Sunday, 22 June 2025
Politics

‘นายกฯ’ ชี้!! อัตราการเกิดคนไทยลดลงต่อเนื่อง เป็นการบ้านสำคัญรัฐบาล ต้องสร้างอนาคตที่ดีแก่ลูกหลาน ผู้หญิงต้องมีชีวิตบาลานซ์ ‘ทำงานได้-มีลูกได้’

(21 ธ.ค. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

“เห็นข้อมูลชุดนี้แล้วน่าตกใจนะครับ แม้ว่าปัญหาอัตราการเกิดของประเทศไทยที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจะไม่ใช่เรื่องใหม่

จากบทความนี้ของ The​ Nation https://www.nationthailand.com/thailand/general/40023947 ก็จะเห็นว่าอัตราการเกิดปีที่ผ่านมาของไทยต่ำที่สุดในรอบ 71 ปี

ประเด็นนี้ละเอียดอ่อน!!

ผมในฐานะนายกฯ และรัฐบาล ตระหนักในเรื่องสิทธิเหนือร่างกายและอำนาจของผู้หญิง ที่พึงมีสิทธิ์เต็มที่ในการตัดสินใจที่จะมีลูกหรือไม่มีลูก

ขณะเดียวกันในฐานะนายกฯ ผมคิดว่าผมมีหน้าที่ในการทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่อยู่แล้วมีความสุข เศรษฐกิจดี มีความปลอดภัย ถ้าคนจะมีลูกก็มั่นใจว่า ลูกหลานของเขาจะได้รับการศึกษาที่ดี มีงานทำ ไม่มีเรื่องยาเสพติด ผู้หญิงมี Work Life Balance ทำงานได้ มีลูกได้

เรื่องใหญ่ครับ และเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องเอาไปทำการบ้าน”

'พีระพันธุ์' เผย ไม่แปลกฝ่ายค้านจ้องตรวจสอบรัฐบาลเข้มข้น ย้ำ!! เป็นเรื่องปกติ พร้อมแนะ พิจารณางบปี 67 ควรจะจบให้เร็ว

(21 ธ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พลังงาน ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายชัยธวัช ตุลาธน สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ประกาศจะตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้นหลังได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ว่า เป็นเรื่องปกติ ฝ่ายค้านก็ต้องตรวจสอบเข้มข้นทุกยุคทุกสมัยอยู่แล้ว ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด ถ้าเขาบอกว่าไม่ตรวจสอบเลยถึงจะประหลาด เป็นเรื่องปกติในการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ส่วนที่มองกันว่าฝ่ายค้านอาจไม่เป็นเอกภาพเท่าไหร่นั้น ก็แล้วแต่คนจะมอง อย่างไรก็ตาม ตนไม่ได้เป็น สส. ไม่ทราบรายละเอียดทางสภา 

เมื่อถามถึงกรณีพรรคฝ่ายค้านขอเลื่อนการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 67 จากวันที่ 3-5 ม.ค. เป็นวันที่ 9-11 ม.ค.67 นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ไม่ทราบ เป็นเรื่องของสภา ในส่วนของรัฐบาลก็ทำปกติ สภาจะเห็นว่าอย่างไรก็เป็นเรื่องที่สภาไปหารือกันเอง 

เมื่อถามย้ำว่า การเลื่อนออกไปจะทำให้งบประมาณที่จะออกมาล่าช้าไปอีกหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า วันนี้เราก็ใช้งบของปี 67 อยู่แล้ว แต่โดยหลักการมันก็ไม่ควรเท่านั้นเอง ทุกอย่างมันควรจะรีบ จะจบให้เร็ว เรื่องนี้เป็นเรื่องของสภาที่จะต้องหาประโยชน์สูงสุดของประชาชน เพราะทั้งหมดนี้มันคือประโยชน์ของประชาชน ไม่ใช่ประโยชน์ของรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ซึ่งไม่ว่าเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาลก็ต้องทำงานร่วมกันเพื่อประชาชน อะไรที่ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุดก็ทำตามนั้น เท่านั้นเอง

บทสรุป 'วัคซีนการเมือง' ด้อยค่า!! เพียงหวังทำลายคู่แข่งทางการเมือง ปลูกฝังความเกลียดชังให้คนไทย จนโกยฐานเสียงเข้าฝั่งตนได้สำเร็จ

(21 ธ.ค. 66) จากผู้ใช้บัญชีติ๊กต๊อก 'พราหมณ์_อิศรา_อินทร์ยา' ได้ขมวดปมผลลัพธ์ทางการเมืองจากกลุ่มคนและบางพรรคการเมืองที่สร้างความบิดเบือนในประเด็นวัคซีนโควิด-19 และ เรื่องสิทธิประกันสังคม ให้คนไทยบางกลุ่มหลงเข้าใจในสิ่งผิดๆ ... ต่อว่ารัฐบาล ด้อยค่าวัคซีน และบั่นทอนกำลังใจคนทำงาน ซึ่งวันนี้ความจริงได้ปรากฏแล้วว่าไม่เป็นความจริง ดังนี้...

