Wednesday, 18 June 2025
Politics

การบินไทยยื่นแผนฟื้นฟู ตั้ง ‘ปิยสวัสดิ์ - จักรกฤศฎิ์’ บริหาร เตรียมปรับโครงสร้างองค์กรกระชับขึ้น ลดจำนวนผู้บริหาร ลดขั้นตอนการบังคับบัญชา เพื่อดำเนินงานได้คล่องตัว

นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร รักษาการแทนกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้การบินไทยได้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการจนแล้วเสร็จและได้ยื่นแผนฟื้นฟูกิจการต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เป็นที่เรียบร้อยแล้วตามกำหนดระยะเวลาตามกฎหมาย โดยขั้นตอนจากนี้เจ้าหนี้จะได้รับสำเนาแผนฟื้นฟูกิจการจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ต่อไป ซึ่งการดำเนินการครั้งนี้เป็นตามที่ศาลล้มละลายกลางได้มีคำสั่งให้การบินไทยฟื้นฟูกิจการและตั้งผู้ทำแผนเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2563

“การบินไทยได้พยายามอย่างเต็มที่ในการจัดเตรียมแผนฟื้นฟูกิจการที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรมกับเจ้าหนี้ทั้งหลายมากที่สุด และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าแผนฟื้นฟูกิจการฉบับนี้จะได้รับการยอมรับจากเจ้าหนี้และได้รับการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน โดยในเบื้องต้น คณะผู้ทำแผนเสนอให้ นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ และนายจักรกฤศฎิ์ พาราพันธกุล เป็นผู้บริหารแผนที่จะบริหารและจัดการธุรกิจภายใต้กระบวนการฟื้นฟูกิจการต่อไป”

สำหรับผู้ทำแผนได้เตรียมความพร้อมที่จะดำเนินการตามแผนเอาไว้เป็นอย่างดีและได้ดำเนินการให้สำเร็จลุล่วงไปแล้วดังที่กล่าวไว้ข้างต้น เช่น ได้เตรียมแผนการประกอบธุรกิจ ได้เริ่มเตรียมความพร้อมที่จะดำเนินการปรับโครงสร้างองค์กรให้กระชับขึ้น ในส่วนของพนักงาน มีการลดจำนวนผู้บริหาร อีกทั้งยังมีการลดขั้นตอนการบังคับบัญชา เพื่อให้การดำเนินงานต่างๆ คล่องตัวขึ้น คณะผู้ทำแผนจึงมั่นใจได้ว่าผู้บริหารแผนจะสามารถดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ เพื่อให้การบินไทยกลับมาประกอบธุรกิจได้

‘ทัพไทย’ ยันลงโทษแพทย์ทหาร หลอกฉีดวัคซีนกำลังพลในเซาท์ซูดาน - พร้อมดำเนินคดี อยู่ระหว่างการจับกุมตามหมายจับ ระบุเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพ ยอมรับไม่ผ่านการคัดเลือกก่อนส่งไปปฏิบัติหน้าที่ เผยเรื่องนี้ยูเอ็นไม่ติดใจ

กองบัญชาการกองทัพไทย (บก.ทท.) พล.ท.เชาวลิตร สังฆฤทธิ์ โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย พร้อมด้วย พล.ต.ณัฐพล แสงจันทร์ ผู้อำนวยการศูนย์สันติภาพ กรมยุทธการทหาร แถลงข่าว กรณีกำลังพลร้อยทหารช่างเฉพาะกิจไทย/เซาท์ซูดาน (UNMISS) ประพฤติผิดวินัยร้ายแรงในการหลอกลวงฉ้อโกงเงินกำลังพลเพื่อเข้ารับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่สายพันธ์แอฟริกาช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19

พล.ท.เชาวลิตร กล่าวว่า ตามที่ได้มีการนำเสนอข่าว เกี่ยวกับนายทหารที่ไปปฏิบัติภารกิจที่เซาท์ซูดานถูกสอบสวนกรณีหลอกลวงฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ในประเทศแอฟริกานั้น กองบัญชาการกองทัพไทย ขอเรียนว่าเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวเป็นเรื่องจริงเมื่อปี 2563 โดยนายทหารสัญญาบัตรยศร้อยโท ตำแหน่งนายแพทย์โรงพยาบาลสนามระดับ 1กองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจ ไทย/เซาท์ซูดาน

อย่างไรก็ตาม ได้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนและรายงานให้ผู้บังคับบัญชากองกำลังภารกิจสหประชาชาติในเซาท์ซูดาน และกองทัพบก ซึ่งเป็นหน่วยต้นสังกัดทราบแล้ว พร้อมทั้งให้กำลังพลดังกล่าวจบภารกิจและส่งตัวกลับประเทศไทย เมื่อ มี.ค 2563

พล.ท.เชาวลิตร กล่าวอีกว่า กรณีดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของกองทัพไทยและประเทศไทยในภารกิจร่วมสหประชาชาติ ซึ่งต่อกรณีดังกล่าว ทางกองทัพไทยได้ดำเนินการอย่างทันท่วงที โดยไม่มีการปกป้องผู้กระทำผิดแต่อย่างใด และกองทัพบกในฐานะเป็นต้นสังกัดกำลังพลดังกล่าว ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง รวมถึงพิจารณาในประเด็นมาตรฐานทางจริยธรรมควบคู่กันไป

สำหรับผลการสอบสวนสรุปว่า นายทหารท่านดังกล่าวได้กระทำผิดจริง มีพฤติกรรมหลอกลวงผู้บังคับบัญชาและกำลังพล ให้ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ โดยแอบอ้างว่าเป็นคำสั่งของนายแพทย์ประจำภารกิจ แต่กลับนำสารอื่นเข้าสู่ร่างกายกำลังพลแทน พร้อมทั้งได้เรียกเก็บเงินกำลังพลเป็นค่าวัคซีนด้วย แสดงถึงเจตนาทุจริตหลอกลวง พฤติกรรมดังกล่าวเข้าข่ายฉ้อโกงและประพฤติผิดวินัยอย่างร้ายแรง

ทั้งนี้ในระหว่างการสอบสวนนายทหารคนดังกล่าวไม่มาปฏิบัติหน้าที่ราชการ และไม่สามารถติดต่อได้ หน่วยต้นสังกัดจึงได้ดำเนินการในฐานความผิดหนีราชการในเวลาประจำการ และเสนอปลดออกจากราชการ พร้อมกันนี้ศาลทหารกรุงเทพ ได้ออกหมายจับในข้อหาหนีราชการดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว

นอกจากนั้นได้มีหนังสือถึงแพทยสภาให้พิจารณา เพิกถอนใบอนุญาตผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณา ในระหว่างนี้แพทยสภาจะให้โอกาสนายแพทย์คนดังกล่าวมาชี้แจงอีกครั้ง หลังจากเรียกมาให้ข้อมูลครั้งนึงแล้ว หากไม่มาก็จะถอนใบประกอบวิชาชีพต่อไป

