Saturday, 10 May 2025
PoliticsQUIZ

นายกรัฐมนตรี เล็งใช้วิธีขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวชั่วคราวบัตรสีชมพู แก้ปัญหา พร้อมอบหมาย ก.มหาดไทยและก.แรงงาน แบ่งโซนตามพื้นที่ควบคุมการแพร่ระบาดโควิด วอนชาวโซเชี่ยลหยุดขยายความขัดแย้ง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมพิจารณากำหนดวงเงินงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565

ถึงสถานการณ์โควิด-19 ว่า เท่าที่ได้รับรายงานในขณะนี้ทราบว่าสถิติการติดเชื้อใหม่รายวันเริ่มลดลง เนื่องจากมีการตรวจสอบและควบคุมพื้นที่มากขึ้น ส่วนใดที่เป็นอุปสรรคปัญหาตนได้มอบหมายทุกหน่วยงานไปแล้วว่าจะดำเนินการอย่างไร

แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือหากวิเคราะห์สาเหตุขั้นต้นมาจากแรงงานต่างด้าว ซึ่งหากถูกกฎหมายอยู่ในประเทศไทยมานานไม่มีปัญหา เว้นแต่ผู้ที่ลักลอบ จึงต้องขจัดขบวนการลักลอบให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ตนมีความกังวลกับแรงงานที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนและมีการหลบเลี่ยง จากผู้ที่เห็นแก่ตัวที่จ้างงานโดยไม่จ่ายค่าแรงตามกำหนดและมีขบวนการนำส่งแรงงานกลุ่มนี้เข้ามา วันนี้จึงกำลังรื้อทั้งหมดให้ติดตามขบวนเหล่านี้

"สิ่งที่กังวลเรื่องเดียว ขณะนี้คือมีบางโรงงานหรือหลายโรงงานใช้แรงงานไม่ถูกต้องตามกฎหมายเอาไปปล่อยในพื้นที่อื่น ๆ หรือลาออกจากงาน เมื่อเช้าก็ได้สั่งการ ศบค. ให้หามาตรการตรงนี้มาว่าจะทำยังไง โดยให้แนวทางไปว่า ให้กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปพิจารณาดู เหมือนสมัยที่ขึ้นทะเบียนแรงงานสมัยก่อนมีวิธีการขึ้นทะเบียนชั่วคราว โดยใช้บัตรสีชมพูไปก่อน ซึ่งกำลังดำเนินการตรงนี้ เพราะถ้าเราไปดำเนินการอย่างเข้มข้นมากเกินไปก็มีการเอาแรงงานนี้ไปปล่อยที่อื่น ขณะนี้จึงหากำลังหามาตรการเหล่านี้" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความร่วมมือระหว่างกัน โดยในการประชุม ศบค. ในวันพรุ่งนี้(24 ธ.ค.) ก็จะได้ข้อยุติว่าจะทำอย่างไรกันต่อไปในส่วนของมาตรการในช่วงนี้ รวมถึงในช่วงปีใหม่ และจะกำหนดพื้นที่ทั้งหมดว่าจะดำเนินการในพื้นที่ตรงไหนอย่างไร แบ่งเป็นพื้นที่แพร่ระบาดมากและแพร่ระบาดน้อย พื้นที่ความเสี่ยงมากหรือความเสี่ยงน้อย โดยจะกำหนดพื้นที่ทุกจังหวัด ให้เป็นสีต่าง ๆ สีเขียว สีส้ม และสีแดง เพื่อมีมาตรการเฉพาะลงไปว่าทำอย่างไรได้บ้าง เราต้องเตรียมการไว้เช่นนี้ จึงขอแจ้งเตือนให้ทุกคนได้รับทราบว่าเราอาจจะต้องลำบากและเสียสละ เพราะถ้าเราแก้ปัญหานี้ไม่ได้ในช่วงนี้ มันก็คือปัญหาต่อไป

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นอกจากนี้ในเรื่องการนำเสนอข่าว ขอให้รับฟังข้อมูลจาก ศบค. อย่าเอาข้อมูลจากที่อื่นที่ไม่ใช่ข้อมูลที่ถูกต้องหรือพิสูจน์ไม่ได้ไปเผยแพร่ เพราะจะทำให้เกิดความตื่นตระหนก และสร้างความรับรู้ไปยังต่างประเทศ อย่างไรก็ตามยังยืนยันว่าตอนนี้เป็นการระบาดแบบรู้ที่มา

และเรามีมาตรการเฉพาะต่าง ๆ รวมถึงมาตรการด้านสาธารณสุขที่ครบถ้วนทุกอย่าง ยังสามารถรับมือได้ทั้งหมด ไม่เช่นนั้นก็จะกลายไปสู่ประเทศไทยกลับมาระบาดร้ายแรงอีก ทำให้เราขาดความเชื่อมั่นในด้านสาธารณสุขไทย ย้ำว่าเราทำมากกว่าหลายประเทศ ดังนั้นต้องขอความร่วมมือสื่อมวลชนอะไรที่พูดจาออกมาโดยไม่ใช่ข้อเท็จจริงบางครั้งก็ทำให้เกิดปัญหา ซึ่งตนรับฟังทุกส่วน แต่ต้องแยกแยะว่า เรื่องใดเป็นข้อมูลจริงหรือเท็จ

"ขอร้องบรรดาผู้ที่ชอบออกมาทางโซเชียล เอาข้อมูลเท็จข้อมูลอะไรออกไปทั้งหมด แพร่ระบาดไปแล้วโน่นนี่ มันไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยกับประเทศไทยของเรา คุณเป็นคนไทยหรือเปล่า ถ้าเป็นคนไทยก็ต้องช่วยกันแก้ปัญหาไม่ใช่ปกปิด แต่ต้องเอาข้อมูลที่แท้จริงบางทีไปเขียนอะไรที่ไม่มีความรู้ ผมก็ไม่โทษเพียงแต่ขอร้องและให้ทุกคนมองว่าประโยชน์ของชาติอยู่ตรงไหน แล้วเราจะอยู่กันยังไงต่อไปถ้าจะอยู่อยากให้ดีขึ้นก็ต้องช่วยกัน สิ่งดี ๆ เยอะแยะไป อย่าไปขยายความขัดแย้งกันมากนัก" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (23 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 46 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 5,762 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 17 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 4,095 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,607 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 46 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จาก สหราชอาณาจักร 2 ราย , บาห์เรน 1 ราย , เมียนมา 1 ราย , รัสเซีย 1 ราย , สหรัฐอเมริกา 1 ราย และ ปากีสถาน 1 ราย

