Thursday, 15 May 2025
Region

ยะลา – เฝ้าระวังการก่อเหตุก่อนเทศกาล ‘รายอ’ หวั่นตอบโต้กรณีปะทะกรงปินัง

เจ้าหน้าที่เฝ้าระวัง ก่อนเทศกาลรายอ ที่คนร้ายมักใช้ก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ชายแดนใต้ นอกจากนี้จากกรณีเจ้าหน้าที่สนธิกำลังติดตามจับกุมผู้กระทำผิด กฏหมายในพื้นที่บ้านบาตูบือละอ.กรงปินัง จ.ยะลา จนเกิดปะทะกับผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ เป็นเหตุทำให้ทหารพรานพลีชีพ 1 นาย ส่วนโจรใต้ดับ 2 รายมอบตัว 1 ราย

เมื่อวันที่ 6 พ.ค.64 จากกรณีเจ้าหน้าที่สนธิกำลังร่วม 3 ฝ่าย ตำรวจทหาร ฝ่ายปกครอง ทำการติดตามจับกุมผู้กระทำผิด กฏหมายในพื้นที่บ้านบาตูบือละ หมู่ที่ 2 ต.สะเอะ อ.กรงปินัง จ.ยะลา จนเกิดปะทะกับผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ เป็นเหตุทำให้ อส.ทพ.นพรัตน์ สุขสอน อายุ 27 ปี ร้อย.ทพ.4701 ฉก.ทพ.47 ภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 81 หมู่ที่ 5 ต.บ้านกล้วย อ.เมืองสุโขทัย จ.สุโขทัย เสียชีวิต จากการปะทะเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัว นายวันฮาซัน อะซู อายุ 30 ปี บ้านเลขที่ 42/2 หมู่ที่ 10 บ้านแอร้อง ต.ตาเนาะปูเต๊ะ อ.บันนังสตา จ.ยะลา เป็นสมาชิกระดับปฏิบัติการ ต่อมาเจ้าหน้าที่ ศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 10 และเจ้าหน้าที่ ชุด เก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิด(EOD.)เข้าตรวจที่เกิดเหตุบริเวณเชิงเขาป่าสวนยางพาราอย่างละเอียดพบศพคนร้าย จำนวน 2 ราย คือ นายรีสวัน เจ๊ะโซะ อายุ 35 ปี บ้านเลขที่ 58/2 บ้านอุเป หมู่ที่ 9 ต.กรงปินัง อ.กรงปินัง จ.ยะลา สมาชิกกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ระดับปฏิบัติการ และนายอีลียัส เวาะกา อายุ 31 ปี บ้านเลขที่ 9 หมู่ที่ 4 บ้านลูโบะกาโล ต.ปุโรง อ.กรงปินัง จ.ยะลา จนท.สามารถยึดอาวุธปืนสงครามอาก้า (AK-47)ในที่เกิดเหตุ จำนวน 2 กระบอก และอาวุธปืนพกสั้นขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก เหตุเกิดเมื่อเวลา 15.40 น.ของวันที่ 4 พ.ค.64 ที่ผ่านมานั้น

ต่อมาเมื่อวันที่ 6 พ.ค.64 พ.ต.อ.วงศกร เหมือนเขียว ผกก.สภ.อัยเยอร์เวง อ.เบตง จ.ยะลา พร้อมด้วยกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ออกลาดตระเวนบนถนนสายหลัก ยะลา – เบตง และในพื้นที่สุ่มเสี่ยง คอสะพาน ท่อลอด ระบุว่า ในช่วง 10 วัน ก่อนที่จะถึงเทศกาลรายอ ของ ชาวไทยมุสลิมในทุกปีและคาดว่ากลุ่มก่อความสงบอาจจะสร้างสถานการณ์ในการตอบโต้เจ้าหน้าที่ในการปะทะจนทำให้สูญเสียผู้ร่วมขบวนการไป 2 รายโดยคนร้ายจะฉวยโอกาสก่อเหตุหนักยิ่งขึ้น  

อย่างไรก็ตามหน่วยกำลังทหารชุดเฝ้าตรวจชายแดนที่ 4  ตำรวจ  ฝ่ายปกครอง และ กำลังภาคประชาชน ได้เพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบ เพิ่มความถี่ในการ เฝ้าระวังยานพาหนะที่จะเข้ามายังตัวเมือง อย่างละเอียด โดยเฉพาะการค้นหารถยนต์ต้องสงสัย คันล่าสุด เป็นรถยนต์กระบะยี่ห้ออีซูซุ รุ่นดราก้อนอาย ที่แหล่งข่าว แจ้งเตือนว่า เป็นรถที่ประกอบระเบิดสำเร็จแล้ว เตรียมใช้ก่อเหตุเป็นคาร์บอมในเขตเมือง ของพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 

โดยหลังจากนี้ได้เน้นย้ำทุกหน่วยทุกกำลังในพื้นที่ให้เพิ่มความระมัดระวังและดูแลเป้าหมายอ่อนแอในพื้นที่ตลอดจนสาธารณูปโภคต่าง ๆ ที่เป็นสาธารณะที่ประชาชนใช้ประโยชน์ อาทิ เส้นทางสัญจร ถนนสายหลัก สายรอง ระบบการสื่อสารต่าง ๆ ที่ผู้ก่อความไม่สงบเข้ามาทำร้ายทำลายเพื่อตอบโต้เจ้าหน้าที่ ได้เน้นย้ำเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชนในมาตรการการควบคุมพื้นที่และบังคับใช้กฎหมายและขอความร่วมมือมายังพี่น้องประชาชน ได้ช่วยกันเฝ้าระวังและเป็นหูเป็นตา แจ้งเบาะแส หากพบเห็นบุคคลต้องสงสัยเข้ามาเคลื่อนไหวในพื้นที่ ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยเร็วโทร.191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ลำพูน - อบจ.ลำพูน พร้อมด้วย ตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน MOU สร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน

การทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการรักษาความสงบเรียบร้อย การรักษาความปลอดภัยของประชาชนในท้องถิ่น และชุมชน ระหว่าง ตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน และ องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน ประจำปี 2564

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน(อบจ.ลำพูน) ร่วมกับ ตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน  นำโดย นายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ นายก อบจ.ลำพูน พร้อมด้วย พลตำรวจตรี นฤชิต เนียวกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงในการส่งเสริมสนับสนุนและประสานงาน เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการรักษาความสงบเรียบร้อย และการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน พร้อมสนับสนุนนโยบาย แผนงาน โครงการ งบประมาณ และอาสาสมัคร วัสดุอุปกรณ์ เพื่อการรักษาความปลอดภัยของประชาชน ภายใต้ขอบอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือหนังสือสั่งการต่าง ๆ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  ตามกฎหมายระเบียบข้อบังคับ หรือหนังสือสั่งการของกระทรวงมหาดไทย

ทั้งนี้ ทั้งสองหน่วยงานจะได้ประสานความร่วมมือในการบูรณาการสนับสนุนดำเนินการตลอดจนติดตาม ประเมินผลการดำเนินงาน ตามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยอยู่ภายใต้ภารกิจ อำนาจหน้าที่ และไม่ขัดต่อข้อระเบียบ กฎหมาย และหลักศีลธรรมตลอดไป

บันทึกข้อตกลงว่าด้วย ความร่วมมือในการรักษาความสงบเรียบร้อย การรักษาความปลอดภัยของประชาชนในท้องถิ่นและชุมชน ระหว่าง ตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน และ องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน บันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับนี้ ทำขึ้นระหว่าง ตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน และ องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน(อบจ.ลำพูน) เพื่อสร้างนวัตรกรรมที่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นภายใต้ยุทธศาสตร์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 20 ปี ( พ.ศ.2563 - 2580 ) ยุทธศาสตร์ที่ 3 การมีส่วนร่วมของประชาชนในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมอย่างยั่งยืน ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการส่งเสริมให้ประชาชน ชุมชน ท้องถิ่น และองค์กรมีส่วนร่วมในกิจการตำรวจ พ.ศ.2551 และระเบียบคณะกรรมการนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ส.ต.ช.) ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจัดระบบการบริหาร การปฏิบัติงานต้านการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา การรักษาความสงบเรียบร้อย และการรักษาความปลอตภัยของประชาชนให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละท้องถิ่นและชุมชน พ.ศ.2559

โดยมุ่งเน้นให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด และ หัวหน้าสถานีตำรวจทุกหน่วยประสานงานกับผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับนโยบาย แผนงาน โครงการ งบประมาณ และอาสาสมัคร ตลอดจนการติดตามตรวจสอบการปฏิบัติงานของตำรวจ เพื่อเป็นการขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดลำพูน และการส่งเสริมสนับสนุนและ

ประสานการดำเนินงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์แห่งบทบัญญัติดังกล่าวอย่างยั่งยืนต่อไปทั้งสองฝ่ายจึงตกลงความร่วมมือ ดังนี้

1. องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน จะส่งเสริมสนับสนุนและประสานงาน เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการรักษาความสงบเรียบร้อยและการรักษาความปลอดภัยของประชาชน ให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับความต้องการของแต่ละท้องถิ่นและชุมชน ให้คำแนะนำ กำหนดหลักเกณฑ์

วิธีปฏิบัติสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการสนับสนุนนโยบาย แผนงาน โครงการ งบประมาณ และอาสาสมัคร วัสดุ อุปกรณ์ เพื่อการรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชน ภายใต้ขอบอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือหนังสือสั่งการต่งๆ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

2. ตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน จะดำเนินการควบคุม และกำกับดูแลให้หน่วยงานในสังกัดปฏิบัติภารกิจค้านการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา การรักษาความสงบเรียบร้อย และการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้เหมาะสมกับความต้องการแต่ละท้องถิ่นและชุมชน โตยเปิดโอกาสให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน ได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในเรื่อง นโยบาย แผนงาน หรือ โครงการให้เกิดผลสำเร็จภายใต้ชอบอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือหนังสือสั่งการต่าง ๆ ของตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน

ทั้งนี้ ทั้งสองหน่วยงานจะประสานความร่วมมือระหว่างกัน และจะสนับสนุนการดำเนินงาน ตลอดจนติดตามผล ประเมินผลการดำเนินงาน ตามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือให้เกิตประโยชน์สูงสุดทุกระยะ การประสานความร่วมมือและสนับสนุน โดยให้อยู่ภายใต้ภารกิจ อำนาจหน้าที่ และไม่ขัดต่อข้อระเบียบ

กฎหมาย และหลักศีลธรรมอันดีตลอดไป บันทึกข้อตกลงความร่วมมือนี้ จัดทำขึ้นจำนวน 6 ฉบับ มีข้อความถูกต้องตรงกัน ทุกฝ่ายได้อ่านทำความเข้าใจขัอความ ข้อตกลงโดยละเอียดแล้ว จึงได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ ต่อหน้าพยาน ให้ยึดถือโดยบันทึกข้อตกลงที่ได้ลงนามแล้วนี้ ไว้ฝ่ายละ 1 ฉบับ และจะมีผลผูกพันในการปฏิบัติร่วมกัน นับตั้งแต่วันที่ลงนาม (6 พ.ค. 64) เป็นต้นไป


ภาพ/ข่าว  กรรณิการ์  วิจิตรสกลการ ผู้สื่อข่าวภูมิภาคจังหวัดลำพูน

กาฬสินธุ์ – เจ้าของแพอาหารยัน พร้อมเยียวยาหนุ่มสวยหากถูกไฟช็อตเสียชีวิตจริง

ตำรวจ สภ.สหัสขันธ์ จังหวัดกาฬสินธุ์ สอบปากคำพยานเพิ่มเติม เหตุหนุ่มสวยไอดอลนักเดินสายประกวดสาวประเภทสองเสียชีวิตขณะเที่ยวแพอาหาร ด้านน้องสาวพาตำรวจเข้าชี้จุดเกิดเหตุ มั่นใจพี่ชายถูกไฟฟ้าช็อตเสียชีวิต  ขณะที่เจ้าของแพอาหารยันพร้อมเยียวยา หากผลการผ่าพิสูจน์ศพพบว่าถูกไฟฟ้าช็อตจริง วอนโซเชียลฟังความสองด้าน

