Saturday, 10 May 2025
PoliticsQUIZ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม สั่งโรงงานในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและจังหวัดอื่นที่มีการใช้แรงงานต่างด้าว กวดขัน คัดกรองพนักงานอย่างเคร่งครัดป้องกันโควิด-19

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงสาธารณสุขได้รายงานความคืบหน้าการพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครเป็นจำนวนมาก และผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อยมาก และจังหวัดสมุทรสาครได้มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัดตามที่ได้มีการแถลงข่าวต่อสาธารณชนไปแล้วนั้น

จึงได้สั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมและสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดอื่นทั่วประเทศ กำชับให้โรงงานอุตสาหกรรมทุกแห่ง ปฏิบัติตามแนวทางและคำสั่งจังหวัดเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรค โควิด-19 อย่างเคร่งครัด

“กระทรวงอุตสาหกรรมจึงได้ออกมาตรการบังคับและสั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร และการนิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาคร และจังหวัดอื่นๆ ที่มีการใช้แรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการ ขอให้มีการติดตามสถานการณ์และมาตรการของจังหวัดอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งกวดขัน คัดกรองพนักงาน โดยการวัดอุณหภูมิร่างกายของผู้ที่ปฏิบัติงานอยู่ในโรงงานและบุคคลภายนอกที่มาติดต่อในโรงงาน และให้ดูแลสุขอนามัย ในโรงงาน อาทิ การเพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดพื้นทางเดินเข้า–ออกอาคาร ลิฟต์ ห้องน้ำ ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ ตรวจเช็ดทำความสะอาดจุดสัมผัสสาธารณะต่างๆ และลดความเสี่ยงการติดเชื้อเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ทั้งนี้ จังหวัดสมุทรสาครมีโรงงานในนิคมและนอกนิคมอุตสาหกรรมสมุทรสาครกว่า 6,082 โรงงาน คนงานกว่า 345,464 คน” นายสุริยะ กล่าว

พร้อมกันนี้ ยังได้มีมาตรการสำหรับการปฏิบัติงานสำหรับข้าราชการและพนักงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรม โดยขอให้ติดตามสถานการณ์และมาตรการของจังหวัดอย่างใกล้ชิด และกำหนดมาตรการเกี่ยวกับการปฏิบัติงานภายในของสำนักงาน เช่น การให้สามารถปฏิบัติงานที่บ้าน (work from home) ได้ตามความจำเป็น และให้งดเดินทางออกจากพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร

หากมีความจำเป็นต้องปฏิบัติงานติดต่อกับส่วนราชการอื่น ให้ใช้การประสานงานทางโทรศัพท์ทางระบบสารสนเทศหรือการประชุมโดยใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นหลัก

สำหรับส่วนราชการอื่นๆ ที่ก่อนหน้านี้ได้เดินทางเข้าไปในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและหรือพื้นที่เสี่ยงระมัดระวัง สังเกตอาการของเจ้าหน้าที่และให้ส่งรายชื่อเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานหรือเข้าปฏิบัติงานในพื้นที่ให้ผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดทราบทุกคน

และหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่เข้าไปในพื้นที่เสี่ยงซึ่งมีการประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมโรคเด็ดขาดในช่วงเวลาที่จังหวัดสมุทรสาครกำหนดให้พิจารณาดำเนินการตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัดซึ่งอาจจะมีการประกาศต่อไป

ด้านส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงอุตสาหกรรมทั้งหมดให้งดการเดินทางเข้าไปในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร เว้นแต่กรณีที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งต้องมีการแจ้งให้หรือประสานสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาครทราบ เพื่อแจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือแจ้งนโยบายของผู้ว่าราชการจังหวัดและกระทรวงสาธารณสุขในพื้นที่ประสานงานกันก่อน

ในช่วงระหว่างนี้ให้ใช้การติดต่อประสานงานทางโทรศัพท์หรือช่องทางทางเทคโนโลยีสารสนเทศอื่นๆ แทนการเข้าพื้นที่ และให้ทุกหน่วยงานในกระทรวงอุตสาหกรรมติดตามสถานการณ์ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาครและดำเนินมาตรการที่เกี่ยวข้องสอดรับอย่างเคร่งครัด

โควิด-19 ระบาดรอบแรก ประชาชนต้องประสบปัญหาขาดแคลนหน้ากากอนามัย แถมพวงมาด้วยราคาที่แพงหูฉี่ โควิด-19 ระบาดรอบใหม่นี้ ทาง ‘ลุงตู่’ จึงรีบออกมากำชับให้กระทรวงพาณิชย์ดูแลเรื่องนี้อย่างเข้มข้นอย่าให้ซ้ำรอยเดิมเด็ดขาด

อนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นในประเทศ ทาง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จึงได้กำชับกระทรวงพาณิชย์ ให้เข้มงวดเรื่องการบริหารจัดการหน้ากากอนามัย โดยประชาชนควรหาซื้อได้ง่าย ในราคาที่ไม่แพง

โดยได้ให้กระทรวงพาณิชย์ควบคุมราคา รวมทั้งดูแลเรื่องการกระจายหน้ากากอนามัยให้ทั่วถึง และให้ใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและจริงจังเพื่อสร้างความเป็นธรรมให้ประชาชน และลงโทษคนที่ทำผิดกฎหมายอย่างเด็ดขาด