ผู้ติดเชื้อในประเทศ จำนวน 39 ราย จาก กรุงเทพมหานคร 11 ราย ฉะเชิงเทรา 5 ราย นครปฐม 3 ราย กำแพงเพชร 2 ราย ตาก 2 ราย ปราจีนบุรี 2 ราย พระนครศรีอยุธยา 2 ราย สมุทรปราการ 2 ราย สระบุรี 2 ราย เพชรบูรณ์ 1 ราย กระบี่ 1 ราย ขอนแก่น 1 ราย นครราชสีมา 1 ราย นนทบุรี 1 ราย ปทุมธานี 1 ราย ภูเก็ต 1 ราย และ สุพรรณบุรี 1 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 149 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 363 ราย รักษาหายแล้ว 349 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 6.78 แสน ราย รักษาหายแล้ว 5.53 แสน เสียชีวิต 20,275ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 37 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 97,389 ราย รักษาหายแล้ว 79,304 ราย เสียชีวิต 439 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.18 แสน ราย รักษาหายแล้ว 97,819 ราย เสียชีวิต 2,484 ราย

.

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.63 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.29 แสน ราย เสียชีวิต 9,021 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,461 ราย รักษาหายแล้ว 58,304 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,420 ราย รักษาหายแล้ว1,281 ราย เสียชีวิต 35 ราย

 

หัวหน้าพรรคก้าวไกล 'พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ' จัดหนักแถลงการณ์ นายกรัฐมนตรี รายประเด็น ชี้ควรปรับทัศนคติดด่วน เลิกโทษคนอื่น ระบุโควิดรอบใหม่มาจากรัฐหละหลวม จี้ตรวจสอบเจ้าหน้าที่มีเอี่ยวขบวนการค้าแรงงานข้ามชาติหรือไม่

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล แสดงความเห็นภายหลังการแถลงข่าวของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาโดยระบุว่า ข่วงหนึ่งของการแถลงเมื่อวานนี้ มีประโยคที่ว่า “เพียงคนไม่กี่คนที่ละเลยความรับผิดชอบต่อสังคม และมีพฤติกรรมที่เห็นแก่ตัว จะสร้างปัญหาให้คนเป็นล้าน ๆ ได้” แสดงถึงทัศนคติของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่โทษคนอื่นยกเว้นตนเองและรัฐบาล

อย่างที่เคยเป็นมาหลายครั้งแล้วนั้น ตนจำเป็นต้องออกมาสื่อสารเพื่อขอให้ท่านทำความเข้าใจเสียใหม่ว่า การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในระลอกใหม่ มีต้นเหตุมาจากความหละหลวม และการปล่อยปละละเลย การลักลอบเข้าประเทศของแรงงานต่างชาติ และความด้อยประสิทธิภาพในการจัดการกับแรงงานต่างชาติ ที่ยังคงอยู่ในประเทศไทย หลังจากที่ถูกเลิกจ้าง หรือสถานประกอบการปิดตัวไป

ในประเด็นแรก เรื่องการลักลอบเข้าประเทศของแรงงานต่างชาติ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ไม่ควรไปโทษผู้ว่าราชการ จ.สมุทรสาคร แต่ถ้าท่านนายกเปิดใจสืบสวนข้อมูลในเชิงรุก ก็จะทราบว่ามีข้อสงสัยที่เชื่อได้ว่ามีขบวนการในการลักลอบพาแรงงานต่างชาติเข้าประเทศตามช่องทางธรรมชาติ อย่างผิดกฎหมาย โดยมีเรื่องพัวพันกับการรับสินบนของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนด้วย ซึ่งประเด็นข้อสงสัยนี้ ลำพังเพียงการปฏิเสธสั้น ๆ จากกองทัพ ไม่เพียงพอที่จะทำให้ประชาชนมีความมั่นใจได้

ดังนั้น ในข้อครหานี้ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จึงควรตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน และหากพบว่ามีเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนใด ไม่ว่าจะเป็นทหาร หรือพลเรือน เข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ามนุษย์ หรือการลักลอบพาแรงงานต่างชาติเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย

รัฐบาลก็ควรต้องดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างเด็ดขาด โดยไม่มีข้อยกเว้น ต้องยอมรับว่า การปฏิเสธสั้นๆ แบบกำปั้นทุบดินว่า “ไม่มีการรับสินบนใด ๆ เลย ในกรณีการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย” นั้น ไม่อาจทำให้ประชาชนเชื่อได้

ประเด็นที่สอง หลังจากที่โควิด-19 ระบาดในระลอกแรก ทำให้มีแรงงานต่างชาติจำนวนมากทั้งที่ถูกกฎหมาย และที่ผิดกฎหมาย อยู่ในสภาวะว่างงานจากการปิดตัวลงของสถานประกอบการ แรงงานต่างชาติต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ และอยู่ปะปนกันภายในจังหวัด

โดยไม่มีมาตรการด้านสาธารณสุขใด ๆ ดูแล หากเจ็บป่วย ก็ต้องซื้อยารับประทานเอง ไม่สามารถเข้าไปรับการตรวจรักษาโรคได้ ที่แย่ที่สุดก็คือ แรงงานต่างชาติที่เป็นแรงงานถูกกฎหมาย เมื่อสถานประกอบการปิดตัวลง หลายคนไม่ได้รับเอกสารการเลิกจ้างจากนายจ้าง ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถลงทะเบียนใหม่ได้ ทำให้จากเดิมที่เป็นแรงงานต่างชาติถูกกฎหมาย ก็ต้องกลายสภาพเป็นแรงงานต่างชาติผิดกฎหมายไปโดยปริยาย ปัญหาการระบาดของโรคที่อาจะเกิดขึ้นจากแรงานต่างชาติ ก็มีหลายภาคส่วนส่งสัญญาณเตือนไปยังรัฐบาลตั้งแต่เดือน ก.ย. ที่ผ่านมาแล้ว หลังจากที่ประเทศสิงคโปร์ เกิดการระบาดของโควิด-19 ในหอพักแรงงานต่างชาติ

