Wednesday, 18 June 2025
Politics

‘บิ๊กตู่’ พ้อปมวัคซีนโควิด บางคนไม่ชมแล้วยังแช่ง ลั่นทำทุกอย่างตามขั้นตอน ไม่เคยต้องการผลประโยขน์จากใคร คาดหวัง หลังฉีดวัคซีนจะทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดลดลง

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 4 มี.ค. ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือเทียบเท่า ครั้งที่ 1/2564 ผ่านระบบ VDO Conference โดยพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเปิดการประชุม ว่า

ปกติก็ไม่ค่อยได้เจอกันได้บ่อยนัก ถือว่าพวกเราหัวอกเดียวกัน แม้นายกรัฐมนตรีจะอยู่ตรงนี้ก็ตามแต่ก็เคยเป็นข้าราชการมาก่อน จึงรู้ดีถึงปัญหาและข้อขัดข้อง ที่เราดำเนินการโดยเฉพาะการบริหารราชการแนวใหม่ เพราะรัฐบาลต้องขับเคลื่อนหลายอย่างด้วยกัน

ดังนั้นจึงถือว่าวันนี้มาพบและพูดกับคนในครอบครัว ว่าจะทำอย่างไรให้ครอบครัวใหญ่ของเราคือประเทศไทย มีความอยู่ดี กินดี ก้าวหน้าแก้ปัญหาอุปสรรคข้างหน้าในสิ่งใหม่ ๆ เพื่อเป็นอนาคตของพวกเราทุกคน ทั้งนี้ ทุกคนทราบดีถึงสถานการณ์ต่างๆอยู่แล้วทั้งนอกและในประเทศ และครั้งนี้ถือเป็นการประชุมครั้งแรกของปี

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ขอพูดถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ขอบคุณส่วนราชการทุกแห่งที่ร่วมมืออย่างเต็มที่ในการรับมือการแพร่ระบาดระลอกใหม่ และมีผลสำเร็จตามลำดับจนสามารถควบคุมได้ สถิติผู้ติดเชื้อลดลง ซึ่งเป็นการดีที่จะทำให้เศรษฐกิจต่างๆดีขึ้น โดยเฉพาะช่วงสงกรานต์ที่จะมาถึงได้มอบหมายให้ทาง ศบค.พิจารณาเพิ่มเติมแล้ว ว่าจะทำอย่างไรให้ทุกอย่างเคลื่อนไหวได้ในทางที่จะทำให้เกิดผลดีต่อประชาชนโดยตรง ส่วนเรื่องของวัคซีนวันนี้มีข่าวจากหลายทางด้วยกัน ทั้งดีและไม่ดี ชมและไม่ชม หรือมีทั้งส่วนที่ไม่ชมแล้วแช่ง ดังนั้น เราต้องร่วมมือกันสร้างความเข้าใจ ว่ารัฐบาลพยายามอย่างเต็มที่แล้วที่จะทำด้วยความซื่อสัตย์สุจริต

“ผมเองไม่ได้ต้องการผลประโยชน์จากใครทั้งสิ้น วันนี้สิ่งที่ทำก็ทำตามขั้นตอนและแนวทางการพิจารณาของบุคลากรทางการแพทย์ สาธารณสุข ซึ่งไทยมีชื่อเสียงในระดับต้นๆของโลก ดังนั้นจึงต้องฟังเขา ไม่เพียงเฉพาะแต่ข้าราชการในปัจจุบัน แต่ยังต้องรวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิ อดีตแพทย์ อดีตอธิบดี ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ นำหลักการมาพิจารณาให้เกิดความเหมาะสม เกิดความปลอดภัย