นอกจากนี้นายกฯ ยังขอให้ประชาชนปฎิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข โดยให้ประชาชนทั่วไปที่ไม่ป่วยสามารถสวมใส่หน้ากากผ้าได้ เพียงแต่ใช้แล้ว 1 วันต้องซัก จึงควรมีหน้ากากผ้าสลับสับเปลี่ยน และสิ่งที่สำคัญสำหรับคนไม่ป่วยคือ การล้างมือบ่อยๆ เพราะเชื้อจะติดได้นั้น หลักๆ คือ การสัมผัส ดังนั้นการล้างมือจะช่วยได้ ไม่ว่าจะล้างมือด้วยน้ำและสบู่ หรือล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล และข้อสำคัญสุดท้ายคือการรักษาระยะห่าง หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด

นายกรัฐมนตรีอังกฤษ สั่งล็อกดาวน์ด่วน หลังนักวิทยาศาสตร์ค้นพบไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์ทางตะวันออกเฉียงใต้ในอังกฤษ ซึ่งมีประสิทธิภาพการระบาดได้เร็วกว่าเดิมสูงถึง 70%

CNN รายงานว่า นายกรัฐมนตรีอังกฤษ บอริส จอห์นสัน ประกาศมาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวดรอบใหม่ ซึ่งเกิดขึ้นไม่กี่วันหลังเขาออกมาบอกว่า "เป็นการไร้มนุษยธรรมมากเกินไปหากจะให้มีการยกเลิกการจัดฉลองวันคริสต์มาสที่จะมีขึ้นในสัปดาห์นี้"

อย่างไรก็ตามจอห์นสันได้ออกแถลงมาตรการต่างๆ สำหรับการป้องกันการระบาดโรคโควิด-19 ให้มีความเข้มงวดมากขึ้น หลังการระบาดในประเทศยังเพิ่มขึ้น และส่งผลให้มีจำนวนผู้เสียชีวิตกว่า 67,000 คน และติดเชื้อกว่า 2 ล้านคน

โดย จอห์นสันได้กล่าวว่า กรุงลอนดอน และพื้นที่ส่วนใหญ่ทางใต้ รวมถึงทางตะวันออกของอังกฤษที่มีเคสพุ่งสูงนั้นจะเข้าสู่มาตรการจำกัด 4 ขั้นที่คล้ายกับการล็อกดาวน์โดยเริ่มขึ้นในวันอาทิตย์ (20)

ทว่าสิ่งที่น่าสนใจในการแถลงข่าวนั้น คือ การพบไวรัสโควิด-19 ที่เกิดการกลายพันธุ์ในอังกฤษ โดยจอห์นสัน เผยว่า “การระบาดถูกทำให้หนักมากขึ้นจากไวรัสสายพันธุ์ใหม่” และเสริมต่อว่า “มัน (ไวรัสโควิด-19 กลายพันธุ์) ดูเหมือนติดง่ายกว่าและดูเหมือนสูงถึง 70% ของการระบาดเมื่อเทียบกับสายพันธุ์เดิม”

สำหรับการเตือนขั้นระดับ 4 ได้ถูกใช้ในสหราชอาณาจักรอังกฤษ เวลส์ สก๊อตแลนด์ และไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งภายใต้มาตรการเตือนขั้นระดับ 4 ประชาชนต้องอยู่แต่ภายในที่พักเว้นแต่เหตุผลที่จำเป็น และต้องไม่พบปะกับผู้อื่นที่ไม่ได้อยู่ในบ้านพักเดียวกัน ส่วนธุรกิจร้านค้านั้นต้องปิดตัว

เหตุการณ์นี้ ทำให้องค์การอนามัยโลก WHO ออกแถลงการณ์ทางทวิตเตอร์ของ WHO โดยประกาศจะทำงานร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับเจ้าหน้าที่อังกฤษในสถานการณ์การระบาดไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ หลัง อังกฤษได้ส่งข้อมูลจากการศึกษาที่กำลังวิจัยอยู่ในเวลานี้เกี่ยวกับการกลายพันธุ์ของไวรัส และทางองค์การอนามัยโลก โดยจะแจ้งให้ชาติสมาชิกอื่นๆ และสาธารณะทราบข่าวความคืบหน้าในการเรียนรู้ลักษณะไวรัสสายพันธุ์ใหม่และการแบ่งตัวของมันต่อไป

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เรียกประชุมผู้บริหารระดับสูง พร้อมอธิบดีทุกกรม และผู้ที่เกี่ยวข้อง ให้กำชับหน่วยงานในสังกัด ควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ในกลุ่มแรงงานอย่างเคร่งครัด

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวถึงกรณีการแพร่ระบาดของโควิด - 19 ในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ว่า ได้ติดตามสถานการณ์และมีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานและประชาชนทั่วไปต่อการแพร่ระบาดของโควิด – 19

ซึ่งที่ผ่านมา รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และการกำกับดูแลของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานและประชาชนทุกกลุ่ม

ทั้งนี้ ได้มีการสั่งการและดำเนินการตามมาตรการมาอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของกระทรวงแรงงาน ได้สั่งการให้กรมการจัดหางานและกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ลงพื้นที่เข้าไปชี้แจงทำความเข้าใจกับนายจ้างสถานประกอบการเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ลูกจ้างรู้จักวิธีการป้องกันจากการแพร่ระบาดของโควิด -19

นอกจากนี้ ยังได้มีการประชุมและประสานข้อมูลรายงานกับศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด -19 (ศบค.) อย่างใกล้ชิด ในส่วนของจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสถานประกอบการขนาดใหญ่ที่มีลูกจ้างเป็นจำนวนมาก ซึ่งสถานประกอบการแต่ละแห่งก็ได้มีมาตรการป้องกันโควิด – 19 ที่เข้มงวดอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตามในวันนี้ ตนเองในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน จึงได้เชิญผู้บริหารระดับสูงของกระทรวง อธิบดีทุกกรม และผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อกำชับให้หน่วยงานในสังกัดทุกพื้นที่บูรณาการร่วมมือกันปฏิบัติตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด

รวมทั้งประชุมทางไกลผ่านระบบ Video Conference ไปยังหัวหน้าส่วนในสังกัดจังหวัดสมุทรสาครเพื่อติดตามสถานการณ์ โดยได้กำชับให้ทุกส่วนราชการในสังกัดกระทรวงแรงงานทุกพื้นที่ชี้แจงทำความเข้าใจกับนายจ้างสถานประกอบการ เพื่อให้ลูกจ้างรู้จักวิธีการป้องกันจากการแพร่ระบาดของโควิด -19

รวมทั้งให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด – 19 ทั้งในกลุ่มแรงงานไทย แรงงานต่างด้าวในสถานประกอบการ รวมทั้งการออกประกาศห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวในทุกกรณีและจัดให้มีมาตรการเฝ้าระวังและตรวจสอบคัดกรองโรค เช่น การประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ให้สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือด้วยเจลแอลกอฮอล์ เป็นต้น

นายสุชาติ ยังกล่าวอีกว่า กระทรวงแรงงาน ยังได้ประสานไปยังสถานเอกอัครราชทูตเมียนมาประจำประเทศไทย เครือข่ายภาคเอกชน และ NGOs เพื่อให้ทางการเมียนมาออกสื่อประชาสัมพันธ์เป็นภาษาเมียนมา เพื่อให้ลูกจ้างเมียนมาที่มาทำงานในประเทศไทยรับทราบและปฏิบัติตัวในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด – 19 โดยรณรงค์ให้แรงงานต่างด้าวและสถานประกอบการที่มีการจ้างแรงงานต่างด้าว ตระหนักถึงมาตรการป้องกันและควบคุมโรค

โดยประชาสัมพันธ์ในภาษาของแรงงานต่างด้าวตามมาตรการที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดอย่างเคร่งครัด เช่น สวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าตลอดเวลาที่ร่วมกิจกรรม ล้างมือบ่อย ๆ หรือทำความสะอาดด้วยเจลแอลกอฮอล์ เว้นระยะห่างระหว่างกันอย่างน้อย 1 เมตร เป็นต้น รวมทั้งการระงับการให้บริการศูนย์จัดเก็บข้อมูลแรงงานเมียนมาชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคมนี้ไปจนถึงวันที่ 3 มกราคม 2564

ทั้งนี้ จังหวัดสมุทรสาครมีแรงงานต่างด้าว จำนวน 275,782 คน (ข้อมูล 15 ธ.ค.63) เมียนมา 243,617 คน ลาว 13,200 คน กัมพูชา 9,648 คน และสัญชาติอื่นๆ 9,317 คน โดยส่วนใหญ่ทำงานในอุตสาหกรรมประมงและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง

สำหรับมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวกระทรวงแรงงานนั้น ด้านป้องกัน ได้แก่

1) การชะลอการอนุมัตินำเข้แรงงานต่างด้าว ตั้งแต่วันที่ 23 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป จนกว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ

2) การผ่อนปรนให้แรงงานต่างด้าว MOU ที่ใบอนุญาตจะครบตั้งแต่พฤศจิกายน 2563 - ธันวาคม 2564 สามารถอยู่ในราชอาณาจักรและทำงานได้ต่อไปอีก 2 ปี

3) ตรวจสอบคัดกรองและเฝ้าระวังแรงงานต่างด้าว ณ ศูนย์ควบคุมการแจ้งเข้า-ออก เรือประมง (PIPO)

4) ขอความร่วมมือสถานประกอบการทั่วประเทศ ประขาสัมพันธ์และให้ความรู้แก่ลูกจ้าและผู้ประกันตนในสถานประกอบการ เรื่องไวรัสโควิด-19 และการปฏิบัติตนตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข

5) แจ้งมาตรการให้นายจ้างในสถานประกอบการการคัดกรองลูกจ้างแรงานต่างด้าวและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

6) ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในกลุ่มแรงงานต่างด้าวโดยร่วมมือกับสภากาชาดไทย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการป้องกันโดยจัดทำเอกสารเผแพร่เป็นภาษาของแรงงานต่างด้าว สร้างความเข้าใจเรื่องมาตรการเยียวยาผลกระทบ มอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ มีกระบวนการคัดกรองและการกักตัว 14 วัน ตามที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด

7) รวบรวมรายชื่อสถานประกอบการที่มีการจ้างแรงงานต่างด้าวหรือสถานที่ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงและจำนวนแรงงานต่างด้าวทุกจังหวัด ทั่วประเทศ และแจ้งข้อมูลให้ ศบค.ทราบเพื่อใช้ในการวางแผนตรวจหาเชื้อโควิด-19 ตามมาตรการป้องกันเชิงรุกร่วมกับอาสาสมัครสาธารณสุขแรงงานต่างด้าว (อสต.)