“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ขอเรียนว่าเป็นการกระทำผิดส่วนบุคคล เป็นเรื่องที่ผิดวินัยทหารและกฎหมาย รวมทั้งสร้างความเสื่อมเสียร้ายแรงต่อชื่อเสียงของกองทัพและประเทศชาติ กองทัพไทยได้ดำเนินการตามกฎระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องโดยทันที เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงได้ดำเนินการเรื่องจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพเวชกรรมทั้งนี้เพื่อป้องกันผลกระทบและสร้างความเข้าใจต่อสาธารณชนทั่วไป”โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย กล่าว

อย่างไรก็ตาม ทางกองกำลังสหประชาชาติก็มีความเข้าใจในกระบวนการที่กองทัพไทยได้ดำเนินการต่อเรื่องดังกล่าว โดยเหตุการณ์ดังกล่าวไม่กระทบต่อภารกิจโดยรวมของกองร้อยทหารช่างเฉพาะกิจไทย/เซาท์ซูดาน ซึ่งกำลังพลทุกนายยังทุ่มเทปฏิบัติงานด้านการช่างและการรักษาสันติภาพที่ได้รับมอบหมายอย่างต่อเนื่อง

พล.ท.เชาวลิตร กล่าวว่า ตั้งแต่มีการจัดกองกำลังไปปฏิบัติงานในนามของสหประชาชาติไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้มาก่อนครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกเนื่องจากที่ผ่านมาเรามีกระบวนการคัดเลือกบุคลากร ศึกษาถึงภูมิหลัง สอบถามผู้บังคับบัญชา แต่กรณีของนายแพทย์คนดังกล่าว ไม่ได้ผ่านขั้นตอนการคัดเลือก เนื่องจากไปแทนนายแพทย์คนเดิมที่ต้องกลับมาประเทศไทยในช่วงนั้น จึงเป็นเรื่องกะทันหันไม่ได้มีการพิจารณาตามขั้นตอนต่างๆ

โฆษกกองทัพไทย กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบของคณะกรรมการฯ นายแพทย์คนดังกล่าว ยอมรับกับ ผบ.ร้อยทหารช่างฯ เองว่าทำคนเดียวไม่มีใครเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยได้จัดซื้อวัคซีนจากประเทศอินเดีย ซึ่งทางยูเอ็นนำไปตรวจสอบ พบว่า เป็นวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักไม่ใช่ป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์แอฟริกา ส่วนกำลังพลที่เสียหายไม่ได้ติดใจอะไร เนื่องจากจำนวนเงินที่เสียหายต่อคนประมาณแค่ 500 บาท รวมกำลังพลกว่า 200 นายรวมจำนวนแล้วประมาณ 1.7 แสนกว่าบาท ซึ่งไม่ได้เป็นจำนวนเงินมากมาย แต่สิ่งที่ตระหนัก คือ เรื่องของคุณธรรมจริยธรรม

ส่วนกรณีที่แพทย์คนนั้นได้อ้างว่าเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งเป็นโรคที่ห้ามเป็นทหารนั้น ไม่ขอตอบประเด็นนี้ แต่การเป็นทหารและเรียนการแพทย์ทหารบก ทั้งสมองและร่างกายจะต้องมีความแข็งแรงสมบูรณ์ จะไม่รู้เจตนาว่าทำไปทำไม อีกทั้งตัวเขาเองนั้นก็ยศร้อยโท อายุไม่มากนัก ส่วนร่างกายที่อ้างว่าถูกกำลังพลของกองร้อยทหารช่างฯคุกคามข่มขู่นั้น ก็ไม่เป็นความจริง เพราะจากการสอบถามกำลังพลทั้งหมดให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันในขณะที่ทบ. และแพทยสภาเปิดโอกาสให้ชี้แจง ตัวเขาก็ไม่มาชี้แจง

พล.ต.ณัฐพล กล่าวว่า สำหรับการดำเนินการฉีดวัคซีนให้กับกำลังพลที่เดินทางไปในพื้นที่ดังกล่าวจะมีมาตรฐานจากยูเอ็นกำหนดไว้ โดยก่อนออกเดินทางทุกคนจะได้รับวัคซีน 3ชนิดคือ ไข้เหลือง, กาฬหลังแอ่น, อหิวาตกโรค หากมีความต้องการฉีดเพิ่มต้องออกค่าใช้จ่ายเอง ซึ่งช่วงดังกล่าวมีการแพร่ระบาดโควิด และมีการแนะนำว่าหากฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่จะช่วยไม่ให้ติดเชื้อ โควิด-19 ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นจากการส่งแพทย์คนดังกล่าวไปแทนคนเก่านั้น ก็เป็นเหตุสุดวิสัย

“นภาพร” แนะ “บิ๊กตู่” ปรับรัฐมนตรีไร้ผลงานออก ล็อกเป้าเน้น “มท.1” ไม่เคยทำอะไรเพื่อพัฒนาการปกครองส่วนท้องถิ่น ย้ำ! “บิ๊กตู่” อย่าฟังแต่เสียงกลุ่มก๊วนในพรรคร่วมรัฐบาล

นางสาวนภาพร เพ็ชร์จินดา ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเสรีรวมไทย เห็นว่าการปรับ ครม.ที่กำลังจะเกิดขึ้นเป็นโอกาสสุดท้ายของ พล.อ.ประยุทธ์แล้วว่าจะปรับเพื่อตอบสนองความต้องการของ ส.ส.ในพรรครัฐบาลหรือจะปรับเพื่อเอาคนดีมีฝีมือเข้ามาแก้ปัญหาประเทศ ถ้าจะปรับเพื่อเล่นเก้าอี้ดนตรีในหมู่พรรคร่วมรัฐบาล ก็เชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้คงอยู่ได้อีกไม่นาน เพราะแค่เห็นรายชื่อบุคคลที่จะเข้ามาแทนแล้ว ชาวบ้านได้แต่ส่ายหน้าเพราะไม่มีประวัติผลงานอะไรให้เชื่อถือได้เลย

“คนที่ควรจะถูกปรับออกไปก็อย่างเช่น พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ซึ่งมีหน้าที่ดูแลทุกข์สุขประชาชน แต่เราแทบไม่เคยเห็น มท.1 ลงพื้นที่เลย โดยเฉพาะในจังหวัดที่ชาวบ้านเดือดร้อนจากโควิด เห็นแต่ผู้ว่าลงไปช่วยจนติดเชื้อ นอกจากเรื่ององค์การทหารผ่านศึกรับงานขุดลอกคูคลองหรือการซอยงานขุดลอกคูคลองให้เหลือโครงการละไม่เกิน 5 แสนบาทเพื่อหลบเลี่ยงการประมูล เราเคยเห็นผลงานอะไรของเขาอีกบ้าง แค่เป็นพี่น้อง 3 ป.ก็นั่งหล่อในคลองหลอดได้ถึง 7 ปี แต่ไม่เคยทำอะไรให้กับการปกครองท้องถิ่นเลย นอกจากจับพวกเขาแช่แข็งตอนยึดอำนาจ” น.ส.นภาพร กล่าว