จากกรณีนายสุทธิชัย ศรีอ่อน หรือน้องทีม อายุ 27 ปี ชาวบ้านนิคมพัฒนา ต.เกาะแก้ว อ.เสลภูมิ จ.ร้อยเอ็ด หนุ่มสวยไอดอลนักเดินสายประกวดสาวประเภทสอง เสียชีวิตขณะไปเที่ยวแพอาหารบริเวณสะพานเทพสุดาข้ามเขื่อนลำปาว อ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม ที่ผ่านมา  เบื้องต้นคาดว่าอาจถูกไฟบนแพอาหารช็อต โดยหลังเกิดเหตุกลุ่มเพื่อนๆได้โพสต์ภาพและข้อความเพื่อขอความเป็นธรรม

 ล่าสุดเมื่อเวลา 15.00 น.วันที่ 6 พฤษภาคม 2564 พ.ต.อ.วิชัย ทองคำ ผกก.สภ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ มอบหมาย พ.ต.ท.โด่งศักดิ์ นนทวงศ์ รอง ผกก. (สอบสวน) และ ร.ต..อ.ชินดนัย เศรษฐรักษา พนักงานสอบสวน สภ.สหัสขันธ์ จ.กาฬสินธุ์ เจ้าของคดีได้เรียกนางสาวภานุมาศ ประเสริฐสังข์ อายุ 20 ปี น้องสาวนายสุทธิชัย และนายเอกรินทร์ บุญรอด เพื่อนนักท่องเที่ยวที่ไปด้วยกัน ซึ่งเป็นพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ ขณะที่นายสุทธิชัยกำลังลงเล่นน้ำและถูกไฟฟ้าช็อตเสียชีวิตมาสอบปากคำ จากนั้นพาไปชี้จุดที่เกิดเหตุ ที่บริเวณแพอาหารวรรณาจุดที่พี่ชายเสียชีวิต

ขณะที่นางวรรณะ มูลตรีบุตร อายุ 48 ปี เจ้าแพอาหารวรรณา ได้เดินทางมาพบกับพนักงานสอบสวน สภ.สหัสขันธ์ แต่ยังไม่ได้เข้าให้ปากคำกับตำรวจ เนื่องจากพนักงานสอบสวนต้องสอบพยานที่เห็นการณ์ และพยานแวดล้อมให้แล้วเสร็จก่อน จึงจะนัดเจ้าของแพมามาสอบปากคำต่อไป

ทั้งนี้นางวรรณะ เจ้าของแพยืนยันว่า หากนายสุทธิชัยถูกไฟฟ้าช็อตจริง ก็พร้อมที่จะรับผิดชอบทุกอย่าง และอยากจะวิงวอนไปถึงคนที่ออกมาแสดงความคิดเห็นในโลกโซเชียลด้วยว่าให้ฟังความทั้งสองด้านด้วย โดยเฉพาะกรณีหลายคนบอกว่าเจ้าของแพไม่รับผิดชอบนั้นไม่เป็นความจริง  ซึ่งตนขอยืนยันอีกครั้งว่าไม่ได้ปฏิเสธความรับผิดชอบอย่างแน่นอน และพร้อมเยียวยา ได้คุยกับญาติบ้างแล้ว แต่ต้องรอผลการผ่าพิสูจน์ศพ และขั้นตอนการสรุปสาเหตุของการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่เสียก่อน

ด้านนางสาวภานุมาศ ประเสริฐสังข์ อายุ 20 ปี น้องสาวนายสุทธิชัย กล่าวว่า ตนมั่นใจว่าสาเหตุพี่ชายเสียชีวิตนั้นถูกไฟฟ้าช็อตแน่นอน เพราะขณะที่ตนพยายามจะเข้าไปช่วยชีวิตพี่ชาย โดยกระโดดถีบและแกะมือพี่ชายออกจากราวเหล็กนั้น มีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านเข้ามาที่ร่างกายของตนจนรู้สึกชา ซึ่งหลังจากร่างพี่ชายล้มลงไปบนแพไม้ไผ่ที่ผูกติดกับแพวรรณาที่ยื่นลงไปในน้ำ ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจนอกเครื่องแบบนายหนึ่ง ทราบชื่อในเวลาต่อมาคือ ร.ต.ต.เสถียร  มาตอำพร รอง สว. (ป.) สอบสวน สภ.เมืองกาฬสินธุ์ ช่วยปฐมพยาบาลโดยการปั้มหัวใจ ก่อนที่จะรู้สึกตัวขึ้นมาระยะหนึ่ง และมีเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาทำการปฐมพยาบาลช่วยกัน จากนั้นนำร่างพี่ชายส่งโรงพยาบาลสหัสขันธ์ สุดท้ายเสียชีวิตดังกล่าว จึงขอยืนยันว่าสาเหตุพี่ชายเสียชีวิตนั้นถูกไฟฟ้าช็อตแน่นอน

ด้าน ร.ต.ต.เสถียร มาตอำพร รองสว.(ป.) สภ.เมืองกาฬสินธุ์ ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์และเป็นคนเข้าไปช่วยปั้มหัวใจ กล่าวว่า วันเกิดเหตุได้นั่งรับประทานอาหารที่แพข้างเคียง ได้ยินเสียงคนตะโกนเรียกให้ช่วยเหลือว่าคนถูกไฟฟ้าช็อต จึงรีบวิ่งเข้าไปช่วยเหลือ เห็นร่างนายสุทธิชัย ขึ้นมาไว้บนแพไม้ไผ่ที่อยู่ติดกับแพใหญ่ ซึ่งขณะนั้นผู้บาดเจ็บยังไม่หมดสติ แต่ไม่สามารถขยับร่างกายและไม่สามารถพูดได้ ตนจึงเข้าไปปั้มหัวใจรอเจ้าหน้าที่ กระทั่งหน่วยกู้ภัยและเจ้าหน้าที่กู้ชีพโรงพยาบาลมาถึง และเข้ามาช่วยเหลือก่อนจะนำตัวส่งโรงพยาบาล