ส่วนในด้านเยียวยา การให้บริการทางการแพทย์ แก่ผู้ประกันตนที่ป่วยเป็นโรคโควิด-19 ภายหลังสถานการณ์ผ่อนคลาย ได้แก่ 1) ส่งเสริมการจ้างานคนไทยให้เข้าสู่ระบบการจ้างงาน 2) จัดทำข้อมูลความจำเป็นในการใช้แรงงานต่างด้าวในประเทศ และ 3) การเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวอย่างเป็นระบบ

สรุปผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริการส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) อย่างไม่เป็นทางการ ณ เวลา 08.00 น.

สรุปผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริการส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) อย่างไม่เป็นทางการ ณ เวลา 08.00 น. โดยมีจังหวัดที่น่าสนใจ ดังนี้

1. เชียงใหม่ นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร จากพรรคเพื่อไทย ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 1 เอาชนะคู่แข่งคนสำคัญ คือ นายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ อดีตนายก อบจ.เชียงใหม่ ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 2

2. เชียงราย นางอทิตาธร วันไชยธนวงศ์ ผู้สมัครอิสระ ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 1 โดยเอาชนะ น.ส.วิสาระดี เตชะธีรวัฒน์ จากพรรคเพื่อไทย ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 2

3. นครราชสีมา นางยลดา หวังศุภกิจโกศล ภรรยารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 1

4. สมุทรปราการ นางนันทิดา แก้วบัวสาย ทายาททางการเมืองตระกูลดังบ้านใหญ่ ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 1 

5. ขอนแก่น นายพงษ์ศักดิ์ ตั้งวานิชกพงษ์ สามารถป้องกันตำแหน่งนายก อบจ.เอาไว้ได้ มีคะแนนนำมาเป็นอันดับ 1 จ่อเป็นว่าที่นายก อบจ.สมัยที่ 6 ติดต่อกัน

6. ปทุมธานี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง อดีตนายตำรวจคนดัง ได้คะแนนมาเป็นอันดับที่ 1 ว่าที่นายก อบจ. ผู้ล้มนายก อบจ.คนเดิม นายชาญ พวงเพ็ชร์ นายก อบจ. 4 สมัย โดยได้คะแนนมาเป็นอันดับ 2

7. ชลบุรี นายวิทยา คุณปลื้ม อดีตนายก อบจ. คนดัง ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 1 เตรียมทำหน้าที่ต่ออีกสมัย

8. นราธิวาส นายกูเซ็ง ยาวอหะซัน อดีตนายก อบจ.นราธิวาส 4 สมัย ซึ่งเป็นแชมป์เก่า ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 1

9. นครศรีธรรมราช นางกนกพร เดชเดโช ได้คะแนนมาเป็นอับดับ 1 โดยคะแนนนำแบบม้วนเดียวจบ เตรียมทำหน้าที่นายก อบจ.

10. นนทบุรี พ.ต.อ.ธงชัย เย็นประเสริฐ อดีตนายก อบจ. ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากประชาชนในพื้นที่มายาวนาน ได้คะแนนมาเป็นอับดับ 1

11. สระแก้ว นางขวัญเรือน เทียนทอง ผู้สมัครตระกูลการเมืองคนดังในพื้นที่ ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 1

12. นครปฐม นายจิรวัฒน์ สะสมทรัพย์อิสระ ผู้สมัครทายาทตระกูลการเมืองดัง มีเครือข่ายการเมืองทุกระดับ ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 1 ทิ้งห่างคู่แข่ง

อย่างไรก็ตาม ว่าที่นายก อบจ. ที่ได้คะแนนมาเป็นอันดับ 1 ทั้งหมด ต้องรอการรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต่อไป



ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์
 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เผยยังไม่ห้ามจัดเคาท์ดาวน์ทั้งประเทศ วอนเข้มมาตรการด้านสาธารณสุข ทั้งงานแต่ง งานบวช ยืนยันเวชภัณฑ์ไม่ขาดแคลน องค์การเภสัชกรรมผลิตเองได้ แต่ขู่อย่าคิดโก่งราคา

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังเข้าพบพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกฯ เพื่อรายงานสถานการณ์การระบาดโควิด-19 ในจังหวัดสมุทรสาครและอีกหลายจังหวัดว่า ตนและคณะได้รายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในจังหวัดสมุทรสาครให้นายกฯทราบ โดยเฉพาะมาตรการที่ได้ดำเนินการไปแล้ว โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อที่ตลาดกลางกุ้ง ซึ่งเป็นที่พักของบรรดาแรงงานต่างด้าว จนเกือบครบแล้ว