น.ส.นภาพร กล่าวต่อว่า รัฐมนตรีหลายคนใน ครม.ชุดนี้โลกลืม ไม่เคยปรากฎเป็นข่าว ไม่มีผลงานใดใดให้จับต้องได้ นอกจากมีข่าวว่าชอบมุดไปบ้านพักบ้านป่ารอยต่อเป็นประจำ อย่างอื่นก็ไม่เห็นมีผลงานอะไรให้ชาวบ้านพูดถึง หรือหลายคนมีบาดแผลจากการถูกอภิปรายแต่ชี้แจงอะไรไม่ได้ และกำลังจะถูกฝ่ายค้านร้องไปยัง ปปช. ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ควรถือโอกาสปรับคนเหล่านี้ออกไป ไม่ใช่ไปฟังแต่เสียงกลุ่มก๊วนในพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งจะทำให้อายุของรัฐบาลสั้นลงไปทุกที

คุยกับ​ 'ร.อ.ดร.จองชัย วงศ์ทรายทอง'​ ผู้อยู่เบื้องหลังบัตรประชาชน​ Smart Card ในมุมมองประชาชน​ ที่หวังให้บัตรนี้ Smart สมกับชื่อ

เชื่อว่าบัตรประชาชนที่อยู่ในมือของคนไทยหลายๆ​ คนตอนนี้​ น่าจะเป็นบัตรประชาชนอเนกประสงค์ หรือ บัตรประชาชน Smart Card กันเกือบทั้งนั้นแล้ว

โดยบัตรดังกล่าวมีลักษณะแตกต่างจากบัตรทุกรุ่นที่ผ่านมา นั่นคือ ตัวบัตรทำด้วยพลาสติกชนิดพิเศษ ซึ่งจะมีความแข็งแรงทนทาน แถมรายการในบัตรนี้จะมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษกำกับในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ เพื่อให้คุณได้ใช้งานได้แบบสากล

แต่ที่พิเศษ​ คือ​ ตัวบัตรจะมี​ 'ไอซี ชิป'​ สามารถเก็บข้อมูลหลายๆ​ อย่าง​ โดยจุได้มากถึง 80 กิโลไบต์​ พร้อมกับลายพิมพ์นิ้วมือเจ้าของบัตร​ เพื่อใช้ในการพิสูจน์ยืนยันตัวบุคคล ตอนไปขอรับบริการต่างๆ ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน ช่วยตรวจสอบป้องกันการปลอมแปลงบัตรไปในตัว

บางคนอาจจะถามว่าแล้วบัตรประชาชน​ Smart​ Card​ มันมีอะไรดี?

มันมีอยู่แล้วครับ​ เพราะทางภาครัฐได้พัฒนามาเพื่อให้การเข้าถึงข้อมูลและการดำเนินธุรกิจธุรกรรมต่างๆ​ ในโลกยุคดิจิทัลเชื่อมโยงกันได้ง่ายขึ้น​แบบไม่วุ่นวายระหว่างประชาชน​-รัฐ-เอกชน

อย่างการใช้งานที่เป็นรูปธรรม​ แล้วก่อให้เกิดภาพชัดๆ​ ก็ ‘โครงการเราชนะ’ ที่เปิดให้คนไม่มีสมาร์ทโฟน ใช้จ่ายผ่านบัตรประชาชน Smart Cart โดยใช้รูดหรือสแกนกับร้านค้าที่ร่วมรายการ​ เป็นต้น

เพียงแต่ในความเป็นจริง​ ความฉลาดหรือ​ Smart​ ของบัตรอาจจะยังไม่เพียงพอ​และไม่ครอบคลุมกับชีวิตประจำวันของคน​ จึงทำให้ส่วนใหญ่ยังนึกภาพคุณประโยชน์ของมันแบบชัดๆ​ ไม่ได้มากเท่าไร

THE​ STATES​ TIMES​ เคยได้ถามเกี่ยวกับความ Smart​ ของบัตรประชาชนรูปแบบนี้​กับ​ ร.อ.ดร.จองชัย วงศ์ทรายทอง ส.ส.ชลบุรี พรรคพลังประชารัฐ หนึ่งในผู้ผลักดันให้โครงการบัตรประชาชน Smart Card เกิดและสามารถทำธุรกรรม - รับสวัสดิการต่าง ๆ​ ของรัฐได้อย่างสะดวก จนเข้าถึงคนทุกกลุ่ม​ ซึ่งเขาก็ได้บอกกับเราว่า...

“บัตรประชาชนแบบ​ Smart​ Card​ ที่เรามีกันอยู่ในทุกวันนี้นั้น​ มันมีประโยชน์อย่างมาก​ ทำให้กลุ่มคนที่ขาดโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยี​ เช่น ไม่มีสมาร์ทโฟน​ ก็สามารถลงทะเบียนรับการช่วยเหลือจากรัฐได้

"เพราะมันถูกพัฒนามาเพื่อรองรับธุรกรรมได้หลากหลาย โดยเฉพาะกับธุรกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับหน่วยงานภาครัฐ ซึ่งบัตรใบเดียวควรจะเป็นได้ทั้งบัตรประชาชน ใบขับขี่ ประกันสังคม ประกันสุขภาพ และเป็นอีวอลเล็ตในตัว พอจะไปทำธุรกรรมใด​ ๆ ก็แค่ใช้ข้อมูลต่าง ๆ​ เชื่อมโยงเพื่อเข้าถึงธุรกรรมใหม่ ๆ​ ได้ถึงกันอย่างสะดวก

"ฉะนั้นหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินหน้าพัฒนาเรื่องนี้อย่างเต็มความสามารถ ผมเชื่อว่าผลสัมฤทธิ์จะทำให้เกิดความสะดวกหลายประการ ต่อการดำรงชีวิตของประชาชนทั้งในประเทศ และนักท่องเที่ยวต่างชาติ อีกทั้งเป็นการประหยัดต้นทุนในการที่ประเทศต้องผลิตเงินตราออกมาใช้อีกด้วยครับ

"และหากทุกหน่วยงานบูรณาการได้สำเร็จ​ จะส่งผลดีต่อประเทศจากจุดศูนย์กลาง​ คือ​ กรุงเทพมหานคร และจะเกิดผลกระทบในเชิงบวกต่อมายังหัวเมืองใหญ่อื่น ๆ​ ด้วย

"ผมรอวันที่บัตรนี้จะฉลาดสมชื่อจริง ๆ... "

อย่างไรก็ตาม​ เรื่องการเพิ่มประสิทธิภาพของบัตรสมาร์ทการ์ดนั้น​ ทาง​ ร.อ.ดร.จองชัย​ เป็นหัวแรงสำคัญที่พยายามผลักดันแบบสุดซอย โดยเขาบอกว่าเคยได้นำเรียนผ่านสภาฯ​ เป็นครั้งที่ 2​ ไปแล้ว​

