Sunday, 22 June 2025
Politics

‘อรรถวิชช์’ ซัด!! ผังเมืองใหม่กรุงเทพฯ ฟังนายทุนมากกว่าประชาชน  ไม่ทำผังเมืองเฉพาะ ปล่อยทุนอสังหาฯ ล่าซอยเล็ก ผุดตึกใหม่ไม่เลิก

(7 ม.ค. 67) จากกรณีที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดการประชุมรับฟังความคิดเห็นและปรึกษาหารือกับประชาชน เกี่ยวกับการวางและจัดทำผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร (ปรับปรุงครั้งที่ 4) ที่ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น) เขตดินแดง เมื่อวันที่ 6 ม.ค.ที่ผ่านมา พบว่าบรรยากาศในที่ประชุมเป็นไปอย่างตึงเครียด หลังจากที่ กทม. เปิดให้ประชาชนซักถามในประเด็นต่างๆ โดยประชาชนมีความเห็นไปในทางไม่เห็นด้วยกับร่างผังเมืองฉบับดังกล่าว

ทั้งนี้ หนึ่งในเสียงที่พูดแทนประชาชนในวันนั้นได้อย่างดุเดือดมาจากเสียงของ นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี อดีตรองหัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า และอดีต สส.กทม.เขตจตุจักร พรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า...

“จากที่มาร่วมสังเกตการณ์ พบว่าสีที่กำหนดในผังเมืองต่างๆ เป็นการกำหนดที่เอื้อกลุ่มนายทุนอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่หรือไม่ และการรับฟังความเห็นประชาชนที่กำหนดไว้ก็ให้เวลาน้อยเกินไป ทำให้เนื้อหาในผังเมืองที่จะต้องทำผังเมืองเฉพาะ ไม่สามารถระบุเฉพาะเจาะจงลงไปได้เลย”

“ขอยกตัวอย่างเขตจตุจักรและพญาไท ซึ่งเป็นเขตที่ตนคุ้นเคยนั้น ถนนส่วนมากในตรอกซอกซอยมีความกว้าง 6 เมตร แต่ในความจริงทั้งสองข้างทางมีกระถางต้นไม้วางเรียงเป็นแนวยาวตลอดช่วง ทำให้ความกว้างถนนเหลือเพียง 4.5 เมตรเท่านั้น แต่บริเวณนี้มีการอนุญาตให้สร้างตึกได้ตลอดเวลา เพราะเมื่อบริษัทอสังหาริมทรัพย์เข้ามา การวัดพื้นที่จะวัดแบบกำแพงชนกำแพง ไม่ได้สะท้อนข้อเท็จจริงในพื้นที่ ซึ่งการจะห้ามไม่ให้บริษัทเหล่านี้เข้ามาลงทุนโครงการขนาดใหญ่ โดยไม่พิจารณาถึงสภาพแวดล้อมรอบข้างได้ ก็คือ การระบุลงไปในผังเมืองนั่นเอง

หรือย่านถนนพหลโยธิน แถวซอยราชครู และ ซอยสายลม ย่านนี้มีรถไฟฟ้าผ่าน ก็มีข่าวลือว่า จะมีการขยายถนนด้านหลังตรอกซอกซอยเหล่านี้ เพื่อรองรับโครงการพัฒนาของบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่เจ้าหนึ่ง ทั้งๆ ที่ซอยมีขนาดเล็ก… ปัญหาทั้งสองนี้ มีปัญหาทุกพื้นที่ เพราะบริษัทอสังหาริมทรัพย์มีความต้องการพื้นที่เหล่านี้ ทำให้เวลาทำรายงานวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) จึงไม่สะท้อนข้อเท็จจริง ซึ่งการจะทำผังเมืองเฉพาะ กทม.ต้องลงมาฟังเสียงประชาชนให้ครบถ้วน”

“อีกปัญหาหนึ่งคือ ทางลัดต่างๆ ยกตัวอย่างแถวคลองเปรมประชากรที่มาคู่กับรถไฟชานเมืองสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิต หากกำหนดให้ทำสะพานเล็กข้ามสันเขื่อนคอลงเปรมประชากร การจราจรจะสามารถไหลไปสู่เขตหลักสี่ ทุ่งสองห้อง ไปเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟชานเมืองสายสีแดงทุ่งสองห้องได้ แต่ปัจจุบันไม่มีการดำเนินการ หรือเขตจอมทองที่มีถนนราชพฤกษ์ บริเวณ ซอยเอกชัย 30 และ เอกชัย 33 ซึ่งสามารถทำทางลัดทะลุได้ แต่ กทม.กลับมาแผนก่อสร้างถนนขนาดใหญ่ ถนนสายใหม่ เชื่อมถนนสุขสวัสดิ์-เพชรเกษม-กาญจนาภิเษกแทน และชาวบ้านไม่เอาโครงการนี้”

นายอรรถวิชช์ กล่าวอีกด้วยว่า “สุดท้ายความเป็นเมืองซับน้ำของกรุงเทพฯ ก็จะหายไป จากการขยายพื้นที่สร้างบ้านจัดสรรและที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น” พร้อมตั้งคำถามอีกว่า “บางจุด ยกตัวอย่างเขตเกาะรัตนโกสินทร์ ทำไมยกเป็นเขตสงวนได้? จริงๆ แล้วพื้นที่อื่นๆ ในกรุงเทพฯ ควรจะต้องประกาศเป็นเขตสงวนแล้ว ไม่เช่นนั้น บริษัทอสังหาริมทรัพย์ จะผุดโครงการใหม่ๆยัดในซอยเล็กๆ อีก”

