Sunday, 22 June 2025
Politics

เศรษฐา ทวีสิน ผู้นำแห่งปี

ภายหลังการแถลงนโยบายการทำงานของรัฐบาลต่อรัฐสภา เพื่อเริ่มต้นทำหน้าที่บริหารประเทศอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 11-12 ก.ย.66 ที่ผ่านมา...

‘นายเศรษฐา ทวีสิน’ นายกรัฐมนตรี ก็ถือเป็นอีกบุคคลที่เดินหน้าทำงานและขับเคลื่อนรัฐบาลให้เข้ามาแก้ปัญหาแก่พี่น้องประชาชนแบบทันทีทันใด ภายใต้การคลอดมาตรการและแนวทางช่วยเหลือประชาชน ฟื้นฟูเศรษฐกิจ ทั้งลดราคาน้ำมันดีเซล ลดค่าไฟฟ้า ยกเว้นวีซ่าให้นักท่องเที่ยวจีน รวมทั้งเร่งรัดนโยบายดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท และพักหนี้เกษตรกร ฯลฯ

แต่เศรษฐกิจไทยสะสมปัญหาและความเปราะบางมายาวนาน ขณะที่ ‘ค่าครองชีพ’ ยังคงสูงต่อเนื่อง ความท้าทายของ ‘ผู้นำ’ ของประเทศไทยท่านนี้ จึงไม่ใช่เรื่องง่าย ขณะเดียวกันก็เริ่มถูกวิพากษ์วิจารณ์ผลงานตามธรรมชาติของผู้นำไทยที่อาจไม่ถูกใจคนทุกกลุ่ม แต่แน่นอนว่า เมื่อจอดป้ายที่ตำแหน่งผู้นำของประเทศไทยแล้ว ก็มีแต่ต้องใส่เกียร์เดินหน้าลูกเดียว ถอยหลังไม่ได้อีก 

“ผมไม่ได้อยากเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะอยากมีตำแหน่งว่าเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งราชอาณาจักรไทย แต่ต้องการเป็นนายกรัฐมนตรีที่นำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง” หนึ่งในถ้อยคำของนายเศรษฐาที่เคยประกาศเป็นจุดยืนไว้ชัดตั้งแต่เปิดตัวเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย พร้อมทั้งกล่าวอีกว่า…

“ผมจะพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ลืมความเหน็ดเหนื่อย ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน...ผมเข้ามาตรงนี้เพราะอยากทำให้ประเทศชาติและเศรษฐกิจดีขึ้น เพิ่มรายได้ให้ประเทศ ให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น จากวันแรกที่ผมตัดสินใจจะทำจนถึงวันนี้ ผมมั่นใจที่จะทำเพื่อประเทศชาติเหมือนเดิม ย้ำอีกครั้ง ศัตรูของผม คือ ความยากจน”

คำมั่นสัญญาจากนายกฯ ที่ตัวสูงที่สุดในประวัติศาสตร์นายกฯ ไทย ผู้แบกรับภาระที่สูงไม่แพ้กันไว้บนบ่าจะเป็นดั่งว่าได้มากเพียงใด?

4 ปีนับจากนี้ ก็คงต้องจับตากันแบบไม่กะพริบ ว่าสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะการกระตุ้นเศรษฐกิจไทยให้เติบโตไม่แพ้เพื่อนบ้านตามวิสัยทัศน์ของ ‘นายกฯ เศรษฐา’ จะปรากฏได้อย่างจริงแท้เพียงใด?

แต่สำหรับมุมมองคนไทย ที่มิได้นำอคติทางการเมืองมาเจือปน ก็ขอรอพิจารณาคำมั่นสัญญาของ ‘ผู้นำประเทศไทย’ ท่านนี้ ที่ประกาศกร้าวว่า “จะขอทำหน้าที่นายกรัฐมนตรีที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เป็นรัฐบาลที่ทุ่มเททำงานหนัก รับฟังเสียงของประชาชน นำความสามัคคีกลับคืนสู่คนในชาติ ทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแห่งความหวังของคนรุ่นใหม่ เป็นดินแดนแห่งความสุขของคนทุกวัย เป็นประเทศที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีในเวทีนานาชาติอีกครั้ง สายรุ้งแห่งความหวังกำลังพาดผ่านประเทศไทย” … เฝ้าติดตามแบบคนไทยคนหนึ่งที่ขอให้กำลังใจมากกว่าทำลายพลังใจละกัน!!

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

แทนคุณ จิตต์อิสระ ผู้ยึดมั่นในอุดมการณ์แห่งปี

แม้วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ จะได้หัวหน้าพรรคคนใหม่ ภายใต้บรรยากาศภายในพรรคที่ยังคงคลุมเครือ และมีความห่วงใยในอุดมการณ์ของพรรคที่อาจเลือนหาย 

แต่กับชายคนนี้ ‘นายแทนคุณ จิตต์อิสระ’ หรือ ‘อี้ แทนคุณ’ รักษาการประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมระหว่างเพศ พรรคประชาธิปัตย์ เขายังคงเชื่อในอุดมการณ์แห่งพรรคการเมืองเก่าแก่แห่งนี้ และไม่เคยคิดที่จะหนีหายไปไหน แม้ในวันที่พรรคจะเจอหลากปัญหาถาโถมเพียงใดก็ตาม โดยคุณอี้ได้เปิดเผยความในใจว่า...

หากให้พูดถึง ทิศทางในอนาคตของ ‘ประชาธิปัตย์’ คงต้องมองที่ ‘เอกภาพทางความคิด’ ว่าจะเป็นไปในทิศทางใดมากกว่า โดยส่วนตัวของผมเองมองว่า พรรคประชาธิปัตย์ในวันนี้ ได้บทเรียนหลายประการจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา หรือแม้แต่การเลือกตั้งก่อนหน้านั้นก็ดี ว่า การที่เราไม่สามารถสร้าง ‘เอกภาพ’ หรือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันใน ‘ทางความคิด’ ได้ อาจจะเป็นปัญหาในอนาคต

แน่นอนว่า เราอาจจะภูมิใจว่า เราเป็นพรรคการเมืองที่มีเสรีภาพในการคิดหรือพูดได้อย่างมากมาย ซึ่งถือเป็นเรื่องดี แต่ในวันที่เราต้องเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน การมีเอกภาพทางความคิดสำคัญมากจริง ๆ เพราะเสรีภาพจากจำนวนคนในพรรค รวมถึงสมาชิกพรรคเรือนแสนคนนั้น มันอาจทำให้เราหลงทิศ 

เราฟังความคิดที่หลากหลายได้ครับ!!

แต่สุดท้าย!! เวลาที่ต้องตัดสินใจเรื่องใด ทุกคนที่เป็นเลือด ปชป.ควรมุ่งมั่นและมีวินัย ในการเดินหน้าตามครรลองของความเป็นพรรคแห่งที่มีความเชื่อมั่นจากประชาชนในด้าน ‘ความซื่อสัตย์’ ใช่หรือไม่? เรื่องนี้สำคัญ!!

