Tuesday, 17 June 2025
Politics

'อนุทิน' ประเดิมฉีดวัคซีนโควิดเข็มแรกของประเทศ ย้ำไม่ต้องกังวลวัคซีนมีผลข้างเคียงแต่น้อย 'บิ๊กตู่' รอฉีดของแอสตร้าฯ คาด2สัปดาห์ถึงไทย

‘อนุทิน’ ประเดิมฉีดวัคซีนโควิดเข็มแรกของประเทศ ‘หมอยง’ ลงมือฉีดให้ด้วยตัวเอง ย้ำไม่ต้องกังวลวัคซีน มีผลข้างเคียงแต่น้อย พร้อมเผย ‘บิ๊กตู่’ รอฉีดของแอสตร้าเซนเนก้า คาดอีก 2 สัปดาห์ถึงไทย

เมื่อเวลา 07.10 น. วันที่ 28 ก.พ. ที่สถาบันบำราศนราดูร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ก่อนการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด ว่า ไม่ต้องกังวลกลัววัคซีน แม้จะมีผลข้างเคียง แต่ก็น้อยมีการทดสอบมาแล้วว่ามีความปลอดภัย ส่วนวันเดียวกันนี้ตนก็พร้อมที่จะมารับวัคซีน พร้อมรัฐมนตรีอีก 4 ท่าน ส่วนนายกรัฐมนตรีก็รอการฉีดวัคซีน ของบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จำกัด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบเอกสาร ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ จะส่งมอบให้กับประเทศไทยได้ โดยไม่ถือว่าล่าช้า

ดังนั้น วัคซีนที่มีอยู่ 2 แสนโดส จะเริ่มฉีดในพื้นที่เป้าหมาย ถือเป็นส่วนหนึ่งของการซักซ้อม และเตรียมแผนการฉีดระหว่างรอวัคซีนจากแอสตร้าฯ ที่จะเข้ามาจำนวนมาก โดยภายในสิ้นปี จะฉีดได้ครบ ระหว่างนี้เราก็ไม่หยุด แต่มีการพยายามหาวัคซีนตัวอื่นๆ มาเพิ่มด้วย

‘นิด้าโพล’ เผยคนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ลงโทษ ส.ส. แหกมติพรรค มองเป็นสิทธิแต่ละคน แนะ ปรับ ครม. บางตำแหน่ง

#เป็นสิทธิส่วนบุคคล

#นิด้าโพลเผยคนส่วนใหญ่ค้านลงโทษสสแหกมติ

#ชี้ทุกคนมีความเห็นที่แตกต่างได้

“นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศจำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เรื่อง “ลงโทษผู้โหวต สวนมติพรรคอย่างไรดี” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 24 – 26 กุมภาพันธ์ 2564 เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อการลงโทษ ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาล ที่โหวตไม่เป็นไปตามมติพรรคร่วมรัฐบาลพบว่า ร้อยละ 52.67 ระบุว่า ไม่ควรมีการลงโทษ เพราะ เป็นสิทธิของแต่ละบุคคลในการเเสดงความคิดเห็นที่เเตกต่าง ไม่จำเป็นต้องตามมติของพรรคเสมอไป รองลงมา ร้อยละ 45.80 ระบุว่า ควรมีการลงโทษ เพราะ ไม่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ตนเอง ส.ส. มีหน้าที่เป็นตัวแทนประชาชนต้องออกเสียงหรือทำตามมติพรรค

เมื่อถามถึงรูปแบบการลงโทษ จากผู้ที่ระบุว่าควรมีการลงโทษ พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 34.34 ระบุว่า ไม่ส่งลงสมัคร ส.ส. ในนามพรรค ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

รองลงมา ร้อยละ 26.00 ระบุว่า ห้ามไม่ให้ทำกิจกรรมทางการเมืองร่วมกับพรรค หรือรัฐบาลอีกต่อไป ร้อยละ 17.33 ระบุ ว่า ปลดออกจากทุกตำแหน่งในพรรคและรัฐบาล

ด้านความคิดเห็นของประชาชนต่อการลงโทษ ส.ส. พรรคฝ่ายค้าน ที่โหวตไม่เป็นไปตามมติพรรคฝ่ายค้าน พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 53.82 ระบุว่า ไม่ควรมีการลงโทษ เพราะ ต้องเคารพความคิดเห็นของแต่ละบุคคล สิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกันสามารถมีความคิดเห็นที่แตกต่าง กันได้ รองลงมา ร้อยละ 43.82 ระบุว่า ควรมีการลงโทษ เพราะ เป็นการไม่ปฏิบัติตามมติพรรคและไม่ยุติธรรมต่อพรรคที่ตนเองสังกัด เปรียบเสมือนเป็นงูเห่าของพรรค

เมื่อถามถึงรูปแบบการลงโทษ จากผู้ที่ระบุว่าควรมีการลงโทษ พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 33.45 ระบุว่า ไม่ส่งลงสมัคร ส.ส. ในนามพรรค ในการเลือกตั้งครั้งหน้า

รองลงมา ร้อยละ 27.70 ระบุว่า ห้ามไม่ให้ทำกิจกรรมทางการเมืองร่วมกับพรรคอีกต่อไป ร้อยละ 17.07 ระบุว่า ไล่ออกจากพรรค

ท้ายที่สุด เมื่อถามถึงความคิดเห็นของประชาชนต่อการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ส่วนใหญ่ ร้อยละ 49.24 ระบุว่า ควรมีการปรับ ครม. เพียงแค่บางตำแหน่ง รองลงมา ร้อยละ 33.66 ระบุว่า ควรมีการปรับ ครม. ครั้งใหญ่ ร้อยละ 11.68 ระบุว่า ไม่ควร มีการปรับ ครม.