ขณะที่ พ.ต.ท.โด่งศักดิ์ นนทวงศ์ รอง ผกก. (สอบสวน) สภ.สหัสขันธ์ กล่าวว่า ในทางคดีพนักงานสอบสวนได้เชิญพยานที่เห็นเหตุการณ์เพิ่มเติม คือนางสาวภานุมาศ ประเสริฐสังข์ น้องสาวนายสุทธิชัย และนายเอกรินทร์ บุญรอด เพื่อนนักท่องเที่ยวที่ไปด้วยกัน รวมทั้ง ร.ต.ต.เสถียร  มาตอำพร รอง สว. (ป.) สอบสวน สภ.เมืองกาฬสินธุ์ ที่เข้าไปช่วยปฐมพยาบาลคนแรก ขณะที่ในส่วนของเจ้าของแพนั้น จะได้เรียกมาสอบปากคำในวันถัดไป เพราะต้องสอบพยานที่เห็นเหตุการณ์ให้เรียบร้อยก่อน และยังรอผลการผ่าชันสูตรอย่างเป็นทางการ ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่ได้แจ้งข้อหากับใคร

ชลบุรี - กองเรือยุทธการ จัดกิจกรรมบริจาคโลหิตช่วยวิกฤตชาติ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 66 พรรษา

วันที่ 6 พ.ค.64 พล.ร.ท.ชาญชัยยศ  อัฑฒ์สุวีร์ รองผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ ผู้แทนผู้บัญชาการกองเรือยุทธการ เป็นประธานในการจัดกิจกรรม  กองเรือยุทธการบริจาคโลหิตช่วยวิกฤตชาติ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพ 66 พรรษา 2 เมษายน 2564  ณ ห้องคลังเลือด โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี   

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ผู้บริจาคโลหิตมีจำนวนลดลงทั่วประเทศ ทำให้ปริมาณโลหิตสำรองขาดแคลน ไม่เพียงพอต่อความต้องการของโรงพยาบาลต่างๆ รวมทั้งโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ฯ ซึ่งเป็นโรงพยาบาลของกองทัพเรือ และเป็นศูนย์รับบริจาคโลหิตของสภากาชาดไทย ที่รองรับผู้ป่วยในพื้นที่ จ.ชลบุรี และจังหวัดใกล้เคียง เข้าสู่ภาวะวิกฤตของการขาดโลหิต กองเรือยุทธการจึงได้เชิญชวนกำลังพลร่วมกิจกรรมบริจาคโลหิตช่วยวิกฤตชาติฯ ในครั้งนี้

โดยจัดกิจกรรมบริจาคโลหิตฯ ระหว่างวันที่ 6 - 7 พ.ค.64 คาดว่ากำลังพลที่เข้าร่วมกิจกรรม จำนวน 150 นาย กองเรือยุทธการได้จัดกิจกรรมบริจาคโลหิตในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 จากวันที่ 8 ก.พ.64 โดยร่วมกับจังหวัดชลบุรี และจะดำเนินการเป็นระยะไปถึงวันที่ 30 ก.ค.64 หรือจนกว่าสถานการณ์การขาดโลหิตจะบรรเทา เป็นไปตามเจตนารมณ์ของ พล.ร.อ.สุทธินันท์  สมานรักษ์ ผู้บัญชาการกองเรือยุทธการที่ตั้งไว้ สอดคล้องกับนโยบายกองทัพเรือในการแก้ปัญหาการขาดแคลนโลหิตในภาพรวมของประเทศ


ภาพ/ข่าว  สมนึก เชื้อสนุก

สระบุรี - ประธานผู้บริหาร"สระบุรีวณิชชากร กรุ๊ป" มอบทุนทรัพย์สนับสนุนซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ และสร้างอาคาร ICU ให้กับโรงพยาบาลสระบุรีและโรงพยาบาลพระพุทธบาท มูลค่ากว่า 1.5 ล้านบาท

วันที่ 6 พ.ค.64 เวลา 10.30 น. ณ อาคารสำนักงาน หจก.สระบุรีวณิชชากร ตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรี จังหวัดสระบุรี ท่านดร.มงคล ศิริพัฒนกุล ประธานบริหาร สระบุรีวณิชชากร กรุ๊ป มอบทุนทรัพย์เพื่อสนับสนุนโครงการจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์และสร้างอาคารและห้องแรงดันลบ (Negative Pressure Room) ICU​ คล้ายโรงพยาบาลสนาม​ ของโรงพยาบาลสระบุรี เพื่อให้สามารถใช้รองรับการรักษาผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อไวรัส​โค​โร​นา​2019​ ซึ่งแพร่กระจายได้ทางอากาศและผู้ป่วยโรคโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงได้มอบเงินจำนวน 1,000,000 บาท เป็นจุดเริ่มต้นโดยมีนายแพทย์อนันต์ กมลเนตร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสระบุรี พร้อมคณะ เข้ารับมอบโดยมีนายธนาพล จีรเดชภัทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเทพศิรินทร์ พุแค สระบุรี นายสุชนต์ สิงห์เหนี่ยว เลขาฯ ผอ.รพ.สระบุรี ร่วมเป็นเกียรติในพิธีมอบในครั้งนี้

