Sunday, 22 June 2025
Politics

‘วัชระ’ ยื่นหนังสือถึง ‘นายกฯ’ ตั้ง กก.สอบ ‘นช.ทักษิณ’ พร้อมมอบใบมะละกอ หวังช่วยรักษาโรค จะได้กลับเรือนจำเร็วๆ

(26 ธ.ค.66) ที่ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล 1111 นายวัชระ เพชรทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ ได้เดินทางมายื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ผ่านนายพันศักดิ์ เจริญ ผู้เชี่ยวชาญด้านมวลชน เรื่อง ขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณี นช.ทักษิณ ชินวัตร ต้องคำพิพากษาให้จำคุก 6 ปี แต่ไม่ได้จำคุกจริงในเรือนจำแม้แต่วันเดียว และขอให้บังคับโทษตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทั้งโทษอาญาและแพ่งให้ นช.ทักษิณชำระเงินให้แก่รัฐคดีทุจริตปล่อยของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (เอ็กซิมแบงค์) จำนวนเงิน 189,125,644.55 บาท พร้อมดอกเบี้ย 

ตามหนังสือที่อ้างถึงข้าพเจ้านายวัชระ เพชรทอง อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรค
ประชาธิปัตย์ ได้กราบเรียนนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เรื่องขอทราบผลการติดตามของกระทรวงการคลังได้ดำเนินการให้จำเลย (นายทักษิณ ชินวัตร) ชดใช้ความเสียหายตามคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และสื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวการติดตามเร่งทวงเงินคดีทุจริตปล่อยกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยนั้น

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 11 ก.ย.66 ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรีต่อรัฐสภา “การดำเนินนโยบายของรัฐบาลที่อยู่บนพื้นฐานของความถูกต้อง โปร่งใสและตรวจสอบได้สอดคล้องกับกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 53 รัฐต้องดูแลให้มีการปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด” แต่ปรากฏว่าท่านไม่ได้ปฏิบัติตามคำแถลงนโยบายในเรื่องสำคัญที่อยู่ในความสนใจของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ คือ กรณี นช.ทักษิณ ชินวัตร ต้องคำพิพากษาให้จำคุก 1 ปี แต่ไม่ได้จำคุกจริงในเรือนจำแม้แต่วันเดียว และยังได้อภิสิทธิ์ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล และยังมีการเร่งรัดออกระเบียบตำรวจถึงวันนี้รวม 126 วันโดยพี่น้องประชาชนไม่เชื่อว่ามีการเจ็บป่วยจริง กรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ.2560 ลงวันที่ 5 ธ.ค.66 ให้ทันในปีนี้เพื่อเอื้อประโยชน์แก่ นช.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งเป็นบิดาของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติซึ่งเข้าข่ายผลประโยชน์ทับซ้อนของบุคคลในรัฐบาลนี้

ดังนั้น จึงขอให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนทุกประเด็นในเรื่องนี้ ธรรมให้ข้อเท็จจริงแก่พี่น้องประชาชน รวมทั้งขอให้บังคับโทษทางอาญาและแพ่งให้แก่รัฐคดีทุจริตปล่อยกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย จำนวนเงิน 189,125,644.55 บาท พร้อมดอกเบี้ย หากท่านปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือทุจริตไม่ดำเนินการตามกฎหมายภายใน 15 วัน ข้าพเจ้าจะดำเนินการแจ้งความดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญาทันที

และนายวัชระได้มอบใบมะละกอให้นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ผู้เผยแพร่คลิปว่าใบมะละกอนำมาต้มรักษาโรคร้ายได้ จึงนำมาให้นายสมศักดิ์ นำไปให้ นช.ทักษิณ ชินวัตร ที่พักรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจนาน 126 วันแล้ว จะได้หายกลับเรือนจำเสียที

‘นายกฯ’ ลั่น!! 314 เสียง แฮปปี้ดี  พร้อมย้ำ!! ตอนนี้ยังไม่คิดปรับ ครม.

(26 ธ.ค.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีสื่อทำเนียบรัฐบาลตั้งฉายาเซลล์แมนสแตนด์ ‘ชิน’ ให้ ว่า ก็เข้าใจในทุกๆ ปีก็มีการตั้งฉายา ซึ่งเป็นเรื่องของสีสัน ฉายาของนายกฯ ที่ตั้งเป็นเซลล์แมนสแตนด์ชิน คำว่า เซลล์แมน ตนก็ทราบอยู่แล้ว เพราะประกาศตัวอยู่แล้ว ส่วนสแตนด์ ‘ชิน’ เป็นคำควบกล้ำระหว่างภาษาไทยกับภาษาอังกฤษหรือเปล่า ซึ่งสื่อต้องอธิบายให้ฟัง ตนจึงจะตอบได้ ตนเองก็เข้าใจหลวมๆ ขอให้ถามได้เลย ไม่เป็นไรจะได้ตอบได้ถูกต้อง

ผู้สื่อข่าวถามว่า คำว่าสแตนด์ ‘ชิน’ ในคำบรรยายหมายความว่าอาจจะเป็นเงาของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่รอการขึ้นมาเป็นนายกฯ นายเศรษฐา กล่าวว่า “อ๋อ !โอเค”แต่วันนี้ตนก็เป็นนายกฯ อยู่ และทำหน้าที่อย่างเต็มที่ และพยายามตั้งใจเอาให้ครบ 4 ปีให้ได้ แต่สำคัญมากกว่านั้นไม่ใช่อยู่ไปให้ครบ 4 ปีแล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนไม่ได้ดีขึ้น ส่วนสแตนด์ ‘ชิน’ คือคอยสำหรับให้ครอบครัวไหนเข้ามา อันนี้พี่น้องประชาชนเป็นคนตัดสินมากกว่า ตรงนี้ก็ต้องคอยการเลือกตั้งครั้งต่อไป ก็เข้าใจไม่ได้คิดอะไร

เมื่อถามว่า มองอย่างไรกับฉายารัฐบาลแกงส้ม ‘ผลัก’ รวม นายกฯ กล่าวว่า ตนไม่ค่อยเข้าใจคำว่าผลักสักเท่าไหร่ แต่หลักแกงส้มเป็นแกงที่มีรสชาติดี และตนก็รู้ว่าเรารวมกันหลายพรรคอยู่แล้ว และรสชาติแกงส้มก็มีทั้งเปรียว หวาน เค็ม เผ็ด ใช่ไหม ตนคิดว่ารัฐมนตรีทุกคนก็ครบเครื่องพร้อมที่จะทำงานให้กับพี่น้องประชาชน ตนมองเป็นลักษณะนั้นมากกว่า 

