Friday, 3 May 2024
PoliticsQUIZ

หลังจากเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2563 ได้มีการเปิดลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งเฟส 2 ขึ้น ซึ่งมีผู้ให้ความสนใจเข้าร่วมลงทะเบียนเป็นจำนวนมาก โดยมีผู้ลงทะเบียนเต็มภายในเวลา 2 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวถึง การลงทะเบียนในเฟส 2 นี้ว่า ระบบจะต้องตรวจสอบคุณสมบัติอีกครั้งว่าถูกต้องหรือไม่ หากไม่ตรงตามคุณสมบัติจะถูกตัดสิทธิ์ให้ผู้อื่น

นอกจากนี้ยังได้กล่าวถึงโครงการคนละครึ่ง ในเฟสต่อไป หรือ ‘เฟส 3’ ว่า จะมีต่อหรือไม่ ซึ่งนายกฯ กล่าวว่า อาจจะเป็นไปได้ แต่ต้องพิจารณาอีกครั้งทั้งในด้านงบประมาณ, สถานการณ์โควิด-19 และสถานะการเงินการคลังของรัฐบาลด้วย

ทั้งนี้จากความสำเร็จของโครงการคนละครึ่ง ได้มีประชาชนบางส่วนตั้งคำถามว่าเป็นแนวคิดของใคร โดยนายกรัฐมนตรี ให้คำตอบว่า “โครงการคนละครึ่งเป็นแนวคิดของตน เป็นคนคิดนโยบายและหลักการ จากนั้นก็ให้คณะทำงานนำไปสานต่อ”

วิจารณ์หนักหลังกองทัพอากาศหั่นงบร่วม 54.43 ล้านบาท ปรับปรุงห้องน้ำเครื่องบิน ‘วีวีไอพี’ A340-500 รหัส HS-TYV จำนวน 1 ห้อง โดยอ้างราคาสมเหตุสมผล เนื่องจากห้องน้ำนี้มีความซับซ้อนในด้านวิศวกรรมและต้องใช้เทคนิคขั้นสูง

สำหรับเครื่องบินลำดังกล่าวเป็นเครื่องบินมือสองที่ซื้อต่อมาจากบริษัทการบินไทย จำกัด และได้มีการปรับปรุงครั้งแรกไปแล้ว 1 ครั้งด้วยการเปลี่ยนเก้าอี้ที่นั่ง เพราะของเดิมผ่านการใช้งานมานาน และครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ในการปรับปรุงห้องน้ำ

ทว่าทันทีที่เอกสารโครงการปรับปรุงห้องน้ำเครื่องบินดังกล่าว ได้เผยแพร่สู่โลกออนไลน์ ก็กลายเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า มีความเหมาะสมหรือไม่ เนื่องจากตอนนี้ประชาชนกำลังเผชิญกับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนรัฐบาลเองก็ยังต้องกู้เงินมาใช้จ่าย

จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว ทำให้ทางกองทัพอากาศ ต้องออกมาชี้แจงถึงสาเหตุในการปรับปรุงห้องน้ำบนเครื่องบินลำนี้ว่าไม่ใช่ห้องน้ำทั่วไป หากแต่เป็นห้องน้ำบนเครื่องบิน ที่มีความซับซ้อนในด้านวิศวกรรมและต้องใช้เทคนิคขั้นสูง

นอกจากนี้มีการเปิดเผยข้อมูลในเว็บไซต์กรมช่างอากาศที่ประกาศตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ซึ่งราคา 54.43 ล้านบาทนั้น ไม่ได้แพงเกินความจำเป็นจากราคาท้องตลาด สามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ดัดแปลงอากาศยานที่มีการเปรียบเทียบราคาไว้อย่างสมเหตุสมผล

ยิ่งไปกว่านั้น การปรับปรุงห้องน้ำบนเครื่องบินไม่ได้ปรับปรุงง่ายเหมือนกับห้องน้ำบ้าน เพราะจะต้องมีการวางระบบท่อและออกแบบใหม่ ถือเป็นวิศวกรรมราคาสูง ใช้เทคนิคของประเทศเยอรมัน

ฝุ่นพิษ PM 2.5 ยังหนัก! นิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย นำทีมทุกหน่วยงานในสังกัด ปฏิบัติการ Big Cleaning day ล้างถนนสายหลักพร้อมกัน 50 เขตทั่วกทม.

