มีการนำน้ำดื่มนำมาจำหน่ายให้กับนักเรียนในราคาที่สูงกว่าต้นทุนมาก

โดย นายประสิทธิ์ เจตน์ทรงธรรม นายกสมาคมผู้ผลิตน้ำดื่มจังหวัดสมุทรปราการ เปิดเผยว่า ทางสมาคมผู้ผลิตน้ำดื่มจังหวัดสมุทรปราการ ได้ออกสำรวจราคาน้ำดื่มตามโรงเรียนต่างๆ หรือในสถานศึกษาพบว่ามีราคาที่สูงลิ่ว เมื่อเทียบกับราคาต้นทุน ที่ทางสมาคมผู้ผลิตน้ำดื่มในจังหวัดสมุทรปราการจำหน่ายให้กับทางโรงเรียนต่างๆ ในพื้นที่สมุทรปราการ

ด้วยสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ประกอบกับ โรคโควิด-19 ระบาดส่งผลให้ผู้ปกครองจำนวนมากอยู่ในภาวะที่ลำบาก ขาดเงินหมุนเวียน ต้องพึ่งโรงรับจำนำและแหล่งเงินกู้ที่มีอัตตราดอกเบี้ยที่สูง เพื่อส่งลูกหลานให้ได้เรียนหนังสือและยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงเปิดเทอมในปีการศึกษา 2565-2566 ผู้ปกครองหลายท่านต้องมาประสบกับสภาวะน้ำมันแพงซึ่งมีการปรับตัวในราคาที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อันเนื่องมาจากสภาวะสงครามต่างประเทศ

ทางสมาคมผู้ผลิตน้ำดื่มจังหวัดสมุทรปราการ จึงวอนไปยังหน่วยงานภาครัฐ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการในเขตพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ช่วยสำรวจและช่วยควบคุมราคาน้ำดื่มตามสถานศึกษา เนื่องจาก พบว่าน้ำดื่มบรรจุขวด ขนาด 500-600cc. ได้มีการจำหน่ายให้แก่นักเรียนในราคาที่สูงกว่าต้นทุนมาก โดยทางสมาคมผู้ผลิตน้ำดื่มจังหวัดสมุทรปราการ อ้างว่า ต้นทุนในการผลิตรวมถึงต้นทุนราคาที่ทางสมาคมส่งให้กับตามสถานศึกษาต่างๆ จะอยู่ที่ราคาขวดละ 2.50 บาท 

'โตโยต้า' นำ 'สองแถวไฟฟ้า' ให้ลองใช้ฟรีในเมืองพัทยา ปลุกกระแสพัฒนาเมืองยั่งยืนปราศจากมลภาวะ

'โตโยต้า' เอาด้วย!! นำ 'สองแถวไฟฟ้า' ให้มาทดลองใช้ในพื้นที่เมืองพัทยาจำนวน 12 คัน ในต้นปี 2567 เพื่อพัฒนาเมืองที่ยั่งยืนปราศจากมลภาวะ โดยเมืองพัทยาไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น

ไม่นานมานี้ นายปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ นายกเมืองพัทยา พร้อมด้วยคุณสุรภูมิ อุดมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด และคุณเรวัฒน์ เชี่ยงฉิน ประธานกรรมการ สหกรณ์เดินรถพัทยา จำกัด ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในโครงการพัฒนาเมืองที่ยั่งยืนปราศจากมลภาวะ (ฉบับที่ 2) ซึ่งมีนายวุฒิศักดิ์ เริ่มกิจการ รองนายกเมืองพัทยา เรือตรีปราโมทย์ ทับทิม ปลัดเมืองพัทยา สมาชิกสภาเมืองพัทยา หัวหน้าส่วนราชการ พร้อมด้วยแขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชน เข้าร่วมสักขีพยาน ณ ห้องประชุมทัพพระยา ศาลาว่าการเมืองพัทยา 

