Saturday, 10 May 2025
PoliticsQUIZ

คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เห็นชอบงบ “กองทุนบัตรทอง ปี 2565” กว่า 2.03 แสนล้านบาทแล้ว รองรับผู้ใช้สิทธิเพิ่มจากผลกระทบโควิด และอัตราเงินเฟ้อ เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) กล่าวว่า ในการประชุมบอร์ด สปสช. เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. ที่ผ่านมา ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบ “ข้อเสนองบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ปี 2565” รวมทั้งสิ้น 203,027 ล้านบาท

ในจำนวนนี้รวมเงินเดือนบุคลากรทางการแพทย์ภาครัฐ 55,198.26 ล้านบาท เป็นงบประมาณสู่การบริหารจัดการโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 147,828.83 ล้านบาท โดยจะนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อไป

ทั้งนี้ ข้อเสนองบประมาณกองทุนบัตรทอง ปี 2565 เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ราว 8,518 ล้านบาท หรือคิดเป็น 4.4% ส่งผลให้อัตราเหมาจ่ายรายหัวในปี 2565 จะเพิ่มเป็น 3,843.60 บาท/ประชากรผู้มีสิทธิ เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 124.38 บาท/ประชากรผู้มีสิทธิ

เหตุผลสำคัญที่ทำให้ข้อเสนองบประมาณกองทุนบัตรทองปี 2565 เพิ่มขึ้นจากเดิม เนื่องจาก 1.อัตราเงินเฟ้อต้นทุนบริการที่เพิ่มขึ้น ทั้งเงินเดือน ค่าจ้าง ค่าตอบแทน ค่ายาและเวชภัณฑ์ ค่าสาธารณูปโภค และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ 2.ปริมาณงานและประชากรที่เพิ่มขึ้น

โดยรองรับประชากรที่จะเข้าสู่ระบบบัตรทองจากวิกฤตการณ์โควิด-19 ที่นำมาสู่ปัญหาการว่างงาน 3.เพิ่มเติมสิทธิประโยชน์รายการใหม่เพื่อการเข้าถึงบริการที่เพิ่มขึ้น และ 4.รองรับนโยบาย “การยกระดับระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ” ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ทั้งรับบริการกับหมอประจำครอบครัวที่หน่วยปฐมภูมิใดก็ได้ บริการมะเร็งไปรับบริการที่ไหนก็ที่ได้ที่มีความพร้อม รับบริการผู้ป่วยในโดยไม่ต้องใช้ใบส่งตัว และการเปลี่ยนหน่วยบริการมีผลทันทีไม่ต้องรอ 15 วัน

“ในปี 2565 คาดว่าจะมีผู้เข้าสู่ระบบบัตรทองจำนวนมาก จากข้อมูลคาดการณ์อัตราการเกิดและอัตราการตายโดยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม พบว่าจะมีผู้ที่ใช้สิทธิบัตรทองอยู่ที่ 47.547 ล้านคน ขณะเดียวกันจะมีผู้ที่ว่างงานเข้ามาในระบบอีกราว 3.9 แสนราย ประกอบกับในปี 2565 สปสช. ได้ปรับเพิ่มสิทธิประโยชน์อีกหลายรายการ และที่สำคัญคือการรองรับบริการ ตามนโยบายยกระดับบัตรทอง สู่หลักประกันสุขภาพยุคใหม่ ที่เป็นการพลิกโฉมการให้บริการ เพิ่มความสะดวกสบายและประสิทธิภาพให้กับประชาชน นำมาสู่การจัดทำข้อเสนองบประมาณกองทุนบัตรทอง ปี 2565 จำนวน 203,027 ล้านบาท” นายอนุทิน กล่าว

ด้าน นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ข้อเสนองบประมาณกองทุนบัตรทอง ปี 2565 แบ่งเป็น 1.) งบค่าบริการเหมาจ่ายรายหัวสำหรับประชากรในระบบและประชากรที่คาดว่าจะเข้ามาในระบบ รวม 161,236 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 5,916 ล้านบาท

2.) ค่าบริการสาธารณสุขผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยเอดส์ จำนวน 3,918 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 242 ล้านบาท

3.) ค่าบริการสาธารณสุขผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง จำนวน 10,124 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 404 ล้านบาท

4.) ค่าบริการสาธารณสุขเพื่อควบคุมป้องกันความรุนแรงของโรคเรื้อรัง จำนวน 1,169 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 5.6 ล้านบาท

5.) ค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับหน่วยบริการในพื้นที่กันดาร เสี่ยงภาย และชายแดนใต้ จำนวน 1,490 ล้านบาท

6.) ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน จำนวน 1,014 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 176 ล้านบาท

7.) ค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับบริการปฐมภูมิที่มีแพทย์ประจำครอบครัว จำนวน 421 ล้านบาท

8.) ค่าบริการสาธารณสุขร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จำนวน 2,770 ล้านบาท

9.) ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับบริการโรคโควิด-19 เป็นรายการใหม่ที่ขอรับงบตั้งแต่ต้นปี 2565 จำนวน 825 ล้านบาท

10.) เงินช่วยเหลือเบื้องต้นผู้รับบริการและผู้ให้บริการ จำนวน 283 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 100 ล้านบาท จากการปรับอัตราการเยียวยาบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ได้รับผลกระทบจากกรณีโควิด-19

11.) ค่าบริการสาธารณสุขสร้างเสริมสุขภาพและป้องกันโรค จำนวน 19,774 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 1,053 ล้านบาท

นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า การจัดทำงบประมาณกองทุนบัตรทอง ปีงบประมาณ 2565 เป็นการดำเนินงานตามกรอบรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 และกฎหมาย ประกาศ คำสั่ง และมติ ครม. ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งนโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขและบอร์ด สปสช. ตลอดจนผลการรับฟังความเห็นจากประชาชน