“กทม.ควรขยายเวลารับฟังประชาชนมากกว่านี้ เพราะถ้าไม่ขยายเวลาออกไป กทม.จะไม่รับทราบข้อมูลจากประชาชน แต่จะได้ข้อมูลแต่จากบริษัทอสังหาริมทรัพย์” นายอรรถวิชช์ ทิ้งท้าย

‘บิ๊กป้อม’ นำทีม พปชร.สัญจร เยือนถิ่นมะขามหวาน พบปะปชช. เผย ผอมลง เพราะงดข้าวเย็น แต่ออกกำลังกาย จึงดูสดใสขึ้น

(7 ม.ค.67) หอประชุมเทศบาลเมืองวิเชียรบุรี (หลังใหม่) บริเวณศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธานกิจกรรมพรรคพลังประชารัฐสัญจร ครั้งที่1/2567 โดยมีนายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.สาธารณสุข ในฐานะรองหัวหน้าพรรค น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รองหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค และ สส.เพชรบูรณ์ทั้ง 6 เขต  และ สส.พรรคพลังประชารัฐ ร่วมกิจกรรม

โดย พล.อ.ประวิตร ได้ทักทายสื่อมวลชนว่า เป็นยังไง พร้อมระบุว่า ตนเองสบายดี ผู้สื่อข่าวจึงถามว่า ไม่ได้เจอกันนาน แต่ยังดูสดใสแข็งแรง ผอมลงใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร ตอบกลับว่า อดข้าว งดข้าวเย็น เมื่อถามว่า สีหน้าดูสดใสขึ้นมาก พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ก็สบายดี เมื่อถามอีกว่า สื่อคิดถึง ไม่ได้เจอนาน พล.อ.ประวิตร ได้ตอบกลับว่า “คิดถึง”

ผู้สื่อข่าวถามถึงการแจ้งบัญชีทรัพย์สินของ พล.อ.ประวิตร หลังจากที่มีหนี้สินปรากฎ 757.26 บาท คืออะไร เหตุใดไม่ชำระหนี้ แต่พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ ต้องไปถามคนทำ เราก็ไม่รู้เหมือนกัน

จากนั้น พล.อ.ประวิตร ได้ขึ้นรถยนต์ ก่อนที่จะเปิดประตูรถ มาคุยกับผู้สื่อข่าวอีกครั้ง โดยยอมรับว่าสุขภาพดีขึ้น ผอมลง เพราะว่าอดข้าว แต่ไม่ได้ทำ IF อดข้าวเย็น และข้าวเช้าอย่างเดียว มีออกกำลังกายนิดหน่อย ทำหน้าตาดูสดใสขึ้น

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประวิตรมีน้ำหนักลดลง 14 กิโลกรัม หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจเลือกตั้งที่ผ่านมา

‘นายกฯ’ รับฟัง ‘นิด้าโพล’ หลัง ปชช.ให้คะแนนอยู่ยาวตลอดปี ชี้!! ไม่ว่าผลจะเป็นยังไงก็ยังตื่นเช้ามาทำงาน-ทำทุกอย่างเป็นปกติ

(7 ม.ค.67) ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมคณะ ประกอบด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เดินทางจาก บน.6 ดอนเมือง กรุงเทพฯ ไปยังท่าอากาศยานร้อยเอ็ด ตำบลมะอึ อำเภอธวัชบุรี เป็นประธานกิจกรรม Kick off ‘30 บาท รักษาทุกที่’ ที่ลานสาเกตนคร หน้าหอโหวด 101 ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด นำร่องใช้บัตรประชาชนใบเดียวรักษาได้ทุกที่ในโรงพยาบาลที่ร่วมโครงการ โดยจะคิดออฟพร้อมกันในจังหวัดนำร่อง ร้อยเอ็ด, แพร่, เพชรบุรี และนราธิวาส

ผู้สื่อข่าวสอบถามกรณีที่ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล เปิดเผยผลสำรวจประชาชน เรื่อง ‘การเมือง เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตในปี 2567’ เชื่อว่าปีหน้าเศษรฐกิจจะดีและรัฐบาลนายเศรษฐาจะอยู่ยาวตลอดปี แต่จะมีเหตุวุ่นวายทางการเมืองอยู่บ้างว่า ก็รับฟัง และพรุ่งนี้เช้าก็ยังตื่นไปทำงานเหมือนปกติ

เมื่อถามว่า โพลสะท้อนว่าประชาชนเชื่อว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น ทำให้มีกำลังใจทำงานมากขึ้นหรือไม่ นายเศรษฐากล่าวย้ำว่า ถึงอย่างไรก็ต้องตื่นเช้าทำงานเหมือนเดิม ทุกอย่างยังเป็นปกติ ทำงานเหมือนเดิม

'ลุงป้อม' ชายชาติทหาร ผู้ผ่านมาแล้วทุกสมรภูมิชีวิต ใครจะรู้!! วันหนึ่งอาจผงาดขึ้นเป็น ‘นายกฯ’ คนต่อไป

(8 ม.ค. 67) เปลวสีเงินในนำเสนอบทความ ในหัวข้อ 'ลุงป้อม' ที่ไม่มีวันตาย ความว่า…

ไม่รู้จักตัวท่านหรอก

แต่ในฐานะ FC ขอบอกว่า "คิดถึงท่านนะ" และ "สวัสดีปีใหม่ท่านด้วย"

ก็ ‘พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ’ หรือ ‘ลุงป้อม’ นั่นแหละ

ถ้านับตามอายุ ท่าน ‘น้องผม’

แต่ยกให้เป็น ‘ลุง’ เพราะผมยังหนุ่มกว่าเยอะ

ถ้าพูดถึงความหล่อ ตรงนี้ พอฟัด-พอเหวี่ยง  และขึ้นอยู่กับสเปกใคร-สเปกมัน!

