Friday, 9 May 2025
PoliticsQUIZ

‘สว.’ ลุกลี้ลุกลน!! ล้ำหน้า ถึงขั้นจะถอดถอน ‘พ.ต.อ.ทวี’ รัฐมนตรียุติธรรม หลัง ‘ดีเอสไอ’ จ่อรับเป็นคดีพิเศษ จากการถูกร้องเรียน ‘ฮั้ว’ จัดทำโพย

(22 ก.พ. 68) สว.ออกอาการลุกลี้ลุกลนเกินเหตุ ล้ำหน้าถึงขั้นจะถอดถอนรัฐมนตรียุติธรรม โดยไม่ได้ดูข้อเท็จจริงการได้มาของตัวเอง

ลุกลี้ลุกลนเกิน สว.ชุดน้ำเงิน หลังดีเอสไอ จ่อรับไว้เป็นคดีพิเศษ จากการถูกร้องเรียน ‘ฮั้ว’ จัดทำโพย และผลการเลือกเป็นไปตามโพย 138 คน จาก 140 คน ติดสำรองอยู่อีก 2 คน

ลุกลี้ลุกลน เพราะเมื่อข่าวจาก พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม และอธิบดีดีเอสไอออกมาว่า จะขอรับทำเป็นคดีพิเศษ สมาชิกวุฒิสภาสายน้ำเงินที่กำลังจัดสัมมนากันอยู่ที่หวดสวนสน หัวหิน กลางคืนร้องรำทำเพลงกันสนุกสนาน แต่พอมีข่าวดีเอสไอจะรับทำเป็นคดีพิเศษ รีบแจ้งกำหนดการแถลงข่าวโต้ดีเอสไอทันทีในเวลา 10.00 น.

เดิมให้ พล.อ.เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา แถลงเพียงคนเดียว แต่พอเช้าขึ้นมาถึงเวลาแถลงข่าวตามนัด สว.เดินมายืนเรียงหน้ากันเต็มหมด รวมถึงมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภาด้วย เข้าใจว่าได้มีการประเมินสถานการณ์แล้ว ‘ค่อนข้างแรง’ ต้องตั้งการ์ดดี ๆ กับข้อกล่าวหาหนัก ‘อั้งยี่-ซ่องโจร’ อันเป็นคดีอาญา ไม่ใช่คดีผิด พรป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาอย่างเดียวแล้ว สมาชิกวุฒิสภากะเล่นหนักถึงขั้นถอดถอนรัฐมนตรียุติธรรม

สำหรับเนื้อหาในหนังสือลับด่วนที่สุด ซึ่งดีเอสไอแจ้งไปยัง กกต. ระบุว่า การสืบสวนปรากฏข้อเท็จจริงว่ามีขบวนการจัดตั้งให้ได้มาซึ่ง สว. มีการวางแผนให้มีผู้สมัครระดับอำเภอ กลุ่มละ 5 คน รวม 100 คน ในระดับอำเภอ 928 อำเภอ ค่าตอบแทนระดับอำเภอ 5,000 บาท ระดับจังหวัด 10,000 บาท ระดับประเทศ 4 หมื่นถึง 1 แสนบาท และถ้าได้ สว.มากกว่า 120 คน จะได้เพิ่มจำนวน 100,000 บาท

หลังจากวันที่ 16 มิ.ย.67 ภายหลังผ่านการคัดเลือกระดับจังหวัด ขบวนการได้นัดหมายผู้สมัครระดับประเทศ ไปจัดทำโพยฮั้ว สว. ในพื้นที่ 3 จังหวัด มีการจ่ายมัดจำ 2 หมื่นบาท ส่วนที่เหลือจะได้รับหลังการรับรองผลการสืบสวนยังพบโพยฮั้ว สว. มีหมายเลข จำนวน 2 ชุด กลุ่มละ 7 คน รวม 140 คน โดยพบผู้สมัครอยู่ในขบวนการประมาณ 1,200 คน สำหรับโพยฮั้ว 2 ชุด พบว่าเป็นผู้ได้รับเลือก 138 คน และอยู่ในลำดับสำรอง 2 คน

ดีเอสไอประสงค์ที่จะรับดำเนินการสอบสวนในส่วนที่พบการกระทำผิดทางอาญาไว้ดำเนินการ เนื่องจากกลุ่มขบวนการมีการวางแผนที่สลับซับซ้อน กระทำการอุกอาจมิได้เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง มีความเกี่ยวข้องกับบุคคลที่ยังไม่ได้พิสูจน์ทราบอีกจำนวนมาก จำเป็นต้องใช้วิธีการรวบรวมหลักฐานเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบร่องรอยการติดต่อสื่อสาร เส้นทางการเงิน สถานที่จัดประชุม วางแผน สถานที่พบปะติดต่อ พิสูจน์ทราบกลุ่มบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญด้านไอที ที่เข้ามาร่วมสนับสนุนการ กระทำความผิดของกลุ่มขบวนการ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีความพร้อมด้านบุคลากร และเครื่องมือทางด้าน เทคโนโลยีที่จะใช้ในการรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อพิสูจน์ทราบเครือข่าย และองคาพยพของกลุ่มขบวนการทั้งหมด นอกจากนี้ พยานสำคัญอาจจำเป็นต้องเข้าสู่กระบวนการให้ความคุ้มครองพยาน เพราะเหตุที่พยาน อาจเกรงกลัวต่ออันตรายแก่ชีวิตร่างกาย

ประเด็นคือ สมาชิกวุฒิสภา ควรจะได้พิจารณาข้อเท็จจริงให้แจ่มชัดว่า ข้อกล่าวหาเป็นอย่างไร ผิดกฎหมายไหนบ้าง แล้วพิจารณาข้อเท็จจริง ข้อเท็จจริงว่า มีฮั้วจริงไหม มีโพยให้เลือกจริงหรือไม่ นัดไปรวมพลกันสามจังหวัดเพื่อรับโพย และซักซ้อมกันจริงหรือไม่ รับเสื้อสีเหลือง นั่งรถตู้มาด้วยกันจริงหรือไม่

แต่สมาชิกวุฒิสภาชุดสวนสนกลับรีบลุกขึ้นมาตอบโต้ และชี้ไปด้วยว่าดีเอสไอไม่มีอำนาจทำคดีนี้ ซึ่งอาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดีเอสไอจะรับส่วนไหนไปทำ แต่กลับออกอาการเกินเหตุ จริงๆ ก็แค่ยุงรำคาญตอนหัวค่ำ แต่กลับ ยิงสลุตออกไปถึงขั้นจะยื่นถอดถอนรัฐมนตรีทวี สอดส่อง มันล้ำหน้านะ

‘อัครเดช’ แถลงชัด!! แก้กม.ค้าของเก่า ไม่ส่งผลกระทบต่อ ‘ซาเล้ง - ร้านขายของเก่า’ที่ดี พร้อมเตรียมเพิ่มโทษ!! ‘จำคุก’ ร้านของเก่าที่ไม่ทำตามกฎหมาย ลดปัญหา รับซื้อของโจร

(22 ก.พ. 68) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 พรรครวมไทยสร้างชาติ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กรรมาธิการการอุตสาหกรรมได้มีการพิจารณา พ.ร.บ.ควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า พ.ศ.2474 โดยได้เชิญผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย เช่น ผู้ค้าของเก่า อธิบดีกรมการปกครอง มาร่วมให้ข้อมูล โดยในที่ประชุมได้มีการพิจารณาถึงการแก้ไขกฎหมายฉบับดังกล่าว