คุณอี้ กล่าวต่อว่า 77 ปีของพรรคประชาธิปัตย์ ถ้าเปรียบเป็นต้นไม้ คือ ใหญ่มาก และสิ่งที่สำคัญต่อพวกเรามาก ๆ ในหลายปีที่ผ่านมา ก็คือ ‘ป่า’ ซึ่งป่าในที่นี้ก็คือ ‘ประชาธิปไตย’ และ ‘ประชาชน’ ที่สร้างเราให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ ภายใต้ความเชื่อมั่นว่า พรรคประชาธิปัตย์ คือ พรรคแห่งความซื่อสัตย์ ฉะนั้นต่อให้เราจะยืนหยัดมานานแค่ไหน แต่เราจะลืม ‘ประชาธิปไตย-ประชาชน’ ที่ปลุกปั้นให้เรามีตัวตนไม่ได้ 

ผมเชื่อว่า ‘ความสุจริต’ ประชาธิปไตยที่สุจริต จะเป็นจุดแข็งที่สุดของประเทศไทย เพียงแต่วันนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่า มันจะหายไปเพียงเพราะความเห็นแก่ผลประโยชน์เพียงชั่วขณะแค่ไหน

ทั้งนี้ อี้ แทนคุณ ยังกล่าวอีกว่า การได้อยู่กับพรรคที่มีอุดมการณ์ในแง่ของความรักชาติบ้านเมืองและมีความซื่อสัตย์สุจริตอย่างพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าพรรคอื่น ๆ ใช่ว่าจะไม่มีอุดมการณ์ที่กล่าวมานั้น สะท้อนให้เห็นผ่านการทำงานทั้งการเป็นฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านที่ไม่เคยมีข้อครหาในเรื่องของคอร์รัปชัน ซึ่งตรงนี้เป็นจุดแข็งและเป็นอุดมการณ์ที่มั่นคงของพรรคประชาธิปัตย์มายาวนาน และหวังให้ประเทศไทยใช้สิ่งนี้เป็นจุดแข็งของประเทศด้วยในอนาคต

อย่างตอนที่สมัยรัฐบาลท่านอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ตอนนั้นพอเกิดปัญหาแม้เพียงเล็กน้อย เช่น ปัญหาปลากระป๋องเน่า ท่านอภิสิทธิ์ก็ให้รัฐมนตรีที่ดูแลต้องรับผิดชอบด้วยการลาออกทันที ซึ่งภาพแบบนี้เราคงเคยเห็นที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นกันมาบ้าง ทั้ง ๆ ที่บางทีปัญหานั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับคน ๆ นั้นโดยตรง แต่ถ้ามันเกิดขึ้นในความรับผิดชอบของเขา ก็ต้องพร้อมจะโค้งคำนับและลาออกทันที ไม่ใช่โค้งคำนับแล้วก็ไม่ลาออกเหมือนนักการเมืองไทย นี่คือประชาธิปัตย์

ดังนั้น ส่วนตัวของผมเอง ก็อยากเห็น ประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคที่หล่อหลอมเรื่องเหล่านี้มายาวนาน จนกลายเป็นอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคที่ชัดเจน ไม่ปล่อยให้ ‘ความซื่อสัตย์’ นี้ เลือนหายไปในวันข้างหน้า

ผมขออนุญาตทิ้งท้ายไว้ด้วยคำกล่าวของ ท่านหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ว่า...

“ถนนทุกสายในเมืองไทย สามารถปูด้วยทองคําได้ ถ้าไม่มีการทุจริตคอร์รัปชัน”

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร นักการเมืองสายครีเอตแห่งปี

เป็นเรื่องที่เห็นได้ไม่บ่อยนักในหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่ ‘ผู้หญิง’ จะก้าวขึ้นมามีบทบาทสำคัญในแวดวงการเมือง อาจเพราะความเคยชินและการเหมารวมไปว่า ‘การเมือง’ เป็นเรื่องของ ‘ผู้ชาย’ ซึ่งถูกผูกโยงไปถึงเรื่องเพศ การต่อสู้ ฟาดฟัน และความแข็งแกร่ง

แต่ในปี 2566 ‘ผู้หญิง’ ที่ได้ก้าวขึ้นมามีบทบาททางการเมืองมากที่สุดคนหนึ่งก็คือ ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนสุดท้องของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีไทย ซึ่งก้าวเท้าเข้ามาแตะวงการการเมืองครั้งแรกเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2564 ในฐานะประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย

ในครั้งนั้นอุ๊งอิ๊งได้ให้สัมภาษณ์อย่างถ่อมตัวว่า “ไม่ได้เป็นนักการเมือง แต่ทำงานในฐานะที่ปรึกษาพรรค จะมาทำด้วยความตั้งใจอย่างเต็มที่ มาด้วยหัวใจที่อยากจะผลักดันให้คนรุ่นใหม่ได้มีโอกาสที่มากขึ้นกว่านี้ ส่วนโอกาสที่จะมาทำงานการเมืองต่อหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้ขอเป็นที่ปรึกษาพรรค และจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด นี่คือก้าวแรกที่ได้เป็นที่ปรึกษาก็ยังตื่นเต้น กลัวทำได้ไม่ดี ขอเอาตรงนี้ให้ดีที่สุดก่อน อย่างอื่นไว้ทีหลัง”

ภายหลังรับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม ก็ได้เดินหน้าลุยงานทันที โดยไปร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ และไอเดียใหม่ ๆ กับกลุ่ม UNISEC และกลุ่ม SpaceZap ซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนและผู้ที่มีความสนใจในด้านอวกาศ นอกจากนี้ยังคิดค้นนโยบาย ‘1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์’ ปลดปล่อยศักยภาพคนไทย สร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง อีกด้วย

และเมื่อประเทศไทยใกล้เข้าสู่ช่วงเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยก็จัดเคมเปญ ‘ครอบครัวเพื่อไทย’ ให้ว่าที่ผู้สมัคร สส. ของพรรค ได้มีส่วนร่วมในการ ‘หาสมาชิก’ เป็นฐานในการ ‘คัดคน’ ลงสมัครเลือกตั้ง ‘อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร’ จึงได้สวมหมวก ‘หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย’ อีกหนึ่งใบ โดยเปิดตัวที่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง

ต้องยอมรับว่า ‘อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร’ ทำหน้าที่ ‘หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย’ อย่างเต็มที่และสุดกำลังจริง ๆ เพราะขณะเดินสายหาเสียงทั่วประเทศ ก็กำลังตั้งครรภ์ลูกคนที่ 2 แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคในการเดินทางไปเหนือ อีสาน เพื่อพบปะพี่น้องประชาชน เพราะก็ยังคงทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม เพื่อหวังให้เกิดปรากฏการณ์ ‘แลนด์ไลด์ เพื่อไทยทั้งแผ่นดิน’

ในเวลาต่อมา พรรคเพื่อไทยได้เปิดรายชื่อ 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็มีชื่อ ‘แพทองธาร ชินวัตร’ ปรากฏเคียงคู่กับอีก 2 รายชื่อแคนดิเดตนายกฯ คือ เศรษฐา ทวีสิน และ ชัยเกษม นิติสิริ 

อย่างไรก็ตาม พรรคเพื่อไทยได้จังหวะผงาดจัดตั้งรัฐบาล พร้อมกับมี ‘เศรษฐา ทวีสิน’ เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 หลังจากนั้นนายแพทย์ ชลน่าน ศรีแก้ว ก็ประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ทำให้ตำแหน่งนี้ว่างลงอีกครั้ง

และเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2566 พรรคเพื่อไทย ได้จัดประชุมใหญ่วิสามัญ ประจำปี ครั้งที่ 1/2566 มีวาระสำคัญคือการเลือกกรรมการบริหาร (กก.บห.) ชุดใหม่ โดยในที่ประชุมมีมติโหวตให้ ‘อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร’ เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่งถือเป็นตำแหน่งทางการเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเธอเลยก็ว่าได้