และหลังจากที่เราเริ่มฉีดวัคซีนแล้วรู้สึกว่าสังคมดีขึ้น มีความหวังที่จะทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดลดลง แต่ยังคงไม่หมดสิ้นไปจากโลกเพราะขณะที่ไทยมีสถิติลดลง แต่ต่างประเทศก็ยังเพิ่มขึ้น ก็ต้องมาดูที่สาเหตุซึ่งแม้จะมีวัคซีนแต่ก็ฉีดไม่ได้เพราะประชาชนไม่สมัครใจ ในหลายประเทศซึ่งมีวัคซีนพร้อม แต่มีประชาชนมากกว่าร้อยละ 50 ไม่สมัครใจที่จะฉีดนั่นก็คือสิ่งที่เป็นประเด็น” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

“อนุสรณ์” ชี้ ถ้ารัฐบาลไม่เร่งแก้รัฐธรรมนูญ ระวังจะอยู่ไม่ได้ ลั่นประชาชนให้โอกาสและรอรัฐบาลพิสูจน์ความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้า "พล.อ.ประยุทธ์" เบี้ยวครั้งนี้ อาจไม่มีโอกาสได้อยู่แก้ไขรัฐธรรมนูญอีกเลย

วันนี้ (4 มีนาคม 2564) นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี มีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) บางคนออกมาประกาศจุดยืนไม่เห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ วาระ 3 ที่เตรียมเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา ช่วงกลางเดือนมีนาคม หลังจากพ้นระยะเวลา 15 วัน ว่า อาจเป็นการออกมาโยนหินถามทางและส่งสัญญาณถึง ส.ว.ในเครือข่ายสืบทอดอำนาจระบอบประยุทธ์ ต้องการแสดงให้พวกเดียวกันเห็นว่าการที่มี ส.ว.ออกมาประกาศไม่ยอมรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถประกาศได้ ไม่ส่งผลกระทบใด ๆ เพื่อดึงดูดให้ ส.ว.คนอื่นๆกล้าออกมาประกาศ แลกกับการได้รับตำแหน่งเป็นการปูนบำเหน็จต่อไปเรื่อย ๆไม่จบไม่สิ้น

นายอนุสรณ์ กล่าวต่อว่า "ความจริงคนพวกนี้อยู่ในตำแหน่งทางการการเมืองโดยไม่ผ่านการเลือกตั้งมาสิบกว่าปี ฉายาสภาปรสิต ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วย คนกลุ่มนี้อาศัยห้อยโหนระบอบสืบทอดอำนาจ รอทำหน้าที่หลักคือโหวตเลือกพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีเท่านั้น หากรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไขเพิ่มเติมถูกคว่ำในกลางเดือนมีนาคม ทั้งอาจเกิดจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ หรือการลงมติของ ส.ว. 250 คน จะทำให้ประชาชนลุกฮือต่อต้านระบอบประยุทธ์ครั้งใหญ่ทั่วประเทศ

เพราะประชาชนหมดความอดทน รู้สึกเหมือนถูกหักหลังผิดหวังซ้ำซาก ทั้งที่รัฐบาลแถลงนโยบายให้เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายเร่งด่วนข้อที่ 12 แต่ไม่จริงใจและบ่ายเบี่ยงเรื่อยมา รวมทั้งอาจประเมินว่าแรงกดดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญนอกสภาเบาลง ซึ่งเป็นการประเมินผิดพลาดและดูเบาประชาชน"

“ใครทำอะไรไว้ ย่อมได้รับผลกรรมที่ก่อ ประชาชนให้โอกาสและรอรัฐบาลพิสูจน์ความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ถ้าพล.อ.ประยุทธ์ เบี้ยวครั้งนี้ อาจไม่มีโอกาสได้อยู่แก้ไขรัฐธรรมนูญอีกเลย” นายอนุสรณ์ กล่าว

นายกรัฐมนตรี สั่งกลาโหม เคลียร์ไอโอ กองทัพ หลังโดนเฟซบุ๊กไล่ปิดบัญชี เชื่อเชื่อมโยงประเด็นทางการเมือง