การพัฒนาเมืองอัจฉริยะถือเป็นวาระสำคัญ ที่จะพัฒนาเมืองท่องเที่ยวของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายและสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ตลอดจนเพื่อให้สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศตามแนวทางการขับเคลื่อนประเทศไทย ทางพัทยาได้มีแนวทางการส่งเสริมเมืองพัทยา ให้เป็นเมืองท่องเที่ยวอัจฉริยะ ที่พร้อมผลักดันตามนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนให้เมืองพัทยาใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี และนวัตกรรมที่ทันสมัย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการให้บริการ ตลอดจนการลดใช้จ่าย ด้วยการลดการใช้ทรัพยากรของเมือง และประชาชน 

โดยเน้นการออกแบบการมีส่วนร่วมของภาคธุรกิจ ภาคประชาชนในการพัฒนาเมือง ภายใต้แนวคิด การพัฒนาเมืองน่าอยู่ เมืองทันสมัย ให้ประชาชนในเมืองมีคุณภาพชีวิตที่ดี จากโครงการพัฒนาเมืองต้นแบบที่ยั่งยืนปราศจากมลภาวะ (Decarbonized Sustainable City) ที่ได้เริ่มโครงการตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2563 เป็นต้นมา ซึ่งได้เป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันเมืองอัจฉริยะต้นแบบให้แก่ประเทศไทย ทั้งในด้านการเดินทางที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการนำรถยนต์พลังงานไฟฟ้าประเภทต่างๆ มาให้บริการ รวมทั้งรถยนต์เซลล์เชื้อเพลิงขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฮโดรเจน ซึ่งเป็นมิติใหม่ทางด้านพลังงาน เข้ามาใช้ในการเดินทาง อีกทั้งการสร้างสถานีต้นแบบเติมไฮโดรเจนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงแห่งแรกของประเทศไทย

ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวที่สำคัญของเมืองพัทยา ที่จะได้สานต่อความร่วมมือดังกล่าว ในการนำรถยนต์สองแถวไฟฟ้าเข้ามา ทดลอง ภายใต้โครงการ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อเมืองพัทยา ทั้งด้านการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เพื่อเตรียมความพร้อมของเมืองพัทยา ให้ไปสู่เมืองอัจฉริยะผ่านความร่วมมือระหว่าง บริษัท โตโยต้า เมืองพัทยา และสหกรณ์เดินรถพัทยา ภายใต้โครงการความร่วมมือ 'โครงการพัฒนาเมืองที่ยั่งยืนปราศจากมลภาวะ' ที่ทุกภาคส่วนร่วมกับขับเคลื่อนพัฒนาเมืองพัทยา ให้เป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก และเป็นต้นแบบของการจัดการปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและการเดินทางที่ทันสมัย ซึ่งจะนำพาเมืองพัทยาให้เป็นพื้นที่ต้นแบบในการสร้างสมดุลระหว่าง เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม เพื่อก้าวไปสู่เมืองอัจฉริยะ และปราศจากมลภาวะต่อไป

‘หนองบัวลำภู’ พบ ‘ซากฟอสซิล’ ไดโนเสาร์ 3 ชนิด กรมทรัพยากรธรณี คาด!! อายุกว่า 150 ล้านปี

(13 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่บริเวณเทือกเขาภูผาน้อย บ้านห้วยทราย ต.หนองบัว อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู เขตรอยต่อเทือกเขา อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี และ จ.หนองบัวลำภู มีพระภิกษุออกธุดงค์ พร้อมกับชาวบ้านได้ไปพบโครงกระดูกจึงนำกลับมาเก็บรักษาไว้ที่วัดป่าห้วยทรายทองนาคชัยพร โครงกระดูกไดโนเสาร์ที่พบ พระอาจารย์ทองคำ สันตะกาโย เจ้าอาวาสองค์ก่อน ได้เดินออกธุดงค์ประมาณปี 2562 ได้พบโครงกระดูกดังกล่าวฝังอยู่ในดินเป็นจำนวนมาก ซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้าน ประมาณ 1 กิโลเมตร  