แต่วันนี้ ต้องขอถอนคำพูดที่ว่า ‘ผมหนุ่มกว่า’ เพราะเมื่อวาน (7 ม.ค.67) ลุงป้อมในฐานะผู้นำ ‘พรรคพลังประชารัฐ’ ไปเพชรบูรณ์

เห็นหุ่นท่านแล้ว ต้องร้อง..ว้าวววว!

หลังเลือกตั้ง หายหน้าไป 3-4 เดือน นึกว่าลุงถอดใจ ที่ไหนได้ แอบไปฟิตซ้อม เข้าคอร์ส ‘เสริมหนุ่ม’ มาแหงๆ

เพราะจากที่ตุ้มต๊ะ ตุ้มตุ้ย....

ตอนนี้พุงสเลนเดอร์ หน้าอิ่มเอิบ มีสง่าราศี ยังกะโชกุน ตายิ้มได้ แถมมีประกายสดใส

เห็นแล้วก็ดีใจนะ ไม่บอกหรอกว่า "ลุงป้อม สู้..สู้"

เพราะพูดอย่างนั้น เหมือนหมิ่นชายชาติทหารที่ผ่านมาแล้วทุกสมรภูมิชีวิต

แค่ไม่ได้เป็นนายกฯ วันนี้ ก็ใช่ว่าวันหน้าก็จะไม่มี จริงไหม..ลุง?

ขอเพียงลุงป้อมไม่สลัดนวมทิ้งแล้วลงจากเวทีเท่านั้น โอกาสเป็น ‘แชมป์’ ยังมีเสมอ

ลุงป้อม ไม่ใช่พันธุ์ทหาร ‘แมงป่อง’ ที่ดีแต่ชูหางอวดอ้า

แต่เป็นพันธุ์ ‘ทหารเสือ’!

เสือย่อมมีลาย มีศักดิ์ศรีที่จะไม่กินเนื้อเก่า ไม่มั่นใจ จะไม่สยายกรงเล็บ และเมื่อออกล่า

เพียงสาบเสือโชย สัตว์ทั้งป่า ก็ผวาตื่นว่า ‘เจ้าป่า’ มาแล้ว!

เห็นลุงประกาศ ต่อจากนี้ ในฐานะเจ้าสำนัก ‘พลังประชารัฐ’ จะเดินสายไปพบปะประชาชนในแต่ละจังหวัด

เพื่อแจกแจงให้ทราบว่า....

4 เดือนที่ผ่านมา รัฐมนตรี ‘พลังประชารัฐ’ ทำอะไรให้ชาวบ้านเป็นผลงานสำเร็จแล้วตามสัญญาบ้าง

ผมเชียร์ครับ...ลุง

ไม่ใช่เลือกตั้งที ก็ลงไปที มันต้องแบบนี้ คนไทยทุกจังหวัด เลือก-หรือไม่เลือก ไปว่าเขาไม่ได้

แต่ควรพิจารณา ‘ตัวเรา-พรรคเรา’ ว่ารักเขา จริงใจกับเขา ลงไปพบปะเยี่ยมเยียน ไต่ถามสารทุกข์สุกดิบเขาสม่ำเสมอหรือไม่?

ช่วย ‘ได้มาก-ได้น้อย’ เป็นอีกเรื่อง

ที่สำคัญ อย่าได้หายหน้า-หายตา ‘เป็นคน..ต้องมีหัวใจ’ ส่วนเรื่องตำแหน่ง ‘มี-ไม่มี’ นั่นแค่หัวโขน

แค่เอาใจไปผูกใจ กินข้าวด้วยกันซักคำ ดื่มน้ำจากขันดำๆ ใบเดียวกันซักอึก นั่นมันดื่มด่ำยิ่งกว่า ‘ดื่มน้ำสาบาน’ กันซะอีก!

ภาพลุงป้อม เหมือน ‘พระสังกัจจายน์’

มีเสน่ห์ในตัว ใครเห็นก็รัก เป็น "ลุงป้อมใจดี" ของลูกๆ หลานๆ ของพี่ๆ น้องๆ

ไม่ต้องเอาอะไรไปให้เขาหรอก

แค่ลุงป้อมไปเยี่ยม ไปนั่งให้เขาลูบพุง พกปีโป้ไปแจกเด็กๆ คนละอัน แค่นั้น ชาวบ้านก็แทบจะหอบผ้า-หอบหมอน หนีตามมาอยู่กับลุงแล้ว!