โดยอัตราการติดเชื้ออยู่ร้อยละ 42 แต่ส่วนใหญ่ไม่แสดงอาการ และยังต้องกักกันโรค โดยห้ามเข้า ห้ามออก และดูแลเรื่องอาหาร ชีวิตประจำวัน ให้เขามีความปลอดภัย รวมทั้งกระทรวงสาธารณสุขได้จัดเตรียมตั้งโรงพยาบาลสนามในพื้นที่ดังกล่าวเบื้องต้นประมาณ 100 เตียง

ซึ่งถ้าบุคคลในพื้นที่นั้นมีอาการป่วยขึ้นมาแล้วไม่ได้เข้าขั้นรุนแรงก็จะรักษาในนั้น ไม่ให้ออกมาข้างนอก เว้นแต่คนที่มีอาการรุนแรงมาก ก็จะมีวิธีการขนถ่ายไปโรงพยาบาลที่มีความพร้อมสมบูรณ์ในการรักษาโดยยึดหลักความปลอดภัย

นายอนุทิน กล่าวว่า "นายกรัฐมนตรี เน้นให้มีความพร้อมในการสนับสนุนทุกด้านเพื่อให้เกิดความปลอดภัยของประชาชน หากมีสิ่งใดขาดเหลือให้มารายงานนายกฯโดยตรง และเน้นย้ำความปลอดภัยของประชาชนให้มีเวชภัณฑ์ให้เพียงพอและตรวจค้นหาให้มากที่สุด ส่วนมาตรฐานต่าง ๆ หากจะมีออกมานั้นขอประเมินตามสถานการณ์"

เมื่อถามถึงข้อกฎหมายที่เสนอต่อนายกฯ เพื่อควบคุมสถานการณ์ให้เข้มงวดมากขึ้นมีข้อสรุปอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า "ขณะนี้เราอยู่ภายใต้พรก.ฉุกเฉิน และ ปฏิบัติตามข้อกำหนดมาตลอด หากเป็นข้อบังคับที่ใช้กันทั่วประเทศ ทางผู้ว่าราชการจังหวัด คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด สามารถออกมาตรการในพื้นที่นั้น ๆ ได้ทันที

อย่างไรก็ตาม การที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ระบุถึงพรบ.โรคติดต่อที่จะเข้าที่ประชุมครม.ในวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ.2563 นั่นคือเรื่องการแก้ไขพรบ.โรคติดต่อ ซึ่งเป็นฉบับแก้ไข เนื่องจากเห็นว่าหากสถานการณ์ดีขึ้นก็อาจจะต้องเลิกพรบ.ฉุกเฉิน แล้วมาใช้พรบ.ดังกล่าวให้เข้มข้นขึ้นแทน แต่จนถึงขณะนี้ คงต้องพรก.ฉุกเฉินไว้ก่อน"

ส่วนตลาดใหญ่ๆหลายแห่ง เช่น ตลาดไทย ตลาดบางใหญ่ จะเข้าตรวจเชิงรุกหรือไม่เนื่องจากมีแรงงานต่างด้าวเป็นจำนวนมากนั้น นายอนุทิน กล่าวว่า "กระทรวงสาธารณสุขทำได้ แต่โดยพื้นฐานก่อนที่จะเข้าไป เขาก็ต้องปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเข้มงวด คือต้องสวมหน้ากากอนามัย ตลอดเวลา ล้างมือและวัดไข้ก่อนเข้า ถือเป็นการคัดกรองได้ระดับหนึ่ง ซึ่งการติดเชื้อได้เกิดจากการสัมผัสใกล้ชิด และส่วนใหญ่ไม่ได้สวมหน้ากากอนามัย หรือ สวมไว้ใต้คาง"

นายอนุทิน กล่าวว่า "สำหรับความพร้อมของเวชภัณฑ์ในการรักษาพยาบาล ยืนยันว่าวันนี้เพียงพอ เพราะได้สะสมมาตลอด9 - 10 เดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะหน้ากากอนามัย ได้เตรียมไว้ถึง 50 ล้านแผ่น เพราะองค์การเภสัชกรรมผลิตเองได้ ผลิตได้และขายแผ่นละไม่เกิน 2 บาท ถ้าใครกักตุน และมีการขึ้นราคา ทางกระทรวงสาธารณสุข ก็จะปล่อยทั้ง 50 ล้านแผ่นออกมา"

"ดังนั้นประชาชนอย่าไปซื้อของแพง หรือแม้แต่หน้ากาก N95 ก็มีเป็นล้านแผ่น ยารักษาโรคก็มีเพียงพอที่จะรักษาผู้ป่วย ต่อให้มีการปะทุของโรคก็ตาม แต่มั่นใจว่าไม่ไปถึงขนาดนั้น เพราะกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข สามารถควบคุมป้องกันการระบาดของโรคได้ในระยะเวลาไม่นานหลังจากนี้"

"ส่วนกรณีที่มีการขอรับบริจาคตามโรงพยาบาลในต่างจังหวัดนั้น ถือเป็นการให้ประชาชนมีส่วนร่วม แต่ไม่ได้หมายถึงเราขาดแคลน เพราะจิตศรัทธา หรือ ความต้องการที่อยากจะช่วยเพื่อให้ประชาชนทุกคนปลอดภัยนั้น เรายินดีรับอยู่แล้ว แต่ถ้าจะให้เปิดรับบริจาคอย่างเป็นทางการไม่มี"