โดย สปสช. จะเสนอข้อเสนองบประมาณนี้เข้าสู่การพิจารณางบประมาณของคณะรัฐมนตรีต่อไป ทั้งนี้ สปสช. ยืนยันว่าจะใช้เงินทุกบาททุกสตางค์ที่มาจากภาษีของประชาชนอย่างคุ้มค่า เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากที่สุด

รมว.ศึกษาธิการ ‘ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ’ เผยเลื่อนงานวันเด็กปี 64 หลังโควิดกลับมาระบวาด ขณะที่ ไฟเขียว โรงเรียน- ชุมชน จัดงานวันเด็กได้ เหตุสามารถยืนยันผู้ที่มาผู้ร่วมงาน ส่วนพื้นที่สาธารณะและเอกชนให้งดจัด

นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการจัดงานวันเด็ก ว่า งานวันเด็กของกระทรวงศึกษาธิการต้องเลื่อนไปก่อน เพราะเป็นงานวันเด็กที่ไม่สามารถระบุได้ว่าคนร่วมงานมาจากที่ใด ส่วนงานกิจกรรมวันเด็กที่สามารถระบุคนเข้าร่วมได้สามารถจัดได้ตามปกติ

เนื่องจากเป็นมาตราการของศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) เช่นการจัดงานวันเด็กในสถานที่ชุมชนและพื้นที่ที่สามารถยืนยันได้ว่าเด็กและผู้ที่มาร่วมงานมาจากที่ใด แต่ถ้าเป็นพื้นที่สาธารณะ ที่ไม่สามารถระบุยืนยันตัวบุคคลได้ ก็จะเป็นเช่นเดียวกับกิจกรรมงานปีใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพเป็นพื้นที่ที่มีความเสี่ยง

“หากจะมีการจัดงานวันเด็ก เฉพาะในบางพื้นที่ต้องเป็นไปตามมาตรการ ตามที่ศบค.กำหนด ผู้ที่มาร่วมงานสามารถยืนยันตัวตนได้ก็จัดได้ สำหรับโรงเรียนสามารถจัดกิจกรรมได้ เพราะสามารถที่จะยืนยันตัวตนเด็กและผู้ที่มาร่วมงาน ซึ่งขออนุญาตจาก สำนักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้อยู่แล้ว ในส่วนของภาคเอกชนที่จะเชิญชวนให้เด็กมาร่วมงานกิจกรรมวันเด็ก ยังทำไม่ได้ “ นายณัฏฐพลกล่าว

พร้อมยืนยันว่า สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดในสถานศึกษาได้ โดยเฉพาะข้อมูลที่ได้รับจากพื้นที่ ในพื้นที่เสี่ยงก็ได้มีการปิดโรงเรียน อย่างโรงเรียนใน สพฐ. ปิดไปแล้ว 528 โรงเรียน อาชีวะปิดไป 20 วิทยาลัย ในภาคเอกชนมีการปิดไป 220 โรงเรียน ซึ่งก็เป็นไปตามสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่มากสุด ได้แก่ จ.สมุทรสาคร กระทรวงศึกษาควบคุมสถานการณ์ ตามที่ ศบค.เสนอ ไม่ได้ครอบคลุมทั้งจังหวัด เพราะเรามีข้อมูลและอัตราความเสี่ยงไว้อย่างชัดเจน

"สุริยะ" เข้มสั่งกรมโรงงานอุตฯ, อุตสาหกรรมจังหวัด ตรวจสอบการขนย้าย และการนำแรงงานต่างด้าวออกนอกพื้นที่ โดยเฉพาะสถานประกอบการในพื้นที่สมุทรสาคร หากฝ่าฝืนไม่ร่วมมือ โทษหนักกว่าหลายเท่า

สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สั่งการไปยังกรมโรงงานอุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมจังหวัด ตรวจสอบการขนย้าย และการนำแรงงานต่างด้าวออกนอกพื้นที่ โดยเฉพาะสถานประกอบการในพื้นที่สมุทรสาคร

ซึ่งเป็นพื้นที่แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หลังจากที่มีการนำเสนอข่าวดังกล่าวออกมาก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงต้องเฝ้าระวัง ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการ พร้อมกับทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะโรงงานที่ใช้แรงงานต่างด้าว

“ต้องมีการตรวจสอบทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการ เพื่อให้ความช่วยเหลือ ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ตรวจสอบ คัดกรอง หาผู้ติดเชื้อและกลุ่มเสี่ยง รายงานจำนวน สถานประกอบการที่มีการใช้แรงงานต่างด้าว โดยได้ให้ประสานข้อมูลอย่างใกล้ชิดกับแรงงานจังหวัด และย้ำเตือนผู้ประกอบการ อย่าตระหนก อย่าเกรงกลัวความผิด หากฝ่าฝืนโทษจะยิ่งหนักกว่าหลายเท่า และไม่ให้มีการดำเนินการใดๆ ที่เป็นการขนย้ายแรงงานออกนอกโรงงานโดยเด็ดขาด”

สุริยะ กล่าวอีกว่า สิ่งสำคัญตอนนี้ คือ ต้องปฏิบัติตามมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเข้มข้น ทั้งสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ซึ่งเป็นมาตรการป้องกันที่สำคัญที่สุด และหากมีแรงงานในสถานประกอบการติดเชื้อ ขอให้แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการสอบสวนโรคตามขั้นตอนว่าไปสถานที่ใด พบปะกับใคร และกักกัน ไม่ให้ออกนอกพื้นที่

หนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ ไทม์สของลาว รายงานว่า กระทรวงสาธารณสุขของลาวจะไม่ออกค่าใช้จ่ายในการตรวจโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19)

โดยชาวลาวและชาวต่างชาติต้องเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในการตรวจโรคโควิด-19 หรือการรักษาเอง