"ผมพยายามชี้ให้สภาฯ​ เห็นว่า​ เราต้องการพัฒนาบัตรประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดในปัจจุบันให้ใช้งานให้ได้หลากหลายกว่านี้ เช่น รับเงินเยียวยาเข้าบัตรและสามารถไปกดเงินสดที่ตู้ ATM รวมถึงการทำธุรกรรมอื่น ๆ​ ทางราชการ​และเอกชนได้อย่างปลอดภัยและมีความเป็นส่วนตัว”

ร.อ.ดร.จองชัย​ ยังบอกอีกว่า​ บัตรประชาชน Smart Card ที่ทุกคนมี ต้องสมาร์ทให้สมกับชื่อ​ ต้องใช้งานได้หลากหลาย ให้คุ้มกับงบประมาณที่สร้างขึ้นมา​ เนื่องจากประเทศไทยใช้งบประมาณมหาศาล เพื่อเปลี่ยนมาเป็นบัตรฝังชิปไปแล้ว​ จะให้อยู่แค่การยืนยันตัวตนกับรับการเยียวยาโครงการที่มาเป็นระยะ ๆ​ คงไม่เพียงพอ​ แต่ต้องให้บัตรนี้เป็นบัตรที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของธุรกรรมในชีวิตประจำวันของคนให้ได้

"ถามว่าทุกวันนี้บัตรสมาร์ทการ์ดใช้ทำอะไรได้บ้าง ผมว่าหลายคนคงนึกออกยาก​ นอกจากมีวาระสำคัญใดๆ​ เข้ามาให้ต้องใช้​ ซึ่งผมว่ามันต้องเป็นได้มากกว่านั้น​ เอาง่าย ๆ​ ผมไม่คิดไปไกล​ ขอแค่ต่อยอดให้บัตรใบนี้พัฒนาฐานข้อมูลให้ดีและปลอดภัย​ แล้วตอนที่ได้รับเงินเยียวยามา​ สามารถไปกดเงินที่ตู้ ATM ได้เลย เอาแค่นี้ได้ก่อน​ คนก็จะรับรู้ได้ถึงประโยชน์จากการมีตัวตนของบัตรนี้”

“อีกประเด็นที่ผมเคยพูดถึงเรื่องบัตร Smart Card ต่อการใช้ในระบบขนส่งมวลชน ควรจะเป็นบัตรใบเดียว เชื่อมโยงทุกโครงข่าย"

"ยกตัวอย่างหันไปมองอังกฤษที่มี Oyster Card ส่วนญี่ปุ่น มี Pasmo และ Suica ขณะที่ ฮ่องกง ก็มี Octopus ซึ่งเป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้ Smart Card บัตรเดียวในระบบขนส่งมวลชน ซึ่งเกิดประสิทธิภาพอย่างมาก”

“แต่พอมองย้อนกลับมาที่ประเทศไทยแล้ว​ บัตรสมาร์ทการ์ด​ เติมเต็มชีวิตหรือสร้างความภาคภูมิใจใดต่อคนไทยได้บ้าง อันนี้น่าคิดจริง ๆ"

ทั้งนี้​ ร.อ.ดร.จองชัย คาดหวังที่จะเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลง​มาศึกษาถึงวิถีการดำเนินชีวิตอันหลากหลายของประชาชนในแต่ละวัน​ แล้วทำให้บัตรสมาร์ทการ์ดไปสร้างประโยชน์ได้ตรงจุด เช่น​ ทุกวันนี้ยังไม่สามารถใช้บัตรกับระบบขนส่งสาธารณะในไทยได้​ ไม่มีการพัฒนาความครอบคลุมเชื่อมใยงกันในหลากหลายบริการผ่านบัตรเดียว รวมไปถึงยังไม่สามารถนำไปใช้ในร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ​ เป็นต้น

"อันนี้น่าคิดนะ​ เพราะในวันที่เราพูดถึงสังคมยุค Cashless Society หรือสังคมไร้เงินสดบ่อยขึ้นทุกวัน แต่เรากลับใช้ประโยชน์ใด ๆ​ จากมันไม่ได้เลย​ ยิ่งช่วงโควิดที่ผ่านมา​ ประชาชนให้ความสนใจกับเรื่องนี้มากขึ้น​ เพราะมองว่าเงินหรือธนบัตรก็เป็นแหล่งสะสมโรค แต่จนแล้วจนรอด​ ก็ยังไม่มีอะไรเกิด​ สรุปบัตรนี้ยังฉลาดไม่สมชื่อ"


ติดตามเฟสบุ๊ค ร้อยเอก ดร.จองชัย วงศ์ทรายทอง - ผู้กองเบิร์ด

ได้ที่ https://www.facebook.com/jongchai

ครูหยุย - วัลลภ ประกาศชัด ไม่เห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เหตุห่วงพระราชอำนาจของสถาบันเบื้องสูงถูกละเมิด ยืนยันเจตจำนงไร้ใบสั่งใดๆ

นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ สมาชิกวุฒิสภา ให้สัมภาษณ์เพื่อยืนยันต่อจุดยืนไม่เห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ‘วาระสาม’ ที่เตรียมเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ช่วงกลางเดือนมีนาคมหลังจากพ้นระยะเวลา 15 วัน เนื่องจากตนกังวลต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตราที่ว่าด้วยพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่บัญญัติไว้ในมาตราอื่น ๆ นอกจากหมวด 2 พระมหากษัตริย์

ทั้งนี้การแสดงจุดยืนของตนดังกล่าวไม่เกี่ยวกับกระแสข่าวที่มีใบสั่งจากผู้มีอำนาจไม่ต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาตนไม่ขัดข้องต่อการกำหนดให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เพื่อทำรัฐธรรมนูญใหม่ หรือการแก้ไขการออกเสียงวาระรับหลักการและวาระเห็นชอบรัฐธรรมนูญ

แต่เมื่อส.ว.บางส่วนกังวลต่อการละเมิดพระราชอำนาจและขอให้บัญญัติไว้ ไม่ได้รับการตอบรับ ตนจึงให้คำยืนยันว่าจะไม่ลงมติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขวาระสาม

“ใครจะด่าก็ช่าง เพราะผมถือว่าได้ทำหน้าที่ หากจะถามถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น แต่ละด้านล้วนมีผลกระทบเกิดขึ้นทั้งหมด สำหรับรายละเอียดในความกังวลต่อสถาบัน ที่ส.ส.ไม่รับไว้พิจารณานั้น ทราบว่า ส.ว.ที่ขอแปรญัตติไม่สบายใจ แต่ผมไม่ทราบว่าพวกเขาจะลงมติอย่างไร” นายวัลลภ กล่าว

นายวัลลภ กล่าวด้วยว่าสำหรับการนัดประชุมรัฐสภา เพื่อลงมติวาระสาม เชื่อว่านายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา จะนัดเมื่อครบกำหนดพ้น 15 วัน เพราะนายชวนเป็นผู้ที่มีหลักการหนักแน่น และไม่ต้องรอเวลาใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนรัฐบาลฐานะผู้ที่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนขอพระราชกฤษฎีกาเปิดประชุมรัฐสภา สมัยวิสามัยเชื่อว่าจะไม่มีอะไรตุกติก เพราะรัฐบาลถือว่าเป็นผู้ใหญ่