ส่วนในช่วงเทศการปีใหม่ หลายคนยังกังวลว่าจะจัดกิจกรรมรื่นเริง หรือ จัดเคาท์ดาวน์ ทั้งประเทศได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า "ต้องประเมินตามสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ คิดว่าตอนนี้เอาเรื่องความปลอดภัยเป็นหลักไว้ก่อน ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางในเรื่องนี้ด้วยว่า ให้รีบไปดู แต่ถ้าสามารถควบคุมได้และผลตรวจออกมานิ่งแล้ว ก็ต้องมารายงานเป็นรายวันไป ช่วงนี้ทุกอย่างต้องประเมินสถานการณ์เป็นรายวัน และยืนยันว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ห้ามจัดกิจกรรม"

เมื่อถามถึงงานบวช งานแต่งในช่วงนี้ยังจัดได้หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า "ถ้าอยู่นอกเขตที่ประกาศควบคุมก็ยังจัดได้ปกติ แต่ก็ต้องเข้มมาตรการกันหน่อย ย้ำกระทรวงสาธารณสุขพยายามทำงานเต็มที่ไม่ใช่ว่าเราจะหาวิธีห้ามประชาชนทำกิจกรรม เราอยากให้ทุกคนทำกิจกรรมปกติ ให้มีความสุข แต่ขอให้ช่วยกันรักษามาตราการเพื่อให้ไม่มีปัญหา โดยเฉพาะถ้ามีหน้ากากอนามัยอยู่บนใบหน้าก็จะไม่มีปัญหาอะไร"

อธิบดีกรมการค้าภายใน มั่นใจอาหารทะเลไม่ขาดแคลนและไม่กระทบด้านราคามากนัก เล็งดึงแหล่งผลิตอาหารทะเล ทางภาคตะวันออก และภาคใต้ทดแทน

นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า หลังจากเกิดกรณีพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่จังหวัดสมุทรสาครหลายราย ซึ่งตลาดปลามหาชัยถือเป็นตลาดอาหารทะเลขนาดใหญ่ จึงมีผลกระทบต่อการซื้อขายอาหารทะเลในบางพื้นที่แน่นอนเมื่อเกิดการล็อกดาวน์ขึ้น

ล่าสุดกรมการค้าภายใน ได้มีการเชื่อมโยงแหล่งผลิตอาหารทะเลอื่น ๆ ในทางภาคตะวันออก และภาคใต้ ไปยังผู้ที่ต้องการทั้งผู้ค้าและผู้บริโภค เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหารขาดแคลน

นายวัฒนศักย์ กล่าวว่า "ในด้านผลกระทบด้านราคาอาหารทะเลนั้น เบื้องต้นกรมฯ ประเมินว่า ราคาไม่น่าทำให้สูงขึ้นนัก เพราะเมื่อเกิดกรณีนี้ขึ้น ทำให้คนเกิดความกังวลบางส่วนอาจลดการบริโภคอาหารทะเลในช่วงนี้ อย่างไรก็ตามในส่วนของการดูแลกลุ่มชาวประมงนั้น กรมฯ จะร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ พยายามดูแลไม่ให้ได้รับผลกระทบ โดยเชื่อมโยงหาตลาดให้จำหน่ายได้อย่างเป็นธรรม"

พรรคประชาธิปัตย์ ขอบพระคุณ ทุกคะแนนเสียงของประชาชน ขอแสดงความยินดีและพร้อมทำงานร่วมกันกับผู้ชนะการเลือกตั้งในทุกจังหวัดเต็มที่

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงการเลือกตั้ง สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดว่า ขอขอบพระคุณทุกคะแนนเสียงที่ไว้วางใจผู้สมัครที่ลงในนามพรรค

ต่อจากนี้ไปผู้สมัครที่ชนะการเลือกตั้งก็จะได้นำนโยบายที่ได้หาเสียงไว้ไปขับเคลื่อนเพื่อทำประโยชน์ให้กับประชาชนในพื้นที่ โดยจะมีการทำงานร่วมกับพรรคและบุคลากรของพรรคอย่างเต็มที่ต่อไป และขอแสดงความยินดีต่อผู้ชนะการเลือกตั้งในทุกจังหวัด

พรรคประชาธิปัตย์ มีอุดมการณ์เรื่องการกระจายอำนาจอย่างชัดเจนตั้งแต่เมื่อครั้งก่อตั้งพรรค คือพรรคจะกระจายอำนาจการดำเนินการในท้องถิ่นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เนื่องจากความใกล้ชิดขององค์กรในท้องถิ่นมีมากกว่าส่วนกลาง

หลักการสำคัญนี้คือจุดตั้งต้นที่สำคัญที่พรรคผลักดันและสนับสนุนการกระจายอำนาจเพื่อให้ประชาชนได้เลือกคนที่เป็นคนในพื้นที่ที่มีความรู้ความเข้าใจปัญหาต่าง ๆ ได้ดี เพื่อเข้าไปทำหน้าที่แก้ปัญหาให้กับประชาชนท้องถิ่นนั้น ๆ ในทุกเรื่อง