รายงานข่าวระบุว่าไม่มีการเก็บค่าใช้จ่ายในการตรวจโรคโควิด-19 ในลาว นับตั้งแต่ตรวจพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 รายแรกของประเทศในเดือนมีนาคม

าพยาบาลในสังกัดหน่วยงานรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นของลาว จะเริ่มเก็บค่าใช้จ่ายในการตรวจหาโรคโควิด-19 ของประชาชนโดยทันที โดยมีราคาแตกต่างกันตามบุคคลแต่ละประเภท


ที่มา: Xinhuathai

เดอะวอลล์สตรีทเจอร์นัล (WSJ) รายงานว่าวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ที่พัฒนาโดยจีนได้ผ่านเกณฑ์วัดประสิทธิภาพที่ร้อยละ 50 ในการทดลองขั้นสุดท้ายในบราซิล

ผลการทดสอบนี้หมายความว่าวัคซีนดังกล่าวถือว่าสามารถใช้การได้ตามมาตรฐานของนักวิทยาศาสตร์สากลและสามารถนำไปใช้ได้จริง

วัคซีนตัวดังกล่าวซึ่งชื่อว่า ‘โคโรนาวัค’ (CoronaVac) ถูกพัฒนาโดย ‘ซิโนวัค ไบโอเทค’ (Sinovac Biotech) บริษัทชีวเวชภัณฑ์สัญชาติจีน โดยวัคซีนตัวนี้ได้เสร็จสิ้นการทดลองระยะที่ 3 ในบราซิล และกำลังถูกทดสอบในประเทศอื่นเช่นกัน

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขคนหนึ่งกล่าวในงานแถลงข่าวเมื่อ 21 ธันวาคมที่ผ่านมาว่า จีนเป็นประเทศชั้นนำของโลกในด้านการพัฒนาวัคซีนป้อนกันโควิด-19 โดยมีวัคซีนที่อยู่ในขั้นตอนการทดลองทางคลินิกระยะที่ 3 มากที่สุด

เจิ้งจงเหว่ย เจ้าหน้าที่จากคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (NHC) และหัวหน้ากลุ่มพัฒนาวัคซีนระดับชาติ กล่าวโดยอ้างอิงสถิติจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ว่า เมื่อนับถึงวันที่ 2 ธันวาคม ในจีนมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและได้เข้าสู่ขั้นตอนการทดลองทางคลินิกแล้วทั้งหมด 15 ตัว โดยในจำนวนนั้นมี 5 ตัวที่อยู่ระหว่างการทดลองระยะที่ 3


ที่มา: Xinhuathai

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล ย้ำการระบาดของโควิด 19 ระลอกใหม่ เกิดจากภาครัฐหละหลวม แนะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เร่งจัดการเจ้าหน้าที่รัฐต้นตอทำโควิดระบาด

หลังการอภิปรายญัตติด่วนด้วยวาจาต่อกรณีการระบาดของโควิด 19 ระลอกใหม่พร้อมคำแนะนำให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ปรับทัศนคติตัวเอง ที่เอาแต่โทษคนอื่นไม่เคยรับผิดชอบใดๆแล้ว

ล่าสุด วิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกและ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ออกบทความเสนอแนะสิ่งที่นายกรัฐมนตรี ควรจะต้องเร่งดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผ่านเฟซบุ๊ค Wiroj Lakkhanaadisorn - วิโรจน์ ลักขณาอดิศรโดยระบุว่า เบื้องต้นต้องยอมรับว่า การแพร่ระบาดในครั้งนี้ เกิดจากความหละหลวม และการปล่อยปละละเลย ให้มีการลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายของแรงงานต่างชาติผ่านช่องทางทางธรรมชาติ

โดยมีประชาชนแจ้งเบาะแสมากมายว่า มีการเรียกรับผลประโยชน์ หรือไถสินบนจากเจ้าหน้าที่ภาครัฐ ทำเป็นขบวนการ อาจมีทหาร ตำรวจ และข้าราชการพลเรือน เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 'ทหาร' ซึ่งมีหน้าที่ในการควบคุมตามแนวชายแดน

ในเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควรต้องตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง เพื่อสอบสวนให้ชัดว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และข้าราชการคนใด ที่เกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบนำแรงงานต่างชาติเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมายบ้าง

ท่าทีกล่าวโทษไปที่ข้าราชการผู้ปฏิบัติงาน และเพ่งโทษไปที่ตำรวจ และข้าราชการพลเรือน โดยปกป้องทหารอย่างออกนอกหน้า รวมทั้งการไปถามขู่ผู้ว่าราชการ จ.สมุทรสาคร ว่าปล่อยปละให้แรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานอย่างผิดกฎหมายที่ จ.สมุทรสาคร ได้อย่างไร เป็นการถามคำถามที่ไร้วุฒิภาวะอย่างมาก เพราะ จ.สมุทรสาคร นั้นเป็นปลายทางของปัญหา

คำถามนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ควรต้องไปถามกองทัพ ที่มีหน้าที่ดูแลแนวชายแดนมากกว่า อย่างไรก็ตาม เรื่องขบวนการลักลอบนำเอาแรงงานต่างชาติเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย นี้ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ เพราะคือ ปัญหาการค้ามนุษย์ ซึ่งแม้แต่ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 หัวหน้าชุดทำคดีโรฮีนจา ที่มีการจับกุมทหาร 4 นาย สุดท้ายยังต้องขอลี้ภัยเสียเอง เรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะปล่อยให้เรื่องเงียบไปไม่ได้

ประการต่อมา เชื่อว่าทั้งแรงงานต่างชาติเข้ามาผิดกฎหมายและแรงงานข้ามชาติที่เคยถูกกฎหมายแต่หมดอายุและไม่อาจข้ามพรมแดนกลับไปยังประเทศของตนเองได้ มีจำนวนหลายแสนคน ซึ่งต้องอยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ แทนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะใช้มาตรการมุ่งให้ความสำคัญกับการควบคุมการระบาดเป็นสำคัญ

