Tuesday, 17 June 2025
Politics

เริ่มฉีดวัคซีนโควิดจังหวัดเป้าหมาย ประเดิมสมุทรสาครนำร่องจังหวัดแรก ‘เสี่ยหนู’ ลงพื้นที่ให้กำลังใจย้ำคนไทยได้ฉีดฟรี

‘เสี่ยหนู’ อนุทิน ชาญวีรกูล ลงพื้นที่สมุทรสาคร ตรวจเยี่ยมฉีดวัคซีนโควิดพื้นที่จังหวัดเป้าหมาย นำร่องแห่งแรก พร้อมย้ำคนไทยจะต้องได้ฉีดวัคซีนฟรีทุกคน

เมื่อเวลาประมาณ 10.00 น. ของวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขพร้อมคณะ ลงพื้นที่โรงพยาบาลสมุทรสาคร ต.มหาชัย อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เพื่อตรวจเยี่ยมการบริหารจัดการวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ( COVID-19) และการฉีดวัคซีนเข็มแรกของจังหวัดสมุทรสาคร โดยมีนายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร เป็นผู้ฉีดวัคซีนเข็มแรกของจังหวัดสมุทรสาคร

นอกจากนี้ยังมีการฉีดวัคซีนในกลุ่มเป้าหมายนำร่องในพื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร อาทิ เจ้าหน้าที่แพทย์ พยาบาล บุคลากรทางการแพทย์ ผู้บริหารจังหวัด ทหาร ตำรวจ เจ้าหน้าที่ด่านหน้า อาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ตัวแทนผู้ประกอบการ ผู้แทนแม่ค้าในตลาด ฝ่ายปกครอง คณะกรรมการโรคติดต่อ ผู้มีโรคประจำตัว และ ผู้แทนประชาชนในพื้นที่เสี่ยง เป็นต้น รวมจำนวนทั้งสิ้น 159 คน

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า วันนี้ตนพร้อมผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขภายหลังจากที่ฉีดวัคซีนโควิด 19 แล้วนั้น ก็ได้มาสังเกตการณ์และให้กำลังใจผู้ที่จะได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ในจังหวัดสมุทรสาคร ซึ่งถือว่าเป็นชุดแรก หรือชุดนำร่องในพื้นที่จังหวัดเป้าหมาย โดยทางจังหวัดสมุทรสาครมีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการให้บริการวัคซีน เพื่อทำให้มั่นใจว่าเราสามารถควบคุม การแพร่ระบาดของเชื้อโรคโควิด-19ได้ วัคซีนที่ได้นำมาฉีดให้กับจังหวัดสมุทรสาครในล็อตแรกนี้ เป็นวัคซีนยี่ห้อซิโนแวค ผลิตในประเทศจีน เป็นวัคซีนที่มาเป็นล็อตแรกจำนวน 200,000 โดส ซึ่งแม้จะเกิดวิกฤติที่ไม่มีใครอยากให้เกิด แต่วิกฤติของจังหวัดสมุทรสาคร ก็นับเป็นโอกาสและเหตุผลหลักที่ทำให้ประเทศไทยต้องรีบจัดหาวัคซีนซิโนแวคจากจีนเข้ามา เพื่อรองรับสถานการณ์ เพื่อหยุดยั้งการแพร่กระจายของโรคในขั้นต้น โดยหลังจากนี้ในเดือนมีนาคมก็จะมีวัคซีนซิโนแวคเข้ามาอีก 8 แสนโดส และในเดือนเมษายนอีก 1 ล้านโดส ส่วนวัคซีนแอสตราเซนเนก้าที่ผลิตในประเทศไทย ตามที่ได้รับรายงานทราบว่า ขั้นตอนหรือกระบวนการผลิตเป็นไปตามที่คาดหมายทุกประการ และมีบางประเด็นที่ดีกว่าการคาดหมาย