ไม่เพียงแค่ได้เป็น ‘หัวหน้าพรรคเพื่อไทย’ เท่านั้น เธอยังนั่งตำแหน่ง ‘รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ว่าด้วยซอฟต์พาวเวอร์’ ซึ่งจะเดินหน้าผลักดันซอฟต์เพาเวอร์ไทยให้เลื่องลือไปทั่วโลก พร้อมขับเคลื่อนโครงการ 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ สร้างรายได้ให้ครัวเรือน และสร้างตำแหน่งงานของแรงงานทักษะสูงกว่า 20 ล้านตำแหน่ง 

นอกจากนี้ยังมุ่งผลักดันซอฟต์พาวเวอร์ไทยทั้ง 11 สาขา ภายใต้กรอบงบประมาณ 5,164 ล้านบาท โดยเน้นหนักไปที่ ‘อุตสาหกรรมเฟสติวัล’ ซึ่งจะประเดิมเทศกาลแรกคือ ‘World Water Festival’ มหาสงกรานต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก จัดที่ถนนราชดำเนิน และคาดว่าเงินจะสะพัดไม่ต่ำกว่า 35,000 ล้านบาท

ก็ต้องยอมรับเลยว่า นี่คือ ‘ภารกิจระดับชาติ’ ที่วางอยู่บนบ่าของ ‘ผู้หญิง’ ที่ชื่อ ‘อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร’ ก็หวังเหลือเกินว่า เธอจะใช้ความเป็นคนรุ่นใหม่ และวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนจากต่างประเทศ มาผนวกเป็นพลังส่วนหนึ่งในการพัฒนาประเทศ และจะ ‘คิดใหญ่-ทำเป็น’ ในเรื่องสร้างสรรค์ที่จะส่งผลดีต่อประเทศไทยในระยะยาว จนประสบผลสำเร็จอย่างมหาศาล 

…หากวันนั้นมาถึง ประเทศไทยก็จะก้าวสู่ประเทศที่ผู้คนทั่วโลกรู้จัก จดจำ และยอมรับมากยิ่งขึ้น

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

สลายขั้ว การเมืองไทย ‘เพื่อไทย’ ผนึก 2 ลุง เพื่อชาติ

ว่ากันว่าช่วงเวลา 79 วัน ตั้งแต่หลังเลือกตั้ง 66 ถือเป็นช่วงเวลาที่ ‘เพื่อไทย’ น่าจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ทางออกประเทศไทย หลังผลการเลือกตั้งออกมาในทิศทางที่ทำให้ประเทศชาติเดินหน้าได้อย่างมากที่สุด

การหักอก ‘ก้าวไกล’ อาจจะเป็นการตัดสินใจที่ยาก แต่เมื่อเงื่อนไขของพรรคก้าวไกลที่ยังรั้นกับการดัน 112 แบบสุดซอย ก็จำเป็นที่จะต้องผ่าทางตันประเทศ ด้วยการตัด ‘ก้าวไกล’ ออกจากสมการทางการเมือง

การประกาศ ‘ถอนตัว’ ของพรรคเพื่อไทยจากเอ็มโอยู และเดินหน้าไปจับขั้วกับพรรคการเมืองที่บรรลุข้อตกลงเดียวกันอย่างชัดเจน คือ ‘ไม่แตะต้อง 112’ จึงเหมือนเป็นการผลักพรรคก้าวไกลให้ต้องไปนั่ง ‘ฝ่ายค้าน’ โดยปริยาย ซึ่งแม้เรื่องนี้จะไม่เกินความคาดหมายของคอการเมือง แต่ก็ต้องยอมรับว่า นี่คือจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ของการสร้างความสมานฉันท์แก่ประชาชนคนไทยที่แตกแยกทางความคิดกันมานานร่วม 2 ทศวรรษ

ว่าแต่ ระหว่าง 79 วันของ ‘พรรคเพื่อไทย’ และ ‘พรรคก้าวไกล’ มีเหตุการณ์สำคัญใดเกิดขึ้นบ้าง ที่ทำให้ ‘ความชื่นมื่น’ แปรเปลี่ยนไปสู่การ ‘พลิกขั้ว’ ไปสู่ความเป็นหนึ่งของประเทศชาติ…วันนี้เราจะลองมาทบทวนเหตุการณ์ช่วงนั้นกันดู...

>>เดือนพฤษภาคม 2566

(14 พ.ค. 66) เลือกตั้งรัฐบาล พรรคก้าวไกลชนะเลือกตั้งได้ 151 เสียง

(15 พ.ค. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แถลงชัยชนะ และพร้อมเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย

(18 พ.ค. 66) นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และอีก 6 พรรคหารือจับขั้วตั้งรัฐบาล ณ ร้านอาหารย่าน ถ.สุโขทัย เห็นชอบให้นายพิธา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ตามเสียงข้างมากของผลการเลือกตั้งจากประชาชน

(22 พ.ค. 66) นายพิธา พร้อม 7 หัวหน้าพรรคแถลงข่าวจัดตั้งรัฐบาลประชาชน ร่วมกับ 8 พรรคการเมือง โดยมีการเซน MOU ร่วมกันตั้ง ‘รัฐบาลก้าวไกล’ จำนวน 23 ข้อ และ อีก 5 ข้อตกลงแนวทางบริหารประเทศ โดยไม่มีการบรรจุ ม.112 ใน MOU ด้วย

(30 พ.ค. 66) หลังการประชุมร่วม 8 พรรคการเมืองจัดตั้งรัฐบาล ‘ชลน่าน-พิธา’ โชว์หวาน ประกบมือเป็นรูปหัวใจ ให้คำมั่นสัญญา ‘เพื่อไทย’ พร้อมล่มหัวจมท้าย ‘ก้าวไกล’ ไม่ว่าจะอยู่สถานะไหน พร้อมลั่น ‘ดีลลับ-ดีลล้วง’ ไม่มี จะมีก็แต่ ‘ดีลรัก’

(24 พ.ค. 66) ‘ก้าวไกล’ เจอดรามาทั้งปมประธานสภาฯ ที่จัดสรรไม่ลงตัวระหว่าง ก้าวไกลและเพื่อไทย

(30 พ.ค.2566) ‘พิธา’ นั่งวงหารือ 8 พรรคร่วม ณ ที่ทำการพรรคประชาชาติ ยังไม่คุยตำแหน่งประธานสภา

>> เดือนมิถุนายน 2566

(2 มิ.ย. 66) นักร้องปมหุ้น ITV อีกหนึ่งนาย อย่าง ‘ศรีสุวรรณ จรรยา’ นำพยานหลักฐานหุ้น ITV ต่อ กกต. ส่วน ‘พิธา’ ย้ำ!! ไม่หวงปมหุ้น มั่นใจ!! เดินหน้าจัดตั้งรัฐบาลได้

(9 มิ.ย. 66) กกต. มีมติไม่รับ 3 คำร้อง ปมหุ้นไอทีวี แต่มีมติรับเรื่องไว้พิจารณาตามความปรากฏ ม.151 เหตุรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งแต่ยังฝืน โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการสืบสวนไต่สวน

(27 มิ.ย. 66) นพ.ชลน่าน ยืนยันว่ารัฐบาลข้ามขั้ว จะไม่เกิดขึ้น และเชื่อว่า การเจรจาระหว่างก้าวไกล กับเพื่อไทยจะเป็นไปได้ด้วยดี