เมื่อถามย้ำว่าคำว่า ‘แกง’ หมายถึงการแกล้ง ที่เป็นการพรรคก้าวไกลในช่วงต้นๆ นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่พรรคเพื่อไทยเราก็โหวตให้ในตอนนั้น แต่ไม่สามารถรวบรวมเสียงได้ และเราก็ไม่สามารถคอยได้ 9-10 เดือนตามที่เขาบอก ก็ต้องทำหน้าที่กันไป ประเทศคอยไม่ได้ ไม่ได้แกล้งแน่นอน และยืนยันตามที่ตนพูดมาตลอดตั้งแต่ก่อนเข้ารับตำแหน่งก็บอกอยู่แล้วว่าพร้อมสนับสนุนตรงนั้นหากสามารถทำได้ 

เมื่อถามว่า นายกฯ จะรักษาบรรยากาศของพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อให้อยู่ครบกันไปถึง 4 ปีใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า อยู่ที่ผลงานของเรามากกว่า และดูที่ความตั้งใจของรัฐมนตรีทุกท่าน ไม่ได้มองแยกว่าเป็นรัฐมนตรีจากพรรคไหนเป็นพรรคไหน เราดูผลงานเป็นหลักของทุกๆ รัฐมนตรี และเอาผลงานเป็นที่ตั้ง เมื่อถามว่า 314 เสียงแปลว่าจะไม่มีการปรับพรรคไหนมาหรือปรับออกใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่วันนี้เรามีความสุขอยู่แล้วตรงนี้ และเชื่อว่ารัฐมนตรีทุกท่านจากทุกพรรคได้ทำงานอย่างเต็มที่ และตนก็ตระหนักดีพี่น้องสื่อมวลชนได้ให้ข้อคิดตลอดเวลา มีปัญหาตรงไหน ต้องแก้ไขตรงไหน และต้องปรับปรุงอย่างไร ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นให้รัฐมนตรีทุกคนทุกพรรคช่วยกันทำงานอยู่แล้ว 

ผู้สื่อข่าวถามว่าแต่การจะมีพรรคใหม่เข้ามาเพิ่มร่วมรัฐบาล ก็พร้อมที่จะพิจารณาใช่หรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า “ตอนนี้ไม่ได้คิด ผมเชื่อว่า ณ วันนี้ 314 เสียงเรายังทำงานกันได้ดีอยู่ มีเรื่องหรือมีปัญหาอะไรเราก็คุยกันอย่างตรงไปตรงมาโดยเอาผลงานเป็นที่ตั้ง วันนี้เราโอเคอยู่แล้วตรงนี้”

เมื่อถามย้ำว่าอนาคตถ้าจะมีเสียงเพิ่มก็ไม่ติดใช่หรือไม่ นายกฯกล่าวว่า วันนี้แฮปปี้อยู่แล้ว มีความสุขอยู่แล้ว 314 เสียงจาก 500 เสียงเพียงพอต่อการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐมนตรีทำงานอย่างเต็มที่ก็ต้องปรับกันไป แม้ไม่เห็นด้วยกันหมดแต่ก็มีการพูดคุยกันอย่างผู้ใหญ่ เมื่อถามว่า วัด KPI รัฐมนตรีอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า โอ้โห แต่ละกระทรวงมีเรื่องที่ต้องทำต่างกันไปคงพูดลำบาก เราเน้นเรื่องวัดผลงานเอาระยะเวลามาเป็นตัวจับไม่ใช่พูดลอยๆ 

เมื่อถามว่า ถ้าได้มาเพิ่มอีก 25 เสียงจากพรรคประชาธิปัตย์จะทำให้ดีขึ้นหรือไม่ นายเศรษฐา กล่าวว่า ในแง่ของตัวเลขก็อาจจะดีขึ้น แต่ในแง่ของการที่จะมาเกลี่ยมาแบ่งกระทรวงกันใหม่มันก็ลำบากขึ้น มันไม่มีอะไรดีหมดหรอก ขอให้ยึดคำที่ตนพูดไว้ วันนี้ 314 เสียงพอแล้ว และรัฐมนตรีทุกท่านทำงานกันอย่างเต็มที่อยู่แล้ว ผลงานก็เริ่มทยอยออกมาแล้ว 

เมื่อถามว่า ทำไมถึงยังมีกระแสข่าวการปรับครม.ออกมา นายเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ตนไม่ได้เป็นคนให้ข่าว ตนมีหน้าที่ตอบคำถามอย่างเดียว 

เมื่อถามว่า ในที่ประชุม ครม.มีการกำชับถึงการอภิปรายร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 อย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ไม่มีการกำชับอะไรเป็นพิเศษ 

'ศาลฎีกา' ยกฟ้อง ‘ยิ่งลักษณ์’ คดีย้าย ‘ถวิล’  ชี้!! ไม่มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

(26 ธ.ค.66) ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (ศาลฎีกา อม.) สนามหลวง นัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อม.11/2565 อัยการสูงสุด โจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ กรณีโอนย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.)

ศาลฯ พิพากษายกฟ้องและเพิกถอนหมายจับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เหตุจำเลยไม่มีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ

โดยศาลฯ วินิจฉัยว่ายังไม่อาจฟังได้ว่าจำเลยมีเจตนาพิเศษและรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยโอนย้ายนายถวิลเพื่อให้ตำแหน่งผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ว่างลง

ภายหลังการอ่านคำพิพากษา นายนรวิชญ์ หล้าแหล่ง ทนายความ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า ผลของคำพิพากษาวันนี้ คือ ยกฟ้องอดีตนายกยิ่งลักษณ์ สาระสำคัญ คือ ความเป็นนายกรัฐมนตรีเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการทั้งหมด การโยกย้ายก็เป็นไปตามกฎหมายข้าราชการพลเรือน มาตรา 57 สามารถกระทำได้ ประเด็นที่สองเรื่องการกระทำความผิดทางอาญา ต้องอาศัยเจตนาเป็นสำคัญ ตามมาตรา 59 ในทางไต่สวนไม่ปรากฏว่าไม่มีพยานหลักฐานใด ๆ ที่บ่งชี้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปกลั่นแกล้งนายถวิล ประเด็นที่สามในเรื่องของคำพิพากษาศาลปกครองและศาลรัฐธรรมนูญ ในส่วนของศาลปกครองเป็นการพิจารณาถึงการโอนย้ายชอบหรือไม่ชอบ ส่วนศาลรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องการพ้นการปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น ไม่มีเรื่องการกระทำผิดทางอาญาจึงไม่อาจนำคำพิพากษาทั้งสองศาลมาฟังว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์กระทำผิดทางอาญา