นายอนุทินฯ กล่าวอีกว่า สำหรับการระบาดของเชื้อโควิด 19 ในจังหวัดสมุทรสาครนั้น ทำให้เห็นถึงศักยภาพและความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุข ที่ทุกคนได้พยายามร่วมกันที่จะแก้ไขปัญหาในทุกรูปแบบ และฝ่าฝันวิกฤตินี้ไปให้ได้ จนกระทั่งปัจจุบันจะเป็นได้ว่า การแก้ปัญหาที่เราดำเนินการมานั้นถูกทางและเห็นผลชัดเจนมากขึ้นเรื่อย ๆ จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่ลดลง อีกทั้งข่าวดีที่หลายคนรอฟังก็คือ อาการของท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ที่ขณะนี้ต้องเรียกว่าหายจากอาการเจ็บป่วยแล้ว คงเหลือเรื่องของการฟื้นฟูสภาพร่างกายเท่านั้น

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า สำหรับวัคซีนป้องกันโควิด 19 ในประเทศไทยนั้นไม่ว่าจะเป็นชนิดไหน ถ้าเป็นประชากรคนไทยจะต้องได้รับการฉีดวัคซีนฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เพราะถือเป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของรัฐบาลไทย หากสถานบริการหรือโรงพยาบาลใดทั้งของรัฐและเอกชน เรียกเก็บเงินจากการฉีดวัคซีนนี้ ก็ขอให้รีบแจ้งทางผู้ว่าราชการจังหวัด รองผู้ว่าฯ หรือสาธารณสุขจังหวัดให้ได้รับทราบ เพื่อดำเนินการทางกฎหมายทันที

ทางด้าน นายธีรพัฒน์ คัชมาตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร กล่าวว่า การฉีดวัคซีนในครั้งนี้ความรู้สึกที่ได้ฉีดวัคซีนนั้นเหมือนฉีดวัคซีนปกติทั่วๆไปไม่มีความเจ็บปวดอะไร โดยระบบการฉีดวัคซีนนั้นจะมีขั้นตอนของสาธารณสุขที่กำหนดไว้ทั้งการลงทะเบียน มีการเซ็นยินยอม การรับใบนัดในการฉีดครั้งต่อไปเนื่องจากว่าวัคซีนนี้ต้องฉีด 2 เข็ม มีระยะเวลาห่างกันประมาณ 3 สัปดาห์ ซึ่งความเชื่อมั่นสำหรับวัคซีนนั้น วัคซีนถือว่าเป็นอีกหนึ่งในการที่จะช่วยกันแก้ไขปัญหาโควิด-19ได้ ดังนั้นพี่น้องประชาชนจงเชื่อมั่นว่าวัคซีน-19 ตัวนี้ เป็นที่รัฐบาลต้องการฉีดให้ฟรีกับคนไทยทุกๆคน ดังนั้นอยากจะฝากถึงพี่น้องประชาชนขอให้มั่นใจได้ว่า เราฉีดวัคซีนตัวนี้แล้วน่าจะช่วยในเรื่องการควบคุมการระบาดของเชื้อโควิด-19 เป็นอย่างดี และก็อยากจะฝากไปถึงท่านวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ขอให้ท่านแข็งแรงโดยเร็ววัน

โดยสถานการณ์ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วในเขตจังหวัดสมุทรสาคร จำนวนผู้ติดเชื้อก็ลดน้อยลงและวัคซีนก็มาถึงจังหวัดสมุทรสาคร แล้วทั้งหมด 70,000 โดส ซึ่งจะฉีดได้ทั้งหมด 35,000 คน ในชุดแรกและชุดต่อไปก็จะตามมา จึงขอให้ท่านผู้ว่าฯสบายใจได้ เพราะทุกอย่างในสมุทรสาครนั้นควบคุมสถานการณ์ได้ดี และหวังว่าท่านคงจะหายกลับมาไวๆ และกลับมาปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดสมุทรสาครที่เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดที่น่ารักของพี่น้องประชาชนในเขตจังหวัดต่อไป


ชูชาต แดพยนต์ ทีมข่าวสมุทรสาคร

เปิดศูนย์ One Stop Service เราชนะ คลัง - มหาดไทยผสานช่วยกลุ่มเปราะบางลงทะเบียน เล็งขยายเวลาลงทะเบียนหากยังมีผู้ตกหล่นจำนวนมาก