แต่ก็ดูเหมือนว่ารัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็มิได้นำพา ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลนี้ ควรเร่งดำเนินการควบคู่ไปกับการล็อคดาวน์ในจุดเสี่ยงต่าง ๆ ก็คือ การบริหารจัดการแรงงานต่างชาติที่ซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ ที่มีความจำเป็นต้องใช้แรงงานต่าง ๆ โดยเปิดให้มีการลงทะเบียน และดำเนินมาตรการคัดกรองโรค กักกันโรค และดำเนินการตามมาตรการทางสาธารณสุขต่าง ๆ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงหลักมนุษยธรรม และหลักสิทธิมนุษยชนด้วย ถ้ารัฐบาลยังคงซุกปัญหานี้เอาไว้ใต้พรม การควบคุมการระบาดของโรค ก็จะไม่มีทางได้ผลอย่างเต็มประสิทธิภาพเลย

ประการสุดท้าย ต้องยอมรับว่า รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นรัฐบาลที่ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาอย่างยาวนานมาก โดยเหตุผลที่ใช้อ้างก็คือ เพื่อการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 แต่ในทางปฏิบัติแล้ว กลับไม่ได้มีการวางระบบที่เป็นรูปธรรมในการควบคุมการระบาดของโรคเลย อย่างในกรณีของสถานกักกันโรคโดยองค์กร (Organizational Quarantine) เพื่อเอาไว้ใช้ในการกักกันโรคของแรงงานต่างชาติ ที่จะเข้ามาทำงานในประเทศไทย ก็มีความล่าช้าอย่างมาก ที่สำคัญค่าใช้จ่ายในการคัดกรองโรค และกักกันโรค ของแรงงานต่างชาติ ในปัจจุบันก็มีค่าใช้จ่ายที่สูงมากราว 20,000 บาทขึ้นไป

ด้วยระดับค่าใช้จ่ายที่สูงขนาดนี้ จึงเอื้อให้เจ้าหน้าที่บางราย ใช้เป็นช่องทางในการเรียกรับผลประโยชน์กับผู้ประกอบการ หรือแรงงานต่างชาติ เพื่อแลกกับการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งการแก้ไขปัญหาดังกล่าวนี้ รัฐบาลควรเร่งดำเนินการจัดให้มีสถานกักกันโรคในพื้นที่ระดับจังหวัด (Local Quarantine) และสถานกักกันโรคโดยองค์กร (Organizational Quarantine) อย่างเพียงพอ และเร่งด่วน รวมทั้งการพยายามดำเนินการต่าง ๆ เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการกักกันโรคลง เพื่อให้มาตรการการกักกันโรคของแรงานต่างชาติ ที่จะเข้ามาทำงานในประเทศไทย ทั้งในส่วนของแรงงานประมง แรงงานภาคบริการ แรงงานภาคเกษตร มีเรายังคงมีความจำเป็นในการใช้แรงงานต่างชาติ ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ได้รับการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค ที่ประชาชนไว้ใจได้

สุดท้ายนี้ สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเร่งปรับเปลี่ยน ก็คือ ทัศนคติของตัวเอง ที่ในทุก ๆ ครั้งที่ปัญหาเกิดขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ มักจะโทษปัญหาทั้งหมดไปที่ประชาชนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และผลักความรับผิดชอบไปที่ประชาชน แทนที่จะมองว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ในความรับผิดชอบของรัฐ ซึ่งรัฐต้องเร่งวางระบบ วางมาตรการ และสร้างกลไกที่เป็นรูปธรรมในการแก้ไขปัญหา การระบาดของโรคโควิด-19 ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ กรณีสนามมวยลุมพินี คณะ VIP ทั้งกรณีลูกทูต และทหารอียิปต์ กรณีการลักลอบเข้าประเทศของคนไทยที่ไปทำงานที่โรงแรม 1G1 ฝั่งท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน จนมาถึงกรณีแพปลา จ.สมุทรสาคร สะท้อนว่ารัฐบาลไม่เคยที่จะเรียนรู้ และดำเนินการวางระบบในการควบคุมการระบาดของโรคอย่างเป็นรูปธรรมเลย พอมีปัญหาที ก็โทษประชาชน แล้วปลูกผักชีโรยหน้า แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นคราวๆ ไป

ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องเรียกร้อง ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เร่งปรับทัศนคติของตนเองอย่างเร่งด่วน เลิกโทษประชาชน เลิกผลักความรับผิดชอบไปที่ประชาชน แล้วให้หันมามองตัวเอง เร่งถอดบทเรียนที่เกิดขึ้น เลิกซุกปัญหาไว้ใต้พรม การขึ้นเสียง ทำท่าขึงขังแบบเผด็จการแก้ปัญหาไม่ได้ แล้วหันมาวางระบบในกาแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมได้แล้ว

ลุงตู่ เปิดโครงการทดลองเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าในแม่น้ำเจ้าพระยา MINE SMART FERRY : “MISSION NO EMISSION” River Mass Transit

ที่ท่าเรือ แคท ทาวเวอร์ กสท เขตบางรัก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานพิธีเปิดโครงการทดลองเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้าในแม่น้ำเจ้าพระยา หรือ Mine smart ferry พร้อมเปิดท่าเรือสะพานพุทธยอดฟ้า

ท่าเรืออัจฉริยะ หรือ Smart Pier โดยกรมเจ้าท่า ร่วมกับ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด มหาชน พัฒนาเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า ผลิตโดยคนไทย และ ดำเนินการจดทะเบียนเรือโดยสารไฟฟ้าลำแรกของประเทศไทย

พร้อมนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงท่าเรือสะพานพุทธให้เป็นท่าเรืออัจฉริยะ มีเครื่องสแกนอุณหภูมิอัตโนมัติ ป้ายอัจฉริยะแจ้งเวลาเรือเข้าเทียบท่า เครื่องจำหน่ายบัตรโดยสารอัตโนมัติ ระบบตรวจสอบเส้นทางเดินเรือและตารางเรือ ระบบความปลอดภัยและตรวจนับความหนาแน่นของผู้โดยสารในแต่ละวัน รวมถึงไฟส่องสว่างด้วยระบบโซลาร์เซลล์และอารยสถาปัตย์ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการเดินทางในแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไร้มลพิษ

ทั้งนี้โครงการดังกล่าวเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ 2564 ให้กับคนไทยทุกคน โดยจะเปิดให้ประชาชนทั่วไปทดลองใช้บริการฟรี ในช่วงระหว่างวันที่ 23 ธ.ค. 2563 ถึงวันที่ 14 ก.พ. 2564 โดยวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ให้บริการฟรี จอดรับส่งผู้โดยสารบริเวณท่าเรือ 11 แห่ง ตั้งแต่ท่าเรือพระราม 5 ไปจนถึงท่าเรือสาทร ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ ให้บริการฟรีเฉพาะท่าเรือที่อยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยว 5 แห่ง ได้แก่ ท่าช้าง วัดอรุณฯ วัดกัลยาณมิตร กรมเจ้าท่า ท่าเรือ CAT Tower จากนั้นจะเก็บค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายเป็นเวลา 6 เดือน ก่อนปรับอัตราจัดเก็บค่าโดยสารตามระยะทางต่อไป