(27 มิ.ย. 66) พรรคก้าวไกล เข้ารายงานตัวต่อสภา พร้อมใจสวมเสื้อสกรีนคำว่า ‘เราคือผู้แทนราษฎร เรามาจากประชาชน’

>> เดือนกรกฎาคม 2566

(1 ก.ค. 66) เปิดข้อตกลงร่วม ‘ก้าวไกล-เพื่อไทย’ สู่การเสนอชื่อ อาจารย์ ‘วันนอร์’ เป็นประธานสภาฯ ส่วนรองประธานสภาฯ คนที่ 1 เป็นของก้าวไกล และรองประธานสภาฯ คนที่ 2 เป็นของเพื่อไทย

(13 ก.ค.2566) โหวตนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ‘พิธา’ รอบแรกไม่ผ่าน

(14 ก.ค. 66) นพ.ชลน่าน ย้ำไร้แผน 2 เลือกนายกฯ และยืนยัน 8 พรรคต้องหาข้อสรุปร่วมกัน เพื่อหาแนวทางสู้โหวตนายกฯ รอบ 2

(19 ก.ค. 66) โหวตนายกฯ พิธา รอบ 2 ไม่ผ่านมติเสนอชื่อซ้ำ ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งให้ ‘พิธา’ หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย

(20 ก.ค. 66) นพ.ชลน่าน ยืนยัน 8 พรรคยังจับมือแน่น ไม่คิดข้ามขั้ว คิดแต่เพียงว่า จะวางแผนอย่างไรให้ได้รับเสียงโหวตจากรัฐสภา ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี

(22 ก.ค. 66) พรรคเพื่อไทย เปิดบ้านต้อนรับพรรคภูมิใจไทย พรรคชาติพัฒนากล้า พรรครวมไทยสร้างชาติ ระบุเพื่อหาทางออกให้ประเทศในการจัดตั้งรัฐบาล

(23 ก.ค. 66) พรรคเพื่อไทย เปิดบ้านต้อนรับพรรคพลังประชารัฐ พรรคชาติไทยพัฒนา หารือทางออกให้ประเทศในการจัดตั้งรัฐบาล

(27 ก.ค.2566) เลื่อนพิจารณาโหวตนายกฯ รอบ 3

(28 ก.ค. 66) พ.ต.ท.กีรป กฤตธีรานนท์ เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน มติเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณีโหวตชื่อ ‘พิธา’ รอบ 2

>>เดือนสิงหาคม 2566

(2 ส.ค. 66) นพ.ชลน่าน แถลงปิดฉากความสัมพันธ์กับพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นการฉีก MOU ทั้ง 2 ฉบับ พร้อมให้ก้าวไกล เป็นฝ่ายค้าน และเสนอชื่อ ‘นายเศรษฐา ทวีสิน’ แคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทยเป็นนายกฯ ซึ่งได้เสนอในวันที่ 4 ส.ค.

(3 ส.ค. 66) ศาลรัฐธรรมนูญ เลื่อนพิจารณาคำร้องเสนอชื่อ ‘พิธา’ โหวตนายกฯ รอบ 2 โดยให้เลื่อนเป็นวันที่ 16 ส.ค. เวลา 09.30 น. ตามมาด้วยเวลา 14.00 น. ‘วันนอร์’ สั่งเลื่อนโหวตนายกฯ รอบ 3 ขณะที่พรรคเพื่อไทย เลื่อนแถลงจับขั้วตั้งพรรครัฐบาลใหม่ โดยไม่มีพรรคก้าวไกล

(21 ส.ค. 66) พรรคเพื่อไทย (พท.) เปิดตัว 11 พรรคร่วมรัฐบาลรวม 314 เสียงอย่างเป็นทางการ ก่อนถึงวันโหวตเลือกนายกฯ รอบที่ 3 ในวันที่ 22 สิงหาคม โดยมีพรรค ‘2 ลุง’ ร่วมด้วยตามคาด

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ไม่ได้เข้าร่วมการแถลงข่าว แต่ส่งนายสันติ พร้อมพัฒน์ รองหัวหน้าพรรค ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรค และนายไผ่ ลิกค์ กรรมการบริหารพรรค มาร่วมแทน

หลังจากนั้นพรรคเพื่อไทยและพันธมิตรทางการเมืองยืนยันว่า จะเสนอชื่อ ‘นายเศรษฐา ทวีสิน’ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยต่อที่ประชุมรัฐสภา 22 ส.ค. และมั่นใจว่าจะผ่านความเห็นชอบของ สส. และ สว.

(22 ส.ค. 66) บทสรุปของผลการลงคะแนน...
- เห็นชอบ 482 เสียง
- ไม่เห็นชอบ 165 เสียง
- งดออกเสียง 81 เสียง
- ไม่เข้าประชุม 19 เสียง

และนี่คือห้วงเวลาสำคัญของประเทศไทยในช่วงปีที่ 2566 ภายใต้มิติการเมืองไทย ‘สลายขั้ว’ ที่เชื่อว่าหลายคน ‘สมหวัง’ และหลายคนก็คง ‘ผิดหวัง’ กันไปตามระเบียบ

หวนสู่แผ่นดินเกิด ‘ทักษิณ ชินวัตร’ กลับไทยในรอบ 17 ปี

เป็นเวลาเกือบ 2 ทศวรรษที่สื่อไทยหลายสำนัก กล่าวขานชื่อ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ หรือ ‘โทนี่ วู้ดซัม’ พร้อมด้วยคำขยายว่า ‘ผู้ลี้ภัยทางการเมือง’ และบ่อยครั้งที่มีชื่อนี้ปรากฏในหน้าสื่อ มักจะมาพร้อมกับคำวิพากษ์วิจารณ์ถึง ‘พฤติกรรม’ ในอดีต เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย ที่ส่อไปในทางไม่ดี และเป็นภัยต่อประเทศไทย

เหตุของผลลัพธ์ที่กินเวลากว่า 17 ปีนี้ เกิดจาก ‘พล.อ. สนธิ บุญยรัตกลิน’ ทำการยึดอำนาจจากรัฐบาลรักษาการเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ขณะทำภารกิจให้ประเทศไทยในการเข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา

สาเหตุของการทำรัฐประหารในครั้งนี้มีหลายประการด้วยกัน ดังนี้

1.ทักษิณ (พรรคไทยรักไทย) ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ครบวาระ 4 ปี (เลือกตั้ง 6 มกราคม พ.ศ. 2544) โดยไม่มีเหตุขัดข้องทางการเมือง (ลาออก ยุบสภา หรือถูกรัฐประหาร) และครบวาระเมื่อ 5 มกราคม 2548

2.ในการเลือกตั้ง 2548 พรรคไทยรักไทย ได้เก้าอี้ สส. รวม 377 ที่นั่ง ทำให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้

3.เนื่องจากเป็นรัฐบาลพรรคเดียว และมีปัญหาในการบริหารประเทศอยู่บ่อยครั้ง แต่ฝ่ายค้านไม่สามารถถอดถอน นายกฯ และ ครม. ชุดนี้ได้ เพราะเสียงโหวตไม่เพียงพอ

4.ด้วยความมั่นอกมั่นใจในฝีมือและฐานเสียงที่หนุนหลัง ทำให้การดำเนินงานหลายอย่างสุ่มเสี่ยง เข้าข่ายผิดกฎหมาย และขัดต่อความรู้สึกของสังคม