‘บิ๊กตู่’ ย้ำมาตรการเยียวยาผลกระทบโควิด19 ต้องครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่ม ด้านคลัง-มหาดไทยจับมือเปิด One Stop Service เราชนะ อำนวยความสะดวกผู้ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ เผยหากพบผู้ตกหล่นจำนวนมาก อาจพิจารณาขยายเวลาลงทะเบียน

เมื่อวันที่ 28 ก.พ. น.ส. ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากที่พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม สั่งการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ดำเนินมาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อย่างครอบคลุมประชาชนทุกกลุ่มให้มากที่สุด

หลายหน่วยงานได้ปรับรูปแบบการดำเนินมาตรการต่างๆ ให้รับกับข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี โดยในส่วนของโครงการเราชนะ นอกจากการขยายเวลาการลงทะเบียนตามโครงการสำหรับกลุ่มประชาชนผู้ไม่มีสมาร์ทโฟนไปจนถึงวันที่ 5 มี.ค. จากเดิม 25 ก.พ. 2564 แล้ว กระทรวงการคลังได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย เปิดศูนย์อำนวยความสะดวก One Stop Service โครงการเราชนะแก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ในพื้นหน่วยงานภายใต้กระทรวงการคลัง ได้แก่ สำนักงานคลังจังหวัด สำนักงานสรรพสามิตพื้นที่ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ รวมถึงหน่วยรับลงทะเบียนของกระทรวงมหาดไทยทั่วประเทศ ซึ่งศูนย์อำนวยความสะดวกนี้จะให้บริการทุกเรื่องของโครงการเราชนะตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการร่วมโครงการแบบครบจบ ณ จุดเดียว

น.ส. ไตรศุลี กล่าวว่า ล่าสุด วันเดียวกันนี้ นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ได้ลงพื้นที่ 2 อำเภอของจังหวัดศรีสะเกษ เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานของจุดบริการ One Stop Service โครงการเราชนะ ได้แก่จุดบริการ ณ ที่ว่าการอำเภอกันทรลักษ์ และที่ว่าการอำเภอขุขันธ์ รวมทั้งได้ตรวจเยี่ยมสถานคุ้มรองคนไร้ที่พึ่งปรือใหญ่ อำเภอขุขันธ์ เพื่อรับทราบถึงปัญหา ข้อจำกัด การเข้าถึงมาตรการต่างๆ ของรัฐบาล ซึ่งในครั้งนี้ธนาคารกรุงไทยได้เข้ามาอำนวยความสะดวกรับลงทะเบียนเพื่อร่วมโครงการเราชนะให้แก่กลุ่มคนไร้ที่พึ่ง ณ สถานคุ้มครองคนไร้ที่พึ่งปรือใหญ่ด้วย

“จากการลงพื้นที่ของ รมว.คลัง ได้พบประเด็นปัญหาสำคัญเกี่ยวกับการลงทะเบียนของกลุ่มผู้ไม่มีสมาร์ทโฟนว่า ก่อนหน้านี้ประชาชนจำนวนมากไม่ทราบข้อมูลว่าสามารถลงทะเบียนด้วยบัตรประชาชน ณ สาขาธนาคารของรัฐได้ จึงได้ใช้สมาร์ทโฟนของลูกหลานลงทะเบียนเพื่อรักษาสิทธิ์ก่อน อย่างไรก็ตามวิธีนี้จะทำให้มีปัญหาการยืนยันตัวตน และไม่สะดวกในการใช้จ่ายเนื่องจากโทรศัพท์ไม่ได้อยู่กับเจ้าของสิทธิ์ ดังนั้นเพื่อแก้ไขปัญหาให้เกิดความสะดวก หากประชาชนที่ได้ลงทะเบียนด้วยโทรศัพท์ลูกหลานและได้รับสิทธิ์แล้วยังไม่ได้ยืนยันสิทธิ์ ให้ดำเนินการกดยกเลิกสิทธิ์ในแอปพลิเคชันเป๋าตัง หรือหากไม่สะดวกก็ให้นำบัตรประชาชนไปให้เจ้าหน้าที่ ณ One Stop Service โครงการเราชนะ ณ ที่ว่าการอำเภอ ดำเนินการให้ เมื่อแก้ไขแล้วก็สามารถใช้สิทธิผ่านบัตรประชาชนต่อไป ส่วนประชาชนที่ยังไม่ลงทะเบียนก็สามารถใช้บริการ One Stop Service โครงการเราชนะ ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่ให้คำแนะนำทุกขั้นตอน