ง้างดาบแต่ไม่ฟัน สหรัฐสั่งคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ระดับสูงซาอุฯ เซ่นคดี Khashoggi แต่ไม่กล้าแตะ 'มกุฎราชกุมารMbS'

ตัดบัวอย่างไรให้เหลือใย ต้องยกให้รัฐบาลสหรัฐภายใต้การนำของโจ ไบเดน ซึ่งได้ตัดสินใจเดินหน้าสอบสวนคดีฆาตกรรม Jamal Khashoggi นักข่าวซาอุดิอาระเบีย ประจำสำนักพิมพ์ Washington Post ที่ถูกฆาตกรรมหั่นศพภายในสถานทูตซาอุดิอารเบีย ที่เมืองอิสตันบูล ประเทศตุรกี เมื่อช่วงเดือนตุลาคม 2018 และกลายเป็นคดีฉาวสนั่นไปทั้งโลก

โดยบุคคลที่ถูกเอ่ยถึงอย่างมาก ที่เชื่อว่าเป็นผู้ออกคำสั่งเก็บนักข่าวซาอุฯ คนนี้ก็คือ มกุฏราชกุมาร โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน แห่งซาอุดีอาระเบีย ที่รู้จักในชื่อรหัส MbS และกลุ่มหน่วยลับที่อยู่ในสังกัดเจ้าชายเบอร์หนึ่งแห่งบัลลังก์ซาอุดิอาระเบีย

คดีค้างเติ่งมานานกว่า 3 ปี แม้แต่ศพสักชิ้นยังหาหลักฐานไม่ได้ แต่ทางซาอุดิอาระเบียได้จับกุมตัวผู้ที่เกี่ยวข้องไปแล้ว แต่ไม่ยอมเปิดเผยชื่อผู้ต้องหา และก็ได้ตัดสินปิดคดีไปอย่างเงียบๆเมื่อปีที่แล้ว

จนกระทั่งมาเมื่อวันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐได้ยอมเปิดเผยรายงานของหน่วยข่าวกรองที่ชี้ว่ามีกลุ่มเจ้าหน้าที่ระดับสูง ที่อยู่วงในของ MbS หลายสิบคนเกี่ยวข้องกับแผนการฆาตกรรม Khashoggi อย่างโหดเหี้ยม และในจำนวนนั้น ก็มีเจ้าหน้าที่ในหน่วยลับเคลื่อนที่เร็ว ที่รับภารกิจเฉพาะกิจและรายงานตรงกับท่าน MbS เท่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ ทางสหรัฐจึงตัดสินใจคว่ำบาตรกลุ่มเจ้าหน้าที่ระดับสูง ที่ปรากฏหลักฐานตามรายงานของหน่วยข่าวกรองสหรัฐว่าเกี่ยวข้องกับคดีของ Khashoggi กว่า 76 คน โดยการขึ้นบัญชีดำ เป็นบุคคลต้องห้ามเดินทางเข้าสหรัฐอเมริกา ยึดบัญชีและทรัพย์สินที่ได้ลงทุน หรือฝากไว้ในสหรัฐ และยังตรวจสอบธุรกรรมการเงินว่าเข้าข่ายการกระทำที่ผิดกฎหมายหรือไม่

แอนโทนี บลินเคน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐกล่าวว่า สหรัฐวางแผนที่จะผ่านร่างกฎหมายใหม่ที่เรียกกว่า Khashoggi Act ที่มอบอำนาจให้รัฐบาลสหรัฐสามารถสั่งแบน หรือเพิกถอนวีซ่าเข้าประเทศต่อบุคคลใดก็ตามที่มีพฤติกรรมข่มขู่ คุกคาม และใช้ความรุนแรงกับสื่อมวลชน หรือนักเคลื่อนไหว และครอบครัว ที่สหรัฐเห็นว่าขัดหลักสิทธิเสรีภาพ ไม่ให้เข้าประเทศสหรัฐอเมริกาได้

ซึ่งกฎหมายใหม่นี้ก็ได้ถูกนำมาใช้กับเจ้าหน้าที่รัฐ และหน่วยสายลับพิเศษประจำตัวของท่าน MbS ที่โดนขึ้นบัญชีดำนั่นเอง

แต่พอนักข่าวได้ถามนายบลินเคนว่า ถ้าลูกน้อง บริวารใกล้ชิดของท่าน MbS โดนรัฐบาลสหรัฐคว่ำบาตร ยึดทรัพย์สินไปแล้ว จะเหลือยานพ่อไว้ทำไมหล่ะท่าน ?

เมื่อเจอนักข่าวจี้ถามว่าเช่นนี้ แอนโทนี บลินเคน กลับบ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำถามว่ารัฐบาลสหรัฐจะคว่ำบาตร MbS ด้วยเลยหรือไม่

แต่นายบลินเคน ได้ตอบนักข่าวว่า เรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน และท่านประธานาธิบดีไบเดน ก็พยายามที่จะรักษาความสัมพันธ์ไม่ให้แตกร้าว

อันเนื่องจากซาอุดิอาระเบียเป็นพันธมิตรที่เหนียวแน่นกับอเมริกามาแสนนาน แม้ที่ซาอุฯ จะหาสระบัวไม่ค่อยได้ แต่ยังไงทางเราก็ต้องรู้จักถนอมน้ำใจกันแบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น