5.การขายหุ้นชินคอร์ปอเรชั่น 49.595% ให้กับกองทุนเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์ (ปี 2549) ซึ่งขัดต่อสถานะนายกรัฐมนตรีหลายประการ รวมถึงไม่มีการเสียภาษี จนทำให้คนไทยบางกลุ่มไม่พอใจ

ด้วยเหตุผลทั้งหมดทั้งมวลนี้ เมื่อผสมรวมกันแล้วก็เกิดเป็นมวลความเกลียดชังขึ้นในสังคม มีการออกมาเรียกร้องให้จ่ายภาษีตามกฎหมาย ลามไปจนถึงการตั้งกลุ่ม ‘พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย’ หรือม็อบเสื้อเหลือง เพื่อออกมาขับไล่ ต่อต้าน ‘ทักษิณ ชินวัตร’

เรื่องราวต่าง ๆ บานปลายจนถึงขั้นมีการทำรัฐประหาร และหลังจากนั้น นายทักษิณก็เดินทางกลับมาประเทศไทย (28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551) และได้สร้างภาพจำจารึกไว้ให้คนไทยด้วยการ ‘ก้มกราบแผ่นดิน’ แต่หลังจากนั้นเพียง 5 เดือนก็ขออนุญาตศาลฯ เดินทางออกนอกประเทศ และไม่กลับมายังประเทศไทยอีกเลย 

นายทักษิณใช้ชีวิตอยู่ในหลายประเทศ และเคยออกมาประกาศว่าจะกลับบ้านกว่า 20 ครั้ง ทว่าก็ไม่เคยมีครั้งไหนเกิดขึ้นจริง 

แต่เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2566 นายทักษิณ ได้ปรากฏตัวครั้งแรกในรอบ 17 ปี ที่สนามบินดอนเมือง และสร้างภาพประวัติศาสตร์อีกครั้งด้วยการเข้าถวายบังคมที่หน้าพระบรมฉายาลักษณ์ในหลวงรัชกาลที่ 10 ก่อนจะออกมาโบกมือทักทายคนเสื้อแดงที่มารอต้อนรับ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำตัวไปยังศาลฎีกา และเข้าสู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ตามกระบวนการทางกฎหมาย

การกลับมาในครั้งนี้ เหมือนจะมี ‘นัยสำคัญ’ บางอย่างที่ไม่มีใครล่วงรู้ นอกเสียจากคนใกล้ชิดเท่านั้น เพราะ ‘บังเอิญ’ ตรงกับวันที่ ‘นายเศรษฐา ทวีสิน’ ได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 30 ของไทยพอดิบพอดี จนหลายคนเชื่อว่ามี ‘ดีลลับ’ เกิดขึ้นแน่นอน

จะอย่างไรก็ตาม จนถึง ณ ตอนนี้ ‘การเมืองไทย’ และ ‘คนไทย’ ก็ยังก้าวไม่พ้นชื่อ ‘ทักษิณ ชินวัตร’

#เหตุการณ์ที่ต้องจำ

ปรากฏการณ์สลายขั้ว ‘เหลือง-แดง’ ไม่ว่าจะมองจากแง่มุมใด ก็น่าชื่นชม

ภายหลังจากการเลือกตั้งจบลง ไม่ใช่แค่เพียงประเทศไทยจะได้รัฐบาลที่มีความหลากหลายในแง่ของขั้วการเมือง ซึ่งบ้างก็ว่าเป็นการสลายขั้วการเมืองครั้งสำคัญ หากแต่ยังเกิดอีกปรากฏการณ์ที่น่าสนใจ นั่นก็คือ ‘การสลายขั้วเหลือง-แดง’

ไม่ว่าเรื่องนี้จะมองในมุมไหน แต่หากมองในมุมคนไทย ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ดี ที่ให้ความหวังและน่าชื่นชม โดยเรื่องนี้ ดร.สุวินัย ภรณวลัย ประธานยุทธศาสตร์วิชาการ สถาบันทิศทางไทย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยกล่าวไว้ว่า...

“ทุกข์ของคนไทยตอนนี้ก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว โดยเฉพาะทุกข์ทางเศรษฐกิจและทุกข์เรื่องทำมาหากินที่ยังฝืดเคือง ดังนั้นการมีข่าวดี ๆ ออกมา ที่ช่วยลดความขัดแย้งแตกแยกในหมู่คนไทยด้วยกันเอง จึงเป็นเรื่องที่น่าอนุโมทนาอย่างยิ่ง จงอย่าใจแคบ ความคิดก็อย่าคับแคบ มองภาพใหญ่ให้ออก มองป่าทั้งป่าให้ได้”

นั่นก็เพราะ การสลายขั้วขัดแย้งเหลืองแดงที่ดำรงมายาวนานกว่า 15 ปี แทบจะไม่เคยคิดว่าจะเกิดขึ้นมาก่อน แต่เมื่อพี่น้องเหลือง-แดงชาวไทย เริ่มเข้าหากัน พูดคุยกันด้วยเหตุและผล จึงถือเป็น ‘ข่าวดี’ สำหรับคนไทยและสังคมไทย Land of Compromise พร้อม ๆ ไปกับการปรับตัวของ ‘ระบบการเมืองไทย’ ที่กลับสู่การเมืองแบบธนาธิปไตย หรือ Money Politics ในสมัยพรรคไทยรักไทย ปี พ.ศ. 2544 หรือเมื่อ 22 ปีก่อน ก่อนที่จะเกิด ‘การเมืองที่แบ่งขั้วขัดแย้งรุนแรง’ (Polarized Politics)

นอกจากนี้ สิ่งตามมา คือ การยุติ หรือหมดหายไปของ ‘วาทกรรมฝ่ายประชาธิปไตย VS ฝ่ายเผด็จการ’ ที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อครอบงำคนเสื้อแดง (เพื่อไทย) และด้อมส้ม (ก้าวไกล) ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา

ดังนั้นรัฐบาลใหม่ที่ครองอำนาจรัฐได้ อันที่จริงคือ เพื่อไทย+รัฐบาลชุดเดิม ที่เขี่ยก้าวไกลออกจากวงจรอำนาจให้กลายเป็น ‘พรรคฝ่ายค้านถาวร’ ของระบบการเมืองไทย

ขณะเดียวกัน การกลับเมืองไทย เพื่อ ‘ติดคุกแบบ VVIP’ ของโทนี่ ก็มิใช่การฟื้นคืนชีพของ ‘ระบอบทักษิณ’ แต่ควรมองว่า เป็นการปรองดองทางการเมืองระหว่างตระกูลชินวัตรกับขั้วอำนาจเดิมมากกว่า ซึ่งแต่ก่อนทั้งสองฝ่ายต่างมีบทเรียนจากความขัดแย้งกันในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และตอนนี้สามารถปรับตัวเข้าหากันได้แบบ Win-Win ที่ไม่มีใครกินรวบหรือได้หมด

หลังจากนี้ จึงเป็นยุคที่พรรคการเมืองที่เอาใจใส่ แก้ปัญหาปากท้องของประชาชนได้จริง และทำงานเป็น ถึงจะได้ใจประชาชน เข้าสู่ยุคที่การเมืองไทยจะแข่งขันกันตรงนี้ ซึ่งไม่มีอะไรดีไปกว่านี้อีกแล้ว

ประเทศไทยผ่านวิกฤต ‘ชักศึกเข้าบ้าน’ มาได้อย่างหวุดหวิด หลังจากนี้ การเมืองไทยจะเดินไปตามระบบที่ควรจะเป็น เพื่อฝ่าวิกฤตปัญหาปากท้อง เศรษฐกิจ และผลกระทบจากการฟาดฟันกันของประเทศมหาอำนาจ สร้างสุขให้กับคนไทยที่รักและยึดมั่นใน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์