ที่มา: https://siamrath.co.th/n/224233

'หมอยง' อธิบายชัด ‘Sinovac’ วัคซีนเชื้อตาย ป้องกันการติดเชื้อได้ดี โดยเฉพาะการข้ามสายพันธุ์ของไวรัส

เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า

โควิด 19 วัคซีน Sinovac วัคซีนเชื้อตาย

ในระบบภูมิคุ้มกัน การผลิตวัคซีนส่วนใหญ่ จะมุ่งเน้นสร้างภูมิต้านทานต่อหนามแหลม (spike) ของไวรัสที่ยื่นออกไป เช่นวัคซีน mRNA, virus Vector

แต่ในความเป็นจริง ในระบบภูมิต้านทานของร่างกายอาจจะยับยั้งไวรัสไม่เฉพาะหนามแหลม spike protein ยังมีแกนเปลือก nucleocapsid

ในการตรวจวัดภูมิต้านทาน เราสามารถตรวจ antibody ต่อการแกนเปลือก นี้ได้ด้วย ซึ่งอาจจะมีความสำคัญช่วยเสริมในระบบภูมิต้านทาน ในการต่อต้านการติดเชื้อของไวรัสก็เป็นได้

วัคซีนเชื้อตาย จะมีส่วนประกอบของตัว กระตุ้นภูมิต้านทานหลายอย่างคล้ายกับไวรัสในธรรมชาติ มากกว่าการสร้างเฉพาะส่วนหนามแหลม จำเป็นจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม ในระบบภูมิต้านทานโดยเฉพาะส่วนอื่นที่ไม่ใช่หนามแหลม spike

ดังนั้น วัคซีนเชื้อตาย ที่ทำมาจากไวรัสทั้งตัว อาจจะป้องกันการติดเชื้อได้ดีกว่า โดยเฉพาะการข้ามสายพันธุ์ของไวรัส โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรม ในส่วนหนามแหลม เพราะมีส่วนอื่นเข้ามาช่วยเสริมก็เป็นได้

‘แอมมี่’ โดนแล้ว!! ศาลอนุมัติหมายจับ 'แอมมี่ The bottom blues' เหตุร่วมเผาหน้าเรือนจำกลางคลองเปรม

จากกรณีคนร้ายลอบวางเพลิงเผาทรัพย์ หน้าเรือนจำกลางคลองเปรม เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยเบื้องต้นตำรวจร่วมกับกรมราชทัณฑ์ ทราบว่ามีผู้ก่อเหตุ 3 ราย ชาย 2 หญิง 1 ใช้รถยนต์ในการก่อเหตุ

ซึ่งตำรวจกำลังรวบรวมหลักฐานเพื่อขอหมายศาลออกหมายจับ รวมถึงการสั่งการของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่เน้นการขยายผล การตรวจสอบเส้นทาง จนได้ทราบว่าเกี่ยวกับกลุ่มการเมือง

ล่าสุด มีรายงานว่าศาลอาญา รัชดา ได้อนุมัติหมายจับ นายไชยอมร แก้ววิบูลพันธุ์ หรือ ‘แอมมี่ The bottom blues’ กับพวกอีก 2 คน ที่ 429/2564 ลง 2 มีนาคม 2564 ในข้อหาความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112, วางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น และ ความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

ทั้งนี้พนักงานสอบสวน สน.ประชาชื่น รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับนักร้องชายชื่อดัง และเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมือง ชุดสืบสวนไล่ตรวจสอบกล้องวงจรปิดและรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ สีขาว พาหนะที่คนร้ายใช้ก่อเหตุจนทราบมีผู้ก่อเหตุทั้งหมด 3 คน โดยนักร้องดังเป็นผู้ลงจากรถไปก่อเหตุวางเพลิง

ส่วนอีก 2 คนอยู่ในรถดังกล่าว และชุดสืบสวนอยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบตัวบุคคลให้ชัดเจน จากการสืบสวนพบว่า นักร้องที่ลงมือก่อเหตุ ป่วยรักษาตัวอยู่ที่ รพ.พระรามเก้า และยังไม่ทราบว่าป่วยเป็นอะไร ชุดสืบสวน กก.สส.บก.น.2 และฝ่ายสืบสวนสน.ประชาชื่น นำกำลังไปที่โรงพยาบาลแล้ว หากศาลอนุมัติหมายจับก็จะนำหมายไปแจ้งข้อหา และควบคุมตัวทันที รวมทั้งประสานแพทย์ว่าสามารถย้ายไปควบคุมที่รพ.ตำรวจ ได้หรือไม่


ที่มา: https://www.thaipost.net/main/detail/94772

https://www.prachachat.net/politics/news-623090

‘โบว์ ณัฏฐา’ นักเคลื่อนไหวทางการเมือง ออกโรงเตือนม็อบ 3 นิ้ว ที่เคลื่อนไหวเรียกร้องไร้ทิศทาง พร้อมใช้ความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง แนะดูม็อบฮ่องกงเป็นตัวอย่าง หากไม่อยากสูญเสียแนวร่วม เปลี่ยนมวลชนจากมิตรกลายเป็นศัตรู

น.ส. ณัฏฐา มหัทธนา หรือ โบว์ นักกิจกรรมนักเคลื่อนไหวทางการเมือง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Bow Nuttaa Mahattana เกี่ยวกับประเด็นความเคลื่อนไหวที่ผ่านมาของม็อบ 3 นิ้ว โดยระบุว่า

ม็อบฮ่องกงเคยประสบความสำเร็จ...

เมื่อผู้ชุมนุมเริ่มต้นการประท้วงต่อต้านกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนนั้น ม็อบฮ่องกงได้รับความสนใจจากนานาชาติและมีความชอบธรรมสูงในสายตาประชาคมโลก ภาพการปราบปรามเยาวชนอย่างรุนแรงโดยตำรวจถูกเผยแพร่ไปทั่ว

กราฟแห่งการต่อสู้อยู่ในขาขึ้นที่เรียกกันว่า “กระแสสูง” จนในที่สุดทางการฮ่องกงยอม “ถอย” ถอนร่างกฎหมายดังกล่าวออกจากการพิจารณา ข้อเรียกร้องหลักได้รับการตอบสนอง แม้ข้อเรียกร้องย่อยเรื่องการปล่อยตัวผู้ถูกจับกุมดำเนินคดีและสิทธิในการเลือกผู้ปกครองตนเองจะยังคงอยู่

จุดเปลี่ยนของม็อบน่าจะเริ่มจากเหตุการณ์บุกรัฐสภา ต่อด้วยการบุกห้างสรรพสินค้า สนามบิน และการจลาจลในจุดต่าง ๆ กับข้อเรียกร้องของผู้ชุมนุมที่ “ยกระดับ” ขึ้นอย่างรวดเร็วสู่คำว่าการประกาศอิสรภาพแบ่งแยกดินแดนจากจีน