“เพื่อบรรลุเป้าหมายก้าวไกลทําได้ทุกอย่าง โดยไม่แคร์วิธีการ…

เทคนิคสําคัญที่พวกเขาใช้ในการทําลายคู่แข่งทางการเมืองและสร้างความนิยมให้กับตัวเองคือการปลุกความหวาดกลัวและสร้างความเกลียดชัง พี่น้องคงจําได้จากเหตุการณ์โควิด-19 ใครที่ออกมาจุดกระแสต่อต้านวัคซีนที่ผลิตในประเทศ หรือวัคซีนที่รัฐบาลจัดหา ยกย่องเชิดชูวัคซีนไฟเซอร์ โจมตีดิสเครดิต แกนนําออกมาพูด และตามด้วยด้อมส้ม ตามด้วย IO 20-30 ล้านบัญชี ออกมาปั่นกระแสล้างสมองทั้งประเทศ สุดท้าย…ดารานักร้องหรืออินฟลูเอนเซอร์เห็นดีเห็นงามพากันออกมาคอลเอาท์ โจมตีด่าทอสร้างความเกลียดชังรัฐบาล จนสําลักความเกลียดไปทั่วประเทศ…

สุดท้ายเป็นไงล่ะ…สิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง ตอนนี้ผลปรากฏแล้วที่สหรัฐฯ เองได้มีการฟ้องร้องบริษัทไฟเซอร์ไปแล้ว และถ้ามันเกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่าง ๆ ขึ้นมา ถามว่าพรรคก้าวไกลจะรับผิดชอบยังไง? คุณปั่นหัวคนไปฉีดไฟเซอร์เป็นล้าน ๆ คนแล้ว และถ้าเกิดมีใครตายคุณจะรับผิดชอบยังไงไหว 

กรณีของ ‘คุณช่อ พรรณิการ์’ ก็เหมือนกัน เพื่อให้ตัวเองชนะการเลือกตั้งได้เป็นบอร์ดบริหารของประกันสังคม เธอถึงขั้นมาโจมตีประกันสังคม และบอกว่าประกันสังคมถ้าเกิดเป็นมะเร็งเขาจะให้เงิน 50,000 บาท แต่เดชะบุญผู้รู้คนที่เขาถือประกันตน ได้ออกมาพูดเลยว่าไม่จริง…เขารักษาให้จนหาย จ่ายเท่าไหร่เขาก็รับผิดชอบจนหาย จึงเห็นได้ชัดเลยว่า ‘คุณช่อ พรรณิการ์’ พยายามจะสร้างความหวาดกลัวและสร้างความเกลียดชังต่อประกันสังคม โดยเป้าหมายก็คือเพื่อให้ตัวเองชนะการเลือกตั้ง และนี่คือสิ่งที่พวกเขาทํามาตลอด โดยไม่แคร์วิธีการขอให้ชนะ จะใส่ร้ายป้ายสี โจมตี ประณามด่าทอ หรือปั่นกระแสล้างสมองคนไทยเท่าไหร่เขาก็ทํา…

ถึงคราวพี่น้องประชาชนต้องคิดแล้วล่ะ…ทุกสิ่งที่เขาพูดมาทําได้จริงไหม เป้าหมายของพวกเขาคืออะไรกันแน่? นโยบาย 2-300 ข้อ เกี่ยวกับปากท้องความกินดีอยู่ดี เขาไม่สนใจ เขาไม่ทํา เอาแต่มุ่งมั่นไปที่ทําลายสถาบัน / 112 / มุ่งไปที่การแบ่งแยกประเทศไทย มุ่งไปที่สร้างความแตกแยกให้สังคม ตั้งแต่ระดับโรงเรียนไปจนถึงระดับครอบครัว อะไรที่ดี ๆ กับบ้านเราขัดขวางจนหมด…

ดังนั้น ไม่สามารถทราบได้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขานั้นคืออะไร แต่เชื่อว่า ‘ความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรือง ความกินดีอยู่ดีของพี่น้องประชาชน’ นี่ไม่น่าจะใช่เป้าหมายของพวกเขาแน่นอน…

'นายกฯ' เตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.น่าน ติดตามการเจรจาแก้หนี้นอกระบบ 23 ธ.ค.นี้

(22 ธ.ค. 66) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เตรียมลงพื้นที่ตรวจราชการจังหวัดน่าน ในวันเสาร์ที่ 23 ธันวาคม 2566 เพื่อติดตามประเด็นการเจรจาแก้หนี้นอกระบบในพื้นที่จังหวัดน่าน 

โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พลตำรวจโท อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ร่วมคณะตรวจราชการ ซึ่งมีกำหนดการดังนี้

โดยเวลาประมาณ 11.00 น. นายกรัฐมนตรีออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ไปยังท่าอากาศยานน่านนคร ตำบลผาสิงห์ อำเภอเมืองน่าน จังหวัดน่าน เวลาประมาณ 14.00 น. ที่ศาลากลางจังหวัดน่าน นายกรัฐมนตรีจะติดตามประเด็นการเจรจาแก้หนี้นอกระบบในพื้นที่จังหวัดน่าน โดยนายกรัฐมนตรีจะประชุมหารือร่วมกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และร่วมรับฟังการเจรจาแก้ปัญหาหนี้ระหว่างประชาชน (ลูกหนี้) กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเมื่อเสร็จสิ้นภารกิจแล้ว นายกรัฐมนตรีจะเดินทางกลับถึงท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ในเวลาประมาณ 16.15 น. ทั้งนี้ กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม

“การลงพื้นที่จังหวัดน่านของนายกฯ เพื่อติดตามการเจรจาแก้หนี้นอกระบบในครั้งนี้ เป็นการยืนยันว่า นายกฯ และรัฐบาลให้ความสำคัญกับปัญหาหนี้นอกระบบที่ส่งผลกระทบต่อทุกคนที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจ และให้ความสำคัญกับประชาชนส่วนใหญ่ที่เป็นรากฐานสำคัญของประเทศ โดยการเร่งแก้ปัญหาหนี้นอกระบบ ฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ คืนศักดิ์ศรี คืนความหวังและสร้างความมั่นคงให้กับประชาชนคนไทย ให้มีความเข้มแข็งตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนถึงระดับมหภาค รวมทั้งยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนทำให้ไม่กลับไปมีหนี้ล้นพ้นตัวอีก” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทิ้งท้าย

‘นิด้าโพล’ เปิดผลสำรวจคะแนนนิยมนักการเมือง 'พิธา' นำโด่ง เหตุมีความเป็นผู้นำ-วิสัยทัศนดี แซงหน้า 'เศรษฐา' อันดับ 2

(24 ธ.ค.66) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมืองรายไตรมาสปี 2566’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 13-18 ธันวาคม 2566 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,000 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับคะแนนนิยมทางการเมือง การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่ประชาชนจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พบว่า

อันดับ 1 ร้อยละ 39.40 ระบุว่าเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) เพราะมีความเป็นผู้นำ เป็นคนรุ่นใหม่ วิสัยทัศน์ดี บุคลิกดี และเข้าถึงประชาชน 
อันดับ 2 ร้อยละ 22.35 ระบุว่าเป็น นายเศรษฐา ทวีสิน (พรรคเพื่อไทย) เพราะมีความรู้ความสามารถ ตรงไปตรงมา และชื่นชอบพรรคเพื่อไทย 
อันดับ 3 ร้อยละ 18.60 ระบุว่ายังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ 
อันดับ 4 ร้อยละ 5.75 ระบุว่าเป็น น.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊งค์) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) เพราะเป็นคนรุ่นใหม่ ชื่นชอบพรรคและนโยบายพรรคเพื่อไทย และชื่นชอบผลงานในอดีตของตระกูลชินวัตร 
อันดับ 5 ร้อยละ 2.40 ระบุว่าเป็น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ) เพราะมีความรู้ความสามารถ มีความน่าเชื่อถือ ตรงไปตรงมา และมีความซื่อสัตย์สุจริต 
อันดับ 6 ร้อยละ 1.70 ระบุว่าเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย) เพราะเข้าถึงประชาชนทุกกลุ่ม ตรงไปตรงมา และชื่นชอบผลงานที่ผ่านมา 
อันดับ 7 ร้อยละ 1.65 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคไทยสร้างไทย) เพราะมีประสบการณ์ด้านการบริหารประเทศ และต้องการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้ามาบริหารประเทศ 

ร้อยละ 3.90 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ (พรรคพลังประชารัฐ) นายชัยธวัช ตุลาธน (พรรคก้าวไกล) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (พรรคประชาธิปัตย์) นายวราวุธ ศิลปอาชา (พรรคชาติไทยพัฒนา) นายชวน หลีกภัย (พรรคประชาธิปัตย์) นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน (พรรคประชาธิปัตย์) นายเทวัญ ลิปตพัลลภ (พรรคชาติพัฒนากล้า) นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา (พรรคประชาชาติ) พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง (พรรคประชาชาติ) นายเฉลิม อยู่บำรุง (พรรคเพื่อไทย) นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ (พรรคไทยศรีวิไลย์) และ ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์
และร้อยละ 4.25 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 44.05 ระบุว่าเป็น พรรคก้าวไกล อันดับ 2 ร้อยละ 24.05 ระบุว่าเป็น พรรคเพื่อไทย อันดับ 3 ร้อยละ 16.10 ระบุว่า ยังหาพรรคการเมืองที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 4 ร้อยละ 3.60 ระบุว่าเป็น พรรคประชาธิปัตย์ อันดับ 5 ร้อยละ 3.20 ระบุว่าเป็น พรรครวมไทยสร้างชาติ อันดับ 6 ร้อยละ 1.75 ระบุว่าเป็น พรรคภูมิใจไทย อันดับ 7 ร้อยละ 1.45 ระบุว่าเป็น พรรคพลังประชารัฐ ร้อยละ 1.85 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ พรรคไทยสร้างไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคเพื่อไทยรวมพลัง พรรคประชาชาติ พรรคชาติพัฒนากล้า และพรรคเสรีรวมไทย และร้อยละ 3.95 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ดาบสองคมจาก ‘สมศักดิ์’ หลังออกโรงป้อง ‘โทนี่’ พร้อมจับตา!! ปรับครม.จองเก้าอี้ใหญ่ ฝันไกลมท.1

สรุปว่ากรณี นช.ทักษิณ ชินวัตร ได้นอนพักรักษาตัวอยู่ที่รพ.ตำรวจ ชั้น 14 จนถูกโจมตีว่าเป็นนักโทษเทวดานั้น บัดนี้ครบ 120 วันแล้ว เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2566 ที่ผ่านมา…ตามกฎกระทรวง (ยุติธรรม) ว่าด้วย ‘การส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ.2563’ ที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ในฐานะรมว.ยุติธรรม ลงนามให้ไว้ ณ วันที่ 25 ก.ย.2563 ระบุไว้ชัดเจนในข้อ 7(3) ว่า