ซึ่ง รมว. คลังได้ขอบคุณกระทรวงมหาดไทย หน่วยงานภายใต้กระทรวงการคลัง ธนาคารกรุงไทย ธ.ก.ส. ออมสิน และเจ้าหน้าที่ทุกๆ คนที่ร่วมเป็นกลไกขับเคลื่อนให้โครงการนี้ได้เข้าถึงประชาชนมากที่สุด พร้อมระบุว่าจะพิจารณาข้อมูลอีกครั้งหากยังเหลือผู้ตกหล่นจากการลงทะเบียนอีกมากก็อาจจะพิจารณาขยายระยะเวลาการลงทะเบียนออกไปจากเดิมภายในวันที่ 5 มี.ค. 2564” น.ส. ไตรศุลี กล่าว

‘พุทธิพงษ์’ โพสต์ภาพกราบพ่อ แม่ พร้อมระบายผ่านข้อความ ระบุ หมดแรง หมดใจ หมดศรัทธา แต่ย้ำว่าไม่เสียใจในสิ่งที่ทำด้วยสติ ความคิดและศรัทธา

#หมดแรงหมดใจหมดศรัทธา

#พุทธิพงษ์โพสต์ภาพกราบพ่อแม่

#พ้อสิ่งที่ทำมันไร้ค่าไร้ราคาสิ้นดี

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุข้อความ ว่า

“หมดแรง หมดใจ หมดศรัทธา เพราะสิ่งที่ทำมันไร้ค่า ไร้ราคาสิ้นดี?...”

ตลอดเวลา 20 ปีที่ผ่านมาได้ทำหน้าที่ผู้แทนของประชาชนด้วยความมุ่งมั่นและศรัทธา วันนี้คงได้เวลากลับไปดูแลคุณพ่อคุณแม่ ครอบครัว ลูกๆ...ขอบคุณในทุกๆกำลังใจที่มีให้ผมมาโดยตลอด จากนี้จะมีโอกาสได้ทบทวนตัวเอง มองไปข้างหน้า ไม่เสียใจในสิ่งที่ได้ทำ เพราะเราทำด้วยสติ ความคิดและศรัทธา เราจะทำหน้าที่ประชาชนที่ดีต่อไปด้วยความจงรักภักดีต่อ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ภูมิใจที่สุดที่ได้อยู่บนแผ่นดินไทยของพระองค์

#เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน


ที่มา : เพจ พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ https://www.facebook.com/BeePunnakanta/photos/pcb.2092035407594733/2092035354261405

นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ Thanathorn Juangroongruangkit (@Thanathorn_FWP) ถึงการชุมนุมเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 โดยระบุว่า .....

ผู้มีอำนาจไม่ต้องการให้ประชาชนออกมาเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ เขาต้องการกดขี่ประชาชนไว้เพื่อรักษาอำนาจของตนเองต่อไป - รัฐบาลที่ไม่สามารถดำรงไว้ซึ่งสิทธิเสรีภาพของประชาชน หนำซ้ำก่อความรุนแรงกับประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยของประเทศนี้ ย่อมเป็นรัฐบาลที่ล้มเหลว #ม็อบ28กุมภา

“บิ๊กป้อม” เสียใจตำรวจควบคุมฝูงชน เสียชีวิตจากเหตุการณ์ม็อบ REDEM ยันยังไม่ถึงขั้นให้ทหารเข้ามามีส่วนร่วมยังให้เป็นหน้าที่ของ ตร.จัดการ

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 1 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์การชุมนุมกลุ่มมวลชม REDEM ที่เกิดความวุ่นวายถึงขั้นการจราจร ว่า ก่อนอื่นต้องขอแสดงความเสียใจกับ ร.ต.อ.วิวัฒน์ สินเสริฐ สังกัด สน.ธรรมศาลา เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เสียชีวิต ซึ่งต้องเสียใจกับทางครอบครัวด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่เขาก็ตั้งใจทำงาน แต่เกิดอุบัติเหตุจนทำให้สูญเสียชีวิตและมีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บถึง 16 คน