พร้อม ๆ กับเสียงของคนเห็นต่างในประเทศที่ไม่เห็นด้วยกับทั้งข้อเรียกร้องและวิธีการเริ่มดังขึ้น ภาพของการปะทะและการใช้ความรุนแรงระหว่างประชาชนด้วยกันเริ่มมีให้เห็น ในขณะที่การปราบปรามโดยรัฐก็ไม่ได้ลดน้อยลง

รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนตัดสินใจฉวยจังหวะนี้ใช้ “ยาแรง” ออกกฎหมายความมั่นคง National Security Law ที่มีบทลงโทษรุนแรงต่อผู้ต่อต้านรัฐบาล แกนนำส่วนหนึ่งลี้ภัยไปอังกฤษ ไต้หวัน

คนที่อยู่ถูกตัดสินคดีเก่าลงโทษจำคุก บุคคลสำคัญในฝ่ายต่อต้านถูกคุกคามโดยกฎหมายใหม่ การเคลื่อนไหวถูกปราบอย่างราบคาบ

พร้อม ๆ กับที่เสียงสนับสนุนจากนานาชาติเงียบลง มวลมหาประชามิตรหันไปสนใจพม่าแทน


ที่มา :

https://www.facebook.com/bow.nuttaa/posts/10158218446835819

https://www.thaipost.net/main/detail/94713

‘สุรีรัตน์ ชิวารักษ์’ แม่เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์ แกนนำกลุ่มราษฏร พร้อมยืนเคียงข้างลูกชาย ชี้เป็นเด็กเรียนดี มีความคิดอ่านเป็นของตัวเอง พร้อมอยากร่วมเปลี่ยนแปลงสังคม ระบุเหตุเข้าร่วมกิจกรรม 'เดินทะลุฟ้า' เพราะไม่ได้รับความเป็นธรรมประกันตัวลูกชาย

“เพนกวินเป็นเด็กที่รู้ตัวหนังสือตั้งแต่ก่อนเข้าโรงเรียน เราซื้อโปสเตอร์มาแปะฝาบ้าน ทั้ง ก ข ค และ A B C แล้วจิ้มถามเขาบ่อยๆ เราเองไม่ได้ภาษาอังกฤษ ก็อยากให้ลูกเก่ง เจอนกก็พูดกับเขาว่า ‘บี เบิร์ด นก’ เจอแมวก็พูดว่า ‘ซี แคท แมว’ ตอนเขาไปโรงเรียนวันแรก เย็นวันนั้นครูมาเล่าให้ฟัง เขาถามครูว่า ‘ครูครับ ฃ ฃวด หายไปไหน’ เราบอกเขาว่า ‘ถ้าอ่านออกจะซื้อหนังสือให้อ่าน’ หลังจากนั้นสักพักก็เริ่มอ่านได้ เขาอ่านหนังสือเร็วมาก (เน้นเสียง) อ่านไปหมดทุกอย่าง แต่หนังสือเรียนไม่ค่อยอ่านนะ (หัวเราะ) มีคนให้หนังสือประวัติหลวงปู่ดุลย์ เขาก็อ่าน หนังสือธรรมะที่วางในบ้าน เขาก็อ่าน ตอนแรกเราคิดว่าอ่านไปอย่างนั้นแหละ แต่พอเรามีปัญหาอะไรในชีวิต เขาจะเอาธรรมะมาพูดด้วย เป็นแบบนี้ตั้งแต่เรียนประถมเลย"

“หนังสือการ์ตูนที่เพนกวินชอบมากคือ รามเกียรติ์ เราเคยได้ยินนักวิชาการบอกว่า ถ้าเด็กสนใจอะไรควรให้เจอของจริง เราพาไปวัดพระแก้ว วันนั้นเดินด้วยกันหลายรอบแล้ว เราเมื่อยขาเลยขอนั่งรอ เขาไปเดินอยู่คนเดียว แล้วกลับมาบอกว่า ‘มี้ครับ มันน้อยไป’ เขาเล่าให้เราฟังได้เป็นฉากๆ ว่า ตัวนี้คือใคร เกิดเหตุการณ์อะไรบ้าง โรงเรียนตอนประถมไม่ได้บอกอันดับ แต่เรารู้ว่าเขาเรียนดี เพราะได้รางวัลตลอด เราไม่ได้คิดว่าลูกพิเศษกว่าใคร เคยบอกเขาด้วยว่า 'เด็กเรียนเก่งมีเป็นมหาสมุทร แต่มี้อยากให้ลูกเก่งและดีด้วย' เราจะสอนลูกไม่ให้มีอีโก้ เวลาแข่งขันได้รางวัลก็บอกว่าชีวิตก็มีขึ้นมีลง เราเคยพูดกับเขาว่า 'เห็นคุณป้ากวาดถนนไหม ลูกกวาดได้สะอาดแบบนั้นไหม ทุกอาชีพมีความชำนาญของตัวเอง ไม่มีใครเก่งกว่าใคร' "

"สมัยเพนกวินเรียนอยู่ประถม เขาได้ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และวิทยาศาสตร์ เลยถูกส่งไปแข่งขันเป็นประจำ แม้แต่งานกีฬาสีก็ออกไปเต้นตะแด๊วๆ เชียร์กีฬา (หัวเราะ) ครูก็ชอบที่เป็นเด็กเรียนดีและทำกิจกรรม เขามีสมุดและปากกาติดตัวเสมอ ตอนได้ทุนการศึกษา เขาสงสัยว่าทำไมทุนถึงชื่อนี้ ก็ไปหาว่าตระกูลไหนก่อตั้ง เกี่ยวข้องกับใครบ้าง เคยทำอะไรให้ประเทศบ้าง พอขึ้นมัธยมแล้วเดินทางไปไหนเอง เขาไปหอสมุดแห่งชาติ ไปพิพิธภัณฑ์ที่ศิริราชจนสนิทกับเจ้าหน้าที่ เขาอยากทำสตรอเบอรี่ชีสเค้ก ก็ไปอ่านหนังสือจนทำได้ เวลาเขาชอบอะไรจะไปจนสุด ครูภาษาไทยสมัยประถมทำบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาเขียนบัตรสนเท่ห์ไปวางบนโต๊ะครู เขียนเป็นกลอนเลย ทำเป็นไม่ลงชื่อ แต่ครูเห็นลายมือก็จำได้ (หัวเราะ)"