จากนั้น นายกรัฐมนตรี นำคณะโดยสารเรือพลังงานไฟฟ้า ออกจากท่าเรือ CAT Tower ไปยังท่าเรือสะพานพุทธ ท่าเรืออัจฉริยะแห่งใหม่ พร้อมทักทายประชาชนที่มาใช้บริการในบริเวณดังกล่าว ขณะเดียวกันมีประชาชนบางส่วนได้เดินทางมาให้กำลังใจพร้อมมอบดอกกุหลาบให้กับนายกฯ ก่อนเดินทางกลับอีกด้วย

แม้กระแสพิฆาตเจ้า, ล้ม ม.112และร่วมกันออกมาหักล้างทุกแอคชั่นของภาครัฐจากกลุ่มสารพัดม็อบจะเคลื่อนขบวนสมทบเป็นพลังแห่งแกนเปลือกโลก แต่อยู่ ๆ ทำไมช่วงหลังมานี้...ลมหายใจของสารพัดม็อบ 3 นิ้ว เริ่มแผ่วเบาลง?

หากวิเคราะห์กันแบบตื้นเขินของผู้เขียน เกมที่จุดติดของการ ‘ล้มตู่’ ลุกลามไปถึง ‘ล้มเจ้า’ ของหัวโจก กวิ้น / รุ้ง / ไผ่ดิ้น / ไมค์ไม่น่าอภิรมย์ ล้วนได้แรงหนุนมาจากสิ่งที่เรียกว่า ‘ปลุกผีโซเชี่ยล’ ทั้งสิ้น

ยิ่งผสานแรงหนุนจากผู้ใหญ่ (จริงๆ ก็แรงหลักแหละ กระแดะเขียนเป็นแรงหนุนไปอย่างงั้น) อย่าง ‘พรรคส้ม’ ผู้ช่วยล้มแบบเกือบลับ ภายใต้ ‘หัวหน้าแก๊งค์แลนด์สไลด์’ นักสอนสถิติ เพื่อหลอกตัวเอง แม้เก้าอี้สนามจะจบลงที่ 0 (เลือกตั้งอบจ.) ก็ยิ่งทำให้พลังของเด็กรุ่นใหม่แข็งแกร่งขึ้นพอ ๆ กับ ‘ชัชชาติ’ จนให้วิดพื้นโชว์ด้วย 3 นิ้วก็ยังไหว

ฟากหนึ่งปลุกด้วยดิจิทัล อีกฟากหนึ่งปลุกไปยังเทรดิชันนั่ล โอ้โห!! โคตรลงตัว

จากกลุ่มก้อนเล็กๆ ก็เลยค่อยๆ ขยายวงใหญ่ เป็นอีเว้นท์ระดับม็อบประเทศ ที่เรียกแขกได้ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จากนั้นก็นำภาพและสีสันกลับมาขยี้ต่อในโซเชี่ยล วนไปวนมาแบบนี้ เกิดเป็นภาพที่สุดแสนงดงามในเชิงของกลศึกล้มช้าง

นานวันเข้า รัฐบาล ก็เริ่มบิดตัว และพยายามลุกขึ้นมาทำอะไรบ้าง แต่ก็ดูเหมือนพังผืดที่เกาะตามข้อ พอขยับตัวหน่อย ก็ยิ่งกลายเป็นโชว์เต่า เพราะอะไรที่ทำไป เหมือนเขารู้หมด ไม่ว่าจะไอโอเนี่ยน หรือนักวิชาเกินที่รู้เยอะ แต่ออกมาพูดแบบเสียเหลี่ยมมากมาย

ผลสุดท้ายเกมนี้ ยังไงรัฐบาลก็แพ้ทุกประตู ด้วยสิ่งที่เรียกว่า ‘สื่อ’

ว่ากันว่ายุคนี้คือยุคของการสื่อสาร ที่ ‘ไวรัล’ และการแชร์มีพลังมหาศาล ทวิตเตอร์ คือ เครื่องอาวุธสั้นมหากาฬ ก่อนจะไปทรมานคู่กรณีต่อในเฟซบุ๊ก และไม่มีขั้วตรงข้ามม็อบที่ออกมาต่อต้านกลุ่มม็อบด้วยเชิงชนกลเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม พื้นที่ยุทธศาสตร์อย่าง ‘การสื่อสาร’ ค่อยๆ เปลี่ยนเกมกลับมา แต่ขอโทษ!! ไม่ใช่พลังหรือยุทธศาสตร์ก้าวทันใด ๆ ของรัฐ หากแต่เป็นพลังของหน่วยทะลวงฟัน ที่ออกมาดันกันเองในรูปแบบของ ‘ประชาชน’ ที่เหลืออด

แต่แน่นอนว่า การออกมาโต้แย้ง มันก็ไม่ใช่ว่าจะทำแล้วเห็นผล ทุกคนที่ออกมาแย้ง กลายเป็นบุคคลที่เห็นต่าง และบางคนที่อารมณ์มากกว่าเหตุผล ซึ่งก็เข้าใจแหละในสถานการณ์ที่เจอเด็กมันเอา ‘ตรีน’ มาเกาคางพวกหัวหงอก

อย่างไรก็ตาม หากดูแบบนี้แล้ว เกมคงจบที่อาจจะมีประชาชนกลุ่มอื่นๆ เข้ามาสมทบให้สารพัดม็อบยิ่งฮึกเหิม

เพียงแต่ ‘สื่อ’ ก็คือ ‘สื่อ’ พลังของมันมีมากมหาศาล หากใช้ได้อย่างถูกจุด จากคนที่มาถูกจังหวะ ก็ทลายข้อความที่ก่อเป็นกำแพงใหญ่ให้โครมร่วงลงมาในช่วงพริบตา

ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มีชื่อ 2 บุคคล ที่ออกมาตอบโต้ทุกมูลเหตุ ทั้งเรื่องของม็อบ ผู้อยู่เบื้องหลัง ข้อมูลที่แท้จริงเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ และเป้าหมายการเดินหน้าของพรรคการเมืองฝ่ายขั้วตรงข้ามรัฐบาลได้แบบถึงพริกถึงขิง