แต่คำพูดประโยคถัดมาของท่านรัฐมนตรีต่างประเทศคนใหม่ เชื้อสายยิวของสหรัฐต่างหากที่ต้องย้ำเส้นใต้หนักๆก็คือ ถึงจะอย่างไรก็ตาม ทางไบเดนต้องการให้มีการ "ปรับจูน" แนวทางกันใหม่ ให้เข้ากับสิ่งที่เราต้องการ และค่านิยมตามแบบของฝ่ายเรา (อเมริกัน)

ดังนั้นหากโจ ไบเดน เปิดหน้าไพ่ออกมาแล้วว่า มีหลักฐานที่พร้อมเปิดเผยในคดีฆาตกรรม Khashoggi และสามารถระบุตัวคนวงในของ MbS ได้ถึง 76 คน จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่สหรัฐจะไม่รู้ทะลุถึงผู้ออกคำสั่งตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังแผนการทั้งหมด

จะหักก้านบัวจนถึงรากก็ทำได้ แต่เด็ดบัวให้เหลือใยไว้น่าจะดีกว่า หากเส้นใยนั้นอาจเป็นราคาแสนแพงที่ซาอุดิอาระเบียที่ต้องยอมจ่าย ไม่ว่าจะด้วยรูปแบบใดก็ตาม


ที่มา : https://web.facebook.com/HunsaraByJeansAroonrat/photos/a.104144281210799/253296609628898/

แหล่งข้อมูล

https://www.channelnewsasia.com/.../us-slaps-sanctions-on...

https://www.france24.com/.../20210227-us-will-not...

https://www.dailysabah.com/.../khashoggi-murder-us-slaps...

https://uk.news.yahoo.com/us-not-sanction-saudi-prince...

‘บิ๊กตู่’ วอนหยุดดราม่าวัคซีน ชี้บ้านเมืองวุ่นวายพอแล้ว หวังชาติสงบ-การเมืองมีเสถียรภาพ ย้ำไทยมีประสิทธิภาพในการควบคุมการแพร่ระบาดเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ลั่นไม่กลัวเข็ม พร้อมฉีดวัคซีนโควิดทันทีที่หมออนุญาต

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ว่า การฉีดวัคซีนวันนี้เป็นเรื่องของทางการแพทย์ อย่าคิดว่ามีประเด็นนั้นประเด็นนี้กันอีก ขอให้เขียนข่าวในลักษณะการสร้างการมีส่วนร่วมในการโควิด-19 และวันนี้ถือเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของประเทศไทย ทั้งนี้กระทรวงสาธารณสุขหมอพยาบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้พยายามแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง แม้ตัวเลขผู้ติดเชื้อจะมีขึ้นมีลง แต่ก็แก้ปัญหาได้ ประเทศไทยมีประสิทธิภาพในการควบคุมการแพร่ระบาดเป็นอันดับต้นของโลก ขอให้ช่วยกันเขียนอย่างนี้ในข้อเท็จจริง หากจะเขียนให้เสียหายก็เขียนได้ แต่ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับใครเลย อย่างไรก็ตามหลังผู้รับวัคซีนผ่านไประยะเวลาหนึ่งหลังจากที่หลังจากที่ตนเฝ้าระวังดูอาการยังไม่เห็นมีใครเป็นอะไร ซึ่งทางการแพทย์บอกว่าหลังฉีด 15 นาทีจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรหรือไม่ แต่ก็ไม่มีใครเวียนหัวหรือเจ็บแผล ขอให้เชื่อมั่น สำหรับตนเมื่อถึงเวลาแพทย์แจ้งให้ฉีด ตนก็พร้อมจะฉีด เพราะชินอยู่แล้วเรื่องการฉีดยา เวลาไม่สบายทานยาไม่ทันใจก็ฉีดเอา ไม่เช่นนั้นจะทำงานไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นไข้ธรรมดา

เมื่อถามว่าการที่นายกฯ ยังไม่ฉีดเป็นเพราะไม่สบายอยู่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่เกี่ยวกันเลย ถ้าตนไม่สบายก็ฉีดยาแก้ไข้ วันนี้ที่แพทย์ไม่ฉีดให้ตน เพราะอะไร ไหนลองตอบมา ฟังไม่รู้เรื่องหรืออย่างไร ไปฟังแพทย์ชี้แจงเอาแล้วกัน ตนไม่อยากพูด

เมื่อถามต่อว่าหลังจากวัคซีนเข้ามาประเทศไทยแล้วมีความหวังอย่างไรหลังจากนี้ นายกฯ กล่าวว่า ก็หวังให้โควิด-19 หมดไปโดยเร็วและได้วัคซีนมาอย่างเพียงพอ หวังให้บ้านเมืองสงบ และการเมืองมีเสถียรภาพ ถ้าไม่หวังกับฉันแบบนี้แล้วใครจะหวัง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการฉีดวัคซีนครั้งนี้ ปรากฎว่านายเฉลิมชัย ไม่ได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 ตามที่ตั้งใจไว้ เนื่องจากมีภาวะความดันขึ้นสูง 180/90 ซึ่งถือว่ามีความเสี่ยง โดยนายเฉลิมชัย กล่าวว่า วันนี้ยังไม่ได้ฉีด เพราะความดันขึ้น หมอจึงแนะนำให้ฉีดครั้งหน้า สงสัยตนคงตื่นเต้น ปกติเป็นคนนอนดึก ตี1-2 แล้ววันนี้ต้องตื่นตี 5 เลยทำให้ความดันขึ้นเล็กน้อย ซึ่งก็ไม่รู้สึกผิดหวัง ที่มาวันนี้ เพราะต้องการให้ทุกคนเห็นว่าเรามีความพร้อมและปลอดภัย ทั้งนี้ ตนความดันขึ้นหมอก็แนะนำว่าไม่ควรฉีด ซึ่งหากนั่งพักแล้วสบายดี ก็อาจจะฉีด