ลุงป้อมเนี่ย เป็นคนมีกรรมอย่างหนึ่ง

อดีตชาติ ‘คงอิจฉา-ริษยา’ คนอื่นไว้มาก มาถึงชาตินี้ ด้วยวัฏฏะแห่งกรงกรรม ลุงป้อมจึง ‘ถูกกระทำ’ ในเชิงริษยาเป็นการชดใช้

ดูซี...พอเข้าการเมือง ในฐานะ ‘พี่ใหญ่ 3 ป.’

ก็เป็น ‘ป้อมปราการ’ ที่ตกเป็นเป้าทำลายจากฝ่ายตรงข้าม

เรื่องจริง-เรื่องไม่จริง ถูกสาดใส่-ระบายสี จนเป็น ‘ลุงป้อมจอมโกง’ ไปทุกเรื่อง

อย่างเรื่อง ‘แหวนแม่-นาฬิกาเพื่อน’

จริงๆ แล้ว เรื่องนาฬิกา มันขี้หมาแท้ๆ พวกเล่นนาฬิกาเรือนละเป็นสิบล้าน-ร้อยล้าน เขามีกลุ่มเขาอยู่

คนในกลุ่ม ชอบเรือนไหน ใครจะเวียนกันเอาไปใส่ เป็นเรื่องธรรมดา ผมก็เคยเห็น ยิ่งกลุ่ม ‘เซนต์คาเบรียล’ ของลุงป้อมด้วยแล้ว

ขอโทษ...ถ้าสังคมโลกนิยมนาฬิกาตีน กลุ่มบ้านาฬิกาของลุงป้อม ก็คงมีนาฬิกาตีนฝังเพชรให้ลุงป้อมยืมมาใส่

ถามว่า ลุงป้อมยากจน ไม่มีเงินแค่ซื้อนาฬิกาแพงๆ เองซักเรือนหรือ ถึงต้องเอาของคนโน้น-นี้มาใส่?

ซื้อซักกระสอบก็ได้

แต่คนมีสมองคิดจึงเป็นเศรษฐี ดังนั้น คนพวกนี้ เขารู้ว่านาฬิกาแพง ผลิตออกมาเพื่อเป็น ‘ของเล่นเศรษฐี’

เมื่อเป็นของเล่น จะบ้าซื้อกันทุกคนทำไม มึงซื้อโน่น-กูซื้อนี่ ใครพอใจใส่เรือนไหน ก็เอาไปใส่ เวียนกันไปในหมู่พวกเขา

เพราะคนส่วนหนึ่ง ไม่รู้วัฒนธรรมเศรษฐี แต่อีกส่วนรู้

จึงอาศัยช่องจากคนไม่รู้ หยิบตรงนั้น เป็นช่องทำลายผ่านตัวลุงป้อม ซึ่งเป็น ‘จุดสลบ’ ของรัฐบาลพลเอกประยุทธ์

การใส่ร้าย-ป้ายสี เพื่อทำลายคนน่ะ มันง่าย

เพราะพื้นฐานจริตมนุษย์.......

ไม่ชอบเห็น ‘ใครดี-ใครเด่น’ กว่าตัวเอง จะอิจฉา และมองในมุมร้ายไว้ก่อน

ฉะนั้น แค่ลุงป้อมใส่นาฬิกาแพง....

ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งมีเป้าหมาย ‘ทำให้ลุงป้อมฉิบหาย เท่ากับได้ทำลายรัฐบาลพลเอกประยุทธ์’ มันก็แค่นั้น

แล้วเห็นไหม.....

วันต่อมา มีนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ขับรถเบนซ์และเบนท์ลีย์ ไปสภาหรือทำเนียบฯ นี่แหละ

นักข่าวไปถาม "แจ้งไว้ในบัญชีทรัพย์สินหรือเปล่า?"

คำตอบจากนักการเมืองนั้น คนหนึ่งบอก "เพื่อนเอามาให้ใช้" อีกคนบอก "ของลูก ยืมมาขับ"

เงียบฉี่ ไม่มีนักสืบโซเชียล ไม่มีสำนักข่าวไหนไปคุ้ยแคะว่าจริงมั้ย เหมือนกรณีนาฬิกาลุงป้อม!?

ไม่ต้องดูอื่นไกล อย่างตอนเศรษฐาเป็นนายกฯ ใหม่ๆ ขับรถป้ายแดงยี่ห้ออะไรก็ลืมไปแล้ว แต่เป็นยี่ห้อหรู-ราคาแพงไปทำเนียบฯ

นายกฯ บอกว่า "ของลูก เอามาขับ"

ก็จบ...ทุกคนเชื่อหมดว่า ‘เอารถลูกมาขับ’

มี ‘ลุงป้อม’ คนเดียวในโลกเท่านั้น ที่ประโคมข่าวกันจนไม่มีใครเชื่อว่า เอานาฬิกาเพื่อนมาใส่?

เพราะอะไร....?

เพราะลุงป้อมเป็น ‘พี่ใหญ่’ ของอีก 2 ป.ที่คว่ำชามข้าวเพื่อไทยทิ้ง ในยุคยิ่งลักษณ์!