‘สุวัจน์’ มองฉายารัฐบาล ‘แกงส้มผลักรวม’ น่ารัก-ไม่ซีเรียส ชี้!! ได้ฉายาต้องดีใจ เพราะคือ ‘Someone’ ไม่ใช่ ‘No One’

(27 ธ.ค. 66) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวถึงฉายารัฐบาล ‘แกงส้มผลักรวม’ ที่สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลตั้งให้ประจำปี 2566 ว่า ถ้าคุณได้รับฉายาควรต้องดีใจ เพราะถ้าไม่ได้รับจะเป็น No One แต่ถ้าได้รับฉายาคือเป็น Someone คือมีตัวตน ซึ่งเป็นบรรยากาศของการหยิกแกมหยอก สะท้อนมุมมองทางการเมืองไม่ใช่เรื่องซีเรียส อย่างฉายา ที่รัฐบาลได้รับปีนี้มองว่า อยู่ในบรรยากาศฮันนีมูนพีเรียด เบา ๆ น่ารัก ๆ แต่ว่าสะท้อน มุมทางการเมือง ไม่มีอะไรที่ซีเรียส 

นายสุวัจน์ กล่าวว่า ในอดีตตอนที่ตนดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมและเลขาธิการพรรคชาติพัฒนา ได้รับฉายาว่า ‘สุวัจน์หอกข้างแคร่’ ซึ่งตอนนั้นมี 50 กว่าเสียงเป็นตัวแปลในรัฐบาล ขยับอะไรก็จะสร้างความหวั่นไหว และอีกครั้งได้รับฉายา ‘สุวัจน์ 25 ชั่วโมง’ ขณะที่เป็นรองนายกรัฐมนตรี เนื่องจากทำงานทั้งวันประชุมแล้วแถลงข่าวเลย จึงอาจแถลงข่าวมากไป นักข่าวบอกว่า "เดี๋ยวก็แถลงเดี๋ยวก็แถลง" 

'นายกฯ' เซ็นคำสั่งแบ่งงาน 'รองนายกฯ' ใหม่ ดึง 'ยุติธรรม' ให้ 'พีระพันธุ์' คุมแทนสมศักดิ์

(27 ธ.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ลงนามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 381/2566 เรื่อง แก้ไขเพิ่มเติมคำสั่งมอบหมายและมอบอำนาจ ให้รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.ที่ผ่านมา สาระสำคัญ คือ

1.การมอบหมายและมอบอำนาจให้ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี

2.การมอบหมายและมอบอำนาจให้ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี กระทรวงสาธารณสุข

3.การมอบหมายและมอบอำนาจให้ นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติราชการแทนนายกรัฐมนตรี กระทรวงยุติธรรม (ยกเว้น กรมสอบสวนคดีพิเศษ)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การแบ่งงานครั้งล่าสุดนี้ อาจเกี่ยวข้องกับกรณีการรักษาตัวนอกเรือนจำของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งอยู่เกิน 120 วันไปแล้วหรือไม่

ในช่วงที่ผ่านมา นายเศรษฐา รวมถึง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ต่างปฏิเสธตอบคำถามสื่อมวลชนในหลายโอกาสถึงเรื่องนายทักษิณ พร้อมกับระบุสอดคล้องกันว่าเป็นหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ และโรงพยาบาลตำรวจ

ขณะที่นายสมศักดิ์ มักชี้แจงประเด็นดังกล่าวที่สังคมสงสัยมาตลอด ซึ่งเกี่ยวข้องกับระเบียบกรมราชทัณฑ์ ว่าด้วยการดำเนินการสำหรับการคุมขังในสถานที่คุมขัง พ.ศ. 2566 ที่กำหนดเงื่อนไขการคุมขังนอกเรือนจำ และยังเคยออกมาเตือน กมธ.ตำรวจ อาจถูกฟ้องดำเนินคดี หากเข้าตรวจค้นชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ โดยพลการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าล่าสุด นายสมศักดิ์ ให้สัมภาษณ์ตำหนิกรมราชทัณฑ์ ทำงานเช้าชามเย็นชามในกรณีนายทักษิณ เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ที่ผ่านมา และยังระบุว่า เรื่องที่เกี่ยวข้องกับนายทักษิณ ไม่กระทบเสถียรภาพรัฐบาล เพราะเงื่อนไขของกฎหมายและระเบียบราชทัณฑ์มีความชัดเจน ถ้าปฏิบัติตามแนวทางและกรอบของกฎหมาย หากข้าราชการทำตามทุกอย่างก็เดินไปตามปกติ แต่ถ้าทำ ๆ หยุด ๆ ไม่จริงจัง ทำไปโดยที่ไม่เข้าใจก็จะเป็นปัญหา

‘พิธา’ คว้าฉายา ‘ดาวดับ’ สภาปี 66 หลังชวดเก้าอี้นายกฯ ด้านสภาผู้แทนราษฎรได้ฉายา ‘สภาลวงละคร’ ไปครอง

(27 ธ.ค. 66) ที่รัฐสภา ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมร่วมกันของผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา ได้มีความเห็นร่วมกันในการตั้งฉายาของรัฐสภาตลอดปี 2566 ทั้งนี้ การตั้งฉายาการทำงานของฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้ง สส. และ สว.เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาทุกปี ในฐานะที่ติดตามการทำหน้าที่ของ สส. และ สว.อย่างใกล้ชิด เพื่อสะท้อนความคิดเห็นการทำหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภา

อย่างไรก็ตาม สื่อมวลชนขอเป็นกำลังใจให้ สส. และ สว.ที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ให้มุ่งมั่น ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ต่อไป แต่ สส. และ สว. ที่บกพร่องในการทำหน้าที่ ขอให้ทบทวน ปรับปรุงตนเองให้ดียิ่งขึ้น เพื่อประโยชน์ของประเทศ และประชาชนต่อไปซึ่งมีความเห็นร่วมกัน ดังนี้