ผู้สื่อข่าวถามว่าทำไมสถานการณ์เมื่อคืนวันที่ 28 กุมภาพันธ์เจ้าหน้าที่ถึงขั้นต้องใช้กระสุนยางเข้าดำเนินการกับกลุ่มผู้ชุมนุม พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ซึ่งเรื่องดังกล่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการชี้แจงแล้ว ซึ่งก็เป็นการดำเนินการตามขั้นตอน

เมื่อถามว่าการชุมนุมที่เกิดขึ้นปัญหาอยู่ที่ว่าไม่ปรากฏแกนนำ รองนายกฝ่ายความมั่นคงกล่าวว่า “แล้วผมจะทำอย่างไรได้ ก็เขาว่าเขาไม่มีแกนนำ”

เมื่อถามว่าหลังจากนี้จะมีมาตรการเด็ดขาดหรือสลายการชุมนุมหากมีบุคคลใดสร้างเงื่อนไขสถานการณ์ ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ต้องปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เขาว่ามาตรการต่าง ๆ ตามขั้นตอน แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะให้ทหารเข้ามามีส่วนร่วมในการดำเนินการ

ให้มันจบที่คุก !! บทเรียนราคาแพงของการต่อสู้ในระบอบการเมืองไทย 'สุริยะใส กตะศิลา' | Contributor EP.9

เมื่อการต่อสู้ทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องของคนที่มีอุดมการณ์เฉพาะกลุ่มอีกต่อไป . แต่เป็นเรื่องของผู้มีอุดมการณ์ที่หว่านเมล็ดพันธุ์พืชไว้หวังผล จนเกิดขึ้นมวลชนใหม่ ที่กำลังก่อสงครามทางความคิดระหว่างวัย ได้แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

เด็กยุคใหม่จะไม่มีวันฟังผู้ใหญ่ ที่มีเพียงถ้อยวลีแห่งการบีบบังคับ ออกคำสั่ง และหยามเหยียดความเป็นเด็ก . ผู้ใหญ่ยุคเก๋าจะไม่มีวันตอบรับเสียงสนอง เพียงแค่คำคึกคะนองอวดอ้างเสรีภาพแห่งประชาธิปไตย โดยไม่สนขนบเดิมที่เคยยึดกันมา

เส้นบรรจบตรงกลางที่ไม่มีวันพบเจอกัน เกิดจากเหตุใด?

THE STATES TIMES ชวนไปหาคำตอบกับ ‘บุคคล’ ที่เคยจ่ายบทเรียกร้องราคาแพง ภายใต้การต่อสู้ทางการเมือง ซึ่งจบลงที่ ‘คุก’ และเมื่อพ้นคุก ก็ได้ทิ้งไมค์การเมือง หันมาจับไมค์ทางการศึกษาในรั้วสถาบัน เพื่อนำประสบการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตมาช่วยเชื่อมความเห็นต่างระหว่างวัยในสังคมที่หาจุดร่วม ‘เคลียร์ๆ’ ไม่เจอ...

สุริยะใส กตะศิลา อดีตแกนนำและผู้ประสานงานเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ภายใต้บทบาทใหม่ คณบดี วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และ ผู้อำนวยการสถาบันปฏิรูปประเทศไทย(สปท.) มหาวิทยาลัยรังสิต 

.

.

‘บิ๊กตู่’ แจงเจ้าหน้าที่จำเป็นใช้มาตรการตามมาตรฐานสากล หลังม็อบใช้ความรุนแรงก่อน วอนสื่อนึกถึงบ้านเมืองนำเสนอข่าวสองทาง ลั่นไม่ว่าประชาธิปไตยแบบไหนก็ต้องมีกฎหมาย ยันไม่ละเมิดผู้ชุมนุม แต่ถ้าใครละเมิดกฎหมายต้องดำเนินการ