พลังในการสื่อสารของทั้ง 2 ท่านนั้นน่าเหลือเชื่อ โดยคนแรกเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุ 28 ปี ที่หลายคนเรียกกันว่า ‘ดร.นิว’

ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ‘ดร.นิว’ เป็นนักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ที่พยายามออกมานำสิ่งที่เป็นรากฐานของสังคมไทย ที่ถูกฝ่ายตรงข้ามอ้างอิงว่าเป็นวัฒนธรรมแบบแปะมือ และกลายเป็นกลุ่มแบ่งแยกสังคมไทย โดยเฉพาะ ‘รุ่นใหม่ - รุ่นเก่า’ เขย่าสถาบันครอบครัวที่เป็นรากฐานจนสั่นคลอน และกระดอนไปสู่สถาบันการเมือง

ดร.นิว พยายามออกมาเป็นกันชนหน้าด่าน ในแบบของปัญญาชนคนรุ่นใหม่ ที่เรียกว่าไม่ทะเลาะหาเรื่องกับใคร แต่ชี้แจงให้เห็นถึงกระบวนกวน ปั่นหัวคน ด้วยความไม่รู้จริง ขาดตรรกะ จนนำไปสู่การสร้างวาทกรรมบิดเบือนในโลกออนไลน์ แล้วก็ไป ‘บูลลี่’ จนคนเห็นต่างเหมือนควาย เมื่อมีทั้งความรู้ และมีทั้งการควบคุมอารมณ์ในทุกถ้อยวลี ทำให้ ดร.นิว ค่อยๆ เป็นหน่วยทะลวงฟันข้อมูลเท็จ ‘ที่ผิดเพี้ยน’

เช่น การเรียกร้องประชาธิปไตยบนการไม่ยอมรับฟังผู้อื่น การปราศรัยของแกนนำม็อบราษฎรที่นำพามวลชนไปสร้างความขัดแย้ง เป็นเครื่องมือทางการเมือง เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนน้อยที่คุมการเคลื่อนไหวทางความคิด

เขาพยายามดึงสติคนรุ่นใหม่ ให้รับรู้ว่าการปราศรัยที่กักขฬะหยาบคาย ไม่ได้มีหลักการหรือหลักวิชาที่ถูกต้องใด ๆ มีแต่การใช้อารมณ์กับความเชื่ออันบิดเบี้ยว ยุยงให้ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นรวมถึงกฎหมายอาญา ผิดจากวิสัยของปัญญาชน ขาดความปลอดภัยและมีความเสี่ยงในการชุมนุม มันไม่ใช่การเรียกร้องที่ถูกต้อง และฮ่องกงโมเดล ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยของคนผู้มีอริยธรรม

นี่ยังไม่รวมอีกทุก ๆ การเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนสังคมไทยให้ผิดเพี้ยนของกลุ่มม็อบและผู้อยู่เบื้องหลัง ซึ่งมีการโพสต์ให้ความรู้มาตลอดระยะเวลาหลายปี

ข้อมูลและการแสดงออกทางสื่อต่าง ๆ ที่ผ่านมาของ ดร.นิว จึงถือเป็นการตกตะกอนความคิดให้เด็กรุ่นใหม่บางกลุ่มเริ่มคิดตามสมองตัวเอง มากกว่าเพลินตามปากผู้อื่น เพราะในท้ายที่สุดแกนนำเขาก็ไปนั่งกินบุฟเฟ่ต์ในโรงแรมหรู ส่วนหนู ๆ ก็ต้องออกไปตากแดดตากฝนแทน ขณะที่บางช่วงหลัง ๆ ยังชอบแกงกันเอง ทะเลาะกันเอง ตีกันเอง ยิงกันเอง ทำตัวเป็นภาระสังคม ทำลายทรัพย์สินสาธารณะ หวังบ่อนทำลายเศรษฐกิจของชาติ มันเละเทะจนต้องยอมกลับไปกราบตักคุณพ่อคุณแม่ที่เคยล่วงเกินท่านเสียจะดีกว่า

ต่อมา จากสื่อแบบดิจิทัล ออกมาสู่สื่อใหญ่ที่เรียกว่าทีวี ซึ่งทุกวันนี้มีบางรายการช่วยปั่นและป้อนให้ ‘แมสมีเดีย’ ไปอยู่ข้างม็อบอย่างเมามัน เช่น รายการของสื่อหัวเขียวที่มีพิธีกร ‘จอมแขวะ’ มาฟาดคนของรัฐ ที่ก็ต้องยอมรับว่าทำได้ดี เพราะหลาย ๆ ท่านที่มาเป็นตัวแทนของฟากภาครัฐ และมาดีเบตกับกลุ่มแกนนำม็อบ หรือผู้เกี่ยวข้อง ยิ่งฉุดเรตติ้งรัฐบาลลงมิดพสุธา แบบไม่ต้องฝังกลบก็ไม่มีปัญญาปีนขึ้น

เพราะการออกรายการแนวนี้ พิธีกร จอมแขวะ สามารถปั้นให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องใช่เป็นไม่ใช่ โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้คนที่ยังงงๆ กับเรื่อง ‘สถาบันกษัตริย์’ ต้องแอบหลับตาข้างนึง ตามกลเก๋าของนักข่าวมือฉมัง จนช่วยเติมพลังให้คนฟากม็อบยิ่งมีแต่เฮ ๆ

แต่จนแล้วจนรอด จะด้วยความมั่นใจว่าในทุกวัน คือ ‘รันเวย์ของฉัน’ หรือไม่ก็ไม่ทราบ การต่อยอดแผนกระชากสถาบันให้จมดิ่ง กลายเป็นทำให้ ‘ม็อบ’ จนมุมอับเอาดื้อๆ แทน

นั่นก็เพราะ หน่วยทะลวงฟันอีกราย คือ ‘ของจริง’ ที่ออกมาถกประเด็น พ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ 2561 และคนๆ ก็คือ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์

ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์’ และ ‘รุ้ง-ปนัสยา’ แกนนำม็อบราษฎร ได้เผชิญหน้ากัน ในรายการถามๆ กับจอมขวัญ ที่เชื่อกันว่าเกมนี้รุ้งน่าจะได้มาโชว์เชือดเรียกคะแนนไปแบบใสๆ ตามสไตล์ หัวหน้าแก๊งค์ที่มีแบ็คดันเต็มเหนี่ยว แถมมีพิธีกรเทรนนิ่งมาก่อนเข้าสนาม จึงรับรองได้ว่าคู่ใจโชว์ความฉลาดให้รุ้งได้อย่าง 100%