ตอนนี้ เมื่อพูดถึง ‘ลุงป้อม’ ลืมหมดแล้วเรื่อง ‘นาฬิกาเพื่อน’ เพราะลุงป้อม หมดความจำเป็นที่ต้องใช้เป็นสายชนวน ‘จุดระเบิด’ ใส่รัฐบาลประยุทธ์แล้ว

ทั้งเชื่อกันว่าลุงป้อม ‘หมดบุญ-หมดบารมี’ ที่จะมาแข่งเก้าอี้นายกฯ กับใครแล้ว

ฉะนั้น ถ้าได้ยินใครยกเรื่อง ‘นาฬิกาลุงป้อม’ มาพูดอีก ก็ขอให้เข้าใจว่า นั่น...รัศมีลุงป้อมกำลังทาบขึ้นมาแข่งอีกแล้ว

การเมืองน่ะ ตัวเองไม่ต้องเป็นนายกฯ ก็ใหญ่ได้

ดูอย่างทักษิณซิ

เป็นนายกฯ ซะที่ไหน นักโทษแท้ๆ แต่ทุกคนก็ให้เครดิตว่าใหญ่กว่าเศรษฐา ส่วนเศรษฐา แค่ ‘ม้าทรง’ ทักษิณ!

เนี่ย...พูดด้าน ‘วิบากกรรม’ ลุงป้อม

ก็ให้ถือซะว่า ‘กรรมเก่าชดใช้-กรรมใหม่ไม่ก่อ’ อย่าไป ‘ผูกพยาบาท-ฆาตพญาเวร’ กับใคร        ลุงป้อม แค่ ๗๘-๗๙ หนุ่มใหญ่ "เดอะ ยัง  วัน" ยังไม่ถึงขั้น "ใกล้ปลิดขั้ว" เหมือนผม

ท่านไม่ใช่ ‘คนขี่หลังเสือ’

แต่ท่าน ‘เป็นเสือ’ ฉะนั้น ทิ้งลายไม่ได้

ประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ อายุ 82 ปี

‘โดนัลด์ ทรัมป์’ อายุ 78 ปี

เห็นประกาศ จะลงสู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กันอีก

ลุงป้อมแค่ 79 ถ้าถอดใจ ก็ไปบวชเป็นฤาษี ไกลๆ แม่ชีสาวๆ กินเผือก-กินกลอย อยู่ "บ้านป่ารอยต่อ 5 จังหวัด" โน่นซะ!     

‘ญี่ปุ่น’ น่ะก้าวหน้าวิทยาการระดับโลก แต่ก็ยังไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่า "แผ่นดินจะไหวตรงไหน เมื่อไหร่ในญี่ปุ่น?"

‘การเมืองไทย’ ช่วงนี้ ก็ประมาณนั้น

ญี่ปุ่น ในภาพรวม ก็รู้ทั้งโลกแหละว่า อยู่ในแนวเลื่อนเปลือกโลก ไหวกันจนไม่ไหวจะใส่ใจแล้ว

การเมืองไทย ก็รู้กันทั้งโลกแหละว่า…

อยู่ในแนวเลื่อน ‘ประชาธิปไตยโจร-เผด็จการทหารปราบโจร’ จะไหวหรือไม่ไหวเมื่อไหร่-ตอนไหน ‘ค่าเท่ากัน’ ป่วยการจะใส่ใจแล้ว

เพราะ ‘แผ่นดินไหว’ เป็นเรื่องธรรมชาติเมืองญี่ปุ่น

‘ประชาธิปไตย-เผด็จการทหาร’ ก็เป็นธรรมชาติเมืองไทย!

วันนี้ คุยอะไรไม่เป็นเนื้อ-เป็นหนัง

ที่ ‘เป็นเนื้อ-เป็นหนัง’ เห็นจะเป็นเรื่อง ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ 5 แสนล้านของรัฐบาลส่งคำถามไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกาว่าทำได้-ไม่ได้แค่ไหนนั้น

นายกฯ เศรษฐาบอกว่า ทางกฤษฎีกาส่งคำตอบมาแล้วเมื่อวันเสาร์ที่ 6 มกรา.!

ลองนายกฯ เศรษฐาตอบสั้นๆ ก็ไม่ต้องสงสัยว่ากฤษฎีกาตอบว่าไง?

ถ้า Yes ละก็นะ

"เศรษฐา" น้ำท่วมทุ่งไปแล้ว!

-เปลว สีเงิน

8 มกราคม 2567

คนปลายซอย

‘หนุ่มโหราฯ’ ชี้!! ทุกคนมี ‘สิทธิ-เสรีภาพ’ ในการแสดงความเห็นต่าง แต่บางคนชอบอ้าง ‘ประชาธิปไตย’ ทั้งที่ไม่ได้เข้าใจอย่างแท้จริง

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ใช้ TikTok บัญชี @flukepatsmile หรือ นักพยากรณ์โหราศาสตร์ไทย ได้เผยแพร่วิดีโอตอบข้อความของผู้ติดตามที่แสดงความคิดเห็นว่า “ทำไมสลิ่มถึงพูดแต่ ทรงพระเจริญ” โดยระบุว่า…

“ที่ถามว่าทำไม่สลิ่มถึงพูดแต่ทรงพระเจริญ ต้องให้เหมือนคุณไหม? ที่บอกว่าทุกคนมีพ่อมีแม่คนเดียว
แต่ก็ไปเรียกหัวหน้าพรรคว่า “พ่อส้ม” อะไรอย่างนี้”