"ถ้าลูกเรียนได้ทั้งวิทย์และภาษา พ่อแม่ก็อยากให้ลูกเรียนหมอใช่ไหม เราก็เป็นแบบนั้น แต่เขาคงมีเรื่องที่สนใจอยู่แล้ว พอจะขึ้น ม.ปลาย เขามาถามว่า 'มี้ครับ ถ้าครอบครัวหนึ่ง ลูกอยากเรียนวิศวะ แต่พ่อแม่อยากให้เป็นหมอ ลูกก็ยอมเรียนตามใจ แต่หลังจากนั้นแล้วลูกหนีออกจากบ้าน เป็นมี้จะทำยังไง' อีกครั้งเขาถามว่า 'มี้ครับ ถ้าครอบครัวหนึ่งมีลูกเรียนหมอ เรียนเก่งมากด้วย แต่หลังจากเรียนจบ เขาฆ่าตัวตายแล้วเขียนจดหมายว่า ใบปริญญาให้พ่อแม่ แต่ชีวิตที่เหลือเป็นของลูก เป็นมี้จะทำยังไง' เราตอบไปว่า 'แม่ก็ต้องตามใจลูกแหละ' เขาเคยพูดว่า 'มี้ครับ เพนกวินรู้ว่าพ่อแม่ให้ชีวิต แต่การใช้ชีวิตเป็นของลูกนะครับ' เราก็เก็บเอามาคิด วันหนึ่งเขาถามเราว่า 'มี้ครับ อยากให้เพนกวินเป็นอะไร' ตอนนั้นเราเริ่มเปลี่ยนความคิดแล้ว เลยตอบว่า 'อะไรก็ได้ที่ลูกตื่นมาแล้วมีความสุขที่จะไปทำ' การถามคือเขาแคร์เรา แต่ขอให้เขาได้เลือกชีวิตตัวเองด้วย"

"เขาสนใจประวัติศาสตร์ เคยบอกตั้งแต่เล็ก ๆ ว่า 'ถ้าเพนกวินเกิดมาแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงสังคมได้ มันเสียชาติเกิด' ตอนนั้นเราบอกไปว่า 'ก่อนจะไปเปลี่ยนแปลงอะไร มาช่วยแม่จัดบ้านก่อนไหม' (หัวเราะ) เขาเลือกเรียนสายภาษาที่เตรียมอุดมฯ เคยร่วมเคลื่อนไหวเรื่องการศึกษากับกลุ่มการศึกษาเพื่อความเป็นไท เราสงสัยว่า 'ทำไปทำไม เราไม่ได้สิทธิประโยชน์อะไร แม่ก็ยังเป็นคนจ่ายค่าเทอมเหมือนเดิม' เขาตอบกลับว่า 'ถึงแม่จะจ่ายค่าเทอม แต่เราได้รับประโยชน์จากเงินภาษี ซึ่งหลายคนเลยเข้าไม่ถึงประโยชน์นั้น' เขาเคยบอกว่า อยากเป็นรัฐมนตรีเพื่อทำให้การศึกษาดีขึ้น เราไม่ได้ตามไปดูว่าเขาทำอะไรบ้าง พ่อเคยไปดูเขาชูป้ายอะไรสักอย่างสมัยยังใส่ขาสั้น แล้วมาบอกว่า ‘ลูกพูดดีกว่าเราอีก’ โอเค เราก็สบายใจมากขึ้น เขาน่าจะดูแลตัวเองได้ หลังจากนั้นก็ปล่อยเลย"

"พอขึ้นมหาวิทยาลัย (คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) เขาออกมาเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่เราไม่ได้มองว่าเป็นแกนนำอะไร ยังไงก็เป็นลูก ทุกครั้งที่เจอกัน เราจะบอกเขาว่า 'เอาเล็บให้แม่ดูหน่อย ทำไมไม่ตัดเล็บ ถ้าไม่ตัดจะหักค่าขนม' เป็นเรื่องเดียวที่แม่ขู่ได้ (หัวเราะ) เราซื้อรองเท้าที่ซัพพอร์ทเท้าให้ เพื่อนบางคนก็แซวว่าแก่ เขามาบ่นกับเรา แต่ก็ใส่คู่นั้นตลอด (ยิ้ม) เราจะบอกรัก กอดเขา หอมเขาเป็นประจำ เวลาลูกโดนด่าเยอะๆ ก็กลัวเสียกำลังใจ เราจะโทรไปพิมพ์ไปหา 'แม่ให้กำลังใจนะ' เขามักตอบว่า 'ไม่มีอะไรครับมี้’ วันที่เพนกวินติดคุกครั้งแรก เราไม่คิดว่าจะโดน เลยไม่ได้ไปด้วย (เงียบคิด) เรารู้สึกผิดที่ไม่ได้อยู่ข้างลูก พอวันรุ่งขึ้นทนายไปเยี่ยม เราไปด้วย แต่เข้าไปไม่ได้ เพนกวินฝากทนายมาบอกว่า 'ครั้งนี้คงติดนานหน่อย รักแม่นะครับ' แล้วลงท้ายว่า 'เสียดายที่เราไม่ได้ลากัน' (เงียบ…น้ำตาไหล) เหตุการณ์นั้นทำให้เราเข้าใจคำว่าใจสลาย"

"เพนกวินไม่เคยขอให้แม่ออกมา เขาพูดเสมอว่า ‘มันคือการตัดสินใจของมี้ ถ้าออกมา สิ่งที่ตามมาคือการโดนด่า มี้รับได้ไหม’ จนกระทั่งเขาติดคุกครั้งที่สอง ทำเรื่องประกันตัวสามครั้งก็ไม่ได้ มันไม่ใช่แล้ว เรานอนไม่หลับ รู้จักคำว่าสว่างคาตาก็ครั้งนี้ วันรุ่งขึ้นก็ไปเยี่ยมเพนกวิน เราบอกเขาว่า 'มี้ตัดสินใจจะออกมา' (กิจกรรม 'เดินทะลุฟ้า' เป็นการเดินเท้าจากจังหวัดนครราชสีมาถึงกรุงเทพมหานคร รวมระยะทาง 247.5 กิโลเมตร โดยหนึ่งในข้อเรียกร้องคือการปล่อย 4 แกนนำทางการเมือง คือ อานนท์ นำภา สมยศ พฤกษาเกษมสุข ปฏิวัฒน์ สาหร่ายแย้ม และเพนกวิน-พริษฐ์ ชิวารักษ์) เขาคงดีใจ บางคนบอกว่า เพนกวินโชคดีที่มีแม่แบบนี้ เราต่างหากโชคดีที่เขาเลือกเราเป็นแม่ บางครั้งเรารู้สึกว่าเขาคือโซลเมทที่มาสอนบทเรียนชีวิตนะ"

"เราเป็นห่วงลูกเรื่องเดียวคือความปลอดภัย แต่ห้ามเขาตอนนี้จะมีอะไรดีขึ้นไหม ห้ามแล้วจะไม่มีตำรวจมาที่บ้านหรือเปล่า สิ่งสำคัญคือเพนกวินไม่ได้ทำอะไรผิดเลวร้ายด้วย เขาเคยพูดกับพ่อว่า 'ป๊าครับ ถ้าเพนกวินเป็นอะไรไป ขอให้พ่อแม่ภูมิใจในสิ่งที่ลูกทำนะครับ' เขาไม่กล้ามาบอกเรา เพราะก่อนหน้านั้นเขาพูดกับเราว่า 'การต่อสู้ต้องมีการสูญเสียนะมี้' แต่เราตอบกลับไปว่า 'ไม่ได้ มี้ไม่พร้อมที่จะสูญเสีย' เราเคยถามเขาว่า 'เพนกวินจะทำไปทำไม เหนื่อยก็เหนื่อย คนไม่เห็นด้วยก็มาด่า ถ้าคนในประเทศไม่เห็นคุณค่า ไม่อยากให้ทำอะไร เราไปอยู่เมืองนอกเถอะ ทำให้คนอื่นเห็นว่าเราทำอะไรได้บ้าง หรือไปทำอะไรให้สำเร็จที่เมืองนอก คนที่นี่อาจจะฟังก็ได้' แต่เขาบอกว่า ‘เพนกวินเลือกแล้วที่จะอยู่ประเทศนี้ เพราะที่นี่คือบ้านเกิด’"