การแก้ไขกฎหมายฉบับนี้มีสาเหตุมาจากปัจจุบันมีการลักขโมยทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และของทางราชการเป็นจำนวนมาก ซึ่งสร้างความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชน และงบประมาณของประเทศอย่างสูง และเมื่อทาง กมธ.อุตสาหกรรม ได้พิจารณาถึงปัญหาดังกล่าวพบว่ามีสาเหตุจาก พ.ร.บ.ควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า พ.ศ.2484 ยังมีช่องว่างทางกฎหมายจากบทลงโทษที่ไม่มีประสิทธิภาพในหลายส่วน เช่น 

การกำหนดโทษกรณีผู้รับซื้อของเก่าไม่บันทึกข้อมูลการรับซื้อมีโทษปรับเพียง 2,000 บาท โดยที่ผ่านมาร้านรับซื้อของเก่าที่รับซื้อของโจรยอมที่จะโดนปรับ 2,000 บาท เนื่องจากโทษปรับดังกล่าวน้อยกว่ากำไรที่จะได้รับจากการค้าของโจร ทำให้เป็นปัญหาและอุปสรรคต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ในส่วนของกรมการปกครองในการปฏิบัติงานเป็นอย่างยิ่ง กรณีนี้ทาง กมธ.อุตสาหกรรม และกรมการปกครอง มีความเห็นตรงกันว่าจะต้องมีการแก้ไขกฎหมายในส่วนบทลงโทษร้านรับซื้อของเก่าที่ไม่บันทึกข้อมูลผู้ขายให้มีโทษจำคุกจากเดิมมีเพียงโทษปรับ เพื่อลงโทษร้านรับซื้อของเก่าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด กฎหมายฉบับนี้จะเป็นการปกป้องร้านรับซื้อของเก่าที่ปฏิบัติตามกฎหมายจะไม่ต้องถูกข้อกล่าวหาเรื่องรับซื้อของโจรอีกด้วยถ้าลงบันทึกการรับซื้อถูกต้อง 

ความกังวลเรื่องบันทึกการรับซื้อ ได้มีการหารือกับตัวแทนผู้รับซื้อของเก่าว่าควรจะมีการปรับปรุงรูปแบบการบันทึกข้อมูลจากเดิมที่เป็นการบันทึกแบบจดด้วยมือลงสมุดเพียงอย่างเดียวในอนาคตจะเพิ่มเป็นรูปแบบที่ทันสมัยยิ่งขึ้นผ่านการใช้เทคโนโลยี เช่น การลงบันทึกผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น ลงบันทึกผ่านเว็บไซต์หรือผ่านแอปพลิเคชัน เป็นต้น เพื่อง่ายและเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ร้านรับซื้อของเก่าและมีความชัดเจนเพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถตรวจสอบแหล่งที่มาของของเก่าที่ถูกนำมาขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อติดตามจับกุมผู้กระทำความผิดได้ในกรณีที่ทรัพย์นั้นหรือของเก่าที่นำมาขายนั้นถูกโจรกรรมหรือถูกขโมยมา

ซึ่งในพ.ร.บ.จะไม่มีการกำหนดการลงบัญชีรับซื้อในพ.ร.บ.ให้มีรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเป็นการเฉพาะ แต่จะให้เป็นหน้าที่ของกรมการปกครองต้องหารือร่วมกับผู้ประกอบการหรือตัวแทนร้านรับซื้อของเก่า เพื่อหารูปแบบที่เหมาะสมช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการและมีประสิทธิภาพในการติดตามผู้กระทำความผิดโดยจะออกเป็นกฎกระทรวงต่อไป

นอกจากนี้ยังมีผู้ไม่หวังดีได้ให้ข้อมูลที่ไม่ตรงกับความจริงว่า ผู้รับซื้อของเก่ารายย่อย หรือรถซาเล้งที่ตะเวนรับซื้อของเก่าจะได้รับผลกระทบจากการแก้ไขกฎหมายในครั้งนี้ ซึ่งตนขอยืนยันว่าไม่เป็นความจริง กฎหมายฉบับนี้จะไม่มีผลกระทบใด ๆ ไปยังผู้ตระเวนรับซื้อของเก่าหรือซาเล้งแต่อย่างใด เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้บังคับใช้เฉพาะร้านรับซื้อของเก่าเท่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับรถซาเล้งแต่อย่างใด

ดังนั้นกฎหมายฉบับนี้จะทำให้ทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนและทรัพย์สินของราชการมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้นและยังจะเป็นการปกป้องร้านรับซื้อของเก่า ที่ดีและปฏิบัติตามกฎหมาย แต่สำหรับผู้ที่จะได้รับผลกระทบคือโจร รวมถึงร้านรับซื้อของเก่าที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายคือมีเจตนารับซื้อของโจรเพื่อหากินกับทรัพย์สินของทางราชการและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนที่ถูกลักขโมยมาขาย

โดยปัจจุบันกฎหมายฉบับนี้อยู่ระหว่างการเสนอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร บรรจุลงในระเบียบวาระของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร และเมื่อกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้จะทำให้การลักทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนและราชการลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ 

ตนขอฝากไปยังร้านรับซื้อของเก่าที่ปฏิบัติตามกฎหมายว่าไม่ต้องกังวลกับการแก้ไขกฎหมายค้าของเก่า เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้จะเป็นการปกป้องท่าน และที่สำคัญรถซาเล้งจะไม่ได้รับผลกระทบจากกฎหมายฉบับนี้แต่อย่างใด โปรดอย่าหลงเชื่อบุคคลผู้ไม่หวังดีที่ปลุกปั่นข่าวที่ไม่เป็นความจริง

ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาประธานอาเซียน ให้สัมภาษณ์ ขณะลงพื้นที่ รร.สัมพันธ์วิทยา อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส

(23 ก.พ. 68) ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษาประธานอาเซียน ให้สัมภาษณ์ ที่ รร.สัมพันธ์วิทยา อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส ถึงการลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในครั้งนี้ 
ว่า มีความตั้งใจที่อยากเห็นสันติสุขเกิดขึ้น

‘เท้ง ณัฐพงษ์’ ลั่น!! ‘พรรคประชาชน’ ชนะเลือกตั้งปี 70 ได้แน่ ยัน!! สมัยนี้ ไม่ไปร่วมรัฐบาล ย้ำ!! มีข้อมูลแน่น พร้อมอภิปราย

(23 ก.พ. 68) นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคประชาชน ร่วมบรรยายในหัวข้อ "การเมืองไทย ในทรรศนะ เท้ง-ณัฐพงษ์" ว่า วันนี้พูดคุยหัวข้อการขับเคลื่อนงานทางการเมือง โดยเฉพาะที่มีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล รวมถึงเตรียมพูดเกี่ยวกับการขับเคลื่อนงานทางการเมืองของพรรคประชาชนและผลงานช่วงที่ผ่านมานับจากพรรคก้าวไกลถูกยุบจนถึงปัจจุบัน เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นของสมาชิกพรรคให้เดินทางต่อ ถึงความคืบหน้าในการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญสะดุดลง เนื่องจากมีการข่มขู่ว่าหากเดินหน้าลงมติ จะมีการยื่นร้องส่งศาลรัฐธรรมนูญ  พร้อมกล่าวถึงกระบวนการคัดเลือก สว.ที่เป็นประเด็นอยู่ในขณะนี้ เชื่อว่าหากเป็นไปตามหลักฐานที่ปรากฏ ชี้ว่ากระบวนการเลือก สว. ครั้งนี้ไม่โปร่งใส

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า สำหรับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ เปิดเผยว่ามีการได้รับข้อมูลจากคนในพรรคร่วมรัฐบาล แต่ขอไม่เปิดเผยชื่อหรือรายละเอียด ซึ่งจะเป็นการคุ้มครองบุคคลดังกล่าว โดยชี้ประเด็นการอภิปรายไม่มั่นใจไปที่ความไม่โปร่งใส ในการบริหารราชการแผ่นดิน และรอยร้าวของคนในพรรคร่วมรัฐบาลที่ไม่สามารถผลักดันนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภาได้