จากนั้น ดร.มงคล ศิริพัฒนกุล ได้มอบทุนทรัพย์สนับสนุนเพื่อนำไปจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ที่จะนำมาให้บริการแก่ประชาชนที่เจ็บป่วยที่มาใช้บริการของโรงพยาบาลพระพุทธบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 500,000 บาทมีนายแพทย์ธงชัย เขมรัตน์ตระกูล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลพระพุทธบาทพร้อมคณะ เป็นผู้แทนรับมอบมีนายธนาพล จีรเดชภัทร์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเทพศิรินทร์ พุแค สระบุรี ร่วมมอบด้วย ดร.มงคล​ ศิริพัฒนกุล​ ได้กล่าวว่าเราต้องร่วมช่วยกันในยามที่บ้านเมืองมีวิกฤต​ ในสถานการณ์ปัจจุบัน อุปกรณ์ทางการแพทย์เช่นออกชิเจน​  อาคารICU ที่ขาดแคลนและมีความสำคัญมาก โดยทุกโรงพยาบาลจำเป็นต้องมีอุปกรณ์ที่ครบครัน เช่น เครื่องช่วยหายใจ เพื่อใช้ช่วยชีวิตคนไข้ได้อย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาและเปลี่ยนคนไข้จากกลุ่มสีแดง ที่มีอาการรุนแรง เพื่อไปยังกลุ่มสีเหลือง ซึ่งมีอาการไม่รุนแรง ให้ผ่านวิกฤตและปลอดภัย จนไปสู่กลุ่มสีเขียว ที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อยรวมทั้งเพื่อเพิ่มความปลอดภัยและปกป้องบุคลากรทางการแพทย์ขณะเคลื่อนย้ายผู้ป่วยและระหว่างการตรวจรักษาผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จึงต้องนึกถึงความสำคัญของการดูแลบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อจากการดูแลรักษาผู้ป่วยได้อีกด้วย/ดำรงค์ชื่นจินดารายงาน

นครพนม - ตร.นครพนม รวบแก๊งยาเสพติดข้ามชาติ ได้ของกลางยาบ้า 770,000 เม็ด

วันที่ 6 พฤษภาคม 2564 ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม (บก.ภ.จว.นครพนม) นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม พร้อมด้วย พลตำรวจตรี ธนชาติ รอดคลองตัน ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครพนม พ.ต.อ.จตุรงค์ มหิทธิโชติ ผกก.สืบสวน บก.ภ.จว.นครพนม  ร่วมกับเจ้าหน้าที่หน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง (นรข.) ตำรวจตระเวนชายแดน 235 ธาตุพนม (ตชด.235) ตำรวจน้ำธาตุพนม ด่านศุลกากร และทหารชุดปฏิบัติการพิเศษที่ 2 ศูนย์อำนวยการป้องกันปราบปรามยาเสพติดภาคตะวันออกเฉียวเหนือ (ชป.2 ชอน.) และศูนย์อำนวยการปราบปรามยาเสพติดฯ (ศอ.ปส.ภ.จว.นครพนม)

ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 4 ราย พร้อมของกลางยาบ้า 770,000 เม็ด รถยนต์ toyota รุ่น fortuner หมายเลขทะเบียน ชพ 1071 กรุงเทพมหานคร และรถยนต์ toyota รุ่น altis หมายเลขทะเบียน กจ 8148 มุกดาหาร ภายหลังการจับกุมได้เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2564 หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกก.สืบสวนภ.จว.นครพนม ได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดลักลอบลำเลียงยาบ้าจากพื้นที่อำเภอธาตุพนมเข้าสู่พื้นที่ตอนใน

โดยภายหลังได้รับแจ้งเจ้าหน้าที่ได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันวางแผนสกัดกั้นจับกุม กระทั่งเวลา 21:50 น. เจ้าหน้าที่ได้รับแจ้งว่าขบวนการดังกล่าวได้นำรถยนต์ Toyota fortuner ไปจอดไว้ที่บริเวณหน้าโรงเรียนวัดพระธาตุพนม พนมวิทยาคาร เจ้าหน้าที่จึงได้ดักซุ่มรอกระทั่งเวลาผ่านไป 10 นาที ก็มีรถเก๋ง toyota  altis วิ่งเข้ามาจอดด้านข้างและมีชาย 2 คนลงมาขึ้นรถส่วนคนขับรถเก๋งได้ขับรถออกไปด้วยความเร็ว เมื่อเห็นดังนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่อีกชุดติดตามคนขับรถเก๋งไป

หลังประสานงานเรียบร้อยได้เข้าแสดงเพื่อตรวจค้น ซึ่งบุคคลในรถมีอาการตกใจและพยายามวิ่งหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงได้วิ่งตามกระทั่งสามารถควบคุมตัวไว้ได้ และเมื่อตรวจสอบภายในรถพบมีกระสอบยาบ้า จำนวน 770,000 เม็ด บรรจุในกระสอบสีขาววางอยู่ด้านหลังรถ ส่วนเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมอีกชุดได้ขับรถไล่ติดตามรถเก๋ง altis ไปเรื่อย ๆ กระทั่งรถเก๋งคันดังกล่าวได้ไปจอดอยู่บริเวณถนนชยางกูร หน้าร้านข้าวต้มถูกใจ เพื่อรับเพื่อนอีกคน เมื่อเห็นเป็นจังหวะที่เหมาะมีความปลอดภัย เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แสดงตัว เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่บุคคลทั้ง 2 ได้พยายามวิ่งหลบหนีแต่ไปไม่รอด เจ้าหน้าที่สามารถวิ่งไล่ติดตามควบคุมตัวไว้ได้ จึงได้นำผู้ต้องหาทั้งหมดพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

จากการสอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่าได้รับการว่าจ้างจากนายทุนชาวไทยให้มารับยาบ้าของกลางที่ลักลอบนำเข้ามาทางเรือหางยาวจากประเทศเพื่อนบ้านในพื้นที่ อ.ธาตุพนม เพื่อเตรียมส่งไปขายยังพื้นที่ตอนในของไทย โดยได้รับค่าจ้างประมาณ 1 แสนบาท โดยผู้ต้องหาเคยรับจ้างมาแล้วหลายครั้งกระทั่งถูกจับได้ในครั้งนี้ ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้มีการเพิ่มมาตรการเข้มในการสกัดกั้นปราบปรามจับกุมขึ้นไปอีก เพราะปัจจุบันพบว่าขบวนการลักลอบค้ายาเสพติดมีการพัฒนารูปแบบในการลักลอบลำเลียง ทั้งการลอยน้ำมา การทำบรรจุภัณฑ์ให้มีขนาดเล็กลงแต่ได้ปริมาณยาเสพติดเท่าเดิม รวมถึงรูปแบบอื่น ๆ อีก อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ยังคงมีมาตรการในการตั้งด่านตรวจด่านสกัดควบคู่ไปกับการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 รวมถึงมีการบูรณาการหน่วยงานความมั่นคงและประชาชนในการร่วมกันหาข่าวและสกัดกลั้นจับกุม ปราบปรามผู้เสพรายย่อย ผู้ค้ารายเล็กและรายใหญ่ โดยเน้นการขยายผลถึงผู้บงการทุกราย


ภาพ/ข่าว  สุเทพ หันจรัสผสข.นครพนม

นราธิวาส - ผบ.ฉก.นราธิวาส ตรวจเยี่ยม กำชับหน่วยทหารพรานในพื้นที่ เพิ่มมาตราการ ควบคุมพื้นที่ ในห้วง 10 วันสุดท้าย แห่งเดือนรอมฎอน

วันที่ 6 พฤษภาคม 2564 พลตรีไพศาล หนูสังข์ ผู้บัญชาการกองพลทหาราบที่15 / ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส เดินทางลงพื้นที่ ตรวจเยี่ยมหน่วย มอบนโยบาย ข้อสั่งการ พร้อมทั้ง เพื่อรับทราบแนวความคิดในการปฏิบัติงานด้านการข่าว ด้านยุทธการ และ ด้านกิจการพลเรือน  รวมถึงรับฟังแนวคิดการเพิ่มประสิทธิภาพในการปฎิบัติงาน และแผนการปฎิบัติที่สำคัญงานในห้วงต่อไป ของหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานในพื้นที่ จังหวัดนราธิวาส จำนวน 2 หน่วย ซึ่งมีการปรับเปลี่ยนผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานใหม่ ได้แก่ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 45 อำเภอระแงะ  โดยมี พันเอก ทวีรัตน์ เบญจาทิกุล ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 45 เพิ่งเข้ารับตำแหน่งใหม่ และ และ หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 49 อำเภอศรีสาคร  โดยมี พันเอก จิรวัฒน์ จุฬากาญจน์ ผู้บังคับการกรมทหารพรานที่ 49 เพิ่งเข้ารับตำแหน่งใหม่  ร่วมให้การต้อนรับ พร้อมทั้งร่วมรับฟังนโยบาย พร้อมกำลังพลของหน่วย

โดย ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส ได้มอบนโยบาย ข้อสั่งการสอบถามข้อขัดข้องในการปฎิบัติงาน พร้อมทั้งเน้นย้ำการปฏิบัติงาน ของชุดปฎิบัติการจรยุทธ์ ต้องอยู่ในความไม่ประมาท การรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ กำชับเพิ่มมาตราการ ควบคุมพื้นที่ ในห้วง 10 วันสุดท้าย แห่งเดือนรอมฎอน ย้ำ!!!! ไม่ให้เกิดเหตุ  เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพี่น้องประชาชน พร้อมทั้งการเฝ้าตรวจให้เป็นไปตามสั่งการของ ผอ.รมน.ภาค4 การใช้ระเบียบการนำหน่วย มอบแนวทางการเฝ้าระวัง ป้องกัน การสังเกตุการณ์  รวมทั้งเน้นย้ำผู้บังคับหน่วย เรื่องสวัสดิการ สิทธิกำลังพล โดยฝากความห่วงใยแก่กำลังพล ให้ดูแลตนเอง และเฝ้าติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส Covid -19 อย่างใกล้ชิด


ภาพ/ข่าว  ปทิตตา หนดกระโทก ผู้สื่อข่าวนราธิวาสรายงาน

ชุมพร - ศรชล.ประสานช่วยเหลือเรือประมง ถูกพายุซัดจม 2 ลำ เสียชีวิต 1 คน

วันนี้ 6 พ.ค.64 เวลา 08.30 น.ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล จังหวัดชุมพร (ศรชล.จังหวัดชุมพร) โดย น.อ.กิตติพงษ์ พุ่มสร้าง รอง ผอ.ศรชล.จังหวัดชุมพร ในนามของ ผอ.ศรชล.จังหวัดชุมพร และศูนย์ควบคุมความมั่นคงท่าเรือ จังหวัดชุมพร (ศคท.จังหวัดชุมพร)  ได้รับแจ้งจาก นายวัชรินทร์ สุวพิศ ปลัด อบต.สะพลี อ.ปะทิว จ.ชุมพร ว่า เกิดเหตุเรือประมงพื้นบ้าน เป็นเรือไฟเบอร์ติดเครื่องยนต์แบบหางยาว  จำนวน 2 ลำ ถูกพายุฝนซัดและจมลงบริเวณหน้าแหลมคอกวาง ต.นาทุ่ง อ.เมือง จ.ชุมพร

เบื้องต้นทราบว่ามีผู้เสียชีวิตเป็นหญิง 1 ราย เรือจมหายไป และมีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เป็นชาย 1 ราย ได้รับการช่วยเหลือกลับเข้าฝั่งพร้อมร่างผู้เสียชีวิต โดย พ.ต.ท.วินัย นิ่มฟัก สว.ส.รน.1 กก.6 บก.รน. สั่งการให้ ร.ต.อ.วสุ บัวจีน รอง สว.(ทนท.ทางน้ำ) ส.รน.1 กก.6 บก.รน. พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจชุดปฏิบัติการ รวม 4 นาย นำเรือตรวจการณ์ 532 ออกทำการค้นหาเรือประมงที่สูญหายและกู้เรือประมงที่จม บริเวณหน้าแหลมคอกวาง โดยเจ้าของเรือที่รอดชีวิตพร้อมทีมงานได้ร่วมเดินทางไปด้วย