หลังจากวานนี้ (3 มี.ค.) เฟซบุ๊กออกแถลงการณ์ปิดบัญชีผู้ใช้งานจำนวน 185 บัญชี รวมถึงกลุ่มต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับไอโอซึ่งดำเนินการโดยกองทัพไทย โดยสำนักข่าวรอยเตอร์ได้รายงานอ้างคำกล่าวของหัวหน้าฝ่ายนโยบายความมั่นคงด้านไซเบอร์ของเฟซบุ๊กที่ระบุว่า "นี่เป็นครั้งแรกที่เราดำเนินการกับสิ่งที่เชื่อมโยงกับกองทัพไทย เฟซบุ๊กพบเห็นความเชื่อมโยงอย่างชัดเจนระหว่างปฏิบัติการนี้กับ กอ.รมน." และยังระบุด้วยว่าเครือข่ายดังกล่าวใช้เงินราว 350 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อโฆษณาบนเฟซบุ๊กและอินสตาแกรม

บัญชีที่ถูกระงับเนื่องจาก "มีพฤติกรรมการใช้งานคล้ายบัญชีปลอม" แบ่งออกเป็น บัญชีส่วนตัว 77 บัญชี, 72 เพจ, และ 18 กลุ่ม รวมถึงอีก 18 บัญชีบนอินสตาแกรม

เฟซบุ๊กกล่าวว่า บัญชีเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับกองทัพและมีกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ใช้งานในภาคใต้ของไทย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีความขัดแย้งยาวนานกว่า 10 ปี ระหว่างกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบกับรัฐไทย

ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึง กรณีเฟซบุ๊กปิดบัญชีและกลุ่มในเฟซบุ๊กที่เชื่อมโยงกับปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (ไอโอ) ในประเทศไทยที่เป็นของกองทัพ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่เฟซบุ๊กปิดบัญชีในไทยที่เกี่ยวโยงกับรัฐบาล ว่า...

“เรื่องนี้ได้มอบหมายให้กระทรวงกลาโหมไปติดตามแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่มีการพูดในสภาผู้แทนราษฎร จึงให้ไปติดตามดูว่ารายละเอียดเป็นอย่างไร ซึ่งหลายอย่างก็เป็นประเด็นทางการเมืองไปด้วย” นอกจากนี้ นายกฯ ยังได้ถามไปด้วยว่า “เฟซบุ๊กลักษณะเช่นนี้มีหลายทางด้วยกัน ซึ่งทุกคนก็ทราบดีอยู่แล้ว ย้ำว่า ได้สั่งการให้กระทรวงกลาโหมไปติดตามดู และทำให้เกิดความชัดเจนโดยเคลียร์ให้ชัดเจน”


ที่มา: https://www.posttoday.com/politic/news/647006

https://www.bbc.com/thai/56275989

ศาลอาญาไม่ให้ประกัน ‘เพนกวิน’ หลังแม่หอบเงินล้านบาทขอปล่อยตัว ชี้ผู้ร้องเคยยื่นหลายครั้งแล้ว รวมทั้งศาลอุทธรณ์ก็ไม่อนุญาต เนื่องจากเกรงจะไปก่อเหตุร้าย และไม่ได้กระทบต่อการศึกษาอย่างชัดเจน

ความคืบหน้ากรณีนางสุรีรัตน์ ชิวารักษ์ มารดาของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน เดินทางมายื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินจำนวน 1 ล้านบาท ขอปล่อยชั่วคราวนายพริษฐ์ ที่ไม่ได้รับการประกันตัว 2 คดี สำนวนแรกเป็นหมายเลขดำที่ อ.286/2564 ยื่นฟ้องนายพริษฐ์เป็นจำเลยเพียงคนเดียว กรณีชุมนุมม็อบเฟส เมื่อวันที่ 14 - 15 พ.ย. 2563 บริเวณแยกคอกวัว ถ.ราชดำเนิน สำนวนที่ 2 หมายเลขดำที่ อ.287/2564 ยื่นฟ้องนายพริษฐ์กับพวกเป็นจำเลย กรณีชุมนุม 19 กันยา ทวงอำนาจ เมื่อวันที่ 19 - 20 ก.ย. 2563 ที่ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ และสนามหลวง เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีลาออก, ขอให้มีการแก้รัฐธรรมนูญ และปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ อ้างเหตุผลว่านายพริษฐ์ หรือเพนกวิน กำลังจะใกล้สอบแล้วนั้น