"เรานัดกันทานข้าววันเกิดตั้งแต่ปีที่แล้ว พอจะถึงวันนัด เขาบอกว่า ‘มีรุ่นน้องปราศรัย ต้องไปให้กำลังใจ’ พอถึงวันนัดอีกก็มีธุระต่างๆ ตั้งแต่วันเกิดแม่ วันเกิดเพนกวิน วันเกิดน้องสาว และวันเกิดพ่อ ผ่านมาจะครบปีแล้วยังไม่ได้กินข้าวด้วยกันเลย ตอนนี้เขายังอยู่ในคุก เราไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ไม่อยากคิดเยอะ เพนกวินเคยบอกว่า ‘ไม่ต้องเครียดหรอกมี้ เพราะเครียดวันนี้ หรือเครียดวันนั้น ยังไงก็เครียดเหมือนกัน’ แต่เราก็ยังเครียด (เงียบคิด) ต้องคอยบอกตัวเองว่า สิ่งที่เขาทำไม่ได้ทำร้ายใคร เด็กชายที่ชอบประวัติศาสตร์ ต้องมีสมุดและปากกาติดตัวเสมอ และอยากเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น เขาอาจเกิดมาเพื่อเป็นคนแบบนี้"

เพนกวิน - พริษฐ์ ชิวารักษ์ คือ 1 ใน 4 ผู้ต้องหาจากความผิดเข้าร่วมการชุมนุม #19กันยาทวงคืนอำนาจราษฎร ที่สนามหลวง โดยปัจจุบันถูกศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ปฏิเสธคำร้องขอให้ประกันตัวในระหว่างการพิจารณาคดี


ที่มา : เพจ มนุษย์กรุงเทพฯ

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=2947531678864094&id=1432299840387293

‘บิ๊กป้อม’ เร่งแก้น้ำเค็ม ลดผลกระทบผู้ใช้น้ำ หลังพบน้ำประปาเค็มสุดในรอบ 10 ปี ลงพื้นที่ตรวจเขื่อนพระรามหก จ.อยุธยา สั่งคุมเข้มแม่น้ำสายหลัก เจ้าพระยา/บางปะกง ยกระดับรับมือน้ำทะเลหนุน

เมื่อ 3 มี.ค.พล.ต.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองในฐานะ ผู้อำนวยการ กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.),นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพย์กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้ม (ทส.) พร้อมคณะ ได้เดินทางไปปฏิบัติราชการ เพื่อติดตามการแก้ไขปัญหาน้ำเค็ม ในแม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำบางปะกง ที่เขื่อนพระรามหก อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีนายภานุ แย้มศรี ผวจ.พระนครศรีอยุธยา ร่วมให้การต้อนรับ

พล.อ.ประวิตร ได้รับทราบรายงานสถานการณ์น้ำ และมาตรการสำหรับการจัดการปัญหาน้ำเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำบางปะกง จาก สทนช. รวมถึงรับทราบ แนวทางการแก้ไขปัญหาความเค็มของน้ำ จากหน่วยงานต่าง ๆ ที่รับผิดชอบ อาทิ กรมชลประทาน ,การประปานครหลวงและการประปาส่วนภูมิภาค ซึ่งปีนี้มีค่าความเค็มสูงถึง 2.53 กรัม/ลิตร นับว่าเป็นค่าความเค็มที่สูงสุดในรอบ10 ปี

จากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวมอบนโยบายโดยสรุปคือ รัฐบาลได้ให้ความสำคัญ และมีความห่วงใยอย่างยิ่ง ต่อปัญหาความเค็มของน้ำที่เกินมาตรฐาน (0.5 กรัม/ลิตร) ในการผลิตน้ำประปา ซึ่งส่งผลกระทบกับภาคการใช้น้ำของประชาชน จึงได้มอบหมายให้หน่วยงานต่างๆเร่งแก้ไขปัญหา อย่างเร่งด่วน โดยกำชับให้กรมชลประทาน ร่วมกับ การประปานครหลวง เร่งควบคุมค่าความเค็มในแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ให้เกินเกณฑ์คุณภาพน้ำ เพื่อการอุปโภคบริโภค และการเกษตร, มอบกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กับกระทรวงมหาดไทยเร่งสร้างการรับรู้ เพื่อควบคุมการเพาะปลูกพืช ในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา และกำหนดมาตรการชดเชย/เยี่ยวยาให้แก่เกษตรกร ที่ไม่สามารถเพาะปลูกพืช ได้ เนื่องจากปริมาณน้ำไม่เพียงพอ, ให้จังหวัด ควบคุมน้ำในพื้นที่ไม่ให้สูบไปใช้ระหว่างทาง เพื่อลดปริมาณน้ำสูญเสีย ที่จะนำไปช่วยผลักดันน้ำเค็ม และให้การประปานครหลวง เร่งรัดแผนงานระยะยาว เพื่อป้องกันความเสี่ยง กรณีค่าความเค็มบริเวณสถานีสูบน้ำสำแล สูงเกินเกณฑ์มาตรฐาน

จากนั้น พล.อ.ประวิตร และคณะ ได้ไปตรวจสภาพพื้นที่บริเวณ เขื่อนพระรามหก เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำ สำหรับเขื่อนพระรามหก แห่งนี้ ก่อสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 เป็นเขื่อนทดน้ำแห่งแรกของประเทศไทย ที่สร้างกั้นแม่น้ำป่าสัก เพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ เพื่อการเกษตร โดยสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ.2467 มีประตูระบายน้ำแบบเลื่อนขึ้น - ลงในแนวดิ่ง 6 บาน ขนาดบาน กว้าง 12.50 ม. สูง 1.80 ม. สามารถส่งน้ำไปยัง พื้นที่เพาะปลูก ได้ มากกว่า 680,000 ไร่

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ได้กำชับให้ทุกหน่วยงาน บูรณาการทำงานร่วมกัน อย่างจริงจัง และเน้นย้ำให้คุมเข้มมาตรการต่างๆ ทั้งการป้องกันการสูบน้ำไปใช้ระหว่างทาง และการเพาะปลูกพืชเกินแผนที่กำหนด พร้อมทั้ง สั่งให้ สทนช. จัดสร้างอาคารควบคุม เพื่อป้องกันการรุกตัวของน้ำเค็ม จากภาวะทะเลหนุนอีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top