1.) สภาผู้แทนราษฎร ได้รับฉายา ‘สภาลวงละคร’
สภาที่มีการชิงไหวชิงพริบ เพื่อเป็นเจ้าของอำนาจ มีการเจรจาจับมือกันหลายฝ่าย โดยในครั้งแรกพรรคเพื่อไทยเล่นตามบทเป็นมวยรอง แต่สุดท้ายใช้สารพัดวิธีพลิกกลับมาเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล มีแต่การหักเหลี่ยมเฉือนคม ตั้งแต่การเลือกนายกรัฐมนตรี จนถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร แม้กระทั่งการหักหลังฝ่ายเดียวกันเองระหว่างพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลที่เคยเป็นฝ่ายเดียวจับมือต่อสู้กันมาก่อน จนถึงขั้นฉีกเอ็มโอยู (MOU) ซึ่งก่อนหน้านี้พรรคเพื่อไทยเล่นตามบทของพรรคอันดับรอง จับมือกอดคอกันอย่างหวานเจี๊ยบ เปรียบเสมือนโรงละครโรงใหญ่ ที่มีแต่ฉากการหลอกลวง

2.) วุฒิสภา ได้รับฉายา ‘แตก ป. รอ Retire’
ล้อมาจากฉายาของวุฒิสภาในปี 65 คือ ‘ตรา ป.’ ที่ สว.ทำหน้าที่รักษามรดกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพื่อประโยชน์ของ 2 ป. คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี หรือ ‘ป.ประยุทธ์’ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี หรือ ‘ป.ประวิตร’ แบบไม่มีแตกแถว แต่ในปีนี้ทั้ง ‘2 ป.’ ได้แยกทางกัน ซึ่งในการลงมติเลือกนายรัฐมนตรีที่ผ่านมา สว.ฝ่าย ป.ประยุทธ์ ได้ลงมติยอมสนับสนุนนายเศรษฐา ทวีสิน สวนทางกับ ป.ประวิตร ที่งดออกเสียง และ สว.กำลังจะหมดอำนาจหน้าที่ในเดือน พ.ค. 67 จึงเป็นเสมือนการรอเวลาเกษียณ หมดเวลาการทำหน้าที่ สว.

3.) นายวันมูหะมัด นอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับฉายา ‘(วัน) นอ-มินี’
เนื่องจาก ตำแหน่งนี้เป็นที่แย่งชิงของพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยมาก่อน ก่อนที่จะเห็นร่วมกันว่า ใช้โควตาคนนอก พรรคเพื่อไทย จึงได้เสนอชื่อ นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชาติในขณะนั้น เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งพรรคก้าวไกลก็ยอมรับ ดังนั้น นายวันมูหะมัดนอร์ จึงเป็นเสมือนนอมินีของการแย่งชิงครั้งนี้ ทั้งที่จำนวนเสียง สส.ที่มีก็ไม่ได้เพียงพอต่อการชิงตำแหน่งประธานสภาฯ แต่ก็ถือเป็นตัวแทนของพรรคเพื่อไทย ที่พรรคพร้อมให้การสนับสนุน ทั้งยังเคยเป็นคนของพรรคเพื่อไทยมาก่อนด้วย

4.) นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา ได้รับฉายา ‘แจ๋วหลบ จบแล้ว’
คำว่า ‘แจ๋ว’ เปรียบเสมือน บทบาทของ ‘ผู้รับใช้’ ซึ่งเกือบ 10 ปีที่ผ่าน นายพรเพชร ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดว่า เป็นผู้รับใช้ คสช. แต่เมื่อเข้าสู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในยุคปัจจุบัน บทบาทของนายพรเพชรในฐานะประธานวุฒิสภา พยายามหลบแรงปะทะ ไม่แสดงความเห็นที่เสี่ยงต่อการสร้างความขัดแย้งมากนัก รวมถึงไม่ออกสื่อ เพื่อรอเวลาวุฒิสภาหมดวาระในการทำหน้าที่ สว. 6 ปี ในเดือน พ.ค. 67

5.) นายชัยธวัช ตุลาธน ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
ในปีนี้ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา เห็นควรว่า ควรงดตั้งฉายา เนื่องจากเพิ่งได้รับการโปรดเกล้าฯ และยังไม่ได้เริ่มทำงานในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร

6.) ดาวเด่น
ในปีนี้ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา เห็นว่า ‘ไม่มีผู้ใดเหมาะสม’ และโดดเด่นเพียงพอที่จะได้รับตำแหน่งดังกล่าว

7.) ดาวดับ
ได้แก่ ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่มีความโดดเด่นในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง จนกระทั่งรู้ผลเลือกตั้งที่พรรคก้าวไกลได้จำนวน สส.มากที่สุด เดินสายขอบคุณประชาชน พบหน่วยงานต่างๆ ประหนึ่งว่าเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว พลอยให้บรรดาด้อมส้มเรียก ‘นายกฯ พิธา’ ทำให้เกิดกระแส ‘พิธาฟีเวอร์’ แต่สุดท้ายกลับไปไม่ถึงดวงดาว สภาไม่ได้เหยียบ ทำเนียบไม่ได้เข้า เนื่องจากศาลรัฐธรรมนูญสั่งแขวน ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ จากคดี ‘หุ้นไอทีวี’ ที่ยังลูกผีลูกคน จึงเป็นดาวที่เคยจรัสแสง แต่ตอนนี้ได้ดับลงแล้ว

8.) วาทะแห่งปี66
ได้แก่ วาทะของ ‘นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่ในขณะนั้นดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเพื่อไทย หนึ่งในแกนนำทีมเจรจาจัดตั้งรัฐบาล ลุกขึ้นชี้แจงคุณสมบัติของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยในการประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 22 ส.ค. 66 ที่ผ่านมาว่า “เราเห็นด้วยอย่างยิ่งที่พรรคก้าวไกลเป็นพรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งเราเป็นพรรคอันดับ 2 มีความยินดีร่วมมือจัดตั้งรัฐบาล และถ้าไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับนี้ พรรคเพื่อไทยไม่มีทางจับมือกับพรรคก้าวไกลจัดตั้งรัฐบาล เราเป็นพรรคอันดับ 2 สามารถที่จะแย่งชิงจัดตั้งรัฐบาลได้ ถ้ากลไกการเมือง และรัฐธรรมนูญมันปกติ แต่ด้วยสภาพบังคับของรัฐธรรมนูญแบบนี้ เราไม่ร่วมมือกันไม่ได้ แต่เราก็คิดผิด เพราะว่ายิ่งเราจับมือกัน ยิ่งจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้”