เมื่อวันที่ 1 มี.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงการชุมนุมของกลุ่ม REDEM ที่บริเวณหน้าบ้านพักวานนี้( 28 ก.พ.) มีเหตุความรุนแรงเกิดขึ้นว่า สื่อก็เห็นแล้วว่าเป็นความรุนแรง ดังนั้นต้องเสนอข่าวทั้งสองทางไม่ใช่บางสื่อเสนอข่าวเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้ความรุนแรงเพียงข้างเดียว แต่ภาพอีกฝ่ายกลับไม่นำมาออกเลย แบบนี้ตนว่าบ้านเมืองอยู่ไม่ได้ จึงขอร้องสื่อทุกสื่อด้วย ซึ่งตนก็ได้ติดตามอยู่

"ผมก็ติดตามอยู่ว่าทำไมออกข่าวข้างเดียวว่าตำรวจใช้ความรุนแรง ท่านไม่ดูก่อนหน้าที่จะเกิดการชุมนุมมีความรุนแรงเกิดขึ้น แรกๆก็โอเคเป็นไปตามปกติของเขา ท่านก็รู้อยู่แล้วเขาพูดจาอะไรก็เป็นเรื่องที่เขาทำถูกทำผิดก็ไปว่ากันมาตามกฎหมาย แต่ทั้งนี้มีการใช้ความรุนแรงเกิดขึ้นและมีการรุกเข้ามาในพื้นที่ของตำรวจ รุกเข้ามาในพื้นที่ที่เป็นพื้นที่หวงห้าม และมีการใช้กำลังทำร้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจเขาก็จำเป็นต้องใช้มาตรการตามมาตรฐานสากลออกไป ซึ่งถ้าเราไม่ทำแบบนี้มันจะอยู่กันยังไงประเทศชาติบ้านเมือง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า "ทั้งนี้ขอให้ทุกคนรวมทั้งสื่อต่าง ๆ ยึดถือบ้านเมืองเป็นหลัก ซึ่งตนจะไปบังคับไม่ได้อยู่แล้ว เพียงแต่ขอร้องว่าทำอย่างไรให้บ้านเมืองของเรามีความสงบและเคารพกฎหมาย เป็นไปตามกฎหมายของบ้านเมืองแค่นั้นเอง ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยแบบใดก็ตามต้องมีกฎหมายเพียงแค่นั้น ขณะเดียวกันก็มีการปฏิบัติดูแลคุ้มครองสิทธิในการสู้คดีอะไรต่าง ๆ โดยยืนยันว่าไม่ได้ละเมิดอะไรผู้ชุมนุม

แต่หากผู้ชุมนุมละเมิดกฎหมายก็เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการ ดังนั้นขอให้เห็นใจต้องให้พี่ตำรวจบ้างที่ทำงานหนัก อดทนและยังได้รับความรุนแรงที่เกิดขึ้นจนทำให้บาดเจ็บเสียหาย ซึ่งการทำลายข้าวของและทรัพย์สินราชการทำได้หรือไม่ หากเป็นการชุมนุมโดยสงบก็ว่ากันไปซึ่งการชุมนุมสงบหรือไม่สงบกฎหมายจะเป็นตัวตัดสินอยู่แล้ว"

เข้าโค้งสุดท้าย ! กรณ์ จาติกวณิช นำทีมพรรคกล้า เบอร์ 1 หาเสียงเลือกซ่อมเมืองคอน ชี้ไม่ใช่แค่เดินขอคะแนนเสียง แต่ต้องหาโอกาสให้ชาวบ้านในพื้นที่ ปั้นท่องเที่ยวชุมชน เติมเงินในกระเป๋าชาวบ้าน ชู "วังหอน - ชะอวด" เพชรเม็ดงามที่ถูกเก็บซ่อน

นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า กล่าวถึงการหาเสียงช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง ส.ส.นครศรีธรรมราชเขต 3 ว่า จริงๆ แล้วสำหรับพรรคกล้า ไม่ใช่แค่การหาเสียงอย่างเดียว เพราะคำว่า "หาเสียง" หมายถึงการขอคะแนนชาวบ้านให้มากที่สุด เพื่อทำให้ชนะการเลือกตั้ง