“ประชาธิปไตย ครึ่งหนึ่งเป็นกฎหมาย อีกครึ่งหนึ่งคือเสรีภาพ มีอยู่วันหนึ่งนะ ผมไปดูหนัง เวลาเพลงสรรเสริญขึ้นผมก็ลุกขึ้นใช่ไหม? สำหรับคนที่ลุกหรือไม่ลุกผมคิดว่ามันไม่ได้เสียหายอะไร เพราะว่ามันคือเสรีภาพส่วนหนึ่ง แต่คุณเชื่อไหม? เด็กที่เขาไม่ลุกหัวเราะเยาะผม ทำหันไปพูดกันเหมือนเยาะเย้ยผม”

“พวกคุณไม่ได้เข้าใจประชาธิปไตยอยู่แล้ว คุณก็แค่ใส่หน้ากากประชาธิปไตย แต่จริง ๆ ตัวคุณอ่ะเป็นเผด็จการในรูปแบบหนึ่งเท่านั้นเอง ในการที่จะเปลี่ยนแปลงให้เป็นตัวคุณต้องการ ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงเข้าหาธิปไตยเลยนะครับ เพราะว่าคุณไม่เคารพสิทธิ์คนอื่น ไม่มีการให้เกรียติ ไม่มีการนับถือคนอื่น อย่างล่าสุด สส. ท่านหนึ่งพูดในสภาที่พลเอกประยุทธ์ไปเที่ยวก็ด้วย”

ทั้งนี้ได้ยกตัวอย่างวิดีโอ สส.ท่านหนึ่งที่พูดถึงพลเอกประยุธ์ในสภา ว่า… “ทรราชที่สร้างความฉิบหายให้ประเทศนี้มา 10 ปี สร้างความโกรธแค้นให้กับพ่อ แม่ พี่ น้อง ประชาชนสร้างความเสียหายให้ประเทศนี้ ไม่รู้ว่าอีก 10 ปี ข้างหน้าจะแก้ไขสิ่งที่สร้างเอาไว้ได้รึเปล่าเลย? ประยุทธ์ จันทร์โอชา วันนี้ลงจากอำนาจลอยหน้าลอยตา”

ผู้ใช้ติ๊กต็อกรายนี้ยังเสริมต่ออีกว่า “คำถามคือ เขาจะอยู่คุณไม่ให้เขาอยู่ พอเขาไปคุณไม่ให้เขาไป ซ้ายก็ไม่ได้ ขวาก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ มันก็คือความเอาแต่ใจนั่นแหละ”

“ผมจะพูดว่าทรงพระเจริญ หรือ ผมจะยืนในโรงหนังก็สิทธิ์ของผมไม่ใช่หรอ? ผมพูดไม่ได้หรอครับ? 
คุณเอาเป็นเรื่องตลก มันเยาะเย้ยคนอื่นเนี่ย มันเรียกว่าการไม่ให้เกียรติ เรื่องง่ายๆ พวกนี้คุณยังคิดไม่ได้เลย คุณจะเอาคำว่าประชาธิปไตยมาอ้าง คุณไม่เข้าใจมันจริง ๆ หรอกครับ”

'นายกฯ' มอบคำขวัญวันครู ปี 2567 "ครูวางฐานคิด ส่งเสริมศิษย์สร้างสรรค์"

(9 ม.ค. 67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โพสต์ข้อความผ่าน X มอบคำขวัญวันครู ประจำปี 2567 ว่า...

'ครู' คือผู้นำความรู้ทั้งจากทั้งในตำรา และจากประสบการณ์ที่สั่งสมมาถ่ายทอดให้กับศิษย์ งานของครูในโลกยุคใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนี้ จึงไม่ใช่แค่การสอนหนังสือให้ความรู้ตามตำรา แต่ครูยังต้องใส่ใจสอนวิธีคิด และวิธีจัดการกับข้อมูลที่มีอยู่อย่างหลากหลาย เพื่อให้ศิษย์สามารถจัดระเบียบความคิดได้ รวมถึงเติบโตขึ้นเป็นคนที่มีความสามารถในการแสวงหาความรู้ได้ด้วยตัวเองอย่างมีคุณภาพ

คำว่าครูสำหรับผม คือ ผู้สร้าง และ ผู้ให้ ครับ 'สร้าง' คือ สร้างบุคลากรที่มีคุณภาพให้กับสังคม 'ให้' คือ ให้หลักคิดแก่ผู้คนเพื่อนำไปต่อยอดได้ 

ดังคำขวัญวันครูแด่ครูทุกท่านที่เสียสละดังนี้ครับ... “ครูวางฐานคิด ส่งเสริมศิษย์สร้างสรรค์”

'อดีตบิ๊กข่าวกรอง' ชี้!! 3 จว.ใต้จมหนักสุดรอบ 50 ปี  มีแต่ทหารเข้าช่วย แต่ 'นายกฯ รถแห่' ดีแต่มาหอบแสง

(9 ม.ค. 67) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กหัวข้อ ‘หิวแสง’ มีรายละเอียดว่า…

น้ำท่วมสามจังหวัดชายแดนใต้ หนักที่สุดในรอบห้าสิบปี เห็นแต่ทหารและกู้ภัยเข้าช่วยเหลือ อพยพชาวบ้านและแจกอาหาร ทำงานกันอย่างไม่กลัวเหน็ดเหนื่อย ทุ่มเทกำลังช่วยเหลืออย่างเต็มที่