แต่ผลลัพธ์กลับพลิกจากหน้ามือเป็น หลังเท้า เพราะทุกประเด็นที่หยิบยกขึ้นมาของรุ้ง และผู้ช่วยของรุ้ง (พิธีกร) ไม่ได้สร้างบาดแผลใดๆ ให้กับ ดร.อานนท์ เลยแม้แต่น้อย หากแต่ยังถูก ดร.อานนท์ สอนมวย ด้วยองค์ความรู้ที่ทั้งรุ้งและพิธีกร เหมือนคนมานั่งถกแบบไร้ข้อมูล จนแม้แต่ในเพจและชาแนลยูทูปของสื่อหัวเขียว ยังรับไม่ได้กับความอ่อนด้อยของทั้ง 2 สาวเลยแม้แต่น้อย

และสุดท้ายก็โดนปิดฉากน็อคตายแบบตาไม่หลับในรายการด้วย ถ้อยคำที่กลายเป็นวาทะแห่งปีว่า “คุณรู้ไม่จริงคุณอย่าพูดซี้ซั้ว ไปทำการบ้านก่อนมั้ย คุณพูดอะไรพูดไปเดี๋ยวผมจะสอน ใจเย็นๆ ผมอาจจะดุไปบ้างนิดนึง พอคุณไม่แม่น ผมก็อาจต้องสอนหน่อย” และนี่ก็ทำให้ชื่อของ ดร.อานนท์ กลายเป็นชื่อที่ฟากตรงข้ามรัฐเริ่มเกรง จนถึงขั้นไม่กล้าไปดีเบตกับ ดร.อานนท์ เลยสักคน

ทั้งนี้ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ หรือ อาจารย์ อานนท์ มีตำแหน่งเป็น อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence และ Actuarial Science and Risk Management คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ มีดีกรี ด็อกเตอร์ ด้าน Phychomertrics and Quantitative Psychology จากมหาวิทยาฟอร์ดแฮม สหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน มีตำแหน่งเป็น อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence และ Actuarial Science and Risk Management คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์

โดยเมื่อปีพ.ศ.2561 ดร.อานนท์ นั้นได้ดำรงตำแหน่งในฐานะผู้อำนวยการศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าดพล และได้สร้างแรงสั่นสะเทือนวงการวิชาการเอาไว้ด้วย หลังที่ตัดสินใจลาออก จากตำแหน่ง ผอ.นิด้าโพล หลังจากนั่งเก้าอี้เพียง 14 วัน เนื่องจากสถาบันระงับการเผยแพร่ผลสำรวจความคิดเห็นเรื่อง ‘นาฬิกาหรูที่ยืมเพื่อน เป็นเรื่องบิดเบือนหรือเรื่องจริง?’

และเมื่อย้อนไป ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ เคยขึ้นเวที กปปส.ร่วมเป่านกหวีด ซัตดาวน์ประเทศและประชาธิปไตยมาแล้ว โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ดร.อานนท์ นับเป็นนักวิชาการคนหนึ่งที่ใช้โซเชี่ยลมีเดีย เป็นพื้นที่ในการแสดงความคิดเห็น และมุมมองเชิงวิชาการ ให้ข้อมูลในประเด็นที่สังคมสนใจมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ความเหมือน-ต่าง ‘คณะราษฎร 2475 กับ 2563’, 12 ความจริงของภาษี..ที่ยังเข้าใจไม่ถูกต้อง และหัวข้อทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ เป็นของรัฐ (ราษฎร) หรือ เป็นของพระมหากษัตริย์ เป็นต้น

ที่จะบอก คือ รัฐก็ยังคงเป็นรัฐที่รั่วในการปิดจุดอ่อนด้านการสื่อสารและการให้ข้อมูล ส่วนคนที่เห็นต่างกับม็อบ ก็ขาดซึ่งศิลปะในการสื่อและข้อมูลที่จะมา ‘อุด’ และ ‘แบะ’ ความผิดเพี้ยนในทุก ๆ เรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของสถาบันกษัตริย์ และการเมืองเรื่องน้ำเน่า

แต่การที่ 2 ท่านนี้ เริ่มออกมาแสดงตัว และแสดงข้อมูลอันแท้จริงต่าง ๆ แบบผู้มีจริยธรรม ก็ทำให้สังคมตาสว่างมากขึ้น นั่นก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งในม็อบเริ่มบาง (อันนี้คิดเอง)

ขณะที่อีกส่วนหนึ่ง คือ ธนาธร ที่เคยกล่าวอย่างมั่นใจก่อนการเลือกตั้งเพียงไม่กี่ชั่วโมงว่าจะชนะแบบ ‘แลนด์สไลด์’ นั่นคือ ถล่มทลายกันเลยทีเดียวนั้น กลับต้องมา ‘แพ้แบบแลนด์สไลด์’ ก็พอจะบอกได้ว่าเจอเอฟเฟ็กต์ของ 2 ผู้หมู่ทะลวงฟันไม่มากก็น้อย

อันนี้ก็คิดเองนะ...อย่าเกรี้ยวกราดล่ะ!!

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีการขยายผลสืบสวนขบวนการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ว่า ขณะนี้มีเบาะแสแล้ว แต่การดำเนินคดีจะต้องมีพยานหลักฐานด้วย ซึ่งทุกฝ่ายกำลังดำเนินการอยู่ ทั้งฝ่ายตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง

ทั้งนี้ ทางนายกรัฐมนตรี ได้มอบ พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ดูแลในเรื่องนี้ ส่วนเรื่องแรงงานต่างด้าวนั้น เน้นเรื่องจัดการกับขบวนการขนคน ไม่ได้เน้นจับคนต่างด้าวที่หลบหนีเข้ามา เพราะตอนนี้จะหนีหรือไม่หนีนั้นไม่รู้

แต่ถ้าเป็นผู้ป่วยต้องดูแล และต้องทำให้เขารู้สึกว่ารัฐไทยมีมนุษยธรรมที่จะดูแล เพราะถ้าเราไม่ดูแลเขา คนไทยเองก็จะมีปัญหา จึงฝากถึงผู้ใช้แรงงานชาวเมียนมาจะเข้ามาผิดหรือถูก ก็เรื่องหนึ่ง แต่ขอให้เชื่อฟังเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างเคร่งครัด

ส่วนขบวนการลักลอบนำแรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมายมี เจ้าหน้าที่รัฐ เกี่ยวข้องหรือไม่นั้น พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า อยู่ระหว่างการสืบสวนดำเนินการ ถ้าหลักฐานชัดเจนก็ดำเนินคดีหมด ไม่ว่าจะเป็นใคร โดยเป็นเรื่องที่ นายกรัฐมนตรี เน้นย้ำเป็นพิเศษ