ส่วนกรณี 44 สส.ถูกยื่นตรวจสอบจริยธรรม นายณัฐพงษ์เปรียบ “หยักไหล่” แล้วเดินหน้าทำงานฝ่ายนิติบัญญัติต่อไป เชื่อว่าทุกคนไม่มีข้อกังวลใจว่าจะหลุดหรือไม่หลุดจากตำแหน่ง เพราะหากมีความกังวลการเดินหน้างานในสภาผู้แทนราษฎรจะหยุดชะงักลง ทุกการกระทำและการแสดงออกสะท้อนให้เห็นว่าไม่ได้กังวลใจในส่วนนี้ และไม่อยากให้มองว่าเป็นเรื่องปกติที่ใครจะต้องโดน

หัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงการที่ปรับวิธีการสื่อสารเกี่ยวกับนโยบายของพรรคว่า ไม่ได้หมายความว่าจะสูญเสียหลักการ หรือทำให้หลักการน้อยลง แต่ยอมรับว่าที่ผ่านมาต้องทำการบ้านหนักเรื่องการสื่อสารกับฝ่ายเห็นต่าง ซึ่งในวันอังคารที่ 25 ก.พ.นี้พรรคประชาชนจะเปิดแคมเปญ รับสมัคร สก. เปิดสนามเลือกตั้ง กทม. ส่วนบุคคลที่จะส่งชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. อยู่ระหว่างการเจรจาพูดคุย

"เชื่อว่าจุดแข็งของพรรคประชาชนมี สส.ในสภาฯ ทำให้ผลักดันวาระต่างๆได้ พร้อมวิเคราะห์จุดแข็งของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. ว่ามีความตั้งใจทำงาน แต่สิ่งที่ยังเป็นปัญหา คือการแก้ไขปัญหาฝุ่นPM2.5" นายณัฐพงษ์ กล่าว

นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า ถ้าพรรคประชาชนยังตั้งใจทำงานในการเลือกตั้งปี 2570 เชื่อว่าชนะการเลือกตั้งได้ ถ้าชนะเลือกตั้งมาแล้วกลุ่มชนชั้นนำจะยอมให้เป็นรัฐบาลหรือไม่ไม่สามารถตอบได้แต่หน้าที่ขณะนี้คือเดินหน้าต่ออย่างเต็มที่ โดยหยิบยกคำพูดของนายปิยบุตร แสงกนกกุล  อดีตเลขาฯพรรคอนาคตใหม่ กล่าวไว้ว่าจะต้องชนะการเลือกตั้ง เพื่อนำใบอนุญาตใบที่1 ในการรัฐบาลให้ได้ก่อน และประกาศชัดเจนในสมัยรัฐบาลชุดนี้ไม่ไปร่วมรัฐบาลแน่นอน

“สิ่งที่เกิดขึ้นในการจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมาเห็นว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศเสียเวลาไปเยอะ โดยเฉพาะการสลับขั้วการเมืองไปมา แต่สิ่งที่จะทำให้ผลักดันนโยบายเชิงโครงสร้างอย่างแรกหนีไม่พ้นการได้เสียงจากประชาชนเกิน 20 นั้นเสียงเพื่อทำให้มีพลังมากพอที่จะผลักดันวาระต่างๆได้ ดังนั้นในสภาสมัยนี้ไม่มีวันไปร่วมรัฐบาลแน่นอน และมั่นใจว่าเพื่อนที่ร่วมเดินทางมาไม่มีใครย้ายค่าย ตอนที่ยุบพรรคอนาอนาคตใหม่มาก้าวไกลทุกคนมาด้วยกันทุกคน“ นายณัฐพงษ์ กล่าว

นายณัฐพงษ์ กล่าวถึงการจับขั้วทางการเมืองในการเลือกตั้งครั้งหน้า ว่าอยู่ที่ข้างหน้าพรรคภูมิใจไทยออกมาประกาศจุดยืนตัวเองอย่างไร และจุดยืนแต่ละพรรคการเมือง ยกตัวอย่างครั้งหน้าว่าหากจำเป็นต้องจับมือกับพรรคร่วม ต้องลงนามMOU การแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องอยู่ในวาระตกลง  ส่วนโอกาสการยุบสภานั้นชี้ว่าอยู่ที่รอยร้าวของพรรคร่วมรัฐบาลเอง หากเกิดเอ็กซิเดนท์ทางการเมืองระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีโอกาสยุบสภาสูง

ช่วงท้าย นายณัฐพงษ์ ได้เปิดใจถึงเรื่องส่วนตัวแบบไม่เคยพูดที่ไหน  ยอมรับว่าเป็นคนพูดน้อย เซฟโซนที่สุดคืออยู่บ้าน กับครอบครัว กับภรรยา อยู่เฉยๆ ถ้าอยู่เฉยๆ แล้วไม่ได้พูดอะไร ขอให้รู้ไว้ว่าเป็นการสื่อสารรูปแบบหนึ่ง ตอนที่มีชื่อเสนอเป็นหัวหน้าพรรค ก็ปรึกษาภรรยา ภรรยาก็บอกว่าทำได้ วันหนึ่งถ้าไม่รับอาจจะเสียใจหรือไม่

นายณัฐพงษ์ ยังกล่าวว่า ตนและภรรยายังไม่อยากมีลูก เพราะคุยกับภรรยาแล้วว่ามีแล้ว ในสังคมของเรา ถือว่ามีแล้วลำบาก ไม่ใช่เพราะฐานะเราไม่สามารถมีได้ แต่ไม่อยากส่งลูกไปเรียนพิเศษ อยากให้ใช้ชีวิตธรรมดา เพราะเราเองก็เรียนโรงเรียนรัฐบาล อยากให้มีสังคมตามความเป็นอยู่ที่แท้จริง

นอกจากนี้ สส.กทม.พรรคประชาชน ยังอัพเดทงานช่วง 1 ปีครึ่ง นำโดยนางสาวศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์, นายภูริวรรธก์ ใจสําราญ, นายณัฐพงศ์ เปรมพูลสวัสดิ์ และนางสาวรักชนก ศรีนอก เช่น การขับเคลื่อนแก้ปัญหาฝุ่นPM2.5 ที่เคยเสนอญัตติด่วนเพื่อเสนแแนะแนวทางแก้ปัญหาต่อรัฐบาลแล้ว ,ปัญหาเรื่องผังเมืองสืบเนื่องถึงปัญหาการจราจรติดจัด ที่หารือสำนักจราจร กทม. ซึ่งหวังว่าจะมีการนำระบบ AI มาใช้แก้ปัญหา และเสนอการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นมีอำนาจในการแก้ไขปัญหาโดยตรง 

‘ทักษิณ’ ลงใต้!! ‘วันนอร์’ ไหว้สวย รอต้อนรับ บาดลึกไปถึงขั้วหัวใจ คนสามจังหวัดชายแดนใต้

(24 ก.พ. 68) เสียงระเบิดดังสนั่นสนามบินนราธิวาส ก่อน ทักษิณ ชินวัตร ลงเครื่องเพียงไม่กี่นาที และภายในอาคารสนามบินก็มี “วันมูหะหมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่หลายคนอยู่ในนั้นด้วย เพื่อรอรับการมาเยือน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ในรอบ 20 ปีของทักษิณ

ต้องยอมรับความจริงว่า ไฟใต้รอบใหม่เกิดจากน้ำลายของทักษิณ ที่พ่นออกมาช่วงเป็นนายกรัฐมนตรี ”โจรกระจอกแค่ 20 กว่าคน“

คำว่าโจรกระจอก หมายถึงคนที่ไม่ได้มีจุดยืน หรืออุดมการณ์อะไร ไม่ใช่กลุ่มคนที่มีแนวคิดแบ่งแยกดินแดน ผู้นำได้ข้อมูลที่ผิดพลาด นำมาสู่การตัดสินใจในเชิงนโยบายผิดพลาด และก่อปัญหาใหญ่