กรณีพักรักษาตัวเกิน 120 วัน ให้ผบ.เรือนจำมีหนังสือขอความเห็นชอบจากอธิบดี (ราชทัณฑ์)พร้อมกับความเห็นของแพทย์ผู้ทำการรักษา และหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และรายงานให้รัฐมนตรีทราบ…

ปัญหามีอยู่ว่าตอนนี้ที่ นช.ทักษิณ ได้ใช้บริการชั้น 14 ต่อนั้น...ด้วยเหตุผลใด ตามข้อ 7(3) ที่ว่ามา หรือว่า นช.ทักษิณ ได้เปลี่ยนไปใช้สิทธิ์ระเบียบราชทัณฑ์ล่าสุดว่าด้วย ‘คุกนอกเรือนจำ’  หรือรอย้ายไปคุมขังที่รพ.พระราม 9, ที่บ้าน หรือที่อื่น ๆ...

ไม่มีการแถลงจากอธิบดีกรมราชทัณฑ์คนใหม่หมาด…สหการณ์ เพชรนรินทร์ ว่าอะไรเป็นอย่างไร...มีแต่เสียงปกป้องนายใหญ่ของสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกฯ ที่ตอบคำถามนักข่าวเมื่อ 22 ธ.ค. กรณีกรรมาธิการการตำรวจสภาฯ จะไปตรวจชั้น 14 ว่าหากเขาไม่อนุญาตก็ไปไม่ได้ เพราะเป็นเอกสิทธิ์ของผู้ป่วย “หากถามว่าเป็นโรคอะไร เจ็บป่วยอะไร และเขาไม่อยากเปิดเผย  หากเปิดเผยจะถูกฟ้องตายห่า...”

ก่อนหน้านั้นวันที่ 21 ธ.ค. ในฐานะรมว.ยุติธรรมเก่า สมศักดิ์อธิบายความเป็นมาตั้งแต่พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ 2560 และกฎกระทรวง 2563 จนมาถึงระเบียบราชทัณฑ์ 2566 ที่รับช่วงต่อยอดเรื่องการพัฒนาการคุมขังนอกเรือนจำตามหลักสากล หลักสิทธิมนุษยชนได้อย่างค่อนข้างชัดเจน...ก่อนที่จะฟันธงตรงประเด็นว่า...ทักษิณเข้าเกณฑ์ที่จะใช้สิทธิ์ ‘คุกนอกเรือนจำ’

‘เล็ก เลียบด่วน’ เช็กข่าวจากแนวรบพรรคเพื่อไทยมาแล้วว่า...การออกมาพูดสองรอบของสมศักดิ์ เข้าตา-โดนใจกรรมการบ้านชินวัตรเป็นยิ่งนัก...เป็นการออกมาพูดในจังหวะที่ถูกที่ถูกเวลา

- สมศักดิ์รู้ดีว่าโดยเนื้อแท้สังคมไม่ได้คัดค้านเนื้อหาระเบียบราชทัณฑ์ เพราะมันจะตอบโจทย์นักโทษกว่าหมื่นคนที่จะได้ใช้บริการ ‘คุกนอกเรือนจำ’ ทักษิณก็เป็นเพียงหนึ่งในนั้น..

-อดีตรัฐมนตรี 13 -14 สมัย อย่างสมศักดิ์ย่อมอ่านขาดว่าอีกไม่นาน...หรืออย่างช้าประมาณ พ.ค.-มิ.ย. จะมีการปรับครม.อย่างแน่นอน และรอบนี้เขาน่าจะได้ทำงานใหญ่กว่ารองนายกฯ...อย่างน้อยควรจะได้ดูแลกระทรวงเกษตรฯ อีกสักครั้ง หรือหากให้เขาเลือกได้ก็จะขอเลือกเก้าอี้รมว.มหาดไทยโน่นเลย...แม้จะยากเพราะภูมิใจไทยถือโควต้าอยู่..

อย่างไรก็ตาม แม้จะออกตัวแรงและทำได้เข้าตากรรมการประชาชนชาวพรรคเพื่อไทย แต่ในอีกมุมก็ย่อมมีแรงต้านเป็นธรรมดา..การออกโรงของสมศักดิ์ เมื่อผสมกับคำประกาศของนายทักษิณ ‘วิญญัติ ชาติมนตรี’ ที่ขู่ฟอด ๆ จะฟ้องทุกคนที่ละเมิดสิทธิ์ทักษิณ แบบว่าเมื่ออ่านที่ทนายวิญญัติประกาศแล้ว...เกือบจะทำให้คิดว่า..แค่เอ่ยชื่อทักษิณกรูก็อาจถูกฟ้องได้…

อันนี้แหละมันจะเป็นดาบอีกคมยิ่งทำให้...คนหมั่นไส้และชิงชังในปรากฏการณ์ทักษิณที่ถูกมองว่าเป็นนักโทษเทวดา...ทั้ง ๆ ที่จะไม่มีปัญหาอะไรเลย หากทุกฝ่ายทุกคนพูดความจริง…

แต่ที่มันไม่พูดกันไม่ได้…ใช่หรือไม่ว่าเพราะมีการโกงความยุติธรรม โกงความจริงกัน!?