ล่าสุด ศาลอาญาพิเคราะห์แล้วมีคำสั่งว่า คดีนี้ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวและศาลนี้ได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวผู้ร้องอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยให้เหตุผลว่า เกรงว่าจำเลยจะไปก่อเหตุร้ายอีก หลังจากนั้นผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวและอุทธรณ์คำสั่งขอปล่อยชั่วคราวอีกหลายครั้ง

ทั้งนี้ศาลเห็นว่าการที่ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวและได้ให้เหตุผลไว้แล้ว โดยศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ย่อมเป็นการยุติว่าคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวของศาลชั้นต้นนั้นถูกต้องแม้กฎหมายจะอนุญาตให้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวใหม่ได้ แต่การยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวใหม่ ซึ่งจะมีผลให้ศาลเปลี่ยนแปลงคำสั่งได้นั้น ต้องปรากฏว่าเป็นกรณีที่มีพฤติการณ์แห่งคดีได้เปลี่ยนแปลงไปไม่ว่าในเหตุลักษณะคดี เช่น มีการรวบรวมพยานหลักฐานแล้วปรากฏพยานหลักฐานเพิ่มเติมตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108 อนุสอง หรือมีพฤติการณ์เกี่ยวกับจำเลยอันแสดงว่าจำเลยนั้นจะไม่หลบหนีหรือไม่สามารถไปก่อเหตุร้ายอื่นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

หากไม่มีข้อเท็จจริงในทางคดีที่เปลี่ยนแปลงไปย่อมไม่มีเหตุที่ศาลจะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้ ศาลไม่จำต้องระบุเหตุผลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108/1 ใหม่ เพราะเท่ากับจะเป็นการคัดลอกข้อความที่ศาลนี้และศาลอุทธรณ์ได้เคยมีคำสั่งไว้แล้ว ยิ่งเมื่อศาลนี้ได้มีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว

ศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งยืนตามต่อเนื่องกันมาหลายครั้ง หากศาลจะมีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งโดยไม่มีเหตุ ย่อมเป็นการวินิจฉัยคดีตามอำเภอใจไม่เป็นแนวทางที่ชอบด้วยกฎหมาย

ส่วนที่ผู้ร้องอ้างว่าจำเลยที่ 1 อาจเจ็บป่วยเพราะมีโรคประจำตัวนั้น ขณะนี้ยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 มีอาการเจ็บป่วยจริงจนถึงขนาดไม่สามารถรักษาพยาบาลภายในเรือนจำได้ ส่วนที่จำเลยที่ 1 เป็นนักศึกษานั้นมีเพียงเหตุผลให้คาดคะเนได้ว่าจะไม่สะดวกในการศึกษาเล่าเรียนเท่านั้น ยังไม่มีข้อเท็จจริงชัดเจนว่าจะกระทบต่อการเรียนของจำเลยที่ 1 อย่างชัดเจนร้ายแรงอย่างไร

ส่วนการดูแลครอบครัวและการประกอบอาชีพของจำเลยอื่นก็เป็นเหตุความขัดข้องทั่วไปของบุคคลซึ่งต้องคดียังไม่มีข้อเท็จจริงที่เป็นรูปธรรมว่าจำเลยทั้งหมดได้รับความเสียหายเป็นพิเศษจนถึงขนาดที่จะมีผลเพราะให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมที่ศาลสั่งไว้โดยชอบแล้ว ยกคำร้อง


ที่มา: https://mgronline.com/crime/detail/9640000021155

“กอ.รมน.” แจง ใช้โซเชียล สร้างการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร แก้ไขปัญหาได้ตรงตามความต้องการของปชช. ชี้กรณีเฟซบุ๊กลบบัญชี เป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวองค์กร