ทักษิณได้ข้อมูลผิดพลาด นำมาสู่การตัดสินใจยุบศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) หน่วยงานด้านการพัฒนา จิตวิทยามวลชน ยุบ พ.ต.ท.43 กองกำลังผสมพลเรือน ทหาร ตำรวจ ที่มีหน้าที่ในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้

4 มกราคม 2547 เสียงปืน เสียงระเบิดแผดก้องขึ้นกับปฏิบัติการ”ปล้นปืน“ในค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (ค่ายปิเหล็ง) นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเสียงปืน เสียงระเบิดไม่เคยเงียบหาย 20 ปีเต็ม กับงบประมาณ 3 แสนล้านที่ต้องสูญเสียไป รวมถึงเลือดเนื้อ ชีวิต ทรัพย์สิน การสูญเสียโอกาส สูญเสียผู้นำครอบครัว มีผู้บาดเจ็บพิการเกิดขึ้นมากมาย บ้างต้องอพยพครอบครัวหนีเอาตัวรอดไปปักหลักทำมาหากินในจังหวัดอื่น

นี้คือผลงานที่ทักษิณเอื้อนเอ่ยแค่คำว่า ”ขออภัย“ แต่น้ำเสียงคนในสามจังหวัดภาคใต้ต้องการให้ทักษิณ ”ขอโทษ“ โดยเฉพาะความประมาทเลินเล่อของเหตุการณ์ตากใบ ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 80 คน

20 ปีผ่านไป บาดแผลในใจของพี่น้องในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังหยั่งลึก ร้าวรานใจยิ่งนัก แม้ทักษิณจะยังเรียกหาสันติสุขด้วยความมั่นใจในการจับมือกับมาเลเซีย และความร่วมมือของคนในพื้นที่ ความสงบสุข สันติสุขจะเกิดขึ้นในไม่ช้าแค่ปีสองปีนี้

แต่คนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้คงจะร้าวรานใจยิ่งนักกับภาพที่ปรากฏ ”วันนอร์“ ซึ่งเป็นบุคคลที่พี่น้องมุสลิมนับถือเป็นตัวแทนของพระเจ้า กลับไปต้อนรับ ยกมือไหว้ทักษิณ ซึ่งน่าจะไม่เหมาะสมยิ่งนัก เพราะวันนอร์แบกตำแหน่งประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎรไปด้วย หรือน้ำตาของวันนอร์ได้เหือดแห้งไปแล้ว หลังได้รับตำแหน่ง แต่น้ำตาของพี่น้องในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังนองหน้ากับเหตุการณ์ที่ทักษิณก่อไว้ มันบาดลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ

ยิ่งเห็นภาพวันนอร์ไปยืนต้อนรับและยกมือไหว้ทักษิณมันยิ่งปวดลึก เช้าวันนี้วงน้ำชากาแฟในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และจังหวัดใกล้เคียงคงจะคุยกันถึงเรื่องนี้เป็นแน่แท้ แม้ทักษิณจะบินกลับมานอนกลับฝันดี แต่เชื่อว่า คนของพรรคประชาชาติหลายคนคงนอนฝันร้าย เมื่อหลับฝันถึงภาพล้มสบายของพรรคประชาชาติกับปรากฏการณ์ ‘ไหว้ทักษิณ’ ในวันนี้

สลับภาพกลับไปในวันที่วันนอร์เปิดบ้านให้ ”บิ๊กโจ๊ก“ พล.ต.อ.สุรเชษษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร.นำสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ประธาน ป.ป.ช.)เข้าพบ ก็น่าจะเป็นภาพที่ไม่เหมาะสม เมื่อฝ่ายหนึ่ง (บิ๊กโจ๊ก)ล่ารายชื่อ 25000 ชื่อ ยื่นถอดถอนสุชาติพ้น ป.ป.ช.โดยยื่นผ่านวันนอร์ และเสียงที่พูดคุยกันหลุดออกมาคือพอจะมีช่องทางตีตกคำร้องขอถอดถอนได้ ทั่วๆที่ไม่ใช่หน้าที่ในการตีตกคำร้อง มีหน้าที่แค่ตรวจสอบความถูกต้องของผู้ร่วมลงชื่อ และเป็นไปรษณีย์ส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้กรรมการ ป.ป.ช.ด้วยกันเลือกสุชาตินั่งเป็นประธานเก้าอี้ร้อนอยู่จนถึงวันนี้

นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชช.) กล่าวว่า พรรคประชาชนอยู่ระหว่างรวบรวมรายชื่อเพื่อถอดถอนนายสุชาติ ตระกูลเกษมสุข ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จากกรณีคลิปหลุดเป็นเรื่องจริง ซึ่งมีมติพรรคแล้ว ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนการรวบรวม เพราะเรามีประมาณ 141 คน เป็นจำนวนที่เฉียดฉิว แต่มั่นใจว่าเพียงพอ

ปรากฏการณ์ทั้งสอง เป็นเรื่องของการวางตัวที่ไม่เป็นกลาง ไม่เหมาะสมยิ่งของ ‘วันนอร์’ ในฐานะประมุขของฝ่ายนิติบัญญัติ

‘อังคณา’ ถาม!! ‘ทักษิณ’ ขออภัยตากใบ แล้วจะคืน ศพคนถูกอุ้มฆ่าไหม ย้ำ!! ต้องการ ความจริง ความยุติธรรม ต้อง ‘นำตัวคนผิดมาลงโทษ’ ให้ได้

(24 ก.พ. 68) จากกรณีที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและที่ปรึกษาประธานอาเซียน กล่าว “ขออภัย” ต่อเหตุการณ์สลายชุมนุมที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส และเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ จ.ปัตตานี เมื่อปี 2547 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ รวมถึงสูญหายจำนวนมาก ระหว่างการลงพื้นที่ชายแดนใต้ในวันที่ 23 กุมภาพันธ์

ช่วงเย็นวันเดียวกัน (23 กุมภาพันธ์) ที่บ้านศรียะลา จ.ยะลา นายทักษิณกล่าว “ขออภัย” ต่อโศกนาฏกรรมปี 2547 อีกครั้งว่า วันนี้บอกกับ จ.นราธิวาส และ จ.ปัตตานีแล้ว อยากจะบอกพี่น้องมุสลิมชาวยะลาว่าตอนช่วงผมเป็นนายกฯผมมีความตั้งใจอยากแก้ปัญหา แน่นอนว่าคนทำงานมีผิด มีพลาดบ้าง หากมีผิด มีพลาด หรือมีสิ่งไหนที่พี่น้องชาวมุสลิม ซึ่งเป็นคนรักสันติสุขและรู้จักให้อภัยกัน ผมก็ขออภัยด้วยที่อาจทำอะไรผิดพลาดไปในอดีต แต่ต้องให้รู้ว่าไม่มีความคิดที่เลวร้าย ตั้งใจ แต่อาจจะไม่ถูกใจ หรือผิดพลาดบ้าง ก็ขออภัยด้วย และขออวยพรให้พี่น้องชาวมุสลิมที่กำลังจะเข้าสู่เดือนรอมฎอนมีแต่ความสุข ได้บรรลุในสิ่งที่ท่านอยากทำตามพระเจ้าในช่วงเดือนรอมฎอน ขอแสดงความยินดีล่วงหน้า

ขณะที่ นางอังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ระบุถึงเรื่องนี้ว่า ขออภัยตากใบ แล้วจะคืนศพคนที่ถูกอุ้มฆ่าให้ญาติไหม จะคืนความเป็นธรรมโดยนำคนผิดมาลงโทษไหม หรือแค่ขอโทษตอนหมดอายุความ #การบังคับสูญหายไม่มีอายุความ สิ่งที่เหยื่อต้องการคือ #ความจริงและความยุติธรรม

‘ลอรี่ พงศ์พล’ แจง!! การขนย้ายกากพิษ ‘วินโพรเสส’ เป็นผลงาน ‘รมว.เอกนัฏ’ พร้อมแบ่งปัน!! หาก ‘สส.ฝ่ายค้าน’ ต้องการเคลม แค่ให้เป็นประโยชน์กับปชช.