9.) เหตุการณ์แห่งปี คือ ‘เลือกนายกรัฐมนตรี’
ถือเป็นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ที่มีการเลือกนายกรัฐมนตรีมากถึง 3 ครั้ง ครั้งแรกคือวันที่ 13 ก.ค. 66 ซึ่งบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อ คือ นายพิธา แต่ปรากฎว่าได้รับความเห็นชอบไม่ถึง 376 เสียง ทำให้มีการโหวตเลือกผู้ที่สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีรอบที่ 2 อีกครั้งในวันที่ 19 ก.ค. 66 แต่ปรากฎว่า ในที่ประชุมรัฐสภากลับมีการถกเถียงกันถึงข้อบังคับการประชุมว่าจะสามารถเสนอรายชื่อนายพิธาซ้ำได้หรือไม่ เนื่องจากมีความเห็นว่า ญัตติที่เสนอชื่อนายพิธาเป็นนายกรัฐมนตรีตกไปแล้ว ไม่สามารถนำขึ้นมาพิจารณาใหม่ได้ แม้นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา จะเปิดลงมติตามข้อตามข้อบังคับที่ 151 ปรากฎว่า เสียงกึ่งหนึ่งเห็นว่า ไม่สามารถเสนอชื่อนายพิธาซ้ำได้

จากนั้น ช่วงเช้าของวันที่ 21 ส.ค. 66 นายชัยธวัช ตุลาธน ได้แถลงส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และช่วงบ่ายของวันเดียวกันนั้น นพ.ชลน่าน ในนามของพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวจับมือตั้งรัฐบาลเพื่อไทย 314 เสียงกับ 11 พรรคการเมืองที่เคยเป็นพรรครัฐบาลเดิม ในสมัยของ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นเหตุให้วันที่ 22 ส.ค. 66 นายวันมูหะมัดนอร์ ได้นัดประชุมรัฐสภาอีกครั้ง เพื่อพิจารณาบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นครั้งที่ 3 โดยมีการเสนอชื่อนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี สุดท้ายก็ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาด้วยเสียง 482 เสียง ต่อไม่เห็นชอบ 165 เสียง และงดออกเสียง 81 เสียง ทำให้นายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 30

10.) คู่กัดแห่งปี
ในปีนี้ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภา ลงมติเห็นว่า ควรงดตั้งฉายาคู่กัดแห่งปี เนื่องจากเพิ่งเปิดสมัยประชุมได้เพียงสมัยเดียว และเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการเลือกนายกรัฐมนตรี รวมถึงตรงกับช่วงปิดสมัยประชุม จึงยังไม่มีใครเป็นคู่กัดที่ชัดเจน มีเพียงการปะทะคารมในบางเหตุการณ์เท่านั้น

11.) คนดีศรีสภา 66
สื่อมวลชนประจำรัฐสภา มีความเห็นร่วมกันว่า ยังไม่มี สส. หรือ สว.คนใด เหมาะสมที่จะได้รับตำแหน่งดังกล่าว ต่อเนื่องเป็นปีที่ 5

เปิดประวัติ 'สุดฤทัย เลิศเกษม' อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์คนที่ 39

(27 ธ.ค.66) หลังจากที่ นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ดำรงตำแหน่งประเภทบริหารระดับสูง จำนวน 4 ราย เพื่อทดแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่สำนักนายกรัฐมนตรีเสนอ โดยมี ‘นางสุดฤทัย เลิศเกษม’ รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ 

สำหรับ นางสุดฤทัย เลิศเกษม เกิดวันที่ 28 ธันวาคม 2508 และมีประวัติดังต่อไปนี้…

>> การศึกษา

- ปริญญาตรี ศิลปศาสตรบัณฑิต การสื่อสารมวลชน วิชาเอกโทรทัศน์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พ.ศ.2529
- ปริญญาโท นิเทศศาสตรมหาบัณฑิต การสื่อสารมวลชน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ.2535 
- ประกาศนียบัตร (Certificate) กลยุทธ์การผลิตรายการโทรทัศน์ สถาบัน DEUTSCHE WELLE สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี พ.ศ.2557
- วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ. รุ่นที่ 61) พ.ศ.2561

>> ประวัติการรับราชการ

- รองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ (พ.ศ.2563)
- ผู้อำนวยการสำนักข่าวแห่งชาติ (พ.ศ.2562)
- ผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย NBT (พ.ศ.2561) 
- ผู้อำนวยการสำนักประชาสัมพันธ์เขต 5 สุราษฎร์ธานี (พ.ศ.2558)
- ประชาสัมพันธ์จังหวัดพังงา (พ.ศ.2556)
- ผอ.สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (ช่อง11) ภูเก็ต (พ.ศ.2555)
- ผอ.ส่วนความร่วมมือระหว่างประเทศ (พ.ศ.2553)
- ผอ.สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (ช่อง11) กาญจนบุรี (พ.ศ.2543-2552)

>> ผลงานเด่น

- ประธานคณะกรรมการบริหาร (Chair of EXBO) ของ Asia-Pacific Institute for Broadcasting Development/AIBD (พ.ศ.2566) 
- ประธานประชุมอาเซียนด้านสื่อสารสนเทศ (SCI/พ.ศ.2565)
- กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการกลั่นกรองข้อมูลคอมพิวเตอร์ (พ.ศ.2563-2565)
- ผู้สื่อข่าวภาคสนามรายงานสดเกาะติดสถานการณ์กลุ่ม God's Army บุกยึดโรงพยาบาล ศูนย์ราชบุรี จนสื่อรัฐได้รับการชื่นชม (พ.ศ.2543)

>> รางวัลพิเศษ

- สื่อมวลชนสตรีดีเด่น เนื่องในวันสตรีสากล ปี พ.ศ.2563 จากกระทรวงแรงงาน
- ประกาศเกียรติคุณชมเชย บทโทรทัศน์รางวัล Japan Prize, NHK พ.ศ. 2546 และ 2547 (2 ครั้ง) ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