กลับประกาศที่จะกวาดล้างแรงงานต่างชาติผิดกฎหมายเหล่านี้ เมื่อเวลา 9.00 น. ของวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ.2563 ส่งผลให้ แรงงานต่างชาติผิดกฎหมายต่างพากันหลบหนีออกจากพื้นที่ จ.สมุทรสาคร บางส่วนก็ถูกนายจ้างลอยแพ พาไปทิ้งตามต่างจังหวัดต่างๆ เนื่องจากนายจ้างกลัวความผิด ทำให้การระบาดกระจายตัวออกจากพื้นที่ จ.สมุทรสาคร โชคดีที่ในช่วงบ่ายในวันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ กลับลำ ประกาศยอมให้มีการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างชาติผิดกฎหมายชั่วคราว จึงทำให้การหลบหนีแบบผึ้งแตกรังของแรงงานต่างชาติผิดกฎหมาย ชะลอตัวลง

แต่ปัญหานี้คงเป็นฝุ่นที่ พล.อ.ประยุทธ์ ซุกเอาไว้ใต้พรมมายาวนาน จึงยังไม่ได้ตัดสินใจในประเด็นนี้ โดยรีรอว่าต้องเอาไปผ่าน ครม. ก่อนซึ่งก็จะยิ่งทอดเวลาไปอีกกว่าสัปดาห์ ตราบใดที่มีรัฐบาลนี้ยังประวิงเวลาไปเรื่อยๆ ก็ยังเสี่ยงที่จะมีแรงงานต่างชาติที่ผิดกฎหมายหลบหนีออกจากพื้นที่ไปเรื่อยๆ ทำให้เสี่ยงมากที่จะทำให้การระบาดแพร่กระจายออกไปอีกในวงกว้าง ซึ่งเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จะล่าช้าทำเป็นทองไม่รู้ร้อนไม่ได้

นายวิโรจน์ ยังตำหนิรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ อีกว่า ได้ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่เดือน มีนาคม พ.ศ.2563 แทนที่จะใช้อำนาจตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาใช้ในการวางระบบ เตรียมความพร้อม ในการควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างเป็นรูปธรรม แต่ในทางปฏิบัติกลับเอาอำนาจไปใช้คุกคามประชาชนที่มาชุมนุมต่อต้านรัฐบาล ขณะที่การเตรียมการรับมือกับการระบาดของโรคโควิด-19 มีแต่ความล่าช้า และไม่มีอะไรที่เป็นรูปธรรม

ที่ทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจได้ ไม่ว่า การจัดเตรียมสถานกักกันโรคในพื้นที่ระดับจังหวัด (Local Quarantine) และการส่งเสริมให้มีสถานกักกันโรคโดยองค์กร (Organizational Quarantine) ก็ยังไม่เพียงพอต่อการกักกันโรคของแรงงานต่างชาติที่เข้าประเทศมาทำงาน นอกจากนี้ ค่าใช้จ่ายในการกักกันโรคก็ยังมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก โดยสูงในระดับ 20,000 บาทต่อคน ทำให้การจ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่รัฐหัวละ 6,500 บาท มีแรงจูงใจมาก

รัฐบาลของพล.อ.ประยุทธ์ ควรต้องเร่งจัดให้มีสถานกักกันโรคให้เพียงพอ และเร่งออกมาตรการในการอุดหนุน เพื่อให้ค่าใช้จ่ายในการกักกันโรคมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำลง ซึ่งเป็นโมเดลที่ไต้หวันทำได้สำเร็จ และได้ผลมาแล้ว ถ้ายังคงปล่อยปละละเลยก็จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นอีก จากแรงงานต่างชาติในภาคบริการ และภาคเกษตร

นอกจากนี้ นายวิโรจน์ ยังระบุถึงความไม่พร้อมในอีกหลายด้าน เช่นโรงเรียนที่ไม่มีงบประมาณเพื่อจัดหาจัดเตรียมอุปกรณ์ที่จำเป็นต่อการป้องกันโรคระบาดได้อย่างเพียงพอ ด้านการแพทย์ และสาธารณสุข ได้เตรียมวัคซีนไว้เพียงพอสำหรับประชาชนเพียงแค่ 13 ล้านคน เท่านั้น อีกเรื่องที่รัฐบาลนี้ตายน้ำตื้น

และไม่ควรจะให้เกิดขึ้นอีก ก็คือ การจัดเตรียมอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้มีความพร้อม เช่น หน้ากาก N95 ชุด PPE และ Face Shield เป็นต้น ไม่ควรปล่อยให้มีเหตุการณ์ที่ รพ.นครท่าฉลอม ต้องออกมาขอรับบริจาคจากประชาชน เกิดขึ้นอีก

"สำหรับมาตรการการช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย ทางพรรคก้าวไกลขอยืนยันว่า รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งแก้ไข มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อย ที่ไม่เคยมีสินเชื่อกับทางธนาคารมาก่อน สามารถเข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำได้ และควรขยายระยะเวลาในการผ่อนชำระจาก 2 ปี เป็น 5 ปี เป็นอย่างน้อย เพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถอยู่รอด

และรักษาระดับการจ้างงานได้ ในสถานการณ์ที่มีการระบาดของโควิด-19 และในกรณีที่รัฐบาลมีความจำเป็นต้องล็อคดาวน์จริง ๆ สิ่งที่พรรคก้าวไกลเรียกร้องก็คือ รัฐบาลจำเป็นต้องจัดเตรียมมาตรการเยียวยาให้พร้อมกว่าที่ผ่านมา ประชาชนผู้ที่ได้รับผลกระทบต้องได้รับเงินเยียวยาอย่างรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องมีการลงทะเบียนซ้ำ มีจุดแจกจ่ายอาหารสำหรับประชาชนให้ทั่วถึง เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน สิ้นหวัง อย่างที่เคยประสบมา"