ยังไม่จบง่ายๆ เสี่ยหนูฉุนจัดบอก ‘ส.ส.กลุ่มดาวฤกษ์’ ไว้ใจไม่ได้ ลั่นไม่ต้องมาขอโทษมันสายไปแล้ว

‘เสี่ยหนู’ ฉุนจัดบอก ปัญหาดาวฤกษ์ งดออกเสียงให้ศักดิ์สยามไม่จบ ระบุ ไว้ใจไม่ได้ ชี้ข้ออ้างฟังไม่ขึ้น เปรียบ ‘อนุชา’ แถลง เหมือนน้องตีหัวพี่ แล้วมีคนมาขอโทษแทน ทำแบบนี้ไม่ได้ ลั่นดัง ๆ ทั้ง too late และทุเรศ

เมื่อเวลา 09.00น.วันที่ 28 ก.พ. ที่สถาบันบำราศนราดูร นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการปรับคณะรัฐมนตรีที่นายกรัฐมนตรี ระบุให้พรรคร่วมรัฐบาลหารือกัน ว่า ยังไม่มี เรื่องนี้ไม่ต้องคุยเพราะเข้าใจกันอยู่แล้ว ทุกอย่างอยู่ที่สปิริตของการทำงานร่วมกันอยู่แล้วอย่าไปให้ความกังวลในสิ่งที่ไม่ควรกังวล ขอตอบแบบพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ว่าไม่รู้ ๆ

เมื่อถามว่าในอนาคตหาก ส.ส.ก้าวไกล 4 คน มาร่วมพรรคภูมิใจไทย จะทำให้โควต้ารัฐมนตรีเพิ่มขึ้นหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เรามาทำงานให้กับบ้านเมืองและประชาชน เรื่องโควต้าจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับพรรคภูมิใจไทย

ผู้สื่อข่าวถามว่าปัญหาแคลงใจเรื่องการงดออกเสียงให้ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบรมว.คมนาคม พรรคภูมิใจไทยของ ส.ส.กลุ่มดาวฤกษ์ จบหรือยัง นายอนุทิน กล่าวเสียงดังว่า “ยังไม่จบ เชื่อว่าเดี๋ยวผู้ใหญ่เขาก็คุยกัน

"เพราะเป็นมารยาทการอยู่ด้วยกัน ระดับผู้ใหญ่บางทีพูดกันด้วยญาณดีกว่า ไม่ต้องเอ่ยไม่ต้องไปโวยวายอะไร สมมุติว่า ส.ส.ภูมิใจไทยทำอะไรไม่ถูกต้อง ขัดขืนมติพรรคไม่เชื่อฟัง พูดก็แล้วขอร้องอย่างไรก็แล้ว ก็ยังทำอยู่ ผมก็ต้องจัดการในวิธีการของผม ส่วนหัวหน้าพรรคการเมืองอื่นๆก็ต้องมีวิธีจัดการในวิถีทางของท่านเราต้องไม่ก้าวก่ายกันแต่ที่สำคัญเราต้องอธิบายต่อกันและกันได้" นายอนุทินกล่าว

เมื่อถามว่าคำอธิบายของกลุ่มดาวฤกษ์ที่ออกมาชี้แจงฟังไม่ขึ้นใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า สำหรับพรรคภูมิใจไทยต้องบอกว่าฟังไม่ขึ้น เพราะถ้าสิ่งที่เขาทำถูกก็หมายความว่าส.ส.ที่เหลือของพรรคพลังประชารัฐโหวตผิดหมดหรือ "คนร้อยกว่าคนโหวตแบบนี้แล้ว 7 คนโหวตอีกอย่าง กลายเป็นร้อยคนผิด แล้ว 7 คนถูกก็ให้มันรู้ไป"

เมื่อถามว่าการที่นายอนุชา นาคาศัย เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐออกมาแถลงข่าวและยกมือไหว้ขอโทษ ยังไม่เพียงพอใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวย้ำว่า ไม่มีๆ มีแต่ตนยกมือไหว้นายอนุชา และนายอนุชาไม่ใช่คนทำผิด เหมือนน้องมาตีหัวตน แล้วอีกคนมาขอโทษแทน เกี่ยวอะไรกัน

เมื่อถามว่ากลุ่มดาวฤกษ์ควรต้องแสดงท่าทีการรับผิดชอบให้ชัดเจนมากกว่านี้ใช่หรือไม่ นายอนุมิน กล่าวว่า เราติดใจในเรื่องการอยู่ร่วมกันทุกคนก็ต้องไปดูแลคนของตัวเอง เมื่อถามว่าหากกลุ่มดาวฤกษ์ยังอยู่พรรคพลังประชารัฐ ก็จะยังไม่ไว้ใจใช่หรือไม่ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวว่า ตนไม่เคยไว้ใจกลุ่มดาวฤกษ์อยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่าหากกลุ่มดาวฤกษ์มาขอโทษ นายอนุทิน กล่าวว่า "a little too late" (เรื่องมันสายไปแล้ว) เมื่อผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า too late หรือทุเรศ นายอนุทิน กล่าวว่า ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