นอกจากนี้ ยังเป็นบุคคลสำคัญที่ทำให้เกิดรายการข่าวจริงสุดเข้ม อย่าง 'คุยถึงแก่น' ดำเนินรายการโดย นายปรเมษฐ์ ภู่โต ออกอากาศทุกจันทร์-ศุกร์อีกด้วย

‘ชาวนครศรีฯ’ โอด!! เหตุประสบปัญหา ‘วัยรุ่นแก๊งซิ่ง’ ป่วนมา 10 ปี ร้องเรียนแล้ว แต่ไร้หน่วยงานดูแล เหมือน ‘เอาหูไปนา เอาตาไปไร่’

เมื่อสัปดาห์ก่อน 20-22 ธันวาคม 2566 ผมลงไปทำพิธีปล่อยปลาดุกลำพัน ตามโครงการลำพันคืนถิ่น ป่าพรุควนเคร็ง ครั้งที่ 8 บริเวณศูนย์อนุรักษ์ปลาดุกลำพัน ต.แม่เจ้าอยู่หัว อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีฯ

เย็นของวันที่ 20 ธันวาคม ระหว่างไปนั่งทานข้าวอยู่ที่ร้านอาหารถนนเลี่ยงเมือง ได้มีคนที่รู้จัก #นายหัวไทร เข้ามาร้องเรียนเรื่องความเดือดร้อนรำคาญถึงกับนอนไม่หลับมายาวนานร่วม 10 ปี แต่ไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาดูแลแก้ไข

ความเดือดร้อนรำคาญเกิดจากแก๊งซิ่งรถมอเตอร์ไซค์ ที่พอดึก ๆ จะมีกลุ่มวัยรุ่นนำรถจักรยานยนต์มาซิ่งแข่งกันบนถนนสายหลัก ช่วงตั้งแต่หน้าโรงพยาบาลหัวไทร ไปวนกลับตรงวงเวียน วนแล้ววนอีกกันอยู่คืนละหลาย ๆ รอบ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่คนกำลังพักผ่อน สี่ทุ่ม ห้าทุ่ม เที่ยงคืน ตีหนึ่งตีสอง

วัยรุ่นแก๊งซิ่งเหล่านี้มาจากหลายตำบล บางวันก็มีจากต่างอำเภอเข้ามาสมทบ นัดหมายกันผ่านกลุ่มไลน์ บางคันก็จะมีสก๊อยติดสอยห้อยตามมาด้วย

ชาวบ้านเคยร้องเรียนทางอำเภอ ทางตำรวจให้เข้ามาแก้ไขปัญหา แต่เสียงร้องของชาวบ้าน เหมือนเสียงนกเสียงกา ไม่เคยได้รับการแก้ไข ผ่านนายอำเภอมาแล้วหลายคน ผ่านผู้กำกับมาก็หลายคน ผ่านผู้ว่าฯ ผู้การฯ มาไม่รู้กี่คนต่อกี่คน แต่ปัญหาก็ยังอยู่

‘บำบัดทุกข์ บำรุงสุข’ คือคำขวัญของฝ่ายปกครอง กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย แต่ทุกข์ชาวบ้านในตลาดหัวไทรสิบกว่าปี ยังไม่เคยได้รับการเยียวยาแก้ไข

ทราบว่า…เช้าของวันที่ 21 ธันวาคม นายอำเภอได้เชิญชาวบ้าน (คนเดียว) ไปให้ข้อมูล ซึ่งจริง ๆ เรียกผู้กำกับ สารวัตรสืบสวนสอบสวน สารวัตรปราบปรามไปสอบถามก็น่าจะมีข้อมูลมากพอ ถ้ากลุ่มคนเหล่านี้ไม่มีข้อมูล แสดงว่า ที่ผ่านมา ‘เอาหูไปนา เอาตาไปไร่’ ทุกข์ของชาวบ้าน ไม่ใช่ทุกข์ของเรา ยิ่งตอนหลังศูนย์ราชการ ทัังที่ว่าการอำเภอ โรงพัก ย้ายออกไปอยู่นอกชุมชน ยิ่งห่างไกลชาวบ้าน ห่างไกลปัญหา

จริง ๆ ก็ไม่น่าจะยากส่งตำรวจไปตั้งป้อม หรือตั้งจุดสกัด แจ้งผู้ปกครองให้ทราบถึงพฤติกรรมของลูก หรืออาจจะทำทัณฑ์บนไว้ทั้งลูก และผู้ปกครอง

หวังว่าที่เขียนมาจะได้รับทราบกันของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และนำมาสู่การแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อนของชาวบ้าน จะได้นอนหลับสนิทเสียที และเรื่องแค่นี้คงไม่ต้องถึง มท.1 อนุทิน ชาญวีรกูล หรอกนะ แต่ถ้าปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข อาจจะถึงเสี่ยหนูนะ

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา บุคคลแห่งสยาม

‘พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา’ หรือที่คนไทยทั้งประเทศรู้จักในนาม ‘ลุงตู่’ นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 ของไทย และเป็นหนึ่งในนายกฯ ที่ดำรงตำแหน่งยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ได้รับโปรดเกล้าแต่งตั้งเป็น ‘องคมนตรี’ เมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา

สำหรับเส้นทางทางการเมืองของ ‘ลุงตู่’ นั้น ได้เข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งแรก เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2557 ภายหลังจากได้ตัดสินใจเข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาลรักษาการ (ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) เมื่อ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2557 ก่อนที่จะดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือ คสช. กระทั่งมีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2562

และเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2562 ภายหลังการประชุมร่วมรัฐสภา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้รับการสนับสนุนจากเสียงส่วนใหญ่ของสมาชิกรัฐสภา ให้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี (สมัยที่ 2)

แม้จุดเริ่มต้นของการนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 29 จะมาจากการทำรัฐประหาร แต่ ‘ลุงตู่’ ก็พิสูจน์ให้พี่น้องคนไทยทั้งประเทศเห็นแล้วว่า ‘ตั้งใจ’ เข้ามาทำงานเพื่อประเทศชาติ โดยมุ่งมั่นทำงาน ทุ่มเททั้งแรงกายและหยาดเหงื่อ สร้างความเจริญ และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลายอย่างให้แก่ประเทศไทย ตลอด 9 ปีที่ผ่านมา ในฐานะ ‘ผู้นำประเทศ’