เมื่อคืนวันที่ 17 ธ.ค. 2563 ที่ผ่านมา นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผบช.น. นำเจ้าหน้าที่ในสังกัดกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กองอาสารักษาดินแดน (อส.) สังกัดกระทรวงมหาดไทย เจ้าหน้าที่เทศกิจและสำนักรักษาความสะอาด กทม. ตลอดจนเจ้าหน้าที่ทหาร และตำรวจร่วมทำกิจกรรมทำความสะอาด (Big Cleaning day) ล้างฝุ่นและมลพิษทางอากาศที่บริเวณถนนสายหลักกลางเมือง เพื่อบรรเทามลพิษจากฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ พีเอ็ม 2.5 (PM2.5) โดยเริ่มต้นที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ

"เนื่องด้วยทางรัฐบาลโดยท่านนายกรัฐมนตรี และท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมีความห่วงใยต่อสถานการณ์ซึ่งการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ก็ได้มีการหารือถึงสถานการณ์ดังกล่าวว่ามีรุนแรงและต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน จึงมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย(มท.)และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) บูรณาการร่วมกันจัดการแก้ปัญหา โดยกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยภายใต้สังกัดกระทรวงมหาดไทยนั้น จึงได้จัดประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ปัญหา

สำหรับกรุงเทพมหานครช่วงเวลานี้ เมื่ออากาศไม่เอื้ออำนวย ไม่มีลมพัดผ่าน ทำให้ฝุ่นละออง PM 2.5 ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของพี่น้องประชาชน จึงได้จัดการแก้ไขสาเหตุของการเกิดฝุ่นละอองเพิ่มเติม เช่น การลดความหนาแน่นของการคมนาคมสัญจร โดยเฉพาะอย่างยิ่งยานพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล กว่า 45% ก่อให้มลพิษทางอากาศ การควบคุมกิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่นในพื้นที่ก่อสร้าง โดยจะให้มีการชะลอการก่อสร้างในช่วงเดือนมกราคมและเดือนกุมภาพันธ์

นอกจากนี้ยังขอความร่วมมือไปยังจังหวัดข้างเคียง ปริมณฑลในการเผาขยะและจุดไฟเพื่อการเกษตร อีกด้วย โดยในวันนี้เป็นการเริ่มต้นในกรุงเทพ รวมกันพร้อมกันทั้ง 50 เขต และจะดำเนินการต่อเนื่องพร้อมติดตามประเมินทุกระยะ" นายนิพนธ์กล่าว

ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ พร้อมเตรียมติดกำไลอีเอ็มคุมประพฤติ หลังศาลพิพาษาจำคุกเป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน โดยคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2563

หลังจาก ‘ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช.’ ที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกเป็นเวลา 2 ปี 8 เดือน และคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 26 มิถุนายน 2563 ในคดีการชุมนุมหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ เมื่อปี 2550

ล่าสุดวันนี้ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้รับการปล่อยตัวแล้ว

โดยจะมีการติดกำไลอีเอ็มระหว่างการพักโทษและถูกคุมประพฤติอีกระยะ โดยไม่ได้ระบุระยะเวลาสิ้นสุดที่ชัดเจน สำหรับการปล่อยตัว ในครั้งนี้

ด้าน วิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ กล่าวว่า “เงื่อนไขการปล่อยตัวของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แล้วแต่คดี โดย ณัฐวุฒิ เป็นผู้ต้องหาคดีการชุมนุมทางการเมือง หากได้รับการพักโทษเข้าสู่กระบวนการคุมประพฤติ การไปร่วมชุมนุมอีกครั้งอาจไม่เหมาะสม”

ซึ่งโครงการสำหรับพักการลงโทษนักโทษชั้นกลางขึ้นไป ต้องได้รับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของกำหนดโทษ และเหลือโทษที่ต้องได้รับต่อไม่เกิน 5 ปี โดยกรณี นายณัฐวุฒิ ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร นับเป็นนักโทษเด็ดขาดชั้นดีมาก

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน ( 18 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 16 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 4,297 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 16 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 4,005 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 232 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 16 ราย เป็นคนไทย 11 ราย สัญชาติสวิส 2 ราย อินเดีย 1 ราย เบลารุส 1 ราย เนเธอร์แลนด์ 1 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 148 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 362 ราย รักษาหายแล้ว 341 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 6.44 แสน ราย รักษาหายแล้ว 5.27 แสน เสียชีวิต 19,390 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 36 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 89,133 ราย รักษาหายแล้ว 74,030 ราย เสียชีวิต 432 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.13 แสน ราย รักษาหายแล้ว 91,537 ราย เสียชีวิต 2,377 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.54 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.2 แสน ราย เสียชีวิต 8,850 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,377 ราย รักษาหายแล้ว 58,252 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,407 ราย รักษาหายแล้ว1,263 ราย เสียชีวิต 35 ราย