การเลือกตั้งท้องถิ่นในครั้งนี้ อาจมีคำถามว่าเหตุใดพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่ส่งผู้สมัครให้ครบทุกจังหวัด ก็ต้องตอบอย่างตรงไปตรงมาว่าการสนับสนุนการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นไม่ใช่การส่งผู้สมัครลงในนามพรรคแต่เพียงอย่างเดียว

แต่หมายความรวมถึงการสนับสนุนในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น สมาชิกพรรคที่ลงสมัครรับเลือกตั้งโดยไม่ได้ลงในนามพรรคก็มีอยู่หลายจังหวัด และเป็นการใช้สิทธิ์ลงสมัครในนามส่วนตัว รวมถึงมีสมาชิกหลายคนที่ไม่ได้ลงสมัครแต่อาสาทำงานส่งเสริมสนับสนุนการทำงานท้องถิ่นก็มี

ส่วนผู้สมัครที่พรรคส่งนั้น หากมีส่วนใดที่สนับสนุนและทำงานร่วมกันกับท้องถิ่นทุกจังหวัดก็ทำเต็มที่ เช่นขณะนี้พื้นที่ใดที่ประชาชนเกิดปัญหา พรรคฯ ก็ไม่ติดใจว่าเป็นคนของใคร แต่พรรคก็พร้อมจะทำงานร่วมกับท้องถิ่นนั้นโดยมุ่งถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก ส่วนเรื่องกฎหมายมีส่วนไหนที่เป็นอุปสรรคต่อการปกครองส่วนท้องถิ่นก็มีการเสนอการแก้ไขกฎหมายอยู่หลายเรื่อง

นายราเมศ กล่าวตอนท้ายว่า "การเลือกตั้งสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดครั้งนี้หลังจากห่างหายมาหลายปีก็อยากจะให้ผู้ชนะการเลือกตั้งใช้โอกาสทำงานให้เต็มที่ โดยยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และทำงานให้ประชาชนในพื้นที่ โดยยึดหลักความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง ก็จะเป็นผลดีต่อทุกคนทุกฝ่ายรวมถึงประเทศชาติด้วย"

เปิดหน้าชกหนัก หลังรัฐหละหลวมจนโควิด-19 คัมแบ็ค โดย ‘พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์’ ออกมาซัดรัฐบาล ผ่านเฟซบุ๊ก หลังเคยเขียนบทความเตือนรัฐไปแล้วกว่า 8 เดือน เรื่องแรงงานต่างชาติ แต่รัฐยังละเลยจนโควิด-19 กลับมาลุกลาม

หลังจากโควิด-19 กลับมาอีกรอบ ทำให้ ‘พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์’ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ได้ออกมาแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เกี่ยวกับเรื่องที่ตนนั้นพยายามพูดมาตลอด 8 เดือน ในเรื่องของแรงงานต่างชาติ โดยนายพิจารณ์ ได้ระบุว่า

“ก่อนหน้านี้เคยโพสต์และสื่อสารผ่านสื่อมวลชนถึงความเสี่ยงของกลุ่มชุมชนแรงงานต่างชาติในพื้นที่สมุทรสาคร โดยเปรียบเทียบกับปัญหาที่เกิดขึ้นในสิงคโปร์ที่รัฐควรเข้าไปมีบทบาท ‘เชิงรุก’ ในการตรวจและค้นหาผู้ติดโรค เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด โดยมีข้อเสนอ 6 ข้อ อย่างไรก็ตาม ผู้ติดเชื้อที่ล่าสุดอยู่ที่เกือบ 700 ราย สะท้อนถึงความละหลวม ปล่อยปะละเลยของรัฐมาโดยตลอด

“โควิดกระจอก คำกล่าวของผู้ใหญ่ในรัฐบาลท่านหนึ่ง ที่ได้ตอกย้ำและแสดงให้เห็นถึงความละเลยในช่วงเวลาที่ผ่านมา ความลุแก่อำนาจของผู้นำรัฐบาลกับการใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉินต่อเนื่องอย่างยาวนาน ซึ่งดูจะสวนทางกับการป้องกันการลักลอบเข้าเมืองตามแนวชายแดน และในท้ายที่สุด อาจจะไม่สามารถหยุดยั้งความเสียหายที่กำลังจะเกิดขึ้นจากการแพร่ระบาดรอบใหม่นี้ได้

“ความสำเร็จในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดที่ผ่านมา เป็นชัยชนะด้วยประสิทธิภาพของระบบสาธารณสุข บุคลากรทางการแพทย์ แต่ที่สำคัญอย่างยิ่ง ชัยชนะที่ผ่านมาเป็น ความเสียสละของพี่น้องประชาชน ที่ต้องแลกมาด้วยการถูกให้ออกจากงาน การถูกลดเวลาการทำงาน และการหยุดกิจการของผู้ประกอบการหลายราย หาใช่ความสำเร็จในการจัดการสถานการณ์ของรัฐบาล

ในการป้องกันและแก้ปัญหาระยะยาว รอบนี้คงต้องถามดัง ๆ ถึงหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อหา ‘ผู้รับผิดชอบ’ ต่อความล้มเหลวในการดูแลและป้องกันการลักลอบเข้าเมืองตามแนวชายแดน ซึ่งจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก ประยุทธ์ จันทร์โอชา”