เมื่อถามว่าจะยื่นคำขาดว่ากลุ่มดาวฤกษ์ต้องลาออกจากพรรคพลังประชารัฐหรือไม่ นายอนุทิน ปฏิเสธตอบคำถามดังกล่าว พร้อมสายศีรษะ ก่อนระบุว่า บ้านใครบ้านมัน

สวนดุสิตโพล ชี้ ประชาชนค่อนข้างพอใจรัฐเยียวยาโควิด ส่วนใหญ่ชอบมาตรการลดค่าไฟ 2 เดือนที่สุด แต่การเยียวยามีเงื่อนไขมากเกินไป อยากให้รัฐบาลเยียวยาทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม

#คนส่วนใหญ่พอใจรัฐเยียวยาโควิด

#สวนดุสิตโพลเผยลดค่าไฟ2เดือนโดนใจที่สุด

#หวังรัฐบาลเยียวยาทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม

สวนดุสิตโพล ชี้ ประชาชนค่อนข้างพอใจรัฐเยียวยาโควิด ส่วนใหญ่ชอบมาตรการลดค่าไฟ 2 เดือนที่สุด แต่การเยียวยามีเงื่อนไขมากเกินไป อยากให้รัฐบาลเยียวยาทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม

นางสาวพรพรรณ บัวทอง นักวิจัย สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต ระบุผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง “มาตรการเยียวยาโควิด-19 ระลอกใหม่ของรัฐบาล” จำนวน 1,087 คน สำรวจวันที่ 23 – 26 กุมภาพันธ์ 2564 พบว่า มาตรการที่ประชาชนพึงพอใจมากที่สุด คือ การลดค่าไฟฟ้า 2 เดือน ร้อยละ 41.58 จุดเด่นของมาตรการเยียวยา คือ ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของผู้มีรายได้น้อย ร้อยละ 48.58 จุดด้อย คือ มีเงื่อนไขมากเกินไป เกิดความเหลื่อมล้ำ ร้อยละ 52.34 สิ่งที่รัฐบาลควรคำนึงถึงในการออกมาตรการ คือ ต้องเยียวยาทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน ร้อยละ 71.72 โดยภาพรวมค่อนข้องพอใจต่อการออกมาตรการช่วยเหลือครั้งนี้ ร้อยละ 50.60

เป็นคำถามที่หลายคนสงสัย และวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่องกับการออกมาตรการเยียวยาช่วยเหลือประชาชนที่ล่าช้า ใช้งานยุ่งยาก มีเงื่อนไขมาก เข้าไม่ถึงทุกกลุ่ม แต่ก็ยังเห็นถึงความพยายามและตั้งใจในการแก้ปัญหาและช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้เงินงบประมาณในด้านอื่น ๆ แล้ว ผลงานในการบริหารและออกมาตรการเยียวยาในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา นับเป็นผลงานที่เห็นเป็นรูปธรรมที่สุดแล้ว

ผศ.ดร. ปรียนันนท์ ประยูรศักดิ์ คณบดีคณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต จากผลสำรวจของสวนดุสิตโพลในเรื่องมาตรการเยียวยาโควิด-19 ระลอกใหม่ของรัฐบาลนั้น พบว่า มาตรการที่สร้างความพึงพอใจให้กับประชาชนมากที่สุด 2 ลำดับแรกคือ การลดค่าไฟและค่าน้ำ ทำให้ตั้งข้อสังเกตได้ว่าประชาชนต้องการความช่วยเหลือที่เข้าถึงทุกครัวเรือน การมีสิทธิ์ได้รับโดยไม่ต้องร้องขอ ไม่ต้องลงทะเบียนเพื่อรอลุ้นว่าใครจะได้บ้าง ไม่ต้องตื่นตั้งแต่ 6 โมงเพื่อมาแก่งแย่งแข่งขัน รัฐบาลต้องไม่ลืมว่าการนำภาษีประชาชนมาใช้ต้องคำนึงถึงความเท่าเทียม ลดความเหลื่อมล้ำ ไม่ยุ่งยาก ไม่มีเงื่อนไขเยอะ และรวดเร็วทันเวลา ซึ่งเป็นจุดด้อยที่ชัดเจนมากของมาตรการที่รัฐกำลังดำเนินการอยู่ ถึงแม้ว่าเราจะมองเห็นถึงความพยายามที่จะช่วยเหลือประชาชนและการจะกระตุ้นเศรษฐกิจ กระจายรายได้แต่ก็ยังคงเกิดปัญหากับการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการขอรับความช่วยเหลือ

แต่ประชาชนส่วนหนึ่งไม่ได้เข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านั้น ทำให้เราเห็นภาพคุณตาคุณยายเดินเท้าจากบ้านมาต่อคิวเพื่อลงทะเบียนท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุ ผู้คนที่น้ำตาไหลเพราะเสียใจที่ไม่ได้รับเงินสดไปใช้จ่ายแต่กลับต้องรับเงินไว้ในเป๋าตังเพื่อซื้อของที่จำเป็นน้อยกว่าค่าเช่าบ้านที่จะต้องจ่าย รัฐบาลควรจะแบ่งเงินงบประมาณมาจัดทำฐานข้อมูลประชากรที่ดีเพื่อโอนความช่วยเหลือที่ตรงความต้องการให้ได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องลงทะเบียนแข่งขันใดๆ เลย เหมือนเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์...ท้ายสุดเราชนะหรือใครชนะก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ ๆ คนแพ้ก็คือประชาชนที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือใดๆ ทั้งที่ก็เดือดร้อนเหมือนกับคนอื่น จากฝีมือการทำงานของรัฐบาลชุดปัจจุบัน