'นายกฯ' ยัน!! ปม 'ทักษิณ' ทำตามกฎระเบียบ ไม่เอื้อประโยชน์ให้ใคร  ชี้!! หากโยงเข้าการเมืองก็ทำได้ทุกเรื่อง ลั่น!! มีปัญหาต้องแก้ไขกันไป

(24 ธ.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์สดผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่งถึงกรณีการรักษาตัวในโรงพยาบาลครบ 120 วันของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก รวมถึงเมื่อวันที่ 22 ธ.ค. ที่ผ่านมา กรณี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล และมีกระแสข่าวว่านำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือ รวมถึงยังมีอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมทั้งผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลางเข้ามาด้วยว่า...

"มีการพูดคุยกันในหลายเรื่องที่เราติดตามกันอยู่ เป็นคดีที่พี่น้องประชาชนให้ความสนใจ ประเด็นของนายทักษิณ อย่างที่ตนได้ให้สัมภาษณ์ไปแล้วเมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ว่าขอให้เป็นหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์กับโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งตนมั่นใจว่าเขาไม่ได้ออกกฎระเบียบมาเพื่อดูแลคนๆ เดียว ต้องคิดถึงส่วนรวมเป็นหลัก รวมถึงเชื่อว่าทั้งสองหน่วยงานจะยึดถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายด้วย"

เมื่อถามถึงความพยายามเชื่อมโยงประเด็นของนายทักษิณมาเป็นเรื่องของการเมือง จะส่งผลต่อการกดดันทางการเมืองในปีหน้าด้วยหรือไม่? นายกฯ กล่าวว่า "ทุกเรื่องก็คงเป็นประเด็นการเมืองทั้งหมดหากจะโยงกันจริงๆ แต่เราก็ยึดมั่นในกฎระเบียบที่ไม่ได้ทำมาเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง ซึ่งถ้าเป็นไปตามกฎแล้วทุกคนมีสิทธิ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ถูกกล่าวโทษหรือผู้ที่อยู่ในโรงพยาบาลตำรวจเอง ท่านเองก็เป็นนายกรัฐมนตรีมาสองสมัย และเป็นบุคคลที่ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติมา ท่านก็ได้รับการดูแล แต่เชื่อทุกอย่างเป็นไปตามกฎกติกาที่ได้วางกันไว้ ส่วนเรื่องจะมาเป็นประเด็นทางการเมืองมากน้อยขนาดไหนอย่างไร ตนคงไม่ไปทำนายส่วนนั้นได้"

"มีปัญหาก็ต้องแก้ไขกันไป มีอะไรไม่กระจ่างก็ต้องชี้แจงกันไป แต่เรายึดมั่นในกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว" นายเศรษฐา กล่าว

เมื่อถามถึงกรณีพรรคการเมืองฝ่ายค้านออกมาระบุ เตรียมขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในช่วงปีหน้า? นายกฯ กล่าวว่า "การตรวจสอบเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านอยู่แล้ว หน้าที่เราคือทำงาน แต่หากมีการสอบถามมาหรือถึงขั้นเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจเราก็มีหน้าที่ต้องตอบ และยืนยันไม่มีความหนักใจ เราทำงานเอาประชาชนเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว เชื่อว่ารัฐมนตรีทุกท่านรวมถึงตน ตอบอยู่แล้วถึงเรื่องที่เราทำกันมา"

‘นายกฯ’ สรุปภาพรวมปี 66 เน้นบรรเทาความเดือดร้อน ปชช. พร้อมย้ำ!! ตั้งแต่รับตำแหน่งมา ทำงานเต็มที่ไม่รู้จักเหนื่อย

(24 ธ.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์สดผ่านทางสถานีโทรทัศน์แห่งหนึ่ง ถึงภาพรวมการทำงานของรัฐบาลในปี 2566 ว่า หากให้ประเมินแบบการให้คะแนนตนคงไม่ให้ เพราะเป็นหน้าที่คนอื่นที่ต้องให้ แต่ว่าตั้งแต่ที่เข้ามารับตำแหน่งนั้น เราก็ทำงานอย่างเต็มที่ รัฐบาลเราให้ความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้น กลาง และยาว เรื่องของการลดภาระค่าใช้จ่ายประชาชนที่ออกมาก่อนหน้านี้ ทั้งการลดค่าไฟ ลดค่าน้ำมัน พักชำระหนี้เกษตรกร เป็นต้น อีกทั้งยังมีเรื่องของนโยบายภาพรวมในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญด้วย

เมื่อถามผลประเมินที่บางฝ่ายออกมาให้คะแนนนายกรัฐมนตรีเข้าเกณฑ์สอบผ่าน สะท้อนถึงการทำงานหนักด้วยหรือไม่ นายเศรษฐาถึงกับร้อง “โอ๊ย!” ก่อนกล่าวว่า หากเราทำงานหนักแล้วประชาชนยังเดือดร้อน ลงไปพื้นที่ยังเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นก็เชื่อว่ารัฐมนตรีทุกท่านทำเต็มที่ ไม่ใช่แค่ตนทำงานคนเดียว ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องช่วยกันหมด อีกทั้งปัญหาต่างๆ ก็ต้องค่อยๆ แก้กันไป ซึ่งเป็นหน้าที่ของนักการเมืองอยู่แล้วที่อาสามา เข้ามาตรงนี้ทราบอยู่แล้วว่าต้องทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ส่วนนโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของรัฐบาล นายเศรษฐากล่าวย้ำว่า ยังคงเป็นไทม์ไลน์เดิมคือพฤษภาคมปีหน้า