และนี่คือ 9 เรื่องดี ๆ ที่ ‘ลุงตู่’ ได้ฝากไว้ให้คนไทยทั้งประเทศ

1. กำหนด ‘ยุทธศาสตร์ชาติ’ ระยะยาว 20 ปี เพื่อเป็นเข็มทิศนำทางและกรอบแนวคิดในการพัฒนาประเทศในทุกมิติ ให้เกิดความต่อเนื่อง เป็นเป้าหมายให้ทุกภาคส่วนได้ทำงานร่วมกัน ขับเคลื่อนประเทศตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนในทุกระดับ 

2. ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมครั้งยิ่งใหญ่ ในทุกระบบ ทั้งทางถนน ทางราง ทางทะเล และทางอากาศ รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศในอนาคต ยกบทบาทของประเทศจากความโดดเด่นทางภูมิรัฐศาสตร์ ให้เป็นศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ ด้านการบิน ด้านการขนส่งสินค้า ด้านการท่องเที่ยว ฯลฯ

3. สร้างความพร้อมเรื่อง ‘เศรษฐกิจดิจิทัล’ และ ‘เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม’ โดยมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคม ดิจิทัล และ 5G ที่โดดเด่นในภูมิภาค เป็นที่ดึงดูดการลงทุนบริษัทชั้นนำของโลกหลายราย ซึ่งจะส่งเสริมบทบาทให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางด้าน 5G - Data center - Cloud services ที่สำคัญในภูมิภาค มีการใช้ประโยชน์ของประชาชนในชีวิตประจำวัน การศึกษาหาความรู้ การประกอบอาชีพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของตนและสร้างรายได้ที่สูงขึ้นของคนทุกกลุ่ม ทุกสาขาอาชีพ  

4. กำหนด 12 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งล้วนเป็นอุตสาหกรรมแห่งอนาคต รวมทั้งมีเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเขตส่งเสริมเศรษฐกิจเพื่อกิจการพิเศษ ทั้งด้านการแพทย์ ด้านนวัตกรรม ด้านดิจิทัล เป็นต้น ที่เป็นแหล่งบ่มเพาะแรงงานทักษะสูง-แรงงานแห่งอนาคต รวมถึงเกษตรอัจฉริยะ เพื่อตอบสนองตลาดแรงงานในอนาคต และการพัฒนาประเทศในศตวรรษที่ 21

5. สร้างกลไกในการบริหารจัดการทรัพยากรที่สำคัญของชาติ ได้แก่ 

-‘น้ำ’ ออกกฎหมายน้ำฉบับแรกของประเทศ มีสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) บูรณาการหน่วยงานน้ำในทุกระดับ 

-‘ดิน’ ตั้งคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) และจัดทำแผนที่ One Map เพื่อแก้ปัญหาที่ดินทับซ้อนมาหลายสิบปี รวมทั้งจัดสรรที่ดินทำกินให้กับผู้ยากไร้-เกษตรกร 

-‘ป่า’ ออกกฎหมายป่าชุมชน ไม้มีค่า และตลาดคาร์บอนเครดิต เพื่อส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศ

6. พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เช่น ส่งเสริมสวัสดิการกลุ่มเปราะบางทั้งเด็ก-ผู้สูงอายุ-ผู้พิการ ส่งเสริมบทบาทกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กองทุนยุติธรรม และกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) เพื่อสร้างสังคมที่เท่าเทียม ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง และการยกระดับศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ด้วยการศึกษา รองรับความท้าทายใหม่ ๆ ของโลกในอนาคต

7. ปฏิรูปกฎหมายไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ ส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน อำนวยความสะดวกในการประกอบธุรกิจ และดึงดูดการลงทุนเพื่อสร้างรายได้เข้าประเทศ รวมทั้งแก้ไขและบังคับใช้กฎหมายให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล สามารถแก้ไขวิกฤตชาติได้ในหลายเรื่อง เช่น ปลดธงแดง ICAO และแก้ปัญหาการประมงผิดกฎหมาย IUU สร้างความเชื่อมั่นประเทศไทยในเวทีโลก 

8. ประยุกต์เทคโนโลยีที่ทันสมัยในระบบราชการไทย เพื่อยกระดับการให้บริการแก่ประชาชนและเอกชน ที่เข้าถึงง่าย - สะดวก - โปร่งใส เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่ช่วยให้การจ่ายเงินช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางตรงเป้าหมาย เต็มเม็ดเต็มหน่วย ตรวจสอบได้ และ UCEP สายด่วน 1669 บริการการแพทย์ฉุกเฉิน ฟรีทุกสิทธิ์ ทุกโรงพยาบาล เป็นต้น

9. สร้างความสัมพันธ์ทั่วโลก ทั้งในรูปแบบทวิภาคี-พหุภาคี และเขตการค้าเสรี (FTA) รวมทั้งรื้อฟื้นความสัมพันธ์ไทย-ซาอุดีอาระเบีย เพื่อขยายความร่วมมือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และตลาดการค้าระหว่างกัน

ทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นได้ภายใต้การบริหารประเทศของ ‘ลุงตู่’ และแม้การเดินทางของประเทศไทยในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา จะไม่ได้ราบรื่น หรือง่ายดาย ซ้ำยังคงมีวิกฤตโควิด วิกฤตความขัดแย้งในโลก ที่ส่งผลกระทบด้านราคาพลังงาน ค่าครองชีพ และเงินเฟ้อจนถึงในปัจจุบัน แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนไทย ช่วยให้สามารถฟันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ และฟื้นตัวมาได้ ท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ยังคงผันผวนแปรปรวน

ก็ต้องบอกว่า ‘ประเทศไทย’ นับจากวันนี้ จะไม่ได้เริ่มนับที่ 1 อีกต่อไป หากทุกอย่างที่ ‘ลุงตู่’ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา สร้างมานั้นได้รับการ ‘ต่อยอด’ ก็จะทำให้ประเทศไทยเดินทางเข้าสู่ ‘เส้นชัย’ ได้เร็ววันยิ่งขึ้น

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีแห่งปี

ในบรรดารัฐมนตรีภายใต้รัฐบาลเศรษฐา 1 ‘นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ถือเป็นรัฐมนตรีที่ถูกจับตามองมากที่สุด เนื่องจากกระทรวงพลังงานเป็นกระทรวง ‘เกรดเอ’ ที่ใคร ๆ ก็อยากเข้ามากุมบังเหียน อีกทั้งยังเป็นกระทรวงสำคัญที่จะเข้ามาควบคุม กำกับดูแลราคาพลังงาน ซึ่งมีผลเกี่ยวโยงกับปากท้องของประชาชนโดยตรง