#เหตุการณ์ที่ต้องจำ

‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ อดีตว่าที่นายกฯ สู่ ‘ผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต’ จากนิตยสารไทม์

“กาก้าวไกล…ประเทศไทยไม่เหมือนเดิม” วลีเด็ดของ ‘พรรคก้าวไกล’ ที่ใช้หาเสียงในศึกเลือกตั้ง 2566 และมีการเลือกตั้งไปเมื่อ 14 พ.ค. 66 ที่ผ่านมา ผลปรากฏว่า พรรคก้าวไกลกวาดเก้าอี้ สส. ทั่วประเทศได้ 151 ที่นั่ง มากเป็นอันดับหนึ่ง 

ส่วนพรรคเก่าแก่อย่าง ‘พรรคเพื่อไทย’ ครองอันดับ 2 ได้ 141 ที่นั่ง ทำให้กระแสจับมือจัดตั้งรัฐบาลของทั้ง 2 พรรคมาแรง และเหล่าโหวตเตอร์ก็หมายมั่นในใจแล้วว่า กำลังจะได้รัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย และมีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรี อย่างแน่นอน

แต่การเมืองก็คือการเมือง เหตุการณ์ที่ (ไม่) คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อการโหวตเห็นชอบในครั้งแรก ‘ไม่ผ่านมติสภาฯ’ หรือได้เสียงโหวตไม่เกินกึ่งหนึ่งของสภาฯ โดยขาดเสียงสนับสนุนนายพิธาอีก 64 เสียง ส่งผลให้พรรคก้าวไกลและพรรคร่วมหวังจะเสนอชื่อครั้งที่ 2 ในวันที่ 19 ก.ค. 66

แต่ผลปรากฏว่า การเสนอชื่อนายพิธา ชิงตำแหน่งนายกฯ ครั้งที่ 2 ถูกปัดตก ด้วยเหตุผลว่า… “การเสนอชื่อ นายพิธา เป็นการเสนอญัตติซ้ำ ส่งผลให้การเสนอชื่อ นายพิธาซ้ำอีกครั้ง ไม่สามารถทำได้” เพียงเท่านี้ก็ถือเป็นการปิดประตูการเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของนายพิธาแล้ว 

แต่เวลาต่อในวันเดียวกันนั้น ‘ศาลรัฐธรรมนูญ’ มีมติเอกฉันท์ รับคำร้อง กกต. ที่ขอให้วินิจฉัยสมาชิกภาพ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคก้าวไกล กรณีถูกร้องถือหุ้นสื่อ ITV พร้อมมีมติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 คำสั่งให้ นายพิธา ในฐานะผู้ถูกร้อง หยุดปฏิบัติหน้าที่ สส. ตั้งแต่วันที่ 19 ก.ค. จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

กลายเป็นว่า นายพิธาถูกปิดประตูใส่หน้า 2 ครั้งในวันเดียว ชวดเก้าอี้นายกฯ แถมยังไม่ได้ทำหน้าที่ สส.ในสภาฯ อีกด้วย ซึ่งนายพิธาก็ก้มหน้ารับ ยอมเดินออกจากสภาฯ แต่โดยดี

หลังจบเหตุการณ์อลหม่านไปไม่นาน วันที่ 13 ก.ย. 66 นิตยสารไทม์ (Times) เปิดเผยรายชื่อ 100 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลแห่งอนาคต ‘Times 100 Next’ หนึ่งในนั้นมีชื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ที่ได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในหมวดหมู่ผู้นำ (Leaders) โดยนายพิธาก็ได้แสดงความดีใจ โดยบอกว่า เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเลือกเป็น ‘Times 100 Next’ จากนิตยสารไทม์ ร่วมกับบุคคลระดับโลกอีกหลาย ๆ คน

และอีก 2 วันต่อมา วันที่ 15 ก.ย. 66 นายพิธา ก็ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคก้าวไกล โดยให้เหตุผลว่า ‘ก้าวไกล’ จะเป็นผู้นำฝ่ายค้านที่ดีได้ จำเป็นต้องมี ‘หัวหน้าฝ่ายค้าน’ จึงเปิดทางให้พรรคได้เลือกหัวหน้าคนใหม่ แต่ถึงอย่างไร ตนก็จะทำงานกับพรรคก้าวไกล ไม่ได้หนีหายไปไหน ซึ่งการลาออกในครั้งนี้ก็สร้างความฮือฮาเป็นอย่างมากในแวดวงการเมือง

แม้นายพิธาจะชวดเก้าอี้นายกฯ แถมยังไม่ได้ทำหน้าที่ สส. อันทรงเกียรติ แต่กระแสและชื่อเสียงก็ไม่ได้หายไปจากหน้าสื่อเลย ยังคงมีเรื่องราวให้ติดตามและพูดถึงไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปนิวยอร์กโดยมีคนไปต้อนรับมากมาย การร่วมงานจตุรมิตร การไปดูงานที่ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้อย่าง YG Ent. หรือการออกมาวิพากษ์วิจารณ์ผลงาน 100 วันแรกของรัฐบาลภายใต้การนำของ ‘เศรษฐา ทวีสิน’

ทุกย่างก้าวของนายพิธา ถูกสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศจับตามอง และตีแผ่ออกมาเป็นข่าวอยู่เสมอ ๆ

ล่าสุด Google ประเทศไทย ก็ได้เผยคำค้นหายอดนิยมประจำปี 2566 หรือ ‘Year in Search 2023’ ที่คนไทยให้ความสนใจตลอดทั้งปี 2566 ที่ผ่านมาในหมวดต่าง ๆ ซึ่งในหมวด Trending Person บุคคลที่ถูกค้นหามากที่สุดในปี 2566 ก็คือ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ นั่นเอง

เท่านั้นยังไม่พอ ผลโพลจากสำนักต่าง ๆ ก็ยังมีชื่อ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ติดอยู่เสมอ และได้ตอกย้ำว่าคนไทยยัง ‘หวัง’ ให้นายพิธานั่งเก้าอี้นายกฯ 

…แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งหากไม่มี ‘ตัวแปร’ ใดเข้ามาทำให้เส้นทางการเมืองของ ‘พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ หยุดลง ก็คงได้เห็นชื่อนายพิธาเป็นแคนดิเดตนายกฯ หรืออาจเป็นก้าวไปสู่ ‘นายกฯ พิธา’ ก็เป็นได้

#เหตุการณ์ที่ต้องจำ

‘เพื่อไทย’ ดับร้อน!! โยก ‘รองตุ๋ย’ คุมยุติธรรม ขยับ ‘รองสมศักดิ์’ แบ่งเบางาน ‘รองอ้วน’

ปริศนาส่งท้ายปีกระต่ายสลายขั้วที่ยังฟันธงกันไม่สะเด็ดน้ำก็คือ กรณีท่านนายกฯ สูงยาวถุงเท้าแดงของ ‘เล็ก เลียบด่วน’ หรือ เศรษฐา ทวีสิน ลงนามคำสั่งวันที่ 25 ธ.ค. 66 โยกย้ายสลับงานรองนายกฯ 3 คน ให้รองตุ๋ย พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ไปกำกับดูแลงานกระทรวงยุติธรรม แทนสมศักดิ์ เทพสุทิน ส่วน รองสมศักดิ์นั้น ได้รับมอบหมายให้ไปกำกับดูแลกระทรวงสาธารณสุข แทนภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ เจ้าของฉายา ‘รองกอง’ งานอะไร ๆ ต่อมิอะไรก็โยนมาให้ท่านลองกอง เอ๊ย! รองกอง