(24 ก.พ. 68) จากกรณีการอ้างถึงการขนย้ายอลูมิเนียมดรอสในพื้นที่จังหวัดระยอง ซึ่งเป็นที่พูดถึงในโซเชียลมีเดีย ว่าเป็นผลงานของกระทรวงอุตสาหกรรม หรือ สส.ฝ่ายค้านในพื้นที่ ตามที่มีการกล่าวอ้างนั้น นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ลงพื้นที่ บริษัท วิน โพรเสส จำกัด เพื่อคุมเข้มและติดตามการขนย้ายตะกรันอลูมิเนียมหรืออลูมิเนียมดรอส ล็อตแรกทั้ง 7,000 ตัน ในทุกขั้นตอน 

โดยได้เริ่มขนย้ายเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 ที่ผ่านมา นำไปบำบัดกำจัดอย่างถูกวิธีตามหลักวิชาการโดยบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี 
กระทรวงอุตสาหกรรม โดยนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ใช้อำนาจทางกฎหมายตามอำนาจศาลเบิกเงินประกันของโรงงาน จำนวน 4 ล้านบาท มาดำเนินการขนย้ายอลูมิเนียมดรอส จำนวน 7,000 ตัน ซึ่งปัจจุบันมีการขนย้ายไปแล้วกว่า 4,600 ตัน และมีแผนระยะยาว โดยจะดำเนินการของบกลาง จำนวน 40 ล้าน เพื่อขนย้ายกรดพิษอื่นๆ อีกกว่า 23,000 ตันออกจากพื้นที่ให้ครบถ้วน 

 "การแก้ไขมหากาพย์กากอุตสาหกรรม ที่วินโพรเสสที่ยืดเยื้อมายาวนานเป็นสิบปี ทำให้คลี่คลายในเวลาแค่ 5 เดือนแรก หลังจาก รมว.เอกนัฏ เข้ามารับช่วงตำแหน่ง ย่อมสะท้อนการขับเคลื่อนโดยภาครัฐที่เอาจริงเอาจัง ซึ่งประชาชนนั้นคงจะทราบดี ซึ่งไม่ว่า สส. ฝ่ายค้านในพื้นที่ ต้องการเคลมอ้างถึงการลงมาจัดการขนกากดังกล่าว ทางกระทรวงอุตสาหกรรมไม่มีปัญหา แค่ให้ผลลัพธ์เป็นประโยชน์กับประชาชนในพื้นที่มากที่สุด การบูรณาการทำงานร่วมกันอย่างสร้างสรรค์สามารถเข้ามาพบปะหารือกันได้ แต่การนำเสนอข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เกี่ยวกับการบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมต่างๆ ควรนำเสนอข้อมูลบนพื้นฐานขั้นตอนอย่างถูกวิธีตามหลักวิชาการ เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดและเกิดกระแสความไม่พอใจได้ 

ซึ่งหาก สส. ฝ่ายค้านในพื้นที่ท่านใด อยากมีส่วนร่วมในการทำงานในหลายๆจังหวัดที่กระทรวงอุตสาหกรรม ลงไปพังทุนสีเทา ปราบสินค้าไม่ได้มาตรฐานปราบโรงงานเถื่อน ก็สามารถแจ้งมากับ ทีมชุดตรวจการสุดซอยของกระทรวงอุตสาหกรรมได้เสมอ" นายพงศ์พล กล่าวทิ้งท้าย

‘ธนกร’ จี้ ตั้งศูนย์ปราบอาชญากรรมออนไลน์ระหว่างประเทศ พร้อมจัดการเอาผิดขั้นเด็ดขาดเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์

‘ธนกร’ หนุน รัฐบาลเอาจริงปราบต่อเนื่องแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จี้ ตั้งศูนย์ปราบอาชญากรรมออนไลน์ระหว่างปท. เร็วที่สุด ฝาก ฝ่ายมั่นคงซีลชายแดนเข้ม คัดแยก-ป้องกันเครือข่ายทะลักเข้าไทย

(26 ก.พ.68) นายธนกร วังบุญคงชนะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ รองหัวหน้าพรรคและสส.บัญชีรายชื่อพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวภายหลังที่รัฐบาลร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง และประเทศเพื่อนบ้านทั้งเมียนมา กัมพูชา อินโดนีเซีย ที่สำคัญคือจีน ในการร่วมมือแก้ปัญหาปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง ว่า มาตรการต่าง ๆ ที่ออกมาแก้ปัญหานั้นได้ผลเป็นรูปธรรมชัดเจน ทำให้สถิติประชาชนถูกหลอกลวงลดลงอย่างเห็นได้ชัด ตนขอสนับสนุนให้รัฐบาล ฝ่ายความมั่นคง เดินหน้าร่วมกับทุกประเทศ จัดการเอาผิดขั้นเด็ดขาดกับเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยเฉพาะคีย์แมนคนสำคัญที่อาจเป็นข้าราชการระดับสูง ตำรวจ ทหาร หรือส่วนท้องถิ่นก็ตาม ที่รู้เห็นเป็นใจอำนวยความสะดวกให้แก่พวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เครือข่ายค้ามนุษย์ กลุ่มคนพวกนี้จะต้องได้รับโทษหนัก เพื่อไม่ให้กลับมาทำผิดอีก ซึ่งจะช่วยลดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนคนไทย โดยที่ผ่านมาก็ทราบดีว่าเรื่องนี้ได้ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ประเทศไทย รวมถึงกระทบต่อเศรษฐกิจการท่องเที่ยวอย่างมาก

นอกจากนี้ขอฝากเจ้าหน้าที่ทุกหน่วยงานทั้งตำรวจทหารและฝ่ายความมั่นคง วางกำลังซีลสกัดเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลายสัญชาติที่ขณะนี้ถูกปล่อยลอยแพในเมียวดี ประเทศเมียนมากว่า 7,000 คน ไม่ให้ทะลักเข้ามาในประเทศไทยได้ จึงต้องมีการคัดกรองตรวจสอบประวัติให้ละเอียด ว่าใครเป็นเครือข่ายกลุ่มผู้กระทำความผิดและใครเป็นเหยื่อ เพื่อประสานความร่วมมือดำเนินการในขั้นตอนต่อไป ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการตั้งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ระหว่างประเทศขึ้นโดยเร็วเพื่อประสานความร่วมมือระหว่างกันและส่งตัวกลุ่มเครือข่ายทั้งหมดกลับไปยังประเทศต้นทาง

“เป็นเรื่องดีที่ทราบว่าวันศุกร์นี้นายกฯจะไปดูพื้นที่ด้วยตัวเอง ซึ่งบ่งบอกถึงการให้ความสำคัญว่าเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ต้องมีการจัดการปราบปรามอย่างจริงจังขั้นเด็ดขาด เพื่อไม่ให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เหล่านี้กลับมาสร้างความเสียหายให้กับประเทศได้อีก และเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนคนไทยให้ปลอดภัยจากการถูกหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ขอฝากทั้งตำรวจและกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กระทรวงมหาดไทยเร่งสร้างการรับรู้ให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยไซเบอร์ รู้เท่าทันกลลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อซ้ำอีก” นายธนกร กล่าว

สส. ภูมิใจไทย - ประชาธิปัตย์ รุมจี้ถาม ‘ธนดล’ ปมสอบที่ดินปากช่อง มองเป็นการกลั่นแกล้งการเมือง