สำหรับนายพีระพันธุ์ ก่อนจะเข้ามารับตำแหน่ง ‘รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน’ ก็มีบทบาทสำคัญทางการเมืองในหลาย ๆ ด้าน แต่ที่โดดเด่นและถือเป็นผลงานชิ้นโบแดงก็คือ…การสอบสวนการทุจริต ‘ค่าโง่ทางด่วน 6,200 ล้านบาท’ หรือ ‘คดีโฮปเวลล์’ ซึ่งถูกนำไปใช้ในการต่อสู้คดีในชั้นศาลและประสบชัยชนะ ทำให้คนไทยไม่ต้องจ่ายค่าโง่พร้อมดอกเบี้ยนับหมื่นล้านบาท

นอกจากนี้ ยังได้ร่วมทีมผ่าตัด ‘การบินไทย’ เส้นเลือดใหญ่ของธุรกิจการบินประจำชาติ ด้วยการให้ความสำคัญกับการบิน ‘เส้นทางในประเทศ’ คู่ขนานกับการ ‘สะสางคอร์รัปชัน’ และระบบ ‘เส้นสาย’ ในฝ่ายบริหาร โดยขีดเส้นไว้ชัดเจนว่าจะต้องไม่อยู่ใต้ ‘เงา’ ของนักการเมืองอีกต่อไป

หลังจากนั้นก็เดินหน้าตามแผนฟื้นฟูกิจการ พร้อมทั้งสร้างกลยุทธ์เพื่อคืนชีพการบินไทย รวมไปถึงมุ่งสร้างขวัญกำลังใจให้พนักงานได้ร่วมกันฝ่าฟัน จนวันนี้ผ่านพ้นวิกฤติและเข้าสู่ช่วงพาสายการบินแห่งชาตินี้ ตั้งลำ พร้อมเชิดหัวขึ้นอย่างเฉิดฉาย

แน่นอนว่าผลงานก่อนรับตำแหน่งรัฐมนตรีพลังงานนั้นเข้าขั้น ‘มาสเตอร์พีช’ แต่หลังจากเข้ารับตำแหน่ง ‘รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน’ แล้ว ฝีมือและความมุ่งมั่นก็ไม่แผ่วลงแต่อย่างใด เพราะทันทีที่เข้าคุมกระทรวงพลังงาน ก็ประกาศลดราคาค่าไฟฟ้า จาก 4.10 บาท เหลือ 3.99 บาท ทันที ทำให้ประชาชนได้ใช้ไฟฟ้าในราคาที่ถูกลง ถือเป็นการช่วยแบ่งเบาและลดภาระประชาชนได้อย่างมากมาย

ไม่เพียงแค่จัดการเรื่องราคาไฟฟ้า แต่ยังเดินหน้าลดราคาน้ำมัน ได้แก่ น้ำมันดีเซลกำหนดให้มีราคาไม่เกิน 30 บาท ปรับลดราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ลง 2.50 บาท พร้อมทั้งตรึงราคาก๊าซหุงต้มขนาด 15 กก. ไว้ที่ราคา 423 บาท ต่ออีก 3 เดือน ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2566

และนอกจากนี้ยังมีแผนรื้อถอนโครงสร้างราคาพลังงานทั้งระบบให้ยั่งยืนและมั่นคง โดยไม่โอนอ่อนต่อสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไปรายวัน 

ทั้งนี้นายพีระพันธุ์ยังเคยแสดงความมุ่งมั่นต่อแผนการปรับโครงสร้างราคาพลังงานในประเทศไว้หลายครั้ง เช่น การให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘ฟังหูไว้หู’ ในหัวข้อ ‘The Special คุยกับรัฐมนตรีพลังงาน’ ออกอากาศทาง ช่อง 9 MCOT HD นายพีระพันธุ์ กล่าวถึงราคาก๊าซว่า…

"ก๊าซ LNG อิงกับราคาตลาดโลก เรื่องนี้เข้าใจได้ แต่ผมมองว่าในฐานะรัฐบาล จะเล่นราคาพลังงานเหมือนตลาดหุ้นไม่ได้ เพราะพลังงานไม่ใช่สินค้าที่จะนำมาหาจังหวะทำกำไร พลังงานเกี่ยวโยงกับชีวิตคน รัฐบาลจึงต้องวางรูปแบบที่สามารถควบคุมได้ ราคาในตลาดโลกจะเป็นแบบใดก็เป็นไป แต่ราคาในประเทศต้องนิ่ง รัฐต้องควบคุมตรงนี้ให้ได้ จะใช้วิธีการใดก็ได้ และผมกำลังคิดเรื่องตรงนี้ให้ประเทศไทย"

นอกจากนี้ยัง กล่าวถึงการยกเครื่องโครงสร้างราคาพลังงานด้วยการแก้ไขกฎหมายที่มีทั้งความ ‘ยาก’ และ ‘ต้องใช้เวลา’ ว่า “สำหรับผมนะ ไม่มีทั้ง 2 คำนั้นเลย ต้องเร็ว และไม่ยาก จึงตั้งคณะกรรมการขึ้นมา เพื่อแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวกับพลังงานทั้งระบบ เมื่อได้คำตอบ ก็จะยกร่างฯ ทันที โดยที่ผมเป็นคนกำกับดูแล เพราะฉะนั้น สำหรับผมแล้วร่างกฎหมายไม่ใช่เรื่องยาก เพราะผมร่างกฎหมายมาตลอดชีวิตของผมอยู่แล้ว และเมื่อผมมีทีมงานมาช่วย ก็จะไม่มีความล่าช้า แต่กว่าจะถึงตรงนั้น ต้องศึกษาปัญหากฎหมายให้ละเอียดเสียก่อน”

สิ่งที่นายพีระพันธุ์ ‘คิดจะทำ’ ถือเป็นก้าวสำคัญและก้าวที่ยิ่งใหญ่ต่อประเทศและประชาชนคนไทย หวังว่าในอนาคตอันใกล้นี้ คนไทยจะได้ใช้พลังงาน ทั้งก๊าซ น้ำมัน ไฟฟ้า แก๊สหุงต้ม ที่มีราคาเป็นธรรม เข้าถึงง่าย และถูกควบคุมอย่างดีภายใต้โครงสร้างที่เข้มแข็ง ดังที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน หมายมั่นเอาไว้

THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top