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ว่า ขอให้ใช้เวลาพักผ่อนให้เต็มที่ ระมัดระวังเรื่องของการเดินทาง ที่สำคัญคือเมาไม่ขับ ขอให้ทุกคนปลอดภัย และปีหน้าขอให้เป็นปีที่ดีขึ้น ส่วนทางรัฐบาลก็จะทำงานอย่างเต็มที่

'สื่อทำเนียบ' ยกคำ 'นายกฯ' วาทะแห่งปี "ผมจะทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย" 

(26 ธ.ค. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การตั้งฉายารัฐบาล และ รัฐมนตรีประจำปี ของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ที่ยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน เพื่อสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาล โดยปราศจากอคติ ได้มีมติร่วมกันตั้งฉายารัฐบาล รัฐมนตรี และ วาทะแห่งปี ประจำปี 2566 ดังนี้

>> ฉายารัฐบาล แกง​ส้ม ‘ผลัก’ รวม

‘แกง’ คือ คำสแลงที่ใช้แทนความหมายว่า แกล้ง ‘ส้ม’ คือ สีของพรรคก้าวไกล ส่วนคำว่า ‘ผลักรวม’ ล้อมาจากคำว่า ‘ผักรวม’ เมนูแกงส้มยอดนิยมประเภทหนึ่ง เมื่อรวมกันแล้ว นิยามความหมายในทางการเมือง สะท้อนกระแสสังคม มองพรรคก้าวไกลถูกกลั่นแกล้ง MOU ถูกฉีก และ ถูกผลักออกจากการร่วมรัฐบาล ด้วยเงื่อนไขทางกฎหมาย และ ข้ออ้างทางการเมือง ส้มจึงหล่นใส่พรรคอันดับรอง กลืนน้ำลายจัดตั้งรัฐบาล ‘มีลุง’ ก็ไม่เป็นไร โดยให้เหตุผลเพื่อความสมานฉันท์ ทำเอาแฟนคลับผู้รักประชาธิปไตยถึงกับหัวใจสลาย ก่อเกิดวาทกรรม ‘ตระบัดสัตย์’

ดังนั้น แกง​ส้ม ‘ผลัก’ รวม จึงใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางการเมือง ของการจัดตั้งรัฐบาลที่ว่า ‘ชนะเลือกตั้ง แต่แพ้จัดตั้ง’ ได้เป็นอย่างดี

>>นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง : เซลล์แมนสแตนด์ ‘ชิน’

นับแต่เศรษฐีที่ชื่อ ‘เศรษฐา’ เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ก็เดินหน้าทำงานทันที โดยเฉพาะการหารายได้เข้าประเทศ ต้องยอมรับในความมุ่งมั่นตั้งใจ คิดเร็วทำไว เดินสายพกประเทศไทยใส่กระเป๋า ไปโรดโชว์จีบนักลงทุนทั่วโลก ประกาศตัวเป็นเซลล์แมนเต็มรูปแบบ

แต่ในทางการเมือง ยังถูกมองว่า ไม่ใช่นายกฯ ตัวจริง เงาของคนในตระกูล ‘ชินวัตร’ ยังปกคลุม เปรียบเสมือนตัวแสดงแทน หรือ สแตนด์อิน เพราะเคยหลุดปากขณะออกงานพร้อม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวสุดที่รักของนายใหญ่ หนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทยเช่นกัน ว่า “นายกฯ คนไหน มีนายกฯ 2 คน” อีกทั้งหลายนโยบาย ก็ถูกวิจารณ์ว่า ต่อยอดมาจากนโยบายเดิม ของรัฐบาลนายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

>>นายภูมิธรรม​ เวชย​ชัย​ รองนายก​รัฐมนตรี​และ​รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​พาณิชย์ : รองกอง

รองนายกรัฐมนตรี คนที่ 1 คนที่นายกรัฐมนตรีต้องเชื่อใจ และ ปล่อยให้ดูแลทุกอย่าง เมื่อต้องออกไปเดินสายขายของในต่างประเทศ ต้องรับเละทุกงานในมิติการเมือง และ ถูกโยนให้รับผิดชอบเป็นเจ้าภาพหลักหลายเรื่อง ที่นายกฯ หลายยุคหลายสมัยต้องนั่งหัวโต๊ะ กลับกลายเป็นการประชุมครั้งแรกของรัฐบาลนี้ รองนายกฯ ที่ชื่อ ‘ภูมิธรรม’ ต้องทำหน้าที่แทน นับตั้งแต่การจัดตั้งรัฐบาล การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปัญหาประมง กลุ่มพีมูฟ สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ EEC หรือแม้แต่ช่วงวิกฤตนาทีชีวิตแรงงานไทยในอิสราเอล ประชุมนัดแรก ก็ยังเป็น ‘ท่านรอง ภูมิธรรม’ ไหนจะงานหลักในกระทรวง ปัญหาของแพง ราคาอ้อย น้ำตาล อีรุงตุงนัง กองสุมอยู่รอบตัว เหมือนลองกอง ผลดก พวงยาว กิ่งใหญ่