แต่เท่านั้นไม่พอ ในระหว่างที่มีโอกาสลุยทุกชุมชน ตนได้ย้ำกับผู้สมัครของพรรคกล้าคือ สราวุฒิ ปิง สุวรรณรัตน์ เสมอว่า ต้องหาโอกาสให้ชาวบ้านไปในตัว ต้องการให้ทุกคนได้กินดีอยู่ดี และมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น ดังนั้นทุกๆ กิจกรรมการหาเสียงจึงจะต้องเน้นไปที่ประเด็นเหล่านี้เป็นที่ตั้ง การลงพื้นที่ในนครศรีฯ เขต 3 ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา พบว่านอกจากมีปัญหาที่ต้องแก้ไขหลายจุดด้วยกันแล้ว ยังมีของดีที่ถูกซ่อนอยู่อีกมาก เปรียบเหมือนเพชรรอการเจียระไนให้โลกได้เห็น

“วันก่อนนี้ผมได้มีโอกาสไปหาเสียงที่ชุมชนบ้านวังหอน อำเภอชะอวด สองจุดสำคัญคือ ท่าน้ำลุงดม และ ล่องแพบ้านวังหอน ผมตะลึงกับความใสของน้ำ และความเงียบสงบของธรรมชาติ ความคิดแวบแรกของผมคือ ผมมาที่นครศรีฯ ก็หลายครั้งแล้ว แต่กลับไม่รู้เลยว่ามีสถานที่ดีๆ แห่งนี้อยู่" นายกรณ์ กล่าว

หัวหน้าพรรคกล้า บอกว่า ได้คุยกับเจ้าของทั้งสองแห่ง พวกเขาอยากให้สถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้เป็นที่รู้จัก ถ้าได้มีการโปรโมทดีๆ สักหน่อย ไปได้อีกไกลมาก เพราะนอกจากที่เที่ยวที่สวยงามแล้ว ยังมีที่พักที่ให้ค้างคืนได้ พักผ่อนอยู่ที่นี่สักคืนหรือสองคืน จะทำให้ชีวิตได้ชาร์จแบตเพื่อกลับไปทำงานได้อย่างสดชื่น จึงขออาสาเป็น Influencer เพื่อช่วยโปรมทให้ทุกคนได้รู้ว่า พื้นที่ นครศรีฯ อ.ชะอวด มีเพชรเม็ดงามที่ถูกซ่อนอยู่ พร้อมทั้งย้ำว่า

"7 มีนาคม เข้าคูหา กาเบอร์ 1 เพราะเมืองคอนต้องกล้าเปลี่ยน"

‘เบญจา ก้าวไกล’ ชี้ ประชาชนชุมนุมเพราะคาใจ ทำไม ‘บ้านประยุทธ์’ ไปอยู่ในเขตพระราชฐาน แนะควรใช้เหตุผลอย่าใช้กำลังตอบโต้ ย้ำ เป็นนายกฯ ต้องรักษาพระเกียรติ อย่าดึง ‘สถาบัน’ เป็นเกราะเพื่อรักษาอำนาจตัวเอง ย้ำไม่เห็นด้วยกับความรุนแรงไม่ว่ามาจากฝ่ายใด

เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า จากการเข้าร่วมสังเกตการณ์การชุมนุมเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา ขอยืนยันว่า การชุมนุมเมื่อวานนี้ (28 ก.พ.64) เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพปกติตามระบอบประชาธิปไตยที่สามารถทำได้ เพราะเป็นเพียงการแสดงออกเพื่อตั้งคำถามถึงกรณีบ้านพักของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่อยู่ในค่ายทหารซึ่งเป็นการรับประโยชน์อื่นใดที่ผิดกฎหมาย ปปช. และบังคับใช้กับนักการเมืองทุกคน แต่ทำไมจึงยกเว้นสำหรับนายกรัฐมนตรีคนนี้