และต่อมานายสมเจตน์ จงศุภวิศาลกิจ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู พร้อมคณะ และเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรธรณี เขต 2 กรมทรัพยากรธรณี ได้ออกมาสำรวจและแจ้งว่าชิ้นส่วนของกระดูกที่สงสัยว่าจะเป็นสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์ ซึ่งในเบื้องต้นเป็นไดโนเสาร์ 3 ชนิด คือ ชนิดกินพืช ชนิดกินปลา และชนิดที่กินเนื้อเป็นอาหาร ตรวจสอบพบตัวอย่างซากดึกดำบรรพ์ในชั้นหินทรายเนื้อปนปูน อายุประมาณกว่า 150 ล้านปี ประกอบด้วย กระดูกไดโนเสาร์มีลักษณะคล้ายไดโนเสาร์กลุ่มซอโรพอด คอยาว หางยาว เดิน 4 ขา กินพืชเป็นอาหาร และที่น่าสังเกตคือด้านข้างจะมี ‘บ่อน้ำซับ’ แหล่งน้ำที่ผุดขึ้นตลอดทั้งปี  

โดยนายธงชัย บุตรดี เป็นโยมอุปัฏฐากของวัดป่าห้วยทรายทองนาคชัยพร ได้เล่าให้ผู้สื่อข่าวฟังถึงความลี้ลับว่า ก่อนหน้านี้มีอยู่วันนึ่งภรรยาตนเองได้ฝันว่า มีคนมาชวนไปทำบุญ มาขอต้นกล้วยมาขอใบตอง แต่ในความฝันเขาไม่บอกว่าวัดไหน มีคนมาชวนและจูงแขนภายในความฝัน และบอกภรรยาว่าให้รีบไปทำบุญใหญ่ของบ้านเรา ภรรยาตนเองจึงสอบถามย้ำว่าวัดชื่ออะไร จึงมีคนบอกว่าอยู่บ้านเชียงคาน และวัดในหมู่บ้านชื่อว่าวัดทรายทอง และก่อนหน้านี้ที่บ่อน้ำซับจะมีนายพรานที่ออกล่าสัตว์ เห็นผู้หญิงแต่งตัวสวยงามเดินขึ้นมาจากบ่อน้ำ 4 คน นุ่งสบงเหมือนกับชาววัง ต่อมานายพรานคนดังกล่าวก็มานอนเฝ้าทุก ๆ คืนในวันพระ เพื่อจะได้เห็น เพราะคลั่งไคล้หลงใหลในความสวยงามของหญิงสาวในฝัน แต่วันแล้ววันเล่านายพรานก็ไม่พบเห็นหญิงสาวเหล่านั้นอีกเลย ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีการก่อตั้งวัดป่าห้วยทรายทองนาคชัยพร

ทางด้านนายสุชาติ คุณวงษ์ ผู้ใหญ่บ้านห้วยทราย ได้กล่าวว่า เริ่มแรกชาวบ้านได้ออกไปหาของป่าบนเขาก็ไปพบซากฟอสซิล ต่อมาพระอาจารย์ทองคำ สันตะกาโย เจ้าอาวาสองค์ก่อน พร้อมกับชาวบ้านได้นำซากฟอสซิล หรือโครงกระดูกที่พบมาเก็บรักษาไว้ที่วัดป่าห้วยทรายทองนาคชัยพร และต่อมาได้มีเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพยากรธรณี เขต 2 กรมทรัพยากรธรณี ขอนแก่น พร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ออกมาพิสูจน์พบว่าเป็นชิ้นส่วนของกระดูกสัตว์ยุคดึกดำบรรพ์ ซึ่งในเบื้องต้นเป็นไดโนเสาร์ 3 ชนิด ประมาณกว่า 150 ล้านปี จึงอยากให้มาสร้างพิพิธภัณฑ์ เก็บรักษาไว้ให้ลูกหลาน หรือนักท่องเที่ยวได้เห็น ที่ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นของจริงอยากให้มาเห็นด้วยสายตาตนเอง  