>>นายสุทิน คลังแสง​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวง​กลาโหม​ : พลิกทินสู่ดาว

ได้ยินแทบไม่เชื่อหู ใครเห็นเป็นต้องขยี้ตา เมื่อพลเมืองเต็มขั้น เคยรับเงินเดือนครู หลงใหลในดนตรีหมอลำ ผันตัวเข้าสู่แวดวงการเมือง ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับกองทัพ นอกจากนามสกุล ‘คลังแสง’ ขนาดเจ้าตัวยังไม่เคยนึกฝัน ว่าชีวิตนี้จะได้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แต่ด้วยบุคลิกสุภาพ ใจเย็น มืออ่อน และ ลีลาร้องรำน่าเอ็นดู จึงเข้าได้กับทหารทุกกรมกอง พลิกชีวิตลูกอีสาน สู่ดาวเจิดจรัสเฉิดฉาย ท่ามกลางเหล่าทัพได้อย่างแนบเนียน

>>พ.ต.อ. ทวี​ สอดส่อง​ รัฐมนตรี​ว่าการ​กระทรวงยุติธรรม : ทวี สอดไส้

ยิ่งกว่านอนมา สำหรับตำแหน่งเจ้ากระทรวงยุติธรรม เต็งหนึ่งชื่อเดียว แบบไร้คู่แข่งมาตั้งแต่ต้น สะท้อนความไว้วางใจจากนายใหญ่แค่ไหน คงไม่ต้องพูดถึง

แม้จะไม่โดดเด่นในการบริหารราชการช่วง 3 เดือนแรก แต่กลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะประเด็น เอื้อประโยชน์ให้กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังเดินทางกลับมารับโทษ ถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตำรวจ ทำให้ไม่ต้องนอนคุกแม้แต่คืนเดียว เผือกร้อนแค่ไหนคงไม่ต้องถาม มือพองแค่ไหนก็ต้องถือ กว่านายทักษิณจะออกจากคุก ต้องถูกจ้องถล่มอีกมากแค่ไหน คงไม่ต้องเดา

>>นายชาดา ไทย​เศรษฐ์​ รัฐมนตรี​ช่วยว่าการ​กระทรวง​มหาดไทย​ : มาเฟียละเหี่ยใจ​

นักการเมืองชื่อดังแห่งจังหวัดอุทัยธานี ประวัติโลดโผน ภาพจำพัวพันวงการนักเลง ถูกประทับตรามาเฟีย ผู้คนยกสถานะให้เป็นผู้ทรงอิทธิพล แต่เจ้าตัวก็ปฏิเสธมาโดยตลอด พร้อมให้คำจำกัดความตัวเองไว้ว่า “ ความดีพอสมควร ความชั่วพอประมาณ สันดานพอคบได้”

หน้าที่การงานในตำแหน่งรัฐมนตรี ได้รับมอบหมายภารกิจสำคัญ เป็นโต้โผปราบปราม ‘ผู้มีอิทธิพล’ จนฮือฮากันทั้งประเทศ แต่ยังไม่ทันได้สร้างผลงาน ‘ลูกเขย’ ก็สร้างเรื่องก่อน ถูกเจ้าหน้าที่กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) จับกุม ในข้อหาเรียกรับสินบนจากผู้รับเหมาก่อสร้างโครงการระบบประปาหมู่บ้านแบบบาดาล 2 โครงการ งานนี้เก้าอี้รัฐมนตรีร้อนระอุ เปิดแถลงข่าวภายใน 24 ชั่วโมง สั่ง ‘ลูกเขย’ ยื่นใบลาออกทันที ไม่ต้องรอสอบสวน ลั่นเป็นลูกเขยชาดา สปิริตต้องมากกว่าคนอื่น

>>วาทะแห่งปี

“ผมจะทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย​”

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ประกาศเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2566 หลังพิธีรับสนองพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ณ ที่ทำการพรรคเพื่อไทย

โดยขอทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ที่ไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย เป็นรัฐบาลที่จะทุ่มเท ทำงานหนัก รับฟังเสียงของประชาชน นำความสามัคคีกลับคืนสู่คนในชาติ แต่ทำงานยังไม่ถึง 4 เดือน กลับขอลาพักผ่อนกับครอบครัวเป็นเวลา 4 วัน จนชาวโซเชียล อดแซวไม่ได้

หากถามนักข่าวหลายคนที่คุ้นเคย และ ตามติดภารกิจนายเศรษฐา ต่างรู้ซึ้งเป็นอย่างดี ถึงคำว่า “ทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย” แทบทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ตามนายกฯ 3 เดือนเหมือน 3 ปี ให้สัมภาษณ์ทุกที่ ที่มีโอกาส ถึงไม่เห็นหน้าก็มาทางโซเชียล ค่ำคืนไม่พักไม่ผ่อน โพสต์ประเด็นร้อนทันใจ ‘ภูเก็ตก็แค่ปากซอย’ นักข่าวพิสูจน์แล้ว นายกฯ ทำได้จริง พร้อมสะท้อนปัญหาหลักของนายกฯ ที่มักบอกว่าเป็นคนพูดตรง คือ การสื่อสาร หลายครั้งนำภัยมาสู่ตน เมื่อขึ้นศักราชใหม่แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร คงต้องรอติดตามกันต่อไป