แต่พอน้ำลด คนหิวแสงก็มา นายกรถแห่มาโชว์ตัวบนรถทันที แห่ถ่ายรูป เอาหน้า พูดหล่อ ๆ หาคะแนนจากความเดือดร้อน เก่งแต่เรื่องเซลฟี่ เก่งแต่สร้างภาพ

'วิโรจน์ ก้าวไกล' โพสต์!! ขอพักรักษาตัว ลดปริมาณงาน หลังโรครุมเร้า 'ความดัน-นอนไม่หลับ-ปวดหลัง' ยัน!! ไม่เสแสร้ง

(9 ม.ค. 67) วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวประกาศลดงาน-พักรักษาตัว เหตุป่วยเรื้อรังมานาน บอก รู้สึกโดดเดี่ยว-หมดแรง-ท้อแท้-เหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก ทำอาการเจ็บป่วยลุกลาม รุมเร้า ยัน แม้ปริมาณลด แต่จะชดเชยด้วยคุณภาพ ขอบคุณทุกความห่วงใย ยันไม่ได้เสแสร้ง ย้ำจะกลับมาให้เร็วที่สุด โดยระบุว่า...

ขออนุญาตพักรักษาตัว สักระยะนะครับ

เนื่องจากผมป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูงมาเป็นระยะเวลานาน และมีอาการปวดหลังเรื้อรังมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง

ประกอบกับการทำงานที่ผ่านมา ตั้งแต่งานในสภาฯ ชุดที่แล้ว การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. การดีเบต และการลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้ง 2566 การลุยกับปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น และภารกิจในสภาผู้แทนราษฎร ผมต้องทำงานภายใต้ทรัพยากรที่มีจำกัดอย่างมาก ต้องเผชิญหน้ากับแรงกดดันต่างๆ มากมาย 

แรกๆ ผมก็ไม่รู้ตัวเองหรอกครับ เครียดก็เก็บเจ็บก็ทน แต่ความเครียด มันค่อยๆ สะสมไปเรื่อยๆ รู้สึกตัวอีกที ก็รู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว และรู้สึกหมดแรง ท้อแท้ เหนื่อยอย่างบอกไม่ถูก ทำให้อาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ลุกลาม รุมเร้าไปหมด ทั้งแน่นหน้าอก ปวดหลังเรื้อรัง นอนไม่หลับ ฯลฯ จนกลายเป็นภาระของคนรอบข้างไปหมด

ผมจึงคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่ผมจำเป็นต้องลดงานที่ทำอยู่ พยายามลดการรับรู้เรื่องที่ไม่สบายใจให้น้อยลง เพื่อเอาเวลาไปพักรักษาตัวเอง และอาจจะต้องจัดสรรเวลาเพื่อออกกำลังกายร่วมด้วยครับ

แม้ว่าปริมาณงานอาจจะลดลงบ้าง แต่ขอให้สบายใจนะครับ ผมจะพยายามชดเชยด้วยคุณภาพของงานที่ดีขึ้น

ขอบคุณสำหรับทุกๆ ความห่วงใยที่มีมาให้กับผมนะครับ ผมเองก็ไม่อยากไม่สบาย ไม่รู้ว่าไม่สบายได้ยังไง อยากจะหายจากอาการเหล่านี้วันนี้พรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำไป

ที่สำคัญ คือ ไม่อยากทำให้ใครต้องรู้สึกไม่สบายใจ และไม่อยากเป็นภาระของใครจริงๆ นะครับ หลายคนที่เข้ามาพูดคุยให้คำแนะนำผม แล้วอาจจะสงสัยว่า หลังจากพูดคุยกันแล้ว ผมก็ดีขึ้นแล้วนี่นา ทำไมอยู่ดีๆ ก็เป็นอะไรขึ้นมาอีก คือ ตอนที่คุยผมก็ดีขึ้นมาจริงๆ ครับ แต่พอหลังจากนั้นสักพัก ผมก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม ผมเองก็ไม่อยากเป็นแบบนี้เหมือนกัน ผมไม่ได้แกล้ง หรือเสแสร้งอะไรจริงๆ นะครับ หากที่ผ่านมาผมทำให้ใครต้องรู้สึกไม่สบายใจ ผมต้องขออภัยจริงๆ ผมเองก็รู้สึกเสียใจที่ต้องมาเป็นภาระของใครๆ เหมือนกัน

ผมจะพยายามรักษาตัวเองให้เร็วที่สุดนะครับ และจะกลับมาทำงานเต็มที่ได้เหมือนเดิมครับ

‘อุ๊งอิ๊ง’ เซ็นตั้ง ‘นนกุล’ นั่งอนุกรรมการซอฟต์พาวเวอร์ พร้อมเดินหน้าผลักดันอุตสาหกรรม ‘ภาพยนตร์’ เต็มที่

เมื่อวานนี้ (9 ม.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ที่ 1/2567 ออกคำสั่ง เรื่อง แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านภาพยนตร์ เพิ่มเติม ระบุว่า…

ตามที่นายกรัฐมนตรีได้มีคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 268/2566 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2566 นั้น เพื่อให้การดำเนินงานของคณะกรรมการดังกล่าวเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อาศัยอำนาจตามความในข้อ 2 (6) ของคำสั่งดังกล่าวข้างต้น 

คณะกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ จึงมีคำสั่งให้ปรับปรุงองค์ประกอบของคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านภาพยนตร์ เพิ่มเติม ดังต่อไปนี้