นาย นรินทร์ เต็งประยูร อยู่บ้านเลขที่ 74 ม.9 ต.นาชะอัง อ.เมือง จ. ชุมพร เจ้าของเรือที่รอดชีวิต ที่เดินทางไปพร้อมกับเรือตรวจการณ์ 532 เพื่อไปร่วมกู้เรือของตนเองที่จม และร่วมค้นหาเรือประมงที่สูญหายเป็นเรือไฟเบอร์ ยาว 10 เมตร กว้าง 1.6 เมตร ลึก 60 เซนติเมตร เป็นเรือหางยาว เอกสารได้จมพร้อมกับเรือ  ส่วนเรืออีกลำที่สูญหายเป็นเรือลักษณะเดียวกัน โดยได้ร่วมกับเรือประมงพื้นบ้านกู้เรือของ นายนรินทร์ฯ นำกลับเข้าฝั่ง ส่วนเรืออีก 1 ลำ ที่สูญหายยังอยู่ระหว่างการค้นหา 

จากการสอบถาม นายอุดม ธนบัตร อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 72 หมู่ที่ 9 ตำบลบ้านนา อ.เมือง จ.ชุมพร ที่รอดชีวิตอีกลำหนึ่งทราบว่า ได้นำเรือออกไปตกหมึกและตกปลากับ นางสาวจุรีรัตน์ อ่ำศรี อายุ 38 ปี ภรรยา ห่างจากฝั่งประมาณ 130 เมตร ได้เกิดฝนตกหนักลมพายุพัดกระหน่ำอย่างรุนแรง จนเรือจมลงตนได้ลอยพยุงตัวอยู่ในน้ำอีกมือหนึ่งจับเสื้อภรรยาที่ไปด้วยกันเอาไว้ พยุงตัวจนสามารถนำภรรยาเข้าถึงฝั่งได้ แต่ภรรยาเกิดอาการสะอึกและอาเจียนออกมาเป็นเลือดนอนแน่นิ่ง เป็นเหตุให้เสียชีวิต ดังกล่าว


ภาพ/ข่าว ศรชล.ภาค 1

นิราช / นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน

นราธิวาส – ทหารพราน 48 เดริเวอร์รี่ ห่วงใย ส่งข้าวกล่องพร้อมกำลังใจ สู้ภัยโควิด-19

เมื่อวันที่ 5 พ.ค.64 เวลา 1500 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่48 จัดกิจกรรม ทหารพราน48เดริเวอร์รี่ ห่วงใย ส่งข้าวกล่องพร้อมกำลังใจ สู้ภัยโควิด19 ในพื้นที่ บ้านไอสะเตีย บ้านกูเว บ้านบือราแง ต.บูกิต อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส โดย เนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าว มีประชาชนส่วนหนึ่งต้องตกอยู่ในภาวะลำบาก ขาดแคลนอาหาร ของใช้จำเป็น และยารักษาโรค พันเอก เอกพล เลขนอก ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่48 เล็งเห็นความสำคัญถึงปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ ได้มอบหมายให้ฝ่ายกิจการพลเรือน จัดกำลังพลชุดปฏิบัติการกิจการพลเรือนทั้งชายและหญิง ร่วมกับผู้นำท้องถิ่น และมวลชนจิตอาสาญาลันนันบารู จัดทำข้าวกล่องนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชน พร้อมทั้งใส่ในตู้ปันสุข ทั้งยังเข้าช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนในพื้นที่ ส่งอาหารกล่องสำเร็จรูป เครื่องอุปโภคบริโภค, ข้าวสาร, อาหารแห้ง หน้ากากอนามัย แอลกอฮอล์ล้างมือ พร้อมทั้งการช่วยเหลืออื่น ๆ แบบเดริเวอรี่ให้แก่ประชาชนถึงที่พักอาศัย

โดยกิจกรรมนี้มุ่งเน้นในการเข้าช่วยเหลือประชาชนที่มีความเดือดร้อนอย่างมาก ที่อยู่ห่างไกล โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้ยากไร้ ผู้พิการ และผู้ป่วยติดเตียง ที่ไม่สามารถเดินทางออกมารับความช่วยเหลือด้วยตนเองได้ พร้อมทั้งได้ประชาสัมพันธ์ถึงวิธีการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 อย่างถูกวิธีตามหลัก DMHTT ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่รู้จักป้องกันตนเองและครอบครัว และเพื่อเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้กำลังพลทุกนายที่ออกปฏิบัติภาระกิจต่างป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด โดยการสวมหน้ากากอนามัย และล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ทุกครั้งก่อนหยิบจับหรือส่งอาหารให้แก่ประชาชน และปฏิบัติตามหลักการของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข อย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 อีกด้วย


ภาพ/ข่าว  แวดาโอ๊ะ​ หะไร​ จ.นราธิวาส

สงขลา - ชาวบ้านจะนะ ขอให้นายกรัฐมนตรี เร่งผลักดัน “เมืองต้นแบบที่ 4” ให้เป็นรูปธรรมโดยเร็ว เชื่อแก้ปัญหาว่างงาน และยากจนได้แน่

จากการเปิดเผยของกลุ่มประชาชนใน อำเภอจะนะ จ.สงขลา ที่ต้องการให้โครงการ “เมืองต้นแบบที่ 4” เกิดขึ้น ที่ อ.จะนะ ได้กล่าวกับ ผู้สื่อข่าวว่า โครงการ เมืองต้นแบบที่ 4 ขาดการ ขับเคลื่อนที่เป็นรูปธรรม หลังจากที่ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปรับเปลี่ยนบทบาทจากผู้ที่เข้ามาดำเนินการในด้านการสร้างความเข้าใจ และการพัฒนาในพื้นที่ไปเป็นฝ่ายอำนวยการให้กับหน่วยงานที่เข้ามา ขับเคลื่อนโครงการเมืองต้นแบบแห่งนี้ ตามคำสั่งของ ค.ร.ม.รวมทั้งยังมีการตั้งให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช. เกษตรและสหกรณ์และคณะมาตรวจสอบว่าการดำเนินการทั้งหมดที่ผ่านมาของ ศอ.บต.,สำนักงานที่ดิน, โยธาธิการ มีความถูกต้อง เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่