รมว.กระทรวงแรงงาน "สุชาติ ชมกลิ้น" ยันงาน Job Expo ประสบความสำเร็จ หลัง 3เดือน จ้างงานแล้วเกือบ 4 แสนตำแหน่ง พร้อมแจงตัวเลขจ้างเด็กจบใหม่น้อย เพราะเพียงเสี้ยวเดียวของการจ้างงานทั้งระบบ

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงความคืบหน้าการจ้างงานภายหลังการจัดมหกรรม Job Expo Thailand 2020 ว่า สำหรับการจัดงานดังกล่าวจำนวน 1 ล้านตำแหน่ง ถือเป็นนโยบายที่ยิ่งใหญ่ของรัฐบาล

ซึ่งตัวเลขบรรจุงานล่าสุด คือ 399,072 อัตรา หรือประมาณร้อยละ 40 โดยเป็นการจ้างงานของภาครัฐ 2 แสนอัตรา เอกชน 1 แสนตำแหน่ง และส่งแรงงานไปต่างประเทศ 3 หมื่นอัตรา เป็นต้น โดยใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือนหลังการจัดงานจ็อบเอ็กซ์โป ปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก

แต่จากข้อมูลของบางสื่อได้วิเคราะห์ อาจโฟกัสไปที่นักศึกษาจบใหม่ ซึ่งถือเป็นเสี้ยวหนึ่งของการจัดงานดังกล่าว มีการจ้างงาน 4 กลุ่ม และนักศึกษาจบใหม่เป็น 1 กลุ่มเท่านั้น

"เราตั้งเป้าจ้างนักศึกษาจบใหม่ 2.6 แสนอัตราก็จริง แต่การจ้างงานนักศึกษาจบใหม่ตั้งแต่เดือน เม.ย.-ต.ค. มีจำนวน 182,000 คน และ ภายหลังการจัดงานจ็อบเอ็กซ์โปเมื่อปลายเดือนกันยายน ซึ่งเป็นตัวเลขระหว่างวันที่ 1 ต.ค.-31 ต.ค. มีการจ้างงานคนที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปีลงมา 2 หมื่นกว่าอัตรา แต่เข้าระบบ Co-payment หรือจ้างงานเด็กจบใหม่ ที่มีบางสื่อ ระบุว่า จ้างงาน 2,000 อัตราเท่านั้น

ทั้งนี้ เมื่อเข้าไปตรวจสอบพบว่า มีหลายบริษัทที่ไม่เข้าร่วมโครงการจ้างนักศึกษาจบใหม่ เพราะอยู่ในภาคธุรกิจที่ยังแข็งแรงอยู่แล้ว และต้องการสร้างความมั่นคงในชีวิตให้พนักงาน เช่น ธุรกิจยานยนต์ อุตสากรรมรถยนต์ สิ่งทอ ซึ่งขณะนี้ฟื้นตัวแล้ว

ดังนั้นหากจ้างนักศึกษาจบใหม่ เข้าโครงการนี้ อาจจะไม่ได้รับความมั่นคงในชีวิต เนื่องจากเป็นการจ้างงานระยะเวลาเพียงปีเดียว ซึ่งบริษัทต่าง ๆ มีความแข็งแรง จึงสามารถจ้างแรงงานปกติได้ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังมีงบประมาณเพื่อรับนักศึกษาที่จบใหม่ในเดือน เม.ย. ปี 2564 แน่นอน"

สำหรับโครงการ Co-payment รัฐบาลทำขึ้นเนื่องจากมีความเป็นห่วงธุรกิจสตาร์ทอัพ ธุรกิจ SME ที่มีกำลังเม็ดเงินจำนวนน้อย และถือเป็น 1 ใน 4 ของงานจ็อบเอ็กซ์โปเท่านั้นเอง

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สุดปลื้ม หลัง Bloomberg ยกให้ไทยอยู่ในอันดับ 1 ของประเทศที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจดีสุดปี 64 ในกลุ่มตลาดเกิดใหม่

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีที่สำนักข่าว Bloomberg ประกาศให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 1 ของประเทศที่มีแนวโน้มจะเป็นตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market) ที่มีภาพรวมทางเศรษฐกิจดีที่สุดในปี 2564

แสดงถึงความสามารถในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ซึ่งจะส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นในเรื่องการค้าและการลงทุนในปี 2564