‘กมธ.ปกครอง’ เดือด สส.ภท.-ปชป. จี้ถาม ‘ธนดล’ เหตุตรวจสอบที่ดินปากช่อง มองเป็นการกลั่นแกล้งการเมือง ไม่ห่วงแรนโช ชาญวีร์-ทอสคาน่า-โบนันซ่า แต่ห่วงประชาชนที่ได้ที่ดินมาถูกต้อง

(26 ก.พ. 68) ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมคณะกรรมาธิการการปกครอง สภาผู้แทนราษฎร มีการพิจารณาศึกษาแนวทางการแก้ไขปัญหา การทับซ้อนที่ดินของรัฐ กรณีศึกษาพื้นที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีการเชิญ นายธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูล โดยมี นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย เป็นประธาน

นายกรวีร์ กล่าวว่า เราได้ติดตามและเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของกรรมาธิการในเรื่องของปัญหาที่ดินทับซ้อน ซึ่งมีการลงพื้นที่ของนายธนดล ในพื้นที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา จึงนำมาเป็นกรณีศึกษา อย่างแรกก็ขอชื่นชมและขอบคุณคณะทำงานหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาศึกษาและลงพื้นที่ ซึ่งก่อนหน้านี้กรรมาธิการเองก็ได้ศึกษาปัญหาที่ดินทับซ้อนมาก่อนแล้วพบว่าที่ดินของ ส.ป.ก.หลายแห่งมีทั้งการถูกบุกรุก และใช้ผิดวัตถุประสงค์ จึงได้ขอสอบถามเบื้องต้นถึงขอบเขตและอำนาจในการตรวจสอบ

ด้านนายธนดลชี้แจงว่า ตนเป็นคณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเป็นประธานตรวจสอบที่ดิน ส.ป.ก.ทั้งหมด 72 จังหวัด จากการที่รัฐมนตรีแต่งตั้งตนตาม พ.ร.บ.บริหารราชการแผ่นดินปี 2534 และใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.การปฏิรูปที่ดินปี พ.ศ.2518 ลงพื้นที่ตรวจสอบ ซึ่งตนต้องประสานงานกับ ปฏิรูปที่ดินจังหวัดก่อนจะลงพื้นที่ และต้องยอมรับข้อเท็จจริงจากการที่ลงพื้นที่ไปตรวจสอบว่า แทบจะไม่มีผู้ที่ได้รับจัดสรรเป็นที่ ส.ป.ก.และใช้พื้นที่จริง กลายเป็นว่ามีผู้อื่นมาใช้พื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่ตรวจพบเป็นรีสอร์ต ร้านกาแฟ ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ทางปฏิรูปที่ดิน ก็จะทำหนังสือเรียกมาชี้แจง สุดท้ายก็จะเป็นดุลพินิจของปฏิรูปที่ดินในจังหวัดนั้นๆ ว่าจะเพิกถอนหรือไม่

“ก่อนที่เราจะทำอะไรต่างๆ ต้องศึกษาข้อกฎหมายให้ละเอียดรอบคอบ ไม่งั้นเราไม่กล้าที่จะทำเวลาเราไปตรวจสอบแต่ละพื้นที่ ก็จะมีผู้มีอิทธิพล อดีตนักการเมืองหรือนักการเมืองท้องถิ่น พร้อมที่จะฟ้องกลับเรามาได้ตลอด เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมทำคือสิ่งที่น้อยคนจะทำจริงๆ เพราะต้องไปเจอผู้มีอิทธิพลผู้มีอำนาจพิเศษ” นายธนดลกล่าว

นายธนดลระบุว่า ได้ลงพื้นที่และไปตรวจสอบพยานหลักฐานให้ครบถ้วน จึงมาแถลงข่าว แต่ตอนแถลงอยู่ในช่วงการเมืองร้อนแรงก็อาจจะเข้าใจได้ว่าเป็นประเด็นกลั่นแกล้งกันหรือไม่ แต่ยืนยันว่าทำตามหน้าที่และกฎหมาย ไม่ได้มีเจตนาใดๆ ทั้งสิ้น

ขณะที่ นายกรวีร์ระบุว่า เชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่านายธนดลไม่มีเจตนากลั่นแกล้ง แต่เป็นจังหวะการเมืองจึงอยากทราบว่าที่ตรวจสอบที่ดินปากช่องมีหลักเกณฑ์อย่างไร ไม่เช่นนั้น ส.ป.ก.อาจถูกกล่าวหาว่า ทำให้เป็นประเด็นการเมือง

นายธนดลยังยืนยันว่า ที่ไปตรวจสอบที่ดินปากช่อง เพราะเป็นที่ดินกลุ่มที่ 3 ตามที่มีการจัดทำวันแมป ซึ่งตนไปมาหลายที่แต่ไม่เป็นข่าว ซึ่งที่ดินปากช่องมีประชาชนที่ได้รับการจัดสรรที่ดินไม่ได้นำไปทำการเกษตร แต่นำที่ดินที่ได้รับจัดสรรไปขายทำให้ผิดวัตถุประสงค์ ผิดกฎหมาย แต่การที่ชุดตรวจสอบลงพื้นที่ตรวจสอบ ยอมรับว่าไม่ได้เจอทำผิดทั้งหมด แต่เป็นการทำเพื่อป้องกันและปราบปรามไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ส่วนที่ดินที่มีปัญหาทับซ้อนจะให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว หรือให้เอกชนเข้ามาใช้พื้นที่ก็ต้องแก้กฎหมาย ซึ่งตนพร้อมทำตามกฎหมาย

ด้านนายพลพีร์ สุวรรณฉวี สส.นครราชสีมา พรรคภูมิใจไทย ได้จี้ถามว่า เมื่อวันแมปยังไม่เสร็จ ก็ไม่ค่อยสบายใจ การไปตรวจสอบเป็นสิ่งที่ถูก แต่เมื่อวันแมปยังไม่เสร็จ ไปตรวจสอบก็ต้องรอวันแมปอยู่ดี เมื่อให้เกียรติโคราชและปากช่องในการตรวจสอบ ในฐานะที่ตนเป็นคนโคราช ขอถามอธิบดีกรมที่ดิน รวมถึงผู้ชี้แจงทุกคนว่าในพื้นที่โคราชที่ถูกตรวจ และคาดว่าจะมีธุรกิจที่คาดว่าอยู่ในที่บุกรุกเท่าไหร่

“ที่ถามเพราะเขาใหญ่เป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหญ่มากของจังหวัดนครราชสีมา มีทั้งคนทำธุรกิจและเป็นลูกจ้างจำนวนมาก ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไปตรวจแล้วยังไม่สิ้นสุดกระบวนความ มันทำลายปากช่องไปแล้ว วันนี้คนที่จะมาลงทุนก็ไม่อยากมา จริงๆ คนที่ถือโฉนดที่ปากช่อง ก็กลัวขาสั่นกันหมด ปวดหัวว่าสิ่งที่ได้ซื้อมา หรือที่ถืออยู่มันถูกต้องหรือไม่ และมองไม่เห็นแสงไฟปลายอุโมงค์ว่าที่ดินของเราจะโดนหรือไม่ และพอวันแมปมา ก็มายื่นคัดค้านกันอีก” นายพลพีร์กล่าว

นอกจากนี้ นายพลพีร์ยังกล่าวว่า วันแมปจะเสร็จในปีนี้หรือไม่ ก็ไม่รู้ ตอนนี้ภาคเหนือก็มีทั้งคาเฟ่ สวนน้ำ ที่พักต่างๆ แต่ก็ไม่เห็นมีตรวจสอบ จึงมองเป็นมิติอื่นไม่ได้จริงๆ และอยากได้คำตอบว่าควรจะบอกกับคนโคราชอย่างไร ว่าโฉนดที่ถือมา 30-40 ปี เป็นโฉนดปลอมหรือไม่ สิ่งที่เกิดขึ้นกับพื้นที่โคราช จะไปฟื้นให้เขาอย่างไร 22 ที่ ที่ไปไม่ดังเท่าที่นี่ทีเดียว ไม่ต้องถามว่าทำไมที่นี่ถึงดัง มันมองมิติอื่นไม่ได้