โดยพระอาจารย์ปรีชา ปัญญาสาโร รักษาการเจ้าอาวาสวัดป่าห้วยทรายทองนาคชัยพร ได้กล่าวว่า เนื่องจากเจ้าอาวาสองค์ก่อนได้ย้ายไปจำวัดที่อื่น ทำให้ตำแหน่งเจ้าอาวาสที่วัดแห่งนี้ได้ว่างลง ต่อมาชาวบ้านบ้านห้วยทราย ตำบลหนองบัว อำเภอเมืองจังหวัดหนองบัวลำภู จึงได้เข้าไปพบหลวงพ่อทองพูน ที่วัดป่าภูกระแต เพื่อจะขอพระให้ขึ้นมาจำวัดที่นี่เพื่อให้พาญาติโยมได้ปฎิบัติธรรม โดยหลวงพ่อทองพูนได้ส่งอาจารย์และหลวงปู่ พร้อมกับพระลูกวัดอีก 2 รูป ซึ่งเป็นปฏิปทาของพ่อแม่ครูอาจารย์อยู่แล้ว ในการพาชาวบ้านสวดมนต์ และปฎิบัติธรรมเป็นปกติ 

มาอยู่ช่วงแรก ๆ อาตมาฝันเกือบทุกวันจะฝันเห็นสีกา ลงมาที่วัดวันละ 1 คน บ้าง 2 คนบ้าง ลงมาทุกวัน เป็นพระถ้าฝันแบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องไม่ดี จะอยู่ตรงนี้ได้หรือเปล่าน้อ ซึ่งถ้าฝันเห็นสีกาจะไม่ใช่ทางของธรรมะ จากนั้นจึงเล่าความฝันให้ญาติโยมฟัง ญาติโยมจึงได้ไปสร้างกุฎิหลังเล็ก ๆ ให้อยู่บนภูเขาห่างจากที่เดิม ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เคยฝันเห็นสีกาหรือผู้หญิงอีกเลย ส่วนในความฝันพระอาจารย์มีความรู้สึกว่า ผู้หญิงคนที่พบเห็นเขาเป็นเชื้อพระวงศ์ที่อยู่ในสมัยโบราณ ดูจากการแต่งกายในฝัน ซึ่งตรงนี้อาจจะเป็นเมืองเก่าที่ผู้หญิงคนนี้เคยพักอาศัยอยู่ ซึ่งอาจารย์ก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน

โดยผู้สื่อข่าวได้ตั้งข้อสังเกตว่า อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาดำเนินการ โดยโครงกระดูกไดโนเสาร์ที่พบอายุกว่า 150 ล้านปี ให้คณะนักวิจัยได้นำกระดูกไปทำการวิจัย จนเวลาล่วงเลยมาเกือบ 3 ปี ยังไม่มีการเข้ามาพัฒนาใด ๆ หากการวิจัยศึกษาเรียบร้อย น่าจะสร้างพิพิธภัณฑ์ เพื่อเก็บรักษาร่วมกันพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ และแหล่งท่องเที่ยวของจังหวัดหนองบัวลำภู เพื่อให้นักท่องเที่ยวจากทั่วโลก มาเที่ยวในเมืองรองบ้านเราบ้าง ที่มีสิ่งดี ๆ อีกเยอะเหมาะกับการมาเที่ยวชม และเพื่อเป็นการศึกษาเรียนรู้ให้กับนักเรียนนักศึกษา เดินทางสำรวจแหล่งท่องเที่ยวสายมูตามความเชื่อเกี่ยวกับพญานาค ณ ‘บ่อน้ำซับ’ แหล่งน้ำที่ผุดขึ้นตลอดทั้งปี และเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดหนองบัวลำภูต่อไป

‘พระ-เณร’ สำนักสงฆ์เขาหลักจันทร์ ปลูกผักสวนครัวขาย  หาเงินจ่ายค่าน้ำ-ค่าไฟ หลังชาวบ้านทำบุญน้อยลง