นอกจากนี้ พิจารณ์ ยังได้เขียนบทความเพื่อเตือนรัฐบาล ด้วยการยกกรณีของสิงค์โปร์เป็นตัวอย่าง ซึ่งบทความนี้ได้ระบุถึงสถานการณ์โควิด-19 ของสิงค์โปร์ ที่กำลังควบคุมได้แต่ กลับต้องมียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น เนื่องจากแรงงานต่างชาติที่อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างแออัด หากมีผู้ติดเชื้อเพียงคนเดียวในกลุ่มก็ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่กระจายโรคมีมากขึ้น ทำให้เห็นว่าแรงงานต่างชาติเป็นกลุ่มที่รัฐไม่ควรมองข้าม ขณะเดียวกันเมื่อหันกลับมามองแรงงานต่างชาติในไทยก็พบว่า การรับมือของบ้านเรานั้นไม่ได้ต่างจากสิงค์โปร์

พิจารณ์ยังได้ระบุว่า “จากการไปเยี่ยมประชาชนในจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งมีแรงงานต่างชาติมากถึง 2 แสนกว่าราย หรือเกือบเท่าจำนวนแรงงานต่างชาติในประเทศสิงคโปร์ ภายในชุมชน 43 แห่งในจังหวัด ล้วนแล้วแต่เป็นพื้นที่ที่มีความแออัดและเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคในลักษณะเดียวกับประเทศสิงคโปร์ นอกจากนั้นยังพบว่า แรงงานต่างด้าวบางส่วนไม่สวมใส่หน้ากากอนามัย ดังนั้นรัฐบาลจึงควรมีแนวทางและมาตราการที่ชัดเจนในการดูแลคนกลุ่มนี้ ภายใต้หลักคิดสำคัญในการกำหนดมาตรการคคือ (1) การช่วยเหลือดูแลตามหลักสิทธิมนุษยชนที่บุคคลหนึ่งควรได้รับ (2) ในฐานะฟันเฟืองที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน และ (3) บทพื้นฐานการควบคุมและป้องกันจุดเสี่ยงในการแพร่ระบาดของโรค”

จากการระบาดที่เกิดขึ้นนายพิจารณ์ จึงมีข้อเสนอเชิงมาตรการต่อเรื่องดังกล่าวอีก 6 ข้อ ได้แก่

1.) การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ ความเข้าใจในการป้องกันตนเองแก่แรงงานต่างชาติในภาษาที่หลากหลาย

2.) การสร้างเครือข่ายนายจ้างในการติดตามดูแลสุขภาพของลูกจ้างต่างชาติ

3.) การสนับสนุนเรื่องอาหารและความช่วยเหลือเบื้องต้นแก่แรงงานต่างชาติที่ตกงานและไม่สามารถกลับประเทศต้นทางได้

4.) การสนับสนุนด้านสถานที่สำหรับแรงงานที่มีความจำเป็นในการกักตัวเอง

5.) การดำเนินมาตรการเชิงรุกในการสุ่มตรวจหาเชื้อภายในชุมชนที่มีแรงงานต่างชาติอาศัยจำนวนมาก

6.) การกำหนดมาตรการฉุกเฉินสำหรับการตรวจโรคและดูแลรักษาแรงงานต่างชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการของประเทศมาเลเซีย ทั้งนี้เพื่อสร้างแรงจูงใจในการเข้าระบบการรักษาและลดโอกาสการแพร่กระจายของเชื้อโรค

ข้อเสนอข้างต้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งที่รัฐบาลควรให้ความสนใจคนทุกกลุ่ม ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ปกตินี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ลุกลามมากขึ้นในอนาคต

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน ( 21 ธันวาคม พ.ศ.2563 )

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 382 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 5,289 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 12 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 4,053 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,176 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 382 รายเป็นผู้เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้า State Quarantine จาก

สหราชอาณาจักร 1 ราย สหรัฐอเมริกา 3 ราย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย ยูเครน 1 ราย คูเวต 1 ราย ซูดาน 1 ราย

ติดเชื้อภายในประเทศจาก อยุทธยา 1ราย นครปฐม 2 ราย สมุทรปราการ 3 ราย สมุทรสาคร 5 ราย กทม. 2 ราย ตาก 1 ราย ผู้ติดเชื้อในประเทศ อยู่ระหว่างการสอบสวนจำนวน 19 ราย และ ผู้ติดเชื้อในแรงงานต่างด้าว จำนวน 516 ราย และติดเชื้อในแรงงานต่างชาติ 360 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 149 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 363 ราย รักษาหายแล้ว 345 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 6.65 แสน ราย รักษาหายแล้ว 5.42 แสน เสียชีวิต 19,880 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 36 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 93,309 ราย รักษาหายแล้ว 77,309 ราย เสียชีวิต 437 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.16 แสน ราย รักษาหายแล้ว 95,387 ราย เสียชีวิต 2,443 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.6 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.29 แสน ราย เสียชีวิต 8,947ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,422 ราย รักษาหายแล้ว 58,279 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,413 ราย รักษาหายแล้ว1,269 ราย เสียชีวิต 35 ราย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top