แต่อย่างไรก็ตาม ขบวนการขนคนเข้าเมืองนั้น พล.ต.อ.สุวัฒน์ ยอมรับว่า เป็นเหมือนของคู่สังคมไทย ถ้าทุ่มทรัพยากรเข้าไปปราบปราม ก็จะเบาบางลงไป หากถามว่าจะหมดไปจากประเทศหรือไหม ตนเองมองว่ายาก เพียงแต่เป็นช่วงเวลาที่ต้องทุ่มทุ่มทรัพยากรลงไปลงไปจัดการ แต่หากจะทำอย่างต่อเนื่อง

มีข้อจำกัดหลายๆเรื่อง จึงมองว่าเป็นเรื่องยากที่จะจัดการให้หมดสิ้นไป แต่ตอนนี้นโยบายหลักของรัฐบาลมีความชัดเจน ที่ต้องการให้ดำเนินการกับขบวนการแรงงานเถื่อน โดยเฉพาะกระบวนการนำเข้าแรงงานข้ามชาติ ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้เส้นทางธรรมชาติ ทั้งทางบกและทางเรือ

โรงเรียนอนุบาลบนถนนชิงซี เมืองหัวอิ๋ง มณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีนได้จัดกิจกรรมการแข่งขันในหัวข้อ ‘รู้ทักษะชีวิต เป็นสุขและพึ่งพาตนเองได้’

ทั้งนี้ทักษะต่าง ๆ ที่ให้บรรดาเด็กน้อยมาฝึกฝนและแข่งขันกันนั้นมีมากมาย เช่น พับผ้าห่ม พับเสื้อผ้า ใส่รองเท้า ปอกเปลือกไข่ต้ม ใช้ตะเกียบคีบถั่ว และจัดกระเป๋านักเรียน เพื่อบ่มเพาะความสามารถในการดูแลตนเองของเด็ก ๆ และส่งเสริมให้พวกเขามีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดี

อย่างไรก็ตามการจัดงานดังกล่าว นับเป็นการสร้างทักษะชีวิตให้กับเด็กในยุคที่กำลังเกิดมาพร้อม ๆ กับอุปกรณ์สื่อสารรุ่นใหม่ จนทำให้หมกมุ่นและละเลยกับทักษะบางอย่างที่ควรจะนำไปใช้กับชีวิตได้อย่างแท้จริง

ไทยเราน่าจะมีกิจกรรมแนวนี้มั่งเนาะ!!


ที่มา: Xinhuathai

สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน จัดของขวัญชุดใหญ่ให้ลูกจ้าง-ผู้ประกันตน อาทิ เพิ่มเงินค่าคลอด เงินสงเคราะห์บุตร และปรับลดเงินสมทบทั้งนายจ้างและผู้ประกันตน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2563 ว่าที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบเรื่องการเพิ่มสิทธิประโยชน์เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2564 แก่ผู้ประกันตนในระบบกองทุนประกันสังคม มาตรา 33 และมาตรา 39 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ดังนี้

ปรับเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตร ให้กับผู้ประกันตนที่มีบุตรอายุตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปี ให้มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มจาก 600 บาท เป็น 800 บาทต่อคน โดยจ่ายคราวละไม่เกิน 3 คน ในการนี้มีผู้ประกันตนได้รับประโยชน์จำนวน 1.362 ล้านคน คิดเป็นเงิน 13,739 ล้านบาท/ปี ใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นจากเดิม 3,432 ล้านบาท

ทั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกันตนที่มีบุตรโดยจะมีผลบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป สำหรับระยะการจ่ายเงินกรณีสงเคราะห์บุตร ผู้ประกันตนจะได้รับเงินสงเคราะห์บุตรที่ปรับเพิ่มของงวดเดือนมกราคม 2564 ตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 เป็นต้นไป

ปรับลดเงินสมทบฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายผู้ประกันตนตามมาตรา 33 เหลือร้อยละ 3 และผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ลดลงเหลือ 278 บาท เป็นระยะเวลา 3 เดือน (ตั้งแต่เดือนมกราคม – มีนาคม 2564) เพื่อช่วยเหลือนายจ้าง และผู้ประกันตนที่ยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วย แบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของนายจ้าง และผู้ประกันตน ในการจ่ายเงินสมทบรวมเป็นเงินจำนวน 15,660 ล้านบาท

นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังเห็นชอบร่างกฎกระทรวงการได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยอันเกิดจาการระบาดของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ โดยสาระของร่างดังกล่าว กำหนดให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย

และหน่วยงานของรัฐสั่งปิดพื้นที่เพื่อป้องกันการระบาด ของโรคติดต่ออันตรายตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อ เป็นผลกระทบให้ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนไม่ได้ทำงาน และไม่ได้รับค่าจ้างในระหว่างนั้น โดยให้ลูกจ้างดังกล่าวซึ่งไม่ได้รับค่าจ้างดังกล่าว มีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน

ในกรณีว่างงาน ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างรายวัน โดยให้ได้รับตลอดระยะเวลาที่รัฐบาลหรือหน่วยงานของรัฐ สั่งปิดพื้นที่ ทั้งนี้ ภายในระยะเวลา 1 ปีปฏิทินมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย ทุกครั้งรวมกันไม่เกิน 90 วัน

ดังนั้น หากร่างกฎกระทรวงฯ มีผลใช้บังคับจะทำให้ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบ จากการที่หน่วยงานของรัฐสั่งปิดพื้นที่เพื่อป้องกันการระบาดของโรคติดต่ออันตราย คาดว่าจะมีผู้ใช้สิทธิ จำนวน 700,727 ครั้ง ได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีว่างงานเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย คิดรวมเป็นเงินกว่า 5,225 ล้านบาท

ปรับเพิ่มค่าคลอดบุตรเป็น 15,000 บาท (เดิม 13,000 บาท) ซึ่งการดำเนินการในครั้งนี้เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการการแพทย์ตามพระราชบัญญัติประกันสังคม โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการประกันสังคม เรื่องหลักเกณฑ์และอัตราค่าส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคสำหรับประโยชน์ทดแทนในกรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน พ.ศ.2563