นี่ล่าสุดนายกฯ โยนตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2567 มาให้อีก...ก็ขอเตือนท่านรองกองว่าอย่าล้อเล่นกับกฎหมายงบประมาณน่ะครับ...โปรดพกยาหอมยาดมไปเยอะ ๆ นะครับ

กลับมาที่เรื่องกระทรวงยุติธรรม ทำไมต้องเด้งสมศักดิ์แล้วหันไปใช้บริการพีระพันธุ์...ส่วนใหญ่ฟันธงกันว่าเป็นเพราะสมศักดิ์ให้สัมภาษณ์แบบอัดยับข้าราชการกระทรวงยุติธรรม โดยเฉพาะกรมราชทัณฑ์ว่าล้มเหลวในการทำงาน การชี้แจงเรื่องระเบียบราชทัณฑ์...คุกนอกเรือนจำ เลยโดนโยก…

มีคำถามว่า..อ้าว! คำสั่งนายกฯ ลงวันที่ 25 ธ.ค.นะ แต่ท่านสมศักดิ์พูดวันที่ 26 ธ.ค.น่ะ...ฝ่ายที่เชื่อว่าถูกโยกเพราะเรื่องนี้ก็อธิบายว่า เรื่องวันที่ลงนามคำสั่งนั้นจะลงวันที่เท่าไหร่ก็ได้..แต่เอาเป็นว่าเรื่องนี้นายกฯ ไปกระซิบบอกรองตุ๋ย พีระพันธุ์ให้รับทราบตอนเลิกประชุมครม.วันที่ 26 ธ.ค.แล้ว

การสับขาหลอกลงวันที่ 25 ธ.ค.จึงนับว่าเนียน…

อย่างไรก็ตาม ‘เล็ก เลียบด่วน’ ไม่เชื่อว่าเหตุผลโยกสมศักดิ์ออกจากการดูแลกระทรวงยุติธรรม จะเป็นเพราะสมศักดิ์เริ่ม ‘โอเวอร์ แอ็กชัน’ เท่านั้น แต่ยังมีเหตุผลสำคัญอื่น ๆ ดังนี้

1.การโยกสมศักดิ์ไปดูกระทรวง สธ. แทนภูมิธรรม เป็นการลดโหลดงานรองอ้วนได้อย่างลงตัว อีกทั้งระยะหลัง ๆ พบว่าสมศักดิ์กับ ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร ที่ไปมีบทบาทเรื่องสุขภาพแห่งชาติ ประสานการทำงานกันได้ดี

2.การโยกสมศักดิ์ออก และเอาพีระพันธุ์เสียบแทน เป็นการลดความเป็น ‘ตำบลกระสุนตก’ ของพรรคเพื่อไทยได้ไม่น้อย เพราะที่ผ่านมาสมศักดิ์ถูกมองว่าทำเรื่องกฎหมาย กฎกระทรวง เพื่อรองรับวีไอพีชั้น 14

2.1 พีระพันธุ์เป็นนักกฎหมาย เป็นอดีตรมว.ยุติธรรมมาก่อน ภาพลักษณ์ดูตรงไปตรงมา น่าเชื่อถือ จากนี้ไป ‘เผือกร้อน’ ก็จะตกอยู่กับมืออาชีพ

2.2 พีระพันธุ์รู้จักและสามารถพูดคุยกับกลุ่มต่าง ๆ ที่กำลังขับเคลื่อนกรณีนักโทษเทวดาให้เป็นนักโทษธรรมดา..น่าจะหาจุดรอมชอม ลงตัวกันได้โดยไม่เสียหลักการของทุกฝ่าย

2.3 พีระพันธุ์รู้ดีถึงบริบทของบ้านเมืองยุคสลายขั้ว พีระพันธุ์เป็นเพื่อนกับ ‘บิ๊กแดง’ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รู้อุณหภูมิบ้านเมือง ทิศทางลม...เขาคงไม่สุดโต่งถึงขั้นจะทำภารกิจลับแบบ ‘ทักษิณโมเดล’ ในกรณียิ่งลักษณ์ ชินวัตร แต่อาจจะมีภารกิจลึกในเชิงกฎหมายที่เขาอาจให้คำแนะนำได้..!!

3. การมอบหมายงานกระทรวงยุติธรรม พร้อมกับตำแหน่งประธานบอร์ดอีก 4 บอร์ด เช่น ประธานกรรมการปราบปรามยาเสพติด ฯลฯ อาจมีเป้าประสงค์แอบแฝงเพื่อลดความร้อนแรงการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงราคาพลังงานที่เขากำลังทำ อันนี้อาจมีส่วนบ้าง แต่ฟันธงว่าพีระพันธุ์ไม่ยอม…

สรุปสุดท้ายประสา ‘เล็ก เลียบด่วน’ ก็ต้องบอกว่างานนี้พรรคเพื่อไทยขอใช้บริการ’ รองตุ๋ย’ นัยว่า..ดีลลับพิเศษเรื่องการสลายขั้ว การปรองดองสมานฉันท์ ยังไม่จบ ต้องเดินหน้าต่อไป

มองแบบโลกสวยนิดก็ต้องบอกว่ารองตุ๋ยอาจทำให้กระบวนการยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ กลับมาเป็นผู้เป็นคนมากกว่าเดิม!! 

สวัสดี

เรื่อง: เล็ก เลียบด่วน

‘บิ๊กป้อม’ กางผลงาน ‘พปชร.’ 3 เดือน ผ่าน 3 กระทรวงหลัก ลั่น!! ใช้สติปัญญาแก้ปัญหาให้ ปชช. มากกว่าสร้างวาทกรรม

(29 ธ.ค. 66) นายอรรถกร ศิริลัทธยากร สส.ฉะเชิงเทรา โฆษกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เปิดเผยว่า พรรค พปชร.ภายใต้การนำของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรค พปชร. ที่เข้าร่วมรัฐบาลครบ 3 เดือน ได้ขับเคลื่อนนโยบายของพรรคที่สอดคล้องกับเป้าหมายของรัฐบาลผ่าน 3 กระทรวงหลัก คือ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ กระทรวงสาธารณสุข ได้สานต่อนโยบายเรื่องที่ทำกิน ยกระดับราคาสินค้าเกษตร บริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน และดูแลสิ่งแวดล้อมที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 รวมถึงการยกระดับสุขอนามัยขั้นพื้นฐานให้ประชาชน

พรรค พปชร.สามารถดำเนินการประสบความสำเร็จในหลายเรื่อง ทำให้พี่น้องประชาชนสามารถเข้าถึงการดูแลในด้านต่างๆ ได้เป็นรูปธรรม อาทิ กำหนดให้การแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 เป็นวาระแห่งชาติ และนำเสนอร่าง พ.ร.บ.บริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … ที่กำหนดกลไกในการบริหารจัดการและควบคุมกิจกรรมต่างๆ เพื่อลดมลพิษทางอากาศในทุกมิติที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ ก่อนจะส่งกลับให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา เพื่อส่งให้รัฐสภาต่อไป