จากรายงานใน หัวข้อ China Lags as Thailand, Russia Rank Top Emerging Market Picks เปิดเผยรายงานการศึกษาแนวโน้มทางเศรษฐกิจในปี 2564 ของ 17 ประเทศ อาทิ ไทย รัสเซีย จีน เกาหลีใต้ มาเลเซีย อินโดนีเซีย เป็นต้น โดยมีตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจและการเงิน 11 ข้อ ซึ่งประเทศไทยได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 1 ในฐานะประเทศที่มีเงินทุนสำรองที่แข็งแกร่ง และมีศักยภาพสูงจากการไหลเข้าของเงินลงทุน (Portfolio Inflows)

แม้ในรายงานดังกล่าว จะมีความห่วงกังวลเรื่องการกระจายวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 และผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโรคโควิด-19 ของประเทศกำลังพัฒนา รวมถึงประเทศไทย ซึ่งพึ่งพารายได้จากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว แต่อย่างไรก็ตาม ทางรัฐบาลได้เตรียมการรับมือกับประเด็นดังกล่าวเป็นอย่างดี

โดยทางด้านสาธารณสุข รัฐบาลส่งเสริมการดำเนินการควบคุมโรค ป้องกันการแพร่ระบาดในวงกว้างอย่างเข้มงวด ควบคู่ไปกับส่งเสริมความร่วมมือทางด้านสาธารณสุขกับหุ้นส่วนและมิตรประเทศ เพื่อวิจัยและพัฒนา รวมถึงเตรียมผลิตวัคซีนและยกระดับการพัฒนาทางด้านสาธารณสุขไทย รวมทั้งส่งเสริมให้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 เป็นสินค้าสาธารณะ และประชาชนสามารถได้รับวัคซีนอย่างทั่วถึง

ส่วนทางด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว รัฐบาลได้เตรียมพร้อมและได้ดำเนินนโยบายเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด-19 อาทิ โครงการคนละครึ่งเฟส 1 เฟส 2 เราเที่ยวด้วยกัน และ ช้อปดีมีคืน เป็นต้น

นอกจากนี้ รัฐบาลดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ ด้านคมนาคม ด้านพลังงาน ด้านการจัดการน้ำ ด้านการสื่อสาร รวมถึงการเร่งแผนส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นต้น

รัฐบาล เดินหน้าสร้างบุคลากรรองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เน้นย้ำพัฒนาทักษะให้ตรงความต้องการภาคเอกชน ระบุมีตำแหน่งงานรองรับกว่า 4 แสนอัตรา ภายใน 5 ปี

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญและติดตามการขับเคลื่อนโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีเป้าหมายเพื่อยกระดับการพัฒนาให้เป็นประเทศที่มีรายได้สูง โดยเรื่องการพัฒนาทรัพยากรบุคคลเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งของโครงการดังกล่าว

ซึ่งกระทรวงแรงงานได้จัดตั้งศูนย์บริหารแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC Labour Administration Center) ณ สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 3 จ.ชลบุรี โดยร่วมมือกับหลายภาคส่วน

ล่าสุด กระทรวงฯรายงานให้นายกรัฐมนตรีทราบว่า ในปีงบประมาณพ.ศ.2563 ได้ให้บริการจัดหางานแก่กลุ่มอุตสาหกรรมดั้งเดิม และอุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ (S-Curve) (อาทิ หุ่นยนต์เพื่ออุตสาหกรรม อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร) จากที่ตั้งเป้าไว้ 28,000 คน แต่เมื่อดำเนินงานจริงสามารถจัดหางานได้มากถึง 40,464 คน คิดเป็น 144.51% ส่วนงานบริการแนะแนวอาชีพให้นักเรียน นักศึกษา ตั้งเป้าไว้ที่ 48,838 คน ผลการดำเนินงานเกินเป้าหมายเช่นกัน โดยมีจำนวน 70,401 คน คิดเป็น 144.15%

สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ได้ประมาณการณ์ว่า ในระยะเวลา 5 ปี (2562-2566) จะมี 4 แสนกว่าอัตรา ทั้งในระดับอาชีวะและปริญญาตรี ที่เป็นความต้องการของภาคเอกชนต่อบุคลากรไทยในพื้นที่อีอีซี

ที่ผ่านมา สกพอ.ได้ร่วมมือกับกระทรวงแรงงานและกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม สร้างหลักสูตรพัฒนาทักษะบุคลากรให้ตรงความต้องการภาคเอกชน (EEC Model) ควบคู่กับการสร้างแรงจูงใจแก่เอกชนที่รับนักศึกษาที่จบหลักสูตรนี้ คือจะได้รับการลดหย่อนภาษีด้วย