ยังมองไม่เห็นว่าประชาชนได้ผลประโยชน์อะไรแต่ที่เห็นคือประชาชนที่เป็นหนี้เป็นสินได้โฉนดมากะว่าจะเอาที่ไปขายเพื่อเอาเงินเลี้ยงดูครอบครัวหรือฟื้นฟูเศรษฐกิจแต่ทำไม่ได้แล้วจะทำได้เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นที่ไม่ว่าจะกี่หมื่นไร่ที่คิดว่ามันบวมหรือทับซ้อน ก็บอกมาเลยว่า ธุรกิจที่ไปตรวจมา มันบวม มันมีกี่ธุรกิจ ประชาชนที่ถูกผลกระทบมีเท่าไหร่ สำคัญที่สุดพื้นที่ราชการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ที่เป็นข้อพิพาททับซ้อน มีพื้นที่ราชการที่ไหนบ้าง เพราะหากที่ราชการบุกรุก ใครโดน การให้บริการประชาชนในพื้นที่จะทำอย่างไรต่อ ยกตัวอย่าง ถ้า อบต.ตั้งผิดที่ แล้วไปรื้อ จะให้ อบต.ไปอยู่ไหน วันนี้ก่อนที่ท่านจะไปตรวจ มันควรต้องประชุมให้เสร็จก่อน ยื่นหนังสือให้ประชาชนที่ครอบครองโฉนดหรือเอกสารสิทธิ์ต่างๆ ได้เข้ามาชี้แจงว่าได้มาอย่างไร รวมไปถึงหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับที่ดิน มาคุยกันเมื่อวันแมปของประเทศยังไม่เสร็จ ก็ขอให้ทำวันแมปของปากช่องก่อน

“ผมไม่ได้เป็นห่วงแรนโช ชาญวีร์ เมื่อเพิกถอนเมื่อไหร่กรมที่ดินก็ต้องชดเชย ไม่ได้ห่วงทอสคาน่า โบนันซ่า แต่เป็นห่วงนาย ก. นาย ข. ที่มีที่ดิน 200 วา หรือ 1 ไร่ จะเดินกันต่ออย่างไร” นายพลพีร์กล่าว

ด้าน นายธนดลกล่าวว่า ที่ดินโคราชทำวันแมปแล้วแต่ยังไม่ได้โอน ยืนยันว่าการลงพื้นที่ตรวจสอบที่ดินโคราชของตนไม่ผิด ถ้าไม่มั่นใจจะไม่ลงพื้นที่ให้เป็นที่ครหา และยอมรับว่า ที่ดิน ส.ป.ก.มีการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพไปแล้ว และจากการตรวจสอบพื้นที่บวมงอกมาจากนิคมทับที่ ส.ป.ก. จึงเป็นปัจจัยหลักในการลงพื้นที่ไปตรวจสอบ เอกสารซึ่งตนเห็นด้วยกับกรมที่ดินที่ออกเอกสารสิทธิ์ที่ได้จากนิคม คือแต่ประเด็นที่ตนไม่เห็นด้วย คือที่ดินบวมออกไปทับที่ ส.ป.ก.เรื่อย ๆ หากวันหน้า ที่ดินของรัฐกลายเป็นที่ที่ดินของเอกชน จะเป็นช่องว่างทางกฎหมาย นี่เป็นสิ่งที่ออกมาต่อสู้

ด้าน นายราชิต สุดพุ่ม สส.ประชาธิปัตย์ ได้จี้ถามนายธนดล ถึงเหตุผลของการไปตรวจสอบที่ดินปากช่อง ว่าเพราะอะไรเพราะปกติส.ป.ก.ก็งานเยอะอยู่แล้ว จึงอยากทราบที่มาของการไปตรวจสอบเพราะหากไม่มีคนร้องก็คงไม่ไป ตนไม่ได้เกี่ยวกับใครตนอยู่พรรคประชาธิปัตย์ แต่แค่อยากทราบที่มา

ขณะที่นายวัชรพงศ์ คูวิจิตรสุวรรณ สส.สระบุรี พรรคภูมิใจไทย ในฐานะรองประธานและโฆษก กมธ. กล่าวว่า ที่ผ่านมามีโอกาสไปตรวจในพื้นที่สระบุรี ก็ต้องขอบคุณที่ไปตรวจสอบบางที่ที่เป็นประเด็น โดยเฉพาะการออกโฉนดทับที่ ส.ป.ก. ซึ่งตนเห็นด้วยที่ท่านต้องนำกลับมาเป็นสมบัติของชาติ แต่ตนไปเห็นในรายการหนึ่งเปิดประเด็นว่า ป.ป.ช. ได้เปิดสัญญาจัดการหุ้นของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พบธุรกิจโรงแรมหรูเขาใหญ่ ก็เป็นที่สนใจว่า นายธนดลมีแนวคิดหรือมีโครงการที่จะไปตรวจสอบหลายโรงแรมที่อยู่พื้นที่เขาติดเขาใหญ่หรือไม่ ตนอยากให้ไปตรวจสอบหลายๆ โรงแรมที่เป็นประเด็นข้อสงสัย เพื่อทำให้ชัดเจนต่อประชาชน

ทำให้นายธนดลกล่าวว่า เห็นตามข่าวคือโรงแรมเทมส์วัลลีย์เขาใหญ่ ซึ่งอยู่ก่อนถึงทางเข้าเขาใหญ่ประมาณ 5 นาที ถ้าให้ตรวจสอบก็พร้อมที่จะตรวจสอบ หากอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการอนุญาต แต่ตนมีอำนาจตรวจสอบเฉพาะที่ดิน ส.ป.ก. ไม่ได้มีอำนาจตรวจสอบนิคม

ด้าน นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน ยืนยันว่า กรมที่ดินได้แถลงข่าวชัดเจนไปแล้วว่าปัญหาทับซ้อน ไม่เกี่ยวกับกรมที่ดิน กรมที่ดินน่าจะเป็นปลายทาง เพราะเป็นการทับซ้อนระหว่างที่ดิน ส.ป.ก.และที่ดินนิคม ถ้าผลตรวจสอบเป็นอย่างไรกรมที่ดิน เป็นปลายทางก็พอซึ่งเป็นปลายทางก็พร้อมจะทำตาม แต่ในชั้นดังกล่าวเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว อีกทั้งพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่เป็นพื้นที่ยกเว้นเนื่องจากอยู่ระหว่างการตรวจสอบของกรมแผนที่ทหาร

‘ป.ป.ช.’ เตรียมแจ้งข้อกล่าวหา ‘สุทิน - โรม’ ส่อขัดประมวลจริยธรรม ปมแถลงข่าวเท็จให้ร้าย ‘ลุงตู่’

เมื่อวันที่ (26 ก.พ. 68) มีรายงานข่าวว่า ในเร็วๆ นี้สำนักงาน "ป.ป.ช." กำลังจะแจ้ง ข้อกล่าวหากับนักการเมืองหลายคนที่ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ที่นำมาบังคับใช้กับฝ่ายการเมืองด้วยคือ ครม./สส./สว./ข้าราชการการเมืองนั้น    