สุดท้าย นายวิโรจน์ ระบุว่า รัฐบาลต้องเลิกโทษ และผลักภาระให้ประชาชนรับผิดชอบตัวเอง ไม่เหมารวมโทษไปที่ประชาชนทั้งหมด เพื่อให้ตัวเองลอยตัวไม่ต้องรับผิดชอบอะไร รัฐบาลที่ดีมีหน้าที่ต้องถอดบทเรียน จากปัญหาที่เกิดขึ้น เพื่อมากำหนดนโยบาย วางมาตรการ และกลไกต่างๆ ในการป้องกันและแก้ปัญหา

สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องทบทวนตัวเอง ก็คือ จากกรณีสนามมวยลุมพินี กรณีคณะ VIP ลูกทูต และทหารอียิปต์ ที่ จ.ระยอง กรณีโรงแรม 1G1 ที่ฝั่งท่าขี้เหล็ก รัฐฉาน จนถึงกรณีตลาดแพปลา ที่ จ.สมุทรสาคร รัฐบาลได้ถอดบทเรียนอะไรบ้าง ได้ทำอะไรเป็นรูปธรรมไปแล้วบ้าง ถ้ายังไม่ได้ทำอะไร ก็ควรต้องรีบทำ ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาจะเกือบปีแล้ว จะมาแก้ปัญหาเฉพาะหน้า โทษประชาชนไปเรื่อย ๆ ปลูกผักชีแก้ผ้าเอาหน้ารอดแบบนี้ไปวัน ๆ แบบนี้ไม่ได้

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (25 ธันวาคม พ.ศ.2563)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 81 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 5,910 ราย ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม รวมยอดผู้เสียชีวิต 60 ราย รักษาหายเพิ่ม 21 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 4,130 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 1,713 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 81 ราย เป็นคนไทย 6 ราย สัญชาติรัสเซีย 2 ราย เยอรมัน 1 ราย

เดินทางมาจากต่างประเทศ จากสหรัฐอเมริกา 3 ราย ,รัสเซีย 2 ราย ,สวิตเซอร์แลนด์ 1 ราย ,เยอรมนี 1 ราย ,เมียนมา 1 ราย ,สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 1 ราย ผ่านการคัดกรองและเข้าพักสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้

ผู้ติดเชื้อในประเทศ (อยู่ระหว่างการสอบสวน)จำนวน 37 ราย จาก เกี่ยวเนื่อง cluster จังหวัดสมุทรสาคร 26 ราย รอสอบสวน 11 ราย

ผู้ติดเชื้อในแรงานต่างด้าว (คัดกรองเชิงรุกในชุมชน) 35 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 152 ราย รักษาหายแล้ว 149 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 363 ราย รักษาหายแล้ว 354 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 6.93 แสน ราย รักษาหายแล้ว 5.64 แสน เสียชีวิต 20,589 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 37 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1 แสน ราย รักษาหายแล้ว 81,099 ราย เสียชีวิต 446 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.2แสน ราย รักษาหายแล้ว 99,927 ราย เสียชีวิต 2,532 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 4.66 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.3 แสน ราย เสียชีวิต 9,055 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 58,495 ราย รักษาหายแล้ว 58,332 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1,432 ราย รักษาหายแล้ว1,281 ราย เสียชีวิต 35 ราย

เตรียมตั๋วพักผ่อนกันได้เลย (หากโควิด-19 จาง) หลังรัฐบาลกำลังพิจารณาวันหยุดพิเศษเพิ่มเติมจากปกติใน 2 กรณีเป็นอย่างน้อย คือ กรณีแรก อาจเพิ่มวันที่ 12 ก.พ.64 ให้เป็นวันหยุดเพิ่ม เพื่อให้หยุดยาว 3 วัน คือวันที่ 12 - 14 ก.พ.64

วิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เปิดเผยว่า ได้ประชุมร่วมกับ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางด้านการท่องเที่ยวทั้งภาครัฐและเอกชน ถึงการเตรียมการเพื่อกำหนดวันหยุดเฉพาะกิจในปี 64 เพิ่มเติม

โดยเบื้องต้นที่ประชุมได้เห็นชอบร่วมกันว่า ในปีหน้ารัฐบาลกำลังพิจารณาวันหยุดพิเศษเพิ่มเติมจากปกติใน 2 กรณีเป็นอย่างน้อย คือ กรณีแรก อาจเพิ่มวันที่ 12 ก.พ.64 ให้เป็นวันหยุดเพิ่ม เพื่อให้หยุดยาว 3 วัน คือวันที่ 12 - 14 ก.พ. 64 เพื่อให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ

ส่วนอีกกรณีนั้น ที่ประชุมเห็นตรงกันว่ามีความเหมาะสม คือการเพิ่มวันหยุดในช่วงเทศกาล หรืองานประเพณีต่างๆ ของจังหวัดหรือภูมิภาคนั้นๆ เช่น เทศกาลบุญบั้งไฟ เทศกาลเข้าพรรษา หรือเทศกาลกระทงที่มีชื่อเสียงของแต่ละจังหวัด

ก็อาจประกาศให้เป็นวันหยุดในภูมิภาคนั้น ซึ่งจากนี้ทุกหน่วยงานจะไปดูรายละเอียดอีกครั้งว่า วันหยุดในช่วงเทศกาลนั้นจะให้หยุดในระดับกลุ่มจังหวัด หรือหยุดในภูมิภาคนั้นเลย เช่น เทศกาลบุญบั้งไฟในภาคอีสานก็ให้ภาคอีสานมีวันหยุดเพิ่มเติมเฉพาะภูมิภาคนั้น ซึ่งทั้งหมดจะเสนอที่ประชุมครม.พิจารณาเห็นชอบอีกครั้ง

ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด ให้ความมั่นใจ ‘อาหารทะเลจากมหาชัย’ ปรุงสุกกินได้ พร้อมวอนประชาชนลดดีกรีฉลองปีใหม่ ย้ำให้ติดตามแถลงของศบค.แหล่งเดียว ยืนยัน มีคนไทยในเกาหลีติดโควิด 31 คน ประสานงานช่วยเหลือแล้ว

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.)ตอบข้อซักถามถึงกรณีที่ ผู้ประกอบการจากจังหวัดสมุทรสาครร้องเรียนศบค.ว่าจังหวัดอื่น ปฏิเสธรับซื้อสินค้าของจังหวัดสมุทรสาคร ศบค. จะแก้ปัญหาอย่างไร ว่า น่าเห็นใจในภาวะของการตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นมากไปสักนิด

ขอย้ำว่าโรค โควิด-19 เป็นการติดเชื้อทางเดินหายใจ ดังนั้นอาหารทะเลหรืออุปโภคบริโภคที่ออกไปจากสมุทรสาคร แล้วเกิดความรังเกียจนั้นก็ถือว่าแรงเกินไป เพราะในความเป็นจริงไม่ถึงขนาดนั้น หากอาหารทะเลหรืออาหารอุปโภคบริโภคเมื่อปรุงสุกแล้ว มีการทำความสะอาดทุกอย่างสินค้าเหล่านั้นยังใช้ได้เหมือนเดิมตามปกติดังนั้นขอให้ทุกคนเข้าใจและอุดหนุนสินค้าจากจังหวัดสมุทรสาครได้ตามปกติ หากทำความสะอาดก่อนที่จะปรุงสุกแล้วเชื้อโรคก็ไม่ได้ทนทาน ยืนยันเรื่องความปลอดภัย ขอให้ทุกคนช่วยกัน

นายกรัฐมนตรีได้กำชับในศบค. ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงสาธารณสุขจัดทีมเข้าไปตรวจสอบคุณภาพถึงสถานที่ผลิตเพื่อยืนยันให้มั่นใจว่าสินค้าที่ออกมานั้นเกิดความมั่นใจต่อผู้บริโภคได้ ดังนั้นในจังหวัดก็ต้องให้ความร่วมมือร่วมใจและขอให้ประชาชนทั่วไปมีความมั่นใจด้วย

ส่วนกรณีที่คนไทยในประเทศเกาหลีใต้ ติดโควิด-19 มากกว่า 30 คนนั้น โฆษก ศบค.กล่าวว่า เมื่อช่วงเช้าวันเดียวกันนี้ที่ประชุมศบค. ชุดเล็กได้มีการพูดคุยถึงเรื่องดังกล่าวเช่นกัน โดยรักษาการอธิบดีกรมการกงสุลกระทรวงการต่างประเทศได้แจ้งว่าทางสถานเอกอัครราชทูตณกรุงโซล ประเทศเกาหลี รายงานมาว่ามีการติดจริง 31 คนในเมืองชอนัน จ.ชุงชองใต้

ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งทางใต้ของกรุงโซลประมาณ 80 กิโลเมตรซึ่งพบว่า เป็นชาวไทยติดเชื้อเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 1 ราย และได้ทำการตรวจผู้สัมผัส กับผู้ป่วยดังกล่าวและผู้มีความเสี่ยง ที่ร้านขายอาหารไทยแห่งหนึ่ง จำนวน 90 ราย พบว่ามีการติดเชื้อ ในชาวไทยเพิ่มขึ้นอีก 31 คนและอยู่ระหว่างการตรวจรอยืนยันอีก 28 คน

ตอนนี้จะได้มีการเชื่อมโยงไปมา ตามที่เราเคยมีการดูแลข้ามประเทศโดยใช้ การติดต่อผ่านทางออนไลน์ , เฟสไทม์ , วีดีโอคอนเฟอเรนซ์กัน โดยกลุ่มทางการแพทย์กระทรวงสาธารณสุขได้ติดต่อกับกลุ่มบุคคลเหล่านี้แล้ว เพื่อดูแลเรื่องการติดเชื้อว่าอะไรเป็นอย่างไร ขณะนี้ทีมแพทย์จากกรมการแพทย์ได้ตั้งกลุ่มไลน์และได้ประสานงานช่วยเหลือแล้ว

โฆษกศบค. ยังกล่าวถึงกรณีชาวต่างชาติไม่ปฏิบัติตามมาตการป้องกันการติดเชื้อว่าว่า ต้องขอขอบคุณผู้ประกอบการในประเทศไทยที่ได้เข้มงวดในการทำมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด โควิด-19 และขณะนี้เราได้ประกาศอย่างเป็นทางการทั่วประเทศ 100% ต้องสวมหน้ากากอนามัย หน้ากากผ้า

ดังนั้นทุกคนต้องเตือนกันได้ว่าใครที่ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัยต้องเตือนกันได้โดยไม่ถือโทษโกรธกัน ซึ่งทาง ผู้ช่วยโฆษกศบค. จากกระทรวงการต่างประเทศจะได้ประสานข้อมูลไปยังผู้ที่เป็นชาวต่างชาติที่อยู่ในเมืองไทยเพื่อขอความร่วมมือในการที่จะต้องปฏิบัติตนให้เหมือนกับคนไทยทุกคน

เมื่อมาอยู่ร่วมกันในประเทศไทยก็ต้องเลือกที่จะใช้มาตรการป้องกันควบคุมโรครวมกันเหมือนอย่างที่เราทำได้ผลมาแล้ว เพราะตัวเลขการติดเชื้อครั้งนี้มากกว่าครั้งที่แล้วเพราะฉะนั้นเราต้องจะเข้มมากกว่าครั้งก่อนอีกมาก เช่นในต่างจังหวัดมีชาวต่างชาติทั้งสวมใส่หน้ากากอนามัยและสวมใส่หมวกกันน็อคขณะขับขี่รถจักรยานยนต์