ซึ่งในปี 2564 คาดว่า มีผู้ประกันตนที่ได้รับประโยชน์ทดแทนจากกรณีคลอดบุตร 293,073 คน/ปี คิดเป็นเงิน 4,396 ล้านบาท สำนักงานประกันสังคม จ่ายเงินงบประมาณเพิ่มขึ้น 586.146 ล้านบาท ปรับเพิ่มค่าฝากครรภ์ เป็น 5 ครั้ง รวมเป็น 1,500 บาท (เดิม 3 ครั้ง 1,000 บาท) คาดว่าจะมีผู้ประกันตนได้รับสิทธิประมาณ 122,114 ครั้ง/ปี เป็นเงิน 36.6 ล้านบาท สำนักงานประกันสังคมจ่ายเงินงบประมาณเพิ่มขึ้น 17.89 ล้านบาท ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มในตอนท้ายว่า ซึ่งการมอบของขวัญปีใหม่ 2564 ในครั้งนี้ เป็นการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ

รวมไปถึงนโยบายเร่งด่วนของกระทรวงแรงงาน โดยเฉพาะด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม เพื่อให้ครอบคลุมการดูแลบริการและสิทธิประโยชน์ของวัยแรงงานทุกกลุ่มทุกวัย อีกด้วย

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (24 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 67 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 5,829 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 21 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 4,116 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,653 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 67 ราย เป็นคนไทย 5 ราย สัญชาติอเมริกัน 3 ราย เดินทางมาจากต่างประเทศ จากเมียนมา 3 ราย ,สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย ,สหรัฐอเมริกา 2 ราย ,ญี่ปุ่น 1 ราย ,กาตาร์ 1 ราย

ผ่านการคัดกรองและเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้

ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ (เข้ามาทางเส้นทางธรรมชาติ)สัญชาติกัมพูชา 1 ราย เดินทางมาจากกัมพูชา

ผู้ติดเชื้อในประเทศ (อยู่ระหว่างการสอบสวน)

จำนวน 58 ราย จาก เกี่ยวเนื่อง cluster จังหวัดสมุทรสาคร 55 ราย

เกี่ยวเนื่อง cluster จังหวัดตาก 1 ราย ไปสถานที่ชุมชน 2 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 149 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 363 ราย รักษาหายแล้ว 349 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 6.86แสน ราย รักษาหายแล้ว 5.59 แสน เสียชีวิต 20,408 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 37 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 98,737 ราย รักษาหายแล้ว 80,014 ราย เสียชีวิต 444 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.19 แสน ราย รักษาหายแล้ว 99,325 ราย เสียชีวิต 2,507 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.64 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.3 แสน ราย เสียชีวิต 9,048 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,482 ราย รักษาหายแล้ว 58,322 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,421 ราย รักษาหายแล้ว1,281 ราย เสียชีวิต 35 ราย

รมว.ยุติธรรม ‘สมศักดิ์ เทพสุทิน’ เชื่อกฎหมายปลดล็อกกระท่อมผ่านสภาได้ต้นปีหน้า นัดกมธ.8ม.ค.หาข้อมูลมาถกกัน ยันป.ป.ส.ยกร่างมาอย่างละเอียดรอบครอบ ย้ำเตือนประชาชนกฎหมายยังไม่ผ่านต้องศึกษาข้อปฏิบัติรอบครอบอย่าทำอะไรเกินเลย

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.พืชกระท่อมว่า การพิจารณาอยู่ในวาระที่สอง ซึ่งเป็นขั้นการพิจารณาของกรรมาธิการ โดยที่ประชุมเลือกตนเป็นประธานกมธ.ชุดดังกล่าว เนื่องจากคงเห็นว่าตนมีความตั้งใจที่จะทำกฎหมายฉบับนี้เพื่อชาวบ้าน

ซึ่งที่ผ่านมาตนได้ลงพื้นที่พูดคุยกับชาวบ้านบ่อยครั้งว่าอยากให้กฎหมายฉบับนี้เป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งกฎหมายที่เกี่ยวกับพืชเศรษฐกิจบางชนิดต้องจริงจัง ถ้าไม่จริงจังจะจบได้ยากมาก โดยสัปดาห์นี้ได้เริ่มประชุมไปแล้ว แต่เนื่องจากสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 ทำให้ต้องยกเลิกการประชุมไปก่อน โดยเบื้องต้นนัดประชุมอีกครั้งในวันที่ 8 ม.ค.64

ซึ่งช่วงนี้ตนได้ขอให้ กมธ. ทุกท่านสรรหาและเก็บข้อมูลต่าง ๆ เพื่อนำมาพูดคุยกันเมื่อมีการประชุมได้ทันที นำมาปรึกษาหารือกันว่ามีอะไรติดขัดหรือไม่ แต่ส่วนตัวเชื่อว่า กมธ.ทุกท่านน่าจะมีทิศทางที่ตรงกัน

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า "ร่าง พ.ร.บ.พืชกระท่อม ฉบับนี้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เป็นผู้ดำเนินการยกร่าง แล้วนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งส่งต่อให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณา ซึ่งทาง ป.ป.ส.ได้พิจารณาหาข้อมูลในการทำกฎหมายอย่างละเอียด การทำกฎหมายฉบับนี้ขึ้นมาจะเป็นประโยชน์ต่อชาวบ้าน เพราะบางหมู่บ้านมีต้นกระท่อมให้ใช้ประโยชน์อยู่แล้วหากทำเป็นเรื่องอุตสาหกรรมด้วยจะเป็นเรื่องที่ดี

ซึ่งในหลายประเทศมีการปลูกเพื่ออุตสาหกรรม ข้อมูลตรงนี้เราจะต้องมีการรวบรวมและศึกษาเพิ่มเติมอย่างละเอียดอีกครั้ง ทั้งนี้ตนเชื่อว่าแม้ว่าจะมีสถานการณ์โควิด แต่ในชั้นการพิจารณาของ กมธ.น่าจะใช้เวลาไม่เกินกรอบเวลา และน่าจะบรรจุเข้าสู่การพิจารณาของสภาได้ภายในการประชุมสมัยนี้หรือภายในต้นปี 2564"

"ตอนนี้ผมต้องย้ำกับประชาชนอีกครั้งว่าเรายังไม่ได้มีการปลดล็อกพืชกระท่อม ดังนั้นขณะนี้อย่างพึ่งทำอะไรที่เกินเลยข้อกำหนด และปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด และขอขอบคุณชาวบ้านที่ไว้ใจให้ผมและรัฐบาลให้ได้ดำเนินการเรื่องนี้ เราจะพยายามทำกฎหมายออกมาให้ดีเพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนมากที่สุด" นายสมศักดิ์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top