โดยเป็นประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับการอภิปราย/การแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน/การเคลื่อนไหวที่ฝ่าฝืนหมวด 2 มาตรฐานทางจริยธรรมอันเป็นค่านิยมหลักในข้อ15ที่ระบุว่า ให้ข้อมูลข่าวสารตามข้อเท็จจริงแก่ประชาชนหรือสื่อมวลชนอันอยู่ในความรับผิดชอบ ของตน ถูกต้องครบถ้วนและไม่บิดเบือนและข้อ17ที่ระบุว่า ไม่กระทําการใดที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดํารงตําแหน่ ง โดยตอนนี้นักการเมืองคนสำคัญหลายคนกำลังถูกตั้งข้อกล่าวหานั้น จะชี้แจงข้อกล่าวหาต่อสำนักงานป.ป.ช.อย่างไร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทราบว่า "นายสุทิน  คลังแสง" สส.บัญชีรายชื่อ  พรรคเพื่อไทย  เป็นหนึ่งในสส.ที่สำนักงานป.ป.ช.กำลังจะชี้มูลความผิด  โดยระบุพฤติการณ์ของ "นายสุทิน" ว่า  วันที่ 8 กันยายน 2564 "นายสุทิน" ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่ามีการแจกเงินให้สส.คนละห้าล้านบาทที่ห้องทำงานนายกรัฐมนตรี(พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา) ชั้นสาม อาคารรัฐสภาเพื่อให้สส.ลงคะแนนให้นายกรัฐมนตรีในช่วงอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยนายสุทินมาชี้แจงกับสำนักงานป.ป.ช.แล้วแต่ไม่มีหลักฐานในประเด็นที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนมาแสดงกับสำนักงาน "ป.ป.ช." ซึ่ง "นายสุทิน" เข้าข่ายการละเมิดหมวด 2 ของมาตรฐานทางจริยธรรมฯ

และยังพบว่า "นายรังสิมันต์ โรม" สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนนั้น สำนักงาน "ป.ป.ช."ดำเนินการตรวจสอบ/กลั่นกรองและไต่สวนข้อกล่าวหาของนายรังสิมันต์จำนวน 6 สำนวนคือ  1. การสนับสนุนพรรคก้าวไกลรับข้อเสนอจากกลุ่ม ILaw ที่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดหนึ่งและหมวดสอง/สนับสนุนพรรคก้าวไกลให้มีมติแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112/เข้าร่วมชุมนุมขับไล่ "พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา" โดยเรียกร้องให้มีการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์/แก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับโดยตั้งสสร./โพสต์เฟซบุ๊กในลักษณะเสียดสีดูหมิ่น "พลเอกประยุทธ์"

2.วันที่ 22 กรกฎาคม 2565 "นายรังสิมันต์" ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ "พลเอกประยุทธ์" โดยนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จคือแอบอ้างสถาบันเป็นเครื่องมือเพื่อไม่ให้มีการตรวจสอบเรื่องมัวหมองในอดีตของตนเองและเป็นนักบินเถื่อน ขาดคุณสมบัติการเป็นนักบินถวายการเดินทาง/ก่อหนี้เกินงบประมาณการซ่อมบำรุงอากาศยานของสตช. ทำให้นายกฯต้องขออนุมัติงบกลาง 937 ล้านบาทชำระหนี้ให้การบินไทย/ร่วมกันฮั้วประมูลกับเอกชนในการจำหน่ายอะไหล่ให้อากาศยานของสตช.และขายอะไหล่ที่ใช้ไม่ได้ให้เอกชนนำไปใช้งานต่อ

3. ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตและฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตฐานจริยธรรมอย่างรุนแรง โดยนำเสนอข้อมูลของสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อสาธารณะในลักษณะอันอาจเป็นการบิดเบือนใส่ร้ายสถาบันและทำให้ประชาชนเกลียดชังสถาบันฯและต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

4.จงใจใช้อำนาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ / ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมฯกรณีจัดทำหนังสือและแถลงข่าวว่าจะเชิญประธานศาลฎีกามาชี้แจงกรณีไม่ให้ประกันตัวแกนนำม็อบกลุ่มราษฎรโดยประธานศาลฎีกาอ้างว่าบุคคลภายนอกขอมาในกมธ. การกฎหมายฯ สภาผู้แทนราษฎรและจะนำวาระเข้าที่ประชุมกมธ.ดังกล่าวเมื่อวันที่7เมย.2564ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่สามารถกระทำได้เพราะขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา129วรรคสี่และไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมฯว่าด้วยข้อบังคับประมวลจริยธรรมของสส.และกมธ. พ.ศ.2563

5.เสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 เพื่อเป็นการทำลายสถาบันฯและล้มล้างการปกครอง และ 6. จงใจปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ/ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมฯกรณีร่วมลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 ซึ่งการดำเนินการนี้ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญมาตรา6

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  ที่ผ่านมา สส.พรรคก้าวไกล 44 คนถูกยื่นฟ้องต่อสำนักงานป.ป.ช.กรณีเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112  และตอนนี้สส.พรรคก้าวไกลที่โดนยุบพรรคได้ย้ายมาสังกัดพรรคประชาชน 25 คน โดยหนึ่งในนั้นคือ"นายรังสิมันต์"ซึ่งทราบว่าสส.เหล่านี้กำลังไปรับทราบข้อกล่าวหาและชี้แจง คดีฝ่าฝืนจริยธรรม จากการร่วมลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 นั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การดำเนินการดังกล่าวของสำนักงานป.ป.ช.ในกรณีของ "นายสุทิน" และ "นายรังสิมันต์" รวมทั้งสมาชิกรัฐสภารายอื่นๆนั้น สำนักงานป.ป.ช.ดำเนินการมาหลายปีแล้วก่อนที่คณะกรรมการป.ป.ช.เจ็ดคน จะมีการลงมติเลือก "นายสุชาติ  ตระกูลเกษมสุข"เป็นประธานป.ป.ช.ซึ่งตอนนี้"พรรคประชาชน"ล่ารายชื่อสส.และสว.ราว 140 คน โดยอาศัยรัฐธรรมนูญ มาตรา 236 เพื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาให้ถอดถอน "นายสุชาติ" ออกจากตำแหน่ง

อีกทั้งกรณีนี้ มีการตั้งสังเกตว่า การออกมาให้ข่าวว่าจะยื่นถอดถอน"นายสุชาติ"ของสส.พรรคประชาชนและ "พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์ หักพาล"นั้นน่าจะ เป็นการกดดัน สำนักงาน "ป.ป.ช."ในฐานะผู้ไต่สวนคดี ของ "นายรังสิมันต์" และอดีต สส.พรรคก้าวไกล  44 คน รวมทั้ง "พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์" หรือไม่ 

เนื่องจาก หากพิจารณาจาก ช่วงเวลา ที่มีการตั้งไต่สวนของ "ป.ป.ช." เป็นห้วงเวลาเดียวกับที่นายสุชาติ กำกับดูแล สำนักไต่สวนการทุจริตภาคการเมืองเเละผู้ร้องเรียน "ประธานป.ป.ช." มีฐานะเป็นผู้ถูกไต่สวนทั้งสิ้น เเละการดำเนินการอัดคลิประหว่าง"นายสุชาติ"กับ "นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา"ประธานรัฐสภานั้น"นายวันมูหะมัดนอร์" ชี้เเจงเเล้วว่า"พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์" กระทำเเบบไม่ใช่ลูกผู้ชายเเละสังคมน่าจะอ่านเจตนาของ "พลตำรวจเอกสุรเชษฐ์"ได้ว่าหวังผลอะไร และพบว่า"นายสุชาติ"เป็นผู้ดำเนินการไต่สวนเเละวินิจฉัยคดีในสำนักงาน "ป.ป.ช."ที่ยึดหลักนิติธรรมอย่างรอบคอบ ในการตัดสิน/ประวัติโปร่งใส จนบางฝ่ายอาจเสียประโยชน์จากการทำงานของ "นายสุชาติ" จนต้องมีการดำเนินการถอดถอน"นายสุชาติ"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top