ดังนั้นคงถือว่าเป็นส่วนน้อยที่ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานสาธารณสุข ดังนั้นขอความร่วมมือให้ 100% ดังนั้นขอฝากให้ทุกคนดูแลป้องกันตัวเองด้วย และต้องขอความร่วมมือให้เราปฏิบัติกันสักพักใหญ่ๆ เพื่อต้องการให้ตัวเลขสองถึงสามหลักที่เกิดขึ้นในขณะนี้ลดลงให้ได้โดยเร็ว

ความร่วมมือของคนไทยและคนต่างชาติต้องร่วมมือกันเราจึงจะมีอิสรภาพอย่างนี้ได้เพราะถ้าไม่ร่วมมือความเข้มข้นก็จะต้องตามมาโดยที่คงไม่มีใครชอบที่จะถูกจำกัดอิสรภาพต่าง ๆ ดังนั้นขอความร่วมมือไปยังพี่น้องชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยตอนนี้ด้วย

ทั้งนี้ หากประชาชนจะเดินทางข้ามจังหวัดในช่วงวันหยุดยาวปี สามารถตรวจสอบข้อมูล ผ่านการแถลงข่าวของศบค.ได้ทุกวัน ทั้งในเรื่องตัวเลขของผู้ติดเชื้อรายจังหวัด ส่วนการเดินทางขณะนี้จำกัดเฉพาะจังหวัดสมุทรสาครที่กำหนดว่าไม่ควรเดินทางออกนอกจังหวัด

ส่วนจังหวัดอื่นๆยังสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้ แต่พยายามอย่าเดินทางไปในที่ที่เป็นสถานที่ชุมชน แต่การจะไปเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่นั้นก็ยังสามารถเดินทางได้ ยังไม่มีการประกาศพื้นที่ควบคุมสูงสุดแต่อย่างใด ดังนั้นขอให้ติดตามเป็นรายวันไป

ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีให้รวมศูนย์แถลงข่าวมาที่ทำเนียบรัฐบาล มีความกังวลว่าตัวเลขผู้ติดเชื้ออาจจะไม่อัพเดท ช้ากว่าข้อเท็จจริง จะมีการให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดในแต่ละพื้นที่สามารถแถลงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันประชาชนสับสนและคลายความกังวลหรือไม่

โฆษกศบค.กล่าวว่า ก่อนหน้านี้มีความสับสนในพื้นที่และมีความกังวลเกิดขึ้นอันเนื่องมาจากข้อมูลที่เข้ามาในส่วนกลางไม่ได้เป็นทางเดียวแต่ออกมาเป็นคนละทิศและทางดังนั้น นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้อำนวยการศบค. ได้รับทราบข้อมูลดังกล่าวจึงให้มีการรวมศูนย์ชุดข้อมูล ให้เป็นเหมือนช่วงต้นปีที่ผ่านมา

ดังนั้นขอให้ทุกคนทราบว่าชุดข้อมูลที่เป็นชุดเดียวในเวลาที่ใช้แถลงข่าว 11.30 น. ในรอบ 24 ชั่วโมงมาแถลงข่าวเพื่อรายงานหนึ่งครั้งนั้นถือว่าไม่ช้าจนเกินไป ไม่มีอะไรต้องเร่งด่วนมากขนาดนั้น และความเร่งด่วนที่เกิดขึ้นโดยอยากจะได้ข้อมูลรวดเร็วแต่ปรากฏว่ายังบวก ๆ ลบ ๆ จึงเกิดความผิดพลาดกันไปใหญ่ เหมือนกับที่ขณะนี้มีข้อมูลว่ามีผู้ติดเชื้อแล้ว 36 จังหวัด แต่เท่าที่ตรวจสอบข้อมูลซ้ำแล้วซ้ำอีกยังอยู่ที่ 31 จังหวัดแต่หากจะถามว่าเพิ่มขึ้นหรือไม่ก็รอในรอบ 24 ชั่วโมงก็ถือว่าไม่ช้าเกินไป

เพราะขณะนี้เราไม่ได้มีการล็อคดาวน์แต่อย่างใด ดังนั้นความถูกต้องและละเอียดของข้อมูลจึงต้องเน้นย้ำ ตนมั่นใจที่จะเสนอต่อทุกคน ดีกว่าข้อมูลออกไปหลายรอบแล้วไม่ตรงกัน สื่อ แต่ละสื่อก็จะไปนำเสนอเองทำให้เกิดความงุนงงขึ้นในสังคม ดังนั้นขอใช้ช่องทางศูนย์แถลงข่าวของศบค.แถลงข่าวอย่างเป็นทางการเพียงช่องทางเดียว เหมือนอย่างที่เราทำกันมาตลอดและเป็นรูปแบบที่เป็นที่ยอมรับได้โดยไม่มีการปกปิดข้อมูล

“ขอขอบคุณประชาชนทุกคนที่ให้ความร่วมมือ เพราะนี่คือสิ่งที่เราจะก้าวไปด้วยกันจึงขอเน้นย้ำในข้อเท็จจริงที่เราร่วมมือขอให้คงไว้ให้นานที่สุด ภาครัฐและภาคเอกชนภาคประชาชนประชาสังคมขอให้รวมกันเป็นหนึ่งเพื่อสู้กับไวรัส โควิด-19 ถึงแม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อ เป็นพันคนแล้ว และกระจายไปในหลายจังหวัดเราก็ไม่ได้เพิ่งเจอครั้งนี้เป็นครั้งแรก ดังนั้น ขอให้ย้อนไปในประสบการณ์ที่ผ่านมา