ต่อมาหลังจากที่ผ่านพ้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน ซึ่งมีเรื่องของ เมืองต้นแบบที่ 4 รวมอยู่ด้วย แต่การอภิปรายไม่มีน้ำหนัก ข้อมูลไม่ชัดเจน และผู้ถูกอภิปราย ชี้แจงได้ชัดเจนรวมทั้งมีการตรวจสอบแล้ว พบว่าการดำเนินการของ ศอ.บต. สำนักงานโยธาธิการ และ สำนักงานที่ดินเป็นไปตามระเบียบที่กฎหมายกำหนด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จึงมีคำสั่งให้มีการดำเนินการ ขับเคลื่อนเมืองต้นแบบต่อไปโดย มี ศอ.บต. และ กอ.รมน.เป็น ฝ่ายเลขานุการอำนวยการ ให้กับหน่วยงานที่เข้ามารับผิดชอบ การเกิดขึ้นของปัญหาข้างต้น ซึ่งทำให้โครงการ เมืองต้นแบบที่ 4 หยุดชะงัก ไปถึง 5-6 เดือนแล้ว

ตัวแทนของกลุ่มผู้ต้องการเห็นการพัฒนาพื้นที่ อ.จะนะ ได้กล่าวว่า ขอให้ นายกรัฐมนตรี สั่งการให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการขับเคลื่อน ให้ เมืองต้นแบบที่ 4 เดินหน้าได้มีการลงพื้นที่ทำการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง เพื่อให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรม เพื่อสร้างความมั่นใจว่า อำเภอจะนะ และ จังหวัดชายแดนภาคใต้จะได้มีการพัฒนาอย่างแน่นอน เพราะสถานการณ์ของคนในพื้นที่คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะนี้ทวีความลำบากได้รับความเดือดร้อน จากการที่ในพื้นที่ไม่มีงานทำ เมื่อก่อนคนส่วนใหญ่ ที่ไม่มีที่ดินทำกิน ไม่มีอาชีพ ได้ไปรับจ้าง ขายของ อยู่ร้านอาหาร และขายแรงงาน ทั้งก่อสร้าง และตัดยาง ทำสวนปาล์ม ทำประมง แต่ 2 ปีมานี้ ต้องกลับมาอยู่บ้าน เพราะปัญหาของ”โควิด 19” และเข้าใจว่าในอนาคตข้างหน้าแรงงาน ที่เคยทำงานในมาเลเซีย หลายหมื่นคน จะตกงานอย่างถาวร  วันนี้เราลำบากจริงๆ และมีคนที่ ตกงาน 30,000- 40,000 คน ในพื้นที่ 3 จังหวัด 4 อำเภอ ของสงขลา

รัฐบาลต้องเร่ง ขับเคลื่อน ให้โครงการเมืองต้นแบบเกิดขึ้นโดยเร็ว ต้องเป็นรูปเป็นร่างภายใน 2-3 ปี จึงจะสามารถช่วยให้ คนในพื้นที่ และ ใน 3 จังหวัดได้มีงานทำ รวมทั้งผู้จบการศึกษา ที่ยังไม่มีงานทำ ในพื้นที่อีกจำนวนหนึ่ง และที่จบใหม่ทุกปีอีกจำนวนหนึ่งที่อยู่ในสภาพของคนว่างงาน ต้องช่วยครอบครัวทำอาชีพเดิม ๆ ทำสวน ทำไร่ ทำนา ซึ่งเป็นอาชีพที่ พอเลี้ยงตัว แต่ไม่มีอนาคต

วันนี้คนที่มีอาชีพประมงพื้นบ้านอาจจะไม่เดือดร้อน เพราะในทะเลยังมีสัตว์น้ำให้จับมาขาย แต่คนอาชีพอื่น ๆ เดือดร้อน และต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง เห็นการเกิดขึ้นของ อุตสาหกรรม เพื่อที่จะมีงานทำ และมีโอกาสลงทุน การค้าขาย การทำธุรกิจอื่น ๆ ที่ตามมากับการเกิดขึ้นของโครงการขนาดใหญ่ จึงขออ้อนวอน ให้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ หน่วยงาน ที่ท่านให้เข้ามา ขับเคลื่อน เมืองต้นแบบที่ 4 ที่ อ.จะนะ ได้ลงมือ ขับเคลื่อน ให้เห็นเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน

อย่างไรก็ตามในขณะที่ ฝ่ายราชการยังขับเคลื่อนด้วยความล่าช้า ซึ่งอาจเพราะมีปัญหาการระบาดของ ‘โควิด-19’ รอบใหม่ ทำให้ทุกอย่างต้องหยุดชะงักลงชั่วคราว แต่ในส่วนของ บริษัท  ทีพีไอ โพลีน พาวเวอร์ จำกัด ( มหาชน ) ได้มีการ เดินหน้าไปมากแล้ว ตั้งแต่การ ทำ เอ็นโอยู กับ บริษัทต่างชาติ และ บริษัทในประเทศ ที่สนใจเข้ามาลงทุน ในโครงการ พลังงานไฟฟ้า อุตสาหกรรมการแปรรูป การประมง การผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรมต่าง ๆ และขณะนี้ บริษัท ได้ให้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ดำเนินการวิจัยในประเด็นต่าง ๆ ที่สำคัญ ๆ เพื่อสร้างความมั่นใจและมีคำตอบในทุกปัญหาที่เป็นข้อข้องใจของกลุ่มที่ ‘เห็นต่าง’ และต้องการคำตอบในประเด็นที่นำมาเป็นข้อโต้แย้งในโครงการนี้มาโดยตลอด


ภาพ/ข่าว  นายปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์ / หาดใหญ่ จ.สงขลา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top