ส่วนการเตรียมพร้อมในระยะยาว กระทรวงศึกษาธิการ โดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ร่วมกับสถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี (สสวท.) ขับเคลื่อนการเรียนการสอนภาษาคอมพิวเตอร์ (Coding) อย่างต่อเนื่อง

ทั้งการจัดอบรมพัฒนาครูสำหรับการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียน และการส่งเสริมเด็กให้เรียนภาษาคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ระดับประถมศึกษา ทั้งนี้ เป็นการสร้างทรัพยากรบุคคลให้ตรงกับความต้องการของภาคเอกชนในอนาคต

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (19 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 34 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 4,331 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 19 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 4,024 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 247 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 34 ราย เป็นคนไทย 9 ราย สัญชาติอเมริกัน 3 ราย เยอรมัน 1 ราย

อังกฤษ 2 ราย รัสเซีย 1 ราย บังกลาเทศ 2 ราย อาร์เจนตินา 1 ราย แคนนาดา 1 ราย

อินเดีย 1 ราย อิตาลี 1 ราย

เดินทางมาจากต่างประเทศ จากเคนยา 1 ราย ,เยอรมนี 2 ราย ,สหรัฐอเมริกา 2 ราย,บาห์เรน 1 ราย,สหราชอาณาจักร 4 ราย ,รัสเซีย 1 ราย,บังกลาเทศ 2 ราย , สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย,ไต้หวัน 1 ราย ,นามิเบีย 2 ราย ,เนเธอร์แลนด์ 1 ราย,ซาอุดีอาระเบีย 2 ราย, อินเดีย 1 ราย,อิตาลี 1 ราย โดย ผ่านการคัดกรองและเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้

(State Quarantine , Alternative State Quarantine)

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 148 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 362 ราย รักษาหายแล้ว 345 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 6.5 แสน ราย รักษาหายแล้ว 5.32 แสน เสียชีวิต 19,514 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 36 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 90,816 ราย รักษาหายแล้ว 75,244 ราย เสียชีวิต 432 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.14 แสน ราย รักษาหายแล้ว 92,916 ราย เสียชีวิต 2,398 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.57 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.21 แสน ราย เสียชีวิต 8,875 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,386 ราย รักษาหายแล้ว 58,265 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,410 ราย รักษาหายแล้ว1,266 ราย เสียชีวิต 35 ราย

ประชาธิปัตย์ เฟ้นหาคนรุ่นใหม่ร่วมงานพรรค จัดอบรมยุวประชาธิปัตย์รุ่น 6 คึกคัก เน้นสร้างอุดมการณ์ประชาธิปไตย และทันสมัย

ดร.สรรเสริญ สมะลาภา รองหัวหน้าพรรคและผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการกิจการเยาวชนพรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานในการอบรมยุวประชาธิปัตย์ รุ่นที่ 6 กรุงเทพมหานคร โดยมีเยาวชนคนรุ่นใหม่สนใจเข้าร่วมอบรม 120 คน

โดยมีนายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรค และเลขานุการประธานรัฐสภา นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนขัย รองโฆษกพรรคและโฆษกรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และนายพนาสิน จึงสวนันทน์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ เข้าร่วมด้วย

ดร.สรรเสริญ ระบุการอบรมดังกล่าว จัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-20 ธันวาคม 2563 และมีเนื้อหาการอบรมที่ครอบคลุมทั้งทางด้านพื้นฐานการเมืองภายใต้ระบอบประชาธิปไตย เศรษฐกิจทันสมัยกับการเมืองยุคใหม่ กลยุทธ์การสื่อสารการเมืองในยุคออนไลน์ การแบ่งปันประสบการณ์ทางการเมืองและการทำงานในพื้นที่จากอดีตผู้สมัคร ส.ส. กรุงเทพมหานคร

รวมถึงกิจกรรมเวิร์คชอปที่เปิด โอกาสให้ผู้เข้าอบรมได้แสดงความคิดเห็น และแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันอย่างเต็มที่

ทั้งนี้ พรรคฯประชาธิปัตย์ พร้อมเปิดพื้นที่ให้ยุวประชาธิปัตย์ที่ผ่านการอบรม สามารถร่วมงานกับพรรคได้ตามศักยภาพและความถนัด เพื่อเสริมทัพคนรุ่นใหม่ ให้มาร่วมขับเคลื่อนพรรคภายใต้แนวคิดอุดมการณ์ ทันสมัย


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top