เมื่อวันที่ 4 มี.ค.ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณา(กอ.รมน.) พล.ต.ธนาธิป สว่างแสง โฆษก กอ.รมน. ได้เปิดเผยว่า ตามที่สำนักข่าวรอยเตอร์ ได้นำเสนอข่าวการสั่งปิด Facebook และปิดบัญชีรวมทั้ง Page Facebook โดยได้ลบ 185 บัญชี และกลุ่มที่ตรวจจับได้ว่าสมัครเข้ามาเพื่อปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร หรือ IO มีส่วนเชื่อมโยงกับกองทัพไทย และกอ.รมน. ได้โพสเนื้อหาสนับสนุนกองทัพ, สนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์, เรียกร้องความสงบสุขให้เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้, โจมตีกลุ่มแบ่งแยกดินแดน โดยไม่ได้เปิดเผยว่าบัญชีเหล่านี้เกี่ยวข้องกับหน่วยงานรัฐ นั้น

กอ.รมน.ขอชี้แจงให้ได้รับทราบว่า กอ.รมน.ไม่ทราบถึงการถูกถอดบัญชี Facebook ตามที่เป็นข่าว เนื่องจากการใช้งานของเฟซบุ๊ก (Facebook) เป็นบัญชีส่วนบุคคล ไม่มีความเกี่ยวข้องกับองค์กร (กอ.รมน.) การลบบัญชีจากเฟซบุ๊ก ถือเป็นการลบบัญชีส่วนบุคคล ปัจจุบันเฟซบุ๊กของ กอ.รมน. ยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ

พล.ต.ธนาธิป กล่าวอีกว่า กอ.รมน. ไม่มีนโยบายให้หน่วยดำเนินงานตามที่เป็นข่าว จากนโยบายของ กอ.รมน. มีหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงานกลางขับเคลื่อนประสานงาน ในการช่วยเหลือ บรรเทาทุกข์ให้กับประชาชน เพื่อเป็นที่พึ่งของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากความเดือดร้อน ซึ่งกอ.รมน.ได้ยึดถือเป็นแนวทางการปฏิบัติงานมาโดยตลอด

และ การใช้งานของโซเชียลมีเดียของ กอ.รมน. มีวัตถุประสงค์เพื่อประชาสัมพันธ์ กิจกรรม ผลงาน ของ กอ.รมน. สร้างการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ให้กับประชาชนได้อย่างรวดเร็ว พร้อมรับทราบ ความต้องการของประชาชน เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น ให้กับประชาชนได้ตรงตามความต้องการ และสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ให้ดีขึ้น เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ปัจจุบัน กอ.รมน.ได้มี  Call Center 1374  รับแจ้งเหตุความมั่นคง เป็นอีกช่องทางหนึ่ง ที่จะทำให้การดำเนินชีวิตของประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

ฝ่ายค้านไม่ตัดใจ เชื่อ ‘แอมมี่’ อาจบริสุทธ์ หลังเลขาฯ เพื่อไทย ติดใจเพลิงไหม้พระบรมฉายาลักษณ์ อาจแค่ลุกลาม ส่วนก้าวไกล ชี้ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าแอมมี่ทำผิด

ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีศาลอาญาออกหมายจับ นายไชยอมร แก้ววิบูลย์พันธุ์ หรือ ‘แอมมี่ The bottom blues’ คดีเกี่ยวกับการเผาทำลายทรัพย์สินของทางราชการที่หน้าเรือนจำกลางคลองเปรมนั้น พรรคฝ่ายค้านจะให้การช่วยเหลือหรือยื่นประกันตัวหรือว่า