(18 ก.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สำนักสงฆ์เขาหลักจันทร์ หมู่ที่ 12 ต.น้ำผุด อ.เมือง จ.ตรัง พระเคารพ ญาติโก เจ้าสำนักสงฆ์พร้อมด้วยพระลูกวัด ได้ใช้ที่ดินว่างข้างสำนักสงฆ์ฯ และข้างกุฎิพระ เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ ปลูกพืชผักสวนครัวหลากหลายชนิด เช่น ตะไคร้ พริก มะเขือยาว มะเขือเปราะ ถั่วพู ถั่วฝักยาว บวบ และแตงกวา ซึ่งเป็นพืชอายุสั้น สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็ว เพื่อนำออกจำหน่าย หารายได้มาจ่ายค่าน้ำค่าไฟของสำนักสงฆ์ฯ ซึ่งรวมกันไม่ต่ำกว่า 5,000 บาทต่อเดือน

สาเหตุเกิดจากเป็นสำนักสงฆ์ที่อยู่ห่างไกล ประกอบกับชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพกรีดยางพารา ถ้าฝนตกชุก ตกบ่อย ก็จะขาดรายได้ จึงพากันเข้าวัดทำบุญน้อยลง กระทบถึงรายได้ที่ไม่เพียงพอของสำนักสงฆ์ด้วย พระสงฆ์สามเณรจึงต้องช่วยกันปลูกผักหารายได้เสริมอีกทางหนึ่งด้วย

โดยเมื่อเก็บผลผลิตแล้วจะนำใส่ถุง ขายถุงละ 20 บาท เพื่อให้ชาวบ้านที่เดินทางไปทำบุญได้เลือกซื้อ แต่หากชาวบ้านคนไหนไม่มีเงิน ก็หยิบเอาไปกินฟรีได้หรือตามแต่กำลังศรัทธา ซึ่งถือเป็นประโยชน์ 3 ทางคือชาวบ้านได้ช่วยพระ พระได้ช่วยชาวบ้าน และพระได้ออกกำลังกายลดโรค ลดพุงไปในตัว

ซึ่งพืชผักทุกชนิดปลูกไม่เกิน 3 เดือนก็เก็บขายได้ ทั้งยังปลอดภัยจากการใช้สารเคมี เพราะมีการใช้กาวดักแมลง และใช้น้ำหมักชีวภาพ โดยผักที่เหลือจากที่วางขายที่สำนักสงฆ์แล้ว จะมีญาติโยมที่เป็นแม่ค้า นำออกไปช่วยเร่ขายตามบ้าน สร้างรายได้ 400-500 บาทต่อสัปดาห์ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ จึงคิดจะขยายพื้นที่ปลูกผักเพิ่มขึ้น เพื่อให้มีรายได้ไม่ต่ำกว่าวันละ 300 บาท จึงวอนผู้ใจบุญแวะอุดหนุนพืชผักปลอดภัยได้ทุกวัน หรือติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่พระเคารพฯ หมายเลขโทรศัพท์ 083 280 2764

ด้านพระธิติศักดิ์ สุธัมโม พระสำนักสงฆ์เขาหลักจันทร์ กล่าวว่า ผักที่ปลูกมีแตงไข่เข้ ถั่วฝักยาว มะเขือ พริก ตะไคร้ บวบ โดยขายถุงละ 20 บาทเหมือนกันหมด ซึ่งเงินรายได้ส่วนนี้นำไปเสียค่าไฟทั้งนั้น ซึ่งค่าไฟประมาณ 5,000 กว่าบาทต่อเดือน แต่ไม่มีค้างจ่ายเพราะพระอาจารย์จะขอทุกวันพระหรือถ้าไปกิจนิมนต์ก็จะขอด้วย แต่ยังไม่พอ ซึ่งนอกจากจะหาค่าไฟให้วัดแล้ว ชาวบ้านก็ได้ทำบุญด้วยเท่ากับได้มาช่วยวัด ช่วยพัฒนาวัด และได้กินผักปลอดสารพิษ ถือเป็นรายได้ 2 ทางและได้ออกกำลังกาย ตามที่พระอาจารย์เคยสอนว่า กำจัดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตด้วยการออกกำลังกาย เพราะพระฉันของดี ๆ เยอะ จึงทำให้เกิดโรคเบาหวาน ความดัน ไขมันต่าง ๆ จึงแก้ได้ด้วยการออกกำลังกาย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top