ศ.นพ.ยง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก เผยวัคซีนโควิด 19 บริษัทซิโนแวค มีประสิทธิภาพลดความรุนแรงของโรคได้ดี มีความปลอดภัย เชิญชวนกลุ่มเป้าหมายรับการฉีดวัคซีนเพื่อชาติ พร้อมตอบข้อสงสัยวัคซีนโควิด 19 ที่คนไทยควรรู้

#หมอยงยันวัคซีนซิโนแวคปลอดภัย

#ชี้ลดความรุนแรงของโรคได้ดีแม้มีผลข้างเคียงบ้าง

#เผยยังไม่ฉีดคนอายุเกิน60เพราะผลการศึกษายังน้อย

เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงข่าวประเด็น “วัคซีนโควิด 19 : ที่คนไทยควรรู้” ว่า การระบาดของโควิด 19 ครั้งนี้ ถือเป็นการระบาดใหญ่ในรอบ 100 ปี หลังจากที่เคยมีการระบาดของไข้หวัดใหญ่สเปนในปี 2461 หากไม่มีการดำเนินการใดจะประเทศไทยมีผู้เสียชีวิต 1 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 7 แสนคน และใช้เวลา 2 ปีโรคจึงจะสงบ ซึ่งที่ผ่านมามาตรการต่าง ๆ และการใช้ชีวิตแบบวิถีชีวิตใหม่ สามารถลดการระบาด ลดการสูญเสียได้อย่างมาก ทำให้ไทยมีผู้เสียชีวิตประมาณ 80 คน สำหรับวัคซีนโควิด 19 จะมาทดแทนการป่วย สร้างภูมิคุ้มกันให้เกิดขึ้น

สำหรับวัคซีนโควิด 19 บริษัทซิโนแวคที่จะฉีดให้ผู้ที่อยู่ในประเทศไทย มีประสิทธิภาพลดความรุนแรงของโรคได้ดี โดยป้องกันการป่วยที่มีอาการน้อย ต้องพบแพทย์แบบผู้ป่วยนอกได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ป้องกันการป่วยที่ต้องเข้าโรงพยาบาลได้ 100 เปอร์เซ็นต์ และป้องกันการเจ็บป่วยเล็กน้อยที่ไม่ต้องพบแพทย์ 50 กว่าเปอร์เซ็นต์ สาเหตุที่ยังไม่ฉีดในคนที่มีอายุ 60 ปีนั้น เนื่องจากเป็นวัคซีนใหม่ มีการศึกษาในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ จึงยังไม่ทราบผลในการป้องกันโรค และอาการแทรกซ้อน คาดว่ารอผลการศึกษาประมาณ 2 เดือน เมื่อมีข้อมูลมากขึ้นอาจปรับเปลี่ยนได้

ศ.นพ.ยงได้กล่าวต่อว่า สำหรับจะฉีดเมื่อไหร่นั้น กระทรวงสาธารณสุขมีกฎเกณฑ์จัดลำดับการฉีดตามความเสี่ยง ขณะนี้ทั่วโลกฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 220 ล้านโดส บางประเทศ เช่นอิสราเอล ฉีดเข็มแรกครอบคลุมประชากรถึง 80 เปอร์เซ็นต์ พบว่าจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงกว่าครึ่ง อัตราการตายต่อวันลดลง ชี้ให้เห็นว่าการฉีดวัคซีนหมู่มากมันสามารถป้องกันโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนอาการแทรกซ้อนนั้น ข้อมูลของสหรัฐอเมริกา ฉีด 13 ล้านคน มีอาการแพ้รุนแรง 5 คนในล้านคน เกิดอาการขณะอยู่ในโรงพยาบาล ไม่มีผู้เสียชีวิต ส่วนภาพรวมหลังการฉีด 220 ล้านโดส มีผู้เสียชีวิต 113 ราย เมื่อสอบสวนแล้วพบว่าไม่มีรายใดที่เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนโดยตรง ส่วนใหญ่เกิดจากอุบัติเหตุ และโรคประจำตัว อาการที่พบส่วนใหญ่เป็นอาการหลังการฉีดวัคซีนทั่วไป เช่น เจ็บ ปวดเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด มีไข้ จึงขอให้มั่นใจในเรื่องความปลอดภัยของวัคซีน

“ส่วนจะฉีดวัคซีนโควิด 19 ชนิดใดดีนั้น วัคซีนซิโนแวค และแอสตร้าเซนเนกาที่นำมาฉีดในประเทศไทย มีประสิทธิภาพไม่แตกต่างกัน สามารถลดความรุนแรงของโรคได้ดี ไม่ให้มีอาการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต เมื่อมีวัคซีนเราก็จะมีการผ่อนคลายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การฉีดวัคซีนเป็นการป้องกันเรา ป้องกันเขา และยังเป็นการป้องกันคนรอบข้าง จึงขอเชิญชวนให้มารับการฉีดวัคซีน เป็นการฉีดเพื่อชาติ เพราะเมื่อมีการฉีดจำนวนมาก โรคนี้ก็จะสงบลง ชีวิตความเป็นอยู่ของเราจะกลับคืน ฟื้นฟูเศรษฐกิจต่อได้ ซึ่งผลสำรวจประชาชนกว่า 30,000 คน พบว่า 80 เปอร์เซ็นต์ต้องการฉีดวัคซีน” ศ.นพ.ยงกล่าว