เราก็ผ่านมาแล้วดังนั้นขอความร่วมมือกันอีกครั้งหนึ่งถึงแม้ว่าปีใหม่นี้ทุกคนอยากจะสนุกสนานจึงขอร้องว่าให้ลดน้อยลงกันสักนิดขอให้มีความสุขกันได้โดยมีหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัย ที่จะช่วยทำให้ทุกคนซึ่งอยู่ในทุกที่มีความปลอดภัยดังนั้นขอย้ำให้ช่วยกันสวมใส่และมีความสุขในบรรยากาศปีใหม่กับครอบครัว ขอให้ทุกคนต่างช่วยกันและเราจะผ่านพ้นไปด้วยกัน”

การพ่ายแพ้อย่างราบคาบในสนามเลือกตั้งเล็ก (อบจ.) และอาจจะรวมถึงทุกๆ ความนิยมที่ลดทอน ของคณะก้าวหน้า ทำให้เห็นได้ชัดถึงก้าวที่ผิดพลาด จนดูเหมือนว่าที่ยืนของคณะก้าวหน้า และพลพรรคของขั้วตรงข้ามรัฐ เริ่มไร้ที่ยืนลงไปเรื่อยๆ

ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ ‘ดร.นิว’ นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกมา เผยแพร่ ความพ่ายแพ้แบบแลนด์สไลด์ของคณะก้าวหน้าผ่านเฟซบุ๊กว่า

“เหตุผลสำคัญที่คณะก้าวหน้าพ่ายแพ้ในการเลือกตั้ง อบจ. ครั้งนี้ คือ การถือนโยบายที่ผิด หมกมุ่นอยู่กับการบั่นทอนความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ หวังสานต่อภารกิจ 2475 ที่ยังไม่เสร็จของคณะราษฎร ซึ่งมีแต่จะบั่นทอนความมั่นคงของชาติและประชาชน

“คณะก้าวหน้า คือ คนกลุ่มเดิมที่ไม่ได้เข้าเพื่อมาแก้ไขปัญหาของประเทศ ไม่ได้ทำในสิ่งที่ประชาชนต้องการ แต่กลับสร้างปัญหาและความแตกแยกที่รุนแรงให้กับประชาชน โดยที่ไม่ได้สร้างประชาธิปไตย แต่กลับแอบอ้างประชาธิปไตย หลอกใช้มวลชนเป็นเครื่องมือในการแสวงหาอำนาจ สร้างความแตกแยก และทำลายล้างสถาบันสำคัญของชาติตามรอยคณะราษฎร

“ทำให้คนส่วนใหญ่ของประเทศที่รักสถาบันพระมหากษัตริย์ออกมาปฏิเสธอย่างหนักแน่น ตลอดจนคนที่รักในประชาธิปไตยอย่างมีสติ ซึ่งเห็นคุณค่าของชีวิตประชาชนเพื่อนร่วมชาติก็ย่อมไม่เห็นด้วย เพราะการที่จะไปสู่การเปลี่ยนแปลงตามที่คณะก้าวหน้าต้องการได้นั้น ต้องผ่านสงครามกลางเมืองระหว่างประชาชนที่เห็นต่างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มีแต่จะนำไปสู่ความรุนแรงและความแตกแยกครั้งมโหฬารที่คนไทยทุกคนจะเป็นผู้พ่ายแพ้

“ในขณะที่สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันประชาธิปไตย เพราะถือประโยชน์สุขของประชาชนทั้งประเทศเป็นใหญ่ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข อยู่เคียงข้างกับประชาชนมาโดยตลอด ตั้งแต่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดในสถานการณ์ปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานเครื่องมือทางการแพทย์จำนวนมากเพื่อรองรับต่อสถานการณ์และช่วยเหลือประชาชนทั้ง 77 จังหวัด 123 โรงพยาบาลทั่วประเทศ

“แต่ความดีของสถาบันพระมหากษัตริย์แบบนี้จะไม่มีอยู่ในกะลาของคณะก้าวหน้า ซึ่งเต็มไปด้วยการปั่นกระแสบิดเบือนในโลกโซเชียล เพื่อสร้างความเกลียดชังต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างหลับหูหลับตา ตลอดจนสร้างความแตกแยกให้กับสังคม อยู่เบื้องหลังการยุยงปลุกปั่นก่อม็อบลงถนนมาโดยตลอด ดังนั้นการเสี้ยมให้คนไทยทะเลาะกันเองของคณะก้าวหน้าและเครือข่าย อีกทั้งใช้ช่องว่างทางสังคมทั้งทางกายภาพและโซเชียลมีเดียสร้างความแตกแยกระหว่างคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ จึงเป็นสิ่งที่เลวร้ายและอำมหิตที่สุด

“พฤติกรรมของคณะก้าวหน้าที่ทำมาโดยตลอดจึงเป็นแค่การแอบอ้างประชาธิปไตย เพื่อหลอกลวงมวลชนในกะลาเป็นเครื่องมืออย่างสกปรกและไร้จิตสำนึกที่สุด ด้วยการสร้างเงื่อนไขความเข้าใจที่ผิดๆเสมือนว่าประชาธิปไตยสามารถสร้างได้ด้วยการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น

“ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริง การสร้างประชาธิปไตยไม่จำเป็นต้องสร้างความแตกแยกหรือทำลายใคร เพียงแต่ยกหลักการที่ถูกต้องขึ้นมาสร้างความสามัคคีและความมั่นคงของประเทศชาติ หรือบางทีการหันมาสร้างความมั่นคงให้กับสถาบันพระมหากษัตริย์ แล้วให้สถาบันพระมหากษัตริย์ช่วยสร้างประชาธิปไตยให้กับประชาชน อาจจะเป็น "ทางออกที่แท้จริงของประเทศไทย" ก็เป็นได้


ที่มา: เฟซบุ๊ก Suphanat Aphingyan


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top