“เท่าที่ตนทราบข่าวล่าสุด ยังไม่ยืนยันว่าควบคุมตัวหรือยัง อีกทั้งทางตำรวจยังไม่แถลงข่าวการจับกุม หากมีการจับกุมที่ชัดเจน คงจะต้องมีการหารือเพื่อช่วยเหลือในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งต้องดูข้อกล่าวหาและประเด็นต่างๆ เพราะจากการติดตามข่าว คือ มีเหตุเพลิงไหม้ และ ‘ลุกลาม’ ไปถึงพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งในเรื่องนี้เป็นประเด็นละเอียดอ่อน ซึ่งเราก็จะพิจารณาอย่างรอบคอบ”

ด้าน นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล กล่าวด้วยว่า ขณะนี้เรื่องดังกล่าวยังอยู่ใน ‘ขั้นกล่าวหา’ ยังไม่มีหลักฐานชัดเจนว่านายไชยอมรทำผิดตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ อย่างไรก็ตามในอดีตที่ผ่านมาที่ ส.ส.พรรคก้าวไกลเข้าไปมีบทบาทในการช่วยประกันตัว เป็นการทำในฐานะประกันสิทธิในกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาได้โอกาสออกมาต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ส่วนจะถูกหรือผิดก็ว่าไปตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งเรามีจุดยืนที่ว่าเราควรเคารพสิทธิในกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรมของทุกฝ่าย และให้สันนิษฐานว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำวินิจฉัยจนถึงที่สุด
.
“เรื่องนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นปัญหาความขัดแย้งทางความคิดไปแล้ว เราอยากให้รัฐบาลและผู้มีอำนาจคิดต่อประเด็นการชุมนุมที่ผ่านมา การแสดงออกทางการเมืองที่ผ่านมา ในฐานะที่เป็นความขัดแย้งทางความคิด ทั้งนี้ เมื่อเป็นความคิดเห็นแตกต่างทางการเมืองก็ควรใช้กระบวนการทางการเมืองในการแก้ปัญหา ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถยุติหรือมีทางออกได้ หากใช้กฎหมายปราบปรามอย่างเข้มงวดโดยมองเหมือนปัญหาการก่ออาชญากรรม ก่อคดีอาญาปกติ แต่เรื่องนี้เป็นปัญหาความขัดแย้งทางความคิด”
 


ที่มา: https://siamrath.co.th/n/224477

ดาบตำรวจ สน.วังทองหลาง คุมม็อบบ้านนายกฯ 28 ก.พ.64 ติดโควิด-19 ก่อนมาถูกสั่งกักตัวแล้วคาดเช็คไทม์ไลน์ อาจจะติดจากกลับเยี่ยมบ้านสมุทรสาคร

เมื่อวันที่ 4 มี.ค.64 พ.ต.อ.เอกภพ ตันประยูร ผกก.สน.วังทองหลาง เปิดเผยว่า จากการตรวจหาเชื้อโควิด-19 เบื้องต้นของดาบตำรวจชุดควบคุมฝูงชน สน.วังทองหลาง พบว่า ติดเชื้อโควิด-19 ขณะนี้ให้กักตัวอยู่ที่พักเพื่อรอรถโรงพยาบาลมารับตัวไปตรวจซ้ำอีกครั้ง หากพบเชื้อต้องเข้าสู่กระบวนการกักตัวและรักษา

ดาบตำรวจรายนี้ได้กลับไปเยี่ยมบ้านที่จังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งเป็นพื้นที่สีแดง เมื่อวันที่ 18 ก.พ.64 และพบกับเพื่อนในละแวกบ้าน กระทั่งเมื่อวันที่ 3 มี.ค.64เพื่อนได้โทรมาแจ้งว่าติดเชื้อโควิด ดาบตำรวจจึงไปตรวจหาเชื้อและพบว่าติดโควิด-19

พ.ต.อ.เอกภพ ยังระบุว่า ขณะนี้ได้สั่งทำความสะอาดพื้นที่บริเวณโรงพัก และสิ่งของที่ดาบตำรวจสมยศสัมผัสทั้งหมด พร้อมสั่งกักตัวชุดควบคุมฝูงชนที่ใกล้ชิดดาบตำรวจแล้ว