นอกจากนี้ พวกเขายังมีคำถามถึงค่าน้ำค่าไฟที่มาจากภาษีประชาชน และยังมีคำถามว่าเหตุใดบ้านของนายกรัฐมนตรีจึงสามารถไปตั้งอยู่ในเขตพระราชฐานได้ สมควรย้ายออกมาหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าพวกเขาจะมีคำถามใด สิ่งที่คนเป็นนายกฯ ควรทำคือการให้คำตอบด้วยเหตุผลไม่ใช่ การล้อมรั้วลวดหนามและส่งกองกำลังมาสลาย ซึ่งในเรื่องนี้ ตั้งแต่มีการเปิดประเด็นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พวกเขาก็ยังไม่เคยได้รับคำชี้แจงที่ครบถ้วนจากนายกรัฐมนตรีเลย

เบญจา ยังกล่าวอีกว่า เป็นเรื่องที่น่าเสียใจที่การชุมนุมของประชาชนซึ่งเป็นการแสดงออกตามปกติกลับจบลงด้วยการใช้กำลังสลายการชุมนุม ซึ่งตนและพรรคก้าวไกลยืนยันว่า ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงไม่ว่ามาจากฝ่ายใด และเห็นว่าถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะต้องยินยอมเปิดพื้นที่ให้ทุกคนทุกฝ่ายสามารถแสดงออกและสามารถพูดคุยในประเด็นต่างๆรวมถึงประเด็นที่อ่อนไหวได้อย่างสันติ

อย่างไรก็ตาม ต่อกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ขอเรียกร้องไปยังเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมดูแลสถานการณ์ให้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยสติและมีเหตุผล ปฏิบัติโดยยึดหลักการควบคุมการชุมนุมสากลอย่างเคร่งครัด โดยเริ่มจากมาตราเบาไปหาหนัก ไม่ใช่การกระทำแบบเหตุการณ์เมื่อคืนนี้ ซึ่งปรากฏชัดว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยใช้ความรุนแรงเกินสัดส่วนการควบคุมสถานการณ์ ไม่ว่าการเข้าไปลากคนเจ็บมาจากหน่วยพยาบาลซึ่งไม่มีใครทำกันแม้กระทั่งในยามสงคราม การใช้แก๊สน้ำตาและยิงกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุมโดยตรงซึ่งอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ รวมถึงการเข้าไปทำร้ายไล่ล่าผู้ชุมนุมอย่างป่าเถื่อนเสมือนเป็นอริราชศัตรู

ทั้งนี้ ปฏิบัติการหลายอย่างยังดำเนินไปอย่างไร้มนุษยธรรม ในส่วนตัวจึงขอประณามการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐและเรียกร้องไปยังนายกรัฐมนตรีให้ตระหนักถึงต้นเหตุของปัญหา ซึ่งก็คือตัวท่านเองให้รับผิดชอบต่อทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนสถานการณ์จะบานปลายไปมากกว่านี้ ทั้งนี้ ตนและพรรคก้าวไกลจะมีการติดตามตรวจสอบการละเมิดสิทธิต่างๆเพื่อดำเนินการไปตามช่องทางต่างๆต่อไป

“ขอยืนยันอีกครั้งว่า ทุกตารางนิ้วของกองทัพมาจากภาษีของประชาชน ประชาชนจึงควรจะมีสิทธิโดยชอบในการตรวจสอบได้ แต่ที่ผ่านมาอย่าว่าแต่ผู้ชุมนุม แม้กระทั่ง ส.ส.เองก็ยังทำหน้าที่นี้ได้ด้วยความลำบากหรือแทบไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบกองทัพได้เลย จึงถึงเวลาแล้วที่สังคมไทยจะต้องตอบตัวเองให้ชัดว่าจะปล่อยให้กองทัพกลายเป็นแดนสนธยาแบบนี้ต่อไปหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเปลี่ยนพื้นที่กองทัพให้กลายเป็นเขตพระราชฐาน จะยิ่งทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ถูกยกเป็นเกราะกำบังให้แก่เรื่องที่ลี้ลับดำมืดจนยากจะตรวจสอบมากขึ้นไปอีก การกระทำเช่นนี้มีแต่จะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับประชาชนแย่ลง ทั้งนี้ การรักษาไว้ซึ่งพระเกียรติเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี โดยเฉพาะเมื่อควบตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมด้วยแล้วจึงยิ่งไม่บังควรอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดภาพแบบนี้ต่อสถาบันฯ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top