สำหรับข้อสงสัยว่ามีความจำเป็นที่ต้องตรวจภูมิต้านทานก่อนและหลังฉีดวัคซีนหรือไม่นั้น ไม่มีความจำเป็นต้องตรวจ จะตรวจเฉพาะเมื่อนำข้อมูลไปใช้สำหรับการศึกษาวิจัยเท่านั้น

ผู้ที่มีอายุ 90 ปี ฉีดวัคซีนได้หรือไม่ คำตอบคืออายุไม่ได้เป็นปัจจัยที่เป็นข้อห้ามไม่ให้ฉีดวัคซีน โดยวัคซีนของบริษัทแอสตร้าเซนเนกาฉีดได้ตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป ส่วนซิโนแวคต้องรอข้อมูลอีกระยะหนึ่ง

ฉีดวัคซีนโควิด 19 พร้อมกับวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้หรือไม่ เนื่องจากวัคซีนโควิด 19 เป็นวัคซีนใหม่ จึงยังไม่อยากให้ฉีดพร้อมกับวัคซีนอื่น เพราะหากมีอาการข้างเคียงจะไม่ทราบว่าเกิดจากวัคซีนใด จึงให้ฉีดห่างกัน 2 สัปดาห์ ยกเว้นในกรณีป้องกันโรครุนแรงถึงชีวิต สามารถฉีดได้ เช่นถูกสุนัขกัด จำเป็นต้องฉีดวัคซีนพิษป้องกันโรคสุนัขบ้า วัคซีนป้องกันบาดทะยัก

การฉีดวัคซีนเข็ม 1 และเข็ม 2 คนละชนิดได้หรือไม่ ปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลการศึกษาในวัคซีนโควิด 19 อยู่ระหว่างทำการศึกษา คาดว่าในอีก 3 - 4 เดือนจะทราบผล จึงขอให้ฉีดชนิดเดียวกันก่อน

สำหรับเด็กควรจะได้รับวัคซีนหรือไม่ เด็กควรจะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จะต้องได้รับวัคซีน เพราะส่วนใหญ่เด็กติดเชื้อโควิด 19 มีอาการป่วยไม่รุนแรง

เมื่อฉีดวัคซีนแล้วจะเป็นโรคโควิด 19 ได้หรือไม่ มีโอกาสป่วยได้ เนื่องจากวัคซีนป้องกันไม่ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่หลังฉีดวัคซีน ถ้าเป็นโรค ส่วนใหญ่อาการน้อยลง ลดอัตราการเสียชีวิต ลดความรุนแรงที่จะเข้าโรงพยาบาล

ประเด็นสุดท้ายคนท้องหรือให้นมบุตรฉีดได้หรือไม่ โดยปกติคนท้องสามารถฉีดวัคซีนได้ ถ้าเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย แต่เนื่องจากวัคซีนนี้เป็นวัคซีนใหม่ ยังไม่เคยมีการศึกษาในคนท้อง จึงยังไม่ฉีดให้คนท้อง ยกเว้นกรณีมีความเสี่ยงเป็นบุคลากรด้านหน้า จะต้องพิจารณาเป็นกรณีไป เปรียบเทียบระหว่างความเสี่ยงกับประโยชน์ที่จะได้รับ ส่วนการฉีดวัคซีนในสตรี ไม่มีความจำเป็นต้องตรวจว่าตั้งครรภ์หรือไม่ แต่หากรู้ว่าตั้งครรภ์จะไม่ฉีดเข็มที่ 2

#หมอยง


ที่มา : เพจ Yong Poovorawan https://web.facebook.com/yong.poovorawan

ทุกอย่างอยู่ที่การเจรจา 'จุรินทร์' ยันไม่เคยได้ยินสูตรปรับ ครม. แลกกระทรวง โยน ‘เฉลิมชัย - นิพนธ์’ เจรจาพรรคร่วม

‘จุรินทร์’ ยันไม่เคยได้ยินสูตรปรับครม.แลกกระทรวง โยน ‘เฉลิมชัย - นิพนธ์’ เป็นตัวแทนเจรจาพรรคร่วมรัฐบาล

เมื่อวันที่ 28 ก.พ. เวลา 11.45 น. ที่มัสยิด กามาลุดดีน บ้านไสเจริญ อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกระแสข่าวที่ว่าการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะมีการแลกโควตาตำแหน่งรัฐมนตรีข้ามกระทรวง ว่า ตนยังไม่ได้ได้ยินการปรับครม.ในสูตรดังกล่าว ขอให้ไปสอบถามจากนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.เกษตรและสหกรณ์ ในฐานะเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เผื่อมีการประสานมา

ทั้งนี้ การเจรจาเรื่องใดก็ตามกับพรรคร่วมรัฐบาล ตนได้มอบหมายให้นายเฉลิมชัย และนายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย ในฐานะรองหัวหน้าพรรคฯ เป็นตัวแทนพรรคในการเจรจา โดยตอนนี้ยังไม่ได้รับรายงานจากนายเฉลิมชัยว่านายกรัฐมนตรีให้ส่งรายชื่อรัฐมนตรี ในโควตาพรรคฯ เมื่อใด และคงต้องรอหลังการหาเสียงเลือกตั้งซ่อม ส.ส. นครศรีธรรมราชก่อน

“การเจรจาใด ๆ ได้มอบให้นายเฉลิมชัย และนายนิพนธ์แล้ว เมื่อได้รับแจ้ง ต้องรายงานให้ผมรับทราบ ซึ่งเรื่องใดต้องใช้มติกรรมการบริหารพรรค(กก.บห.) ก็ต้องใช้ ถ้าเรื่องใดไม่ต้องก็ไม่ต้อง เช่น ถ้าเป็นเรื่องเสนอรายชื่อรัฐมนตรีคนใหม่ หรือตำแหน่งทางการเมือง ต้องนำเข้าที่ประชุมกก.บห. ก่อนนำเข้าที่ประชุมร่วม กก.บห. และ ส.ส. ของพรรค ตามที่ข้อบังคับกำหนด”นายจุรินทร์ กล่าว