เมื่อ 'YouTuber ชั้นเลว' สูบแสงเพียงเพื่อแลกเงิน ก้มหน้าก้มตาโกยจากการสร้างภาพให้กับฆาตกร

ผมเชื่อว่าใครที่ติดตามความเป็นไปของสังคมไทย เน้นในโลกของโซเชียลเน็ตเวิร์ก คงต้องรู้สึกถึงความ ‘เสื่อมต่ำ’ ของคนอาชีพ YouTuber ยุคนี้ไม่มากก็น้อย 

ก่อนหน้าสัก 7-10 ปี คนที่จะยึดอาชีพนี้ในการหาเลี้ยงชีพจริงจังยังมีไม่มาก ส่วนใหญ่เข้ามาเพราะความไม่ตั้งใจ แต่เมื่อคลิปของตนเองเกิดฟลุ้ก และโด่งดังขึ้นมา เริ่มมีคนติดตามมากขึ้น นำมาซึ่งการเกิดรายได้งาม ๆ เข้ากระเป๋า คนที่พอจะเป็นมวยก็รีบฉวยปรับตัวตามสถานการณ์หันมาเอาจริงกับการหาเงินผ่านช่อง YouTube ของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด 

แต่ที่ผิดคือ จำนวนไม่น้อยมักไม่ได้สนใจว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นสังคมจะได้หรือเสียอะไร? คิดแค่ตัวเองได้เงิน ช่องของตัวเองโด่งดังก็เพียงพอแล้ว ความเสื่อมของสังคมไทยจึงเริ่มต้นนับจากบรรทัดนี้

การผันตัวเองมาเป็น YouTuber ของคนประเภทข้างต้นนั้น เกิดขึ้นมากมายในสังคมไทย แต่น้อยถึงน้อยมากที่เราจะเห็น YouTuber ที่พึ่งพาได้จริง ๆ หรือเป็น ‘YouTuber’ ในแนวสร้างสังคมให้เกิดความแข็งแรง หรือคอยปลุกสำนึกให้ผู้คนคิดเป็น 

กลับกันที่มีให้เห็นดาษดื่นคือ YouTuber ที่ขาดความหวังดีต่อโลก แต่ที่น่าเจ็บปวดคือ กลับมีคนไทยชอบ และติดตามสนับสนุนอย่างมหาศาล การจะเห็น ‘YouTuber ชั้นเลว’ โด่งดังในประเทศไทย จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นแต่อย่างใด

ยุคหนึ่ง หากอยากจะวัดดูว่า คนไทยโง่ หรือ ฉลาด ก็ให้ดูจำนวนคนที่เลือกนักการเมืองเลว ๆ มาเข้าสภา แต่ยุคนี้สามารถดูได้จากจำนวนคนที่ติดตาม ‘YouTuber ชั้นเลว’ ก็จะได้คำตอบไม่แพ้กัน 

‘YouTuber ชั้นเลว’ หรือบางคนเรียกขานว่าเป็น ‘YouTuber ขยะ’ คุณจะเรียกอะไรก็ได้ เพราะพฤติกรรมของ YouTuber สองประเภทนี้จะคล้ายคลึงกันนั่นคือปั้นช่อง YouTube แบบไร้ทิศไร้ทาง อะไรคือ กระแส มีแสง ก็จะวิ่งเข้าหา เกาะติดไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่แยกถูกผิด ชั่วดี ไม่มีอุดมการณ์เพื่อส่วนรวม ไม่มีสามัญสำนึก ไร้ศีลธรรม ขาดความคิดในเชิงสร้างสรรค์ มองเห็นคอนเทนต์ใดที่ทำแล้วพอจะได้เงิน ก็จะรีบพากันกระโจนเข้าใส่เสมอ 

ไม่กี่ปีที่ผ่านมามีข่าวว่าชายคนหนึ่ง ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนลงมือทำให้หลานสาวตัวน้อยของตัวเองเสียชีวิต เมื่อถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ชายคนนี้ก็โด่งดังขึ้นมา เพียงไม่กี่วันเหล่า YouTuber ก็พากันไปรุมล้อม จำนวนหนึ่งก็ช่วยกันปกป้อง สร้างภาพให้ดูน่าสงสาร ราวกับชายคนนี้เป็นคนดีที่โลกใบนี้ควรโอบอุ้ม 

แต่เมื่อต่อสู้กันในชั้นศาลยาวนาน จนที่สุดหลักฐานมัดว่าเขาคือคนผิด หรือ ‘ฆาตกรฆ่าหลาน’ เหล่า YouTuber ที่เสริมส่งให้คนผิดมีที่ยืนตลอดมา หรือช่วยให้ได้รับโอกาสดี ๆ อันมากมายจากสังคมไทยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยยอมรับในความผิด ก็ไม่ต่างจาก ‘YouTube ชั้นเลว’ หรือ ‘YouTuber ขยะ’ มองมุมไหนก็ไม่มีประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม นั่นก็รวมถึงนักร้องลูกทุ่งบางคน สินค้าบางชนิด หรือช่องข่าวบางช่องที่เคยสนับสนุน ‘ชายผู้ฆ่าหลาน’ คนนี้โดยไม่ลืมหูลืมตา 

วิงวอนคนไทยอย่าลืมคนเหล่านี้เชียว เลิกสนับสนุนได้...คือดี 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top