ทั้งนี้ดาบตำรวจได้ปฎิบัติหน้าที่ควบคุมฝูงชนในหลายพื้นที่ รวมทั้งล่าสุดที่พล.1 รอ.ถนนวิภาวดี เมื่อวันที่ 28 ก.พ.64

สำหรับไทม์ไลน์มีดังนี้

18 ก.พ. กลับบ้านกระทุ่มแบนแวะพบเพื่อนที่ติดเชื้อก่อนหน้า แล้วกลับกรุงเทพฯ
19 ก.พ. ไปควบคุมฝูงชนที่รัฐสภา รถควบคุมผู้ต้องหาเล็ก
20 ก.พ. ไปคุมฝูงชนรัฐสภา รถควบคุมผู้ต้องหาเล็ก
21 ก.พ. เวรพัก อยู่บ้าน
22 ก.พ. เวรพัก อยู่บ้าน
23 ก.พ. มาเข้าเวร สน. 08.00-16.00 กลับบ้าน
24 ก.พ. มาเข้าเวร สน. 08.00-16.00 กลับบ้าน
25 ก.พ. มาเข้าเวร สน. 16.00-24.00 กลับบ้าน
26 ก.พ. มาเข้าเวร สน. 16.00-24.00 กลับบ้าน
27 ก.พ. ไปควบคุมฝูงชน กก.สวัสดิภาพเด็กและสตรี
28 ก.พ. ไปควบคุมฝูงชนที่ พล.1 รอ. รถควบคุมผู้ต้องหาเล็ก
1 มี.ค. ไปเตะบอล ที่ รฟม. พระรามเก้า
2 มี.ค. เพื่อนในกลุ่มโทรบอกว่าติดเชื้อ เลยไปตรวจที่ รพ.รามคำแหง 15.30 และมากักตัวที่แฟลตตำรวจ
3 มี.ค. ผลเบื้องต้นเป็นบวก = กักตัว


ที่มา:
https://www.posttoday.com/politic/news/647008

ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ชี้ถ้าจะฉีดวัคซีนโควิดสร้างภูมิคุ้มกันกลุ่ม ต้องฉีดให้ประชากรในประเทศเกือบ 50 ล้านคน วัคซีนที่ใช้จะต้องมีร่วม 100 ล้านโดส ขณะที่ประเทศไทยเตรียมวัคซีนไว้ประมาณ 63 ล้านโดส จึงยังไม่เพียงพอ

เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 64 นายแพทย์ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan หัวข้อ วัคซีนโควิด จำนวนผู้ฉีดวัคซีนเท่าไหร่จึงจะเกิดภูมิคุ้มกันกลุ่ม ดังนี้..

ภูมิคุ้มกันกลุ่ม จะช่วยป้องกันการระบาดของโรคที่ติดต่อระหว่างคนสู่คน

การจะป้องกันได้ จะขึ้นอยู่กับว่าโรคนั้น ติดต่อง่ายหรือยาก

โรคติดต่อง่าย ก็จะต้องการภูมิคุ้มกันกลุ่ม ในอัตราที่สูง

โรคติดต่อยาก ก็จะใช้อัตราภูมิคุ้มกันกลุ่มที่ต่ำกว่า

โควิด 19 มีอัตราการติดต่อปานกลาง

เมื่อคำนวณภูมิคุ้มกันกลุ่มที่ต้องการ จะพบว่าอยู่ประมาณ 60%

การให้วัคซีนโควิด ประสิทธิภาพในการสร้างภูมิต้านทาน ไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

ถ้าสมมุติว่าวัคซีนโควิด มีการสร้างภูมิต้านทานป้องกันโรคได้ 80%

จำนวนผู้ที่จะต้องฉีดวัคซีน ให้เกิดภูมิคุ้มกันกลุ่ม จะมากกว่า 60% ขึ้นไปอีก จะอยู่ที่กว่า 70%