ด้านนายนิพนธ์ กล่าวถึงการปรับครม.ในตำแหน่ง รมช.คมนาคม จำเป็นต้องเป็นโควตาจ.สงขลาหรือไม่ ว่าไม่จำเป็น แต่ถือเป็นโควตาภาคใต้ ส่วนจะเป็นใคร สุดท้ายก็ต้องขึ้นอยู่กับที่ประชุมของพรรค

เลี่ยงได้เลี่ยงไปก่อน ตำรวจแนะเลี่ยงเส้นทางอนุสาวรีย์ชัยฯ - ถ.วิภาวดีฯ ขาออก หลังม็อบนัดบุกบ้านพัก ‘บิ๊กตู่’ บ่ายวันนี้

บช.น. แนะนำหลีกเลี่ยงเส้นทาง บริเวณอนุสาวรียชัยสมรภูมิ ถึงกรมทหาราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ฯ ตั้งแต่ช่วงบ่ายวันนี้ หลังมีผู้ชุมนุมนัดรวมตัวกัน อาจส่งผลกระทบการจราจรในเส้นทางดังกล่าว

พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. และ พล.ต.ต.ธีระพงษ์ วงษ์รัฐพิทักษ์ ผบก.จร. ขอประชาสัมพันธ์ข่าวสารให้ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนได้รับทราบ กรณีวันที่ 28 ก.พ.2564 ตามที่ปรากฏทางสื่อโซเชียลมีเดีย ได้มีประกาศนัดรวมตัวของกลุ่มผู้ชุมนุมฯ บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ และจะมีการเคลื่อนขบวนไปยังกรมทหาราบที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ฯ ตั้งแต่เวลา 15.00 น. เป็นต้นไป นั้น

เนื่องด้วยบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่มีการจราจรหนาแน่น มีประชาชนใช้ในการสัญจรเป็นจำนวนมาก ทำให้ปริมาณรถที่ใช้ทางจึงมีจำนวนมาก เพื่อความสะดวกในการเดินทางของพี่น้องประชาชน จึงขอแจ้งข้อมูลข่าวสารด้านการจราจร โดยขอให้หลีกเลี่ยงเส้นทางตั้งแต่เวลา 12.00 น. เป็นต้นไปจนกว่าเสร็จสิ้นการชุมนุม ดังนี้

1. เส้นทางที่อาจได้รับผลกระทบและควรหลีกเลี่ยง

    1.1) ถ.พญาไท บริเวณแยกพญาไท – อนุสาวรีย์ชัยฯ

    1.2) ถ.พหลโยธิน บริเวณอนุสาวรีย์ชัยฯ - แยกสะพานควาย

    1.3) ถ.ดินแดง บริเวณแยกดินแดง - อนุสาวรีย์ชัยฯ

    1.4) ถ.ราชวิถีบริเวณอนุสาวรีย์ชัยฯ - แยกตึกชัย

    1.5) ถ.วิภาวดีฯ (ช่องคู่ขนาน) บริเวณหน้า รพ.ทหารผ่านศึก - สโมสร ทบ.

    1.6) ซ.พหลโยธิน 2 เฉพาะสะพานข้ามทางต่างระดับ

2. เส้นทางที่แนะนำให้ประชาชนไปใช้เพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบด้านการจราจร

    2.1) ถ.ศรีอยุธยา 2.7) ถ.ประดิพัทธ์

    2.2) ถ.เพชรบุรี 2.8) ถ.กำแพงเพชร

    2.3) ถ.จตุรทิศ 2.9) ถ.กำแพงเพชร 2

    2.4) ถ.พระราม 6 2.10) ทางยกระดับอุตราภิมุข

    2.5) ถ.วิภาวดีฯ (ช่องทางด่วน) 2.11) ทางพิเศษศรีรัช

    2.6) ถ.สุทธิสารวินิจฉัย 2.12) ทางพิเศษเฉลิมมหานคร

จึงขอแจ้งประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนได้รับทราบ เพื่อเตรียมความพร้อมวางแผนการเดินทาง และขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ โอกาสนี้ทั้งนี้ บช.น. ได้จัดเตรียมกำลังตำรวจจราจรคอยอำนวยความสะดวกด้านการจราจรให้แก่พี่น้องประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนในภาพรวม เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด หากต้องการสอบถามข้อมูลเส้นทางเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้ที่ ศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร (บก.02) หมายเลขโทรศัพท์1197 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือทางแอพพลิเคชั่น M – Help Me และ ทางเว็บไซต์ WWW.TRAFFICPOLICE.GO.TH

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564)

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน

(28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564)

ผู้ติดเชื้อวันนี้ 70

เสียชีวิตสะสม 83

ผู้ติดเชื้อสะสม 25,951

หายป่วยแล้ว 25,128

อาเซียน

ประเทศบรูไน 186

ประเทศกัมพูชา 805

ประเทศอินโดนีเซีย 1.33 ล้าน

ประเทศลาว 45

ประเทศมาเลเซีย 2.98 แสน

ประเทศพม่า 1.42 แสน

ประเทศฟิลิปปินส์ 5.74 แสน

ประเทศสิงคโปร์ 59,925

ประเทศเวียดนาม 2,432


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top