นอกจากนั้น ยังร่วมกับกระทรวงที่เกี่ยวข้องดำเนินมาตรการลดฝุ่นละออง จากแหล่งกำเนิด ควบคุมการเผาป่า ร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านลดปัญหาหมอกควันข้ามแดน และยังมีแผนรับมือปัญหาภัยแล้ง โดยเร่งรัดการดำเนินโครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่แก้ปัญหาภัยแล้งอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า 47 โครงการ 48 แห่ง

พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ส่วนกระทรวงเกษตรฯ ได้ผลักดันนโยบายเปลี่ยนเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. 4-01 เป็นโฉนดเพื่อการเกษตร ขณะนี้มีเกษตรกรยื่นเจตจำนงเป็นจำนวนมาก และผลักดันการช่วยเหลือเยียวยาให้กับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ปีการผลิต 2566/67 เพื่อสนับสนุนค่าบริหารจัดการและคุณภาพผลผลิต ให้เงินอุดหนุน 1,000 บาทต่อไร่ ไม่เกิน 20 ไร่ต่อครัวเรือน มีเกษตรกรกว่า 4.68 ล้านครัวเรือนที่ได้รับการเยียวยา นอกจากนั้นมีมาตรการปราบปรามสินค้าเกษตรเถื่อน ทั้งห้องเย็นด้านปศุสัตว์ 2,437 แห่ง ด้านประมง 2,062 แห่ง และใช้มาตรการกฎหมายจับกุมผู้กระทำผิดลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรจากต่างประเทศจำนวนมาก ในอนาคตจะขยายผลให้ครอบคลุมสินค้าเกษตรอื่นๆ ทั้งพืชและประมงเพิ่มเติม

ขณะที่การดำเนินงานด้านสาธารณสุข ได้ผลักดันการบริการเข้าถึงระบบสาธารณสุขระดับชุมชนทั่วประเทศ เพื่อลดค่าใช้จ่ายและความแออัดในการเดินทางมาใช้บริการในเมือง ยกระดับมาตรฐาน รพ.สต.ทั่วประเทศ ให้มีคุณภาพเทียบเท่าโรงพยาบาลขนาดใหญ่ โดยมีเทคโนโลยีเชื่อมต่อการรักษาจาก รพ.สต.ถึงโรงพยาบาลใหญ่ พร้อมสนับสนุนทุนการศึกษาสำหรับบุตรหลาน อสม. หรือเด็กในชุมชน ให้ได้เรียนแพทย์ เรียนพยาบาล เพื่อกลับมาดูแลชุมชน และขยายหมอชุมชน หรือ ‘อสม.’ ให้เพียงพอกับประชาชนในพื้นที่ และผลักดันส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุให้ดำรงชีวิตประจำวัน และสามารถรับบริการด้านสาธารณสุขถึงที่บ้านได้อย่างสะดวกสบาย รวมถึงส่งเสริมสตรีมีบุตรเพื่อเพิ่มประชากรให้ทันต่อการพัฒนาประเทศ

พล.อ.ประวิตรกล่าวด้วยว่า สำหรับงานนิติบัญญัติ สส.ของพรรค ได้ผลักดันกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพื่อเสนอกฎเข้าสู่ที่ประชุมสภา และทำหน้าที่กรรมาธิการในคณะต่างๆ เพื่อนำปัญหาของประชาชนในพื้นที่เข้าสู่การแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม โดยทำหน้าที่อย่างสร้างสรรค์ มีวุฒิภาวะ เน้นใช้ข้อมูล สติปัญญามากกว่าวาทกรรม

'รังสิมันต์' สนควงแขน ‘ผบ.ทบ.’ ดูงานชายแดนไทย ชี้!! งานความมั่นคงค่อนข้างอ่อนแอ ‘ไร้แผน-ทิศทาง’

(29 ธ.ค. 66) นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ บอกว่า สนใจงานชายแดนที่ไป 2 พื้นที่ คือช่องจอม จ.สุรินทร์ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากนายทหารที่รับผิดชอบในพื้นที่เป็นอย่างดี และมีการพูดคุยเวทีให้ประชาชนเข้าร่วมด้วย ส่วนพื้นที่อ.สังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี ที่มีปัญหาลักลอบนำยางพาราเถื่อนจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามา ที่อยู่ระหว่างการทำงาน ซึ่งพื้นที่ชายแดนมีปัญหามาก ก็นำมาซึ่งอาชญากรรมต่างๆ ที่ไม่เกิดเฉพาะชายแดน แต่ทำให้อาชญากรรมต่าง ๆ เข้ามาประเทศไทยได้ด้วย เบื้องต้นยินดี ทำงานร่วมกับกองทัพให้งานชายแดนให้มีความมั่นคงและปลอดภัย แก้ปัญหาสิ่งผิดกฎหมายต่าง ๆ ได้

“ตอนนี้ฝั่งชายแดนไทย-เมียนมา ตนมองว่า เป็นพื้นที่นัยสำคัญอย่างมาก คือ ความไม่สงบในเมียนมา ที่มีการเคลื่อนไหวกันอยู่ ประการแรกคือเราจะรับมืออย่างไร ต้องยอมรับว่าในพื้นที่เมียนมามีสิ่งผิดกฎหมายหลายอย่าง เช่น ยาเสพติด คนเข้าเมืองผิดกฎหมาย แก๊งคอลเซ็นเตอร์ คาสิโน ที่คนไทยจำนวนมากไปเล่น ไปเป็นลูกค้า เงินประเทศไทยไหลออก ไม่ได้เป็นสิ่งผิดกฎหมายซะทีเดียว แต่แก๊งคอลเซ็นเตอร์กับคาสิโน อยู่ด้วยกัน เป็นสิ่งที่เราต้องจัดเตรียม วางแผน ล่วงหน้าร่วมกัน ซึ่งพื้นที่ชายแดนหลักคือทหาร ซึ่งผมยินดีมาก หากมีการทำงานร่วมกันระหว่างกองทัพกับกรรมาธิการความมั่นคงฯ ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไร เพราะงานด้านความมั่นคงค่อนข้างอ่อนแอ เพราะไม่มีแผนชัดเจนว่าทิศทางของความมั่นคง ไปในทางไหนกันแน่ที่จะส่งเสริมปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง”

ต่อข้อถามที่ว่า พื้นที่หลัก ๆ ที่จะไปกับกองทัพช่วงนี้จะเป็นพื้นที่ใด นายรังสิมันต์ ระบุว่า พื้นที่เมียนมาเป็นพื้นที่สำคัญที่เราให้ความสนใจมาก ลองให้จินตนาการ อาทิ เรื่อง ยางพารา ที่เป็นยางเถื่อน ประมาณ แสนตันนั้น อาจส่งผลกับยางพาราในประเทศไทยได้ ซึ่งบางครั้งการลักลอบไม่ใช่เฉพาะยางพารา แต่จะมียาเสพติดที่จะเข้ามาด้วย ที่จะได้แก้ปัญหาไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งทุกคนพูดถึงการแก้ปัญหาแต่รูปธรรมยังไม่มี

เมื่อถามว่า จะติดต่อ ผบ.ทบ.เพื่อดูในพื้นที่และไปด้วยกันหรือไม่ นายรังสิมันต์ ระบุ เจ้ากรมยุทธการทหารบก ประสานงานกันใกล้ชิด กับ ผบ.ทบ. และเป็นที่ปรึกษาของกมธฯ วันนี้เราทำงานใกล้ชิด และประสานการดูแลคนไทยที่มีการค้ามนุษย์ ซึ่งการลงพื้นที่พร้อมกันก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจเช่นเดียวกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top