ดังนั้นการให้วัคซีนในประชากรไทย เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันกลุ่ม ซึ่งในอนาคต จะต้องรวมเด็กด้วย และชาวต่างชาติทั้งหมด ที่อยู่ในประเทศไทย คิดยอดรวมประมาณ 70 ล้านคน

ภูมิต้านทานไม่ว่าจะจากการติดเชื้อ หรือการได้รับวัคซีน ที่เกิดขึ้นต้อง เกือบ 50 ล้านคน

ดังนั้น ความต้องการในการฉีดวัคซีนทั้งประเทศ ถ้าคนละ 2 เข็ม วัคซีนที่ใช้ก็จะต้องใช้ ร่วม 100 ล้านโดส ถ้าขณะนี้ยังไม่นับเด็ก ก็จะต้องใช้ถึง 85 ล้านโดส

ประเทศไทยเตรียมวัคซีนไว้ประมาณ 63 ล้านโดส จึงยังไม่เพียงพอ ยังต้องมีการหาวัคซีนเพิ่มเติม อีกเป็นจำนวนมาก

กลุ่มประชากรเด็ก จะเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จะต้องได้รับวัคซีน จนกว่าจะมีการศึกษาขนาด และวิธีการใช้ เพื่อป้องกันการระบาดของโรค

และในอนาคตในปีหน้า ก็ยังไม่ทราบว่า มีความจำเป็นต้องกระตุ้นเพิ่มอีกหรือไม่

การให้วัคซีน ในหมู่มากสำหรับประเทศไทย มีความจำเป็นอย่างเร่งด่วน เพื่อยุติ วิกฤตการระบาดของโรค ให้ได้อย่างรวดเร็ว ชีวิตความเป็นอยู่และสังคม จะได้กลับคืนสู่ภาวะปกติโดยเร็ว

สุดฮือฮา เมื่อ “มวยไทย” กีฬาประจำชาติไทย ถูกบรรจุเข้าเป็นหนึ่งในชนิดกีฬาของมหกรรมกีฬา “ยูโรเปียนเกมส์ 2023” ที่ประเทศโปแลนด์ นับเป็นครั้งแรกที่มวยไทยถูกบรรจุเข้าไปในมหกรรมนี้

เรื่องนี้ ได้รับการยืนยันจาก สหพันธ์มวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ (IFMA) ในฐานผู้กำกับดูแลเรื่องกีฬามวยไทย ที่อนุญาติให้นักกีฬาสามารถเข้าแข่งขันได้ เปิดเผยว่า คณะกรรมการโอลิมปิกยุโรป (อีโอซี) ได้บรรจุชนิดกีฬาที่ไม่มีจัดแข่งขันในโอลิมปิกเกมส์เพิ่มเติม เพื่อเปิดเวที และสร้างโอกาส รวมทั้งประสบการณ์ให้นักกีฬา ได้แสดงความสามารถในชนิดกีฬาต่าง ๆ ให้ทั่วโลกได้เห็น

โดย มวยไทย ถือเป็นกีฬาที่เติบโตเร็วในทวีปยุโรปทั้งกลุ่มของนักกีฬาและผู้ชมที่เพิ่มขึ้นทุกปี ซี่งการแข่งขันครั้งนี้ จะมีชิงเหรียญทองประกอบด้วย ประเภทชาย 7 รุ่น ประเภทหญิง 7 รุ่น และประเภททีมผสม

สำหรับการแข่งขัน “ยูโรเปียนเกมส์ 2023” นั้น เป็นมหกรรมกีฬาระหว่างประเทศในทวีปยุโรป ที่จัดต่อเนื่องทุก 4 ปี ซึ่งดำเนินการแข่งขันมาแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งต่อไปจะจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 9 - 25 มิ.ย. 2023 ที่ เมืองคราคอฟ ประเทศโปแลนด์ โดยมี 50 ชาติในยุโรปเข้าร่วมแข่งขัน

ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่จะทำให้คนทั่วโลก ได้รู้จักมวยไทยมากขึ้นกว่าเดิมด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top