1. นายชานน สันตินธรกุล เป็น อนุกรรมการ

ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป 
สั่ง ณ วันที่ 9 มกราคม 2567
(ลงชื่อ) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร 
ประธานกรรมการพัฒนาชอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ 

‘สุวัจน์’ มอง!! สภาผ่านงบฯ 67 สะท้อนเสถียรภาพรัฐบาล เชื่อ!! สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุน คาด!! ดัน GDP โต 3%

ภายหลังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 วงเงินกว่า 3.48 ล้านล้านบาทแล้วนั้น

เมื่อวานนี้ (9 ม.ค. 67) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถือเป็นบรรยากาศที่ดี เพราะจะสามารถนำเงินไปใช้จ่ายในการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะขณะนี้เราต้องการเม็ดเงิน ในการสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เนื่องจากปีที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า เศรษฐกิจเราเติบโตไม่เป็นไปตามเป้า จีดีพีเพียง 2% กว่าเท่านั้น

ดังนั้นในจำนวนเงินงบประมาณที่ได้สภาให้ความเห็นชอบนั้น รัฐบาลต้องเร่งรัดในการดำเนินการใช้จ่ายเพื่อให้เงินถึงมือประชาชน เพราะอีก 3-4 เดือนข้างหน้า ก็จะมีงบประมาณปี 2568 เข้ามาแล้ว 

สำหรับข้อห่วงใยและข้อคิดเห็นจากสภาฯ นั้น นายสุวัจน์ เชื่อว่า รัฐบาลและกรรมาธิการวิสามัญ จะรับฟัง และนำไปปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้การใช้จ่ายเม็ดเงินต่าง ๆ ของงบประมาณ มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้ในส่วนของพรรคชาติพัฒนากล้า นายเทวัญ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรคฯ ก็ได้รับการแต่งตั้งไปเป็นกรรมาธิการด้วย ท่านก็จะใช้ประสบการณ์ช่วยกันปรับปรุงรายละเอียดตามข้อเสนอแนะของ ฝ่ายค้านและรัฐบาล เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องประชาชน

อย่างไรก็ตาม นายสุวัจน์ เชื่อว่าปีนี้เศรษฐกิจมีแนวโน้มเข้มแข็งกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากการเมืองมีเสถียรภาพ จาก 300 กว่าเสียง ซึ่งจะส่งผลให้รัฐบาลสามารถเดินหน้าโครงการต่าง ๆ ได้ดี และเศรษฐกิจก็น่าที่จะกระเตื้องขึ้น ประกอบกับมาตรการ ๆ ของรัฐบาลที่ออกมาเพื่อสร้างแรงจูงใจให้กับนักท่องเที่ยว ทั้งมาตรการฟรีวีซ่า อำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยว ลดภาษีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวต่าง ๆ ในประเทศไทย ก็เป็นตัวเร่งดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เข้ามาท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ นายสุวัจน์ ยังเชื่อว่าปีนี้ นักท่องเที่ยวจะกลับเข้ามาใกล้เคียงก่อนเกิดสถานการณ์โควิดคือ 40 ล้านคน อย่างน้อยปีนี้จะต้องได้ 35 ล้านคน ถ้าเร่งเครื่องกันเต็มที่ ช่วยกันโปรโมต จัดกิจกรรมแบบอินเตอร์โดยนำซอฟต์พาวเวอร์มาใช้ นอกจากนี้การส่งออกปีที่แล้ว ยังไม่ขยายตัว ทำให้ฐานต่ำ เชื่อว่าปีนี้การส่งออกจะดีขึ้นกว่าเดิม เช่นเดียวกับการลงทุน ปีที่ผ่านมารัฐบาลไปเชิญชวน นักลงทุนไว้มากหากทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ มีนักลงทุนมาลงทุนจริง ๆ ก็จะมีเม็ดเงินมาสร้างงานเพิ่มมากขึ้น 

“เมื่อประกอบกับการเมืองที่มีเสถียรภาพ ก็จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานให้กับระบบเศรษฐกิจอย่างหนึ่ง คือเรื่องความเชื่อมั่นต่าง ๆ เชื่อขยายตัวได้ จีดีพีอย่างน้อยต้อง 3% กว่า ซึ่งก็ต้องรอดูเรื่องดิจิทัลวอลเลต อีกนิดขณะนี้อยู่ระหว่างการรอกฤษฎีกามาให้ความเห็นอีกครั้ง ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลจะต้องปรับปรุงในการดำเนินการ” นายสุวัจน์ กล่าว

ต่อข้อถามที่ว่า หากมีการตั้ง นางสาวแพรทองธาร ชินวัตร หรืออุ๊งอิ๊ง ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนนายเศรษฐา ทวีสิน นายสุวัจน์ กล่าวว่า ด้วยคุณสมบัติของคุณอุ๊งอิ๊ง ซึ่งเป็นแคนดิเดทนายกรัฐมนตรีอยู่แล้ว และเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยด้วย ดังนั้นด้วยคุณสมบัติ และประสบการณ์ต่าง ๆ ก็สามารถเป็นนายกฯ ได้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามเป็นเรื่องภายในของพรรคเพื่อไทย ที่จะดำเนินการ ในส่วนของพรรคชาติพัฒนากล้า เราเป็นพรรคร่วมรัฐบาล และพรรคเพื่อไทยเองก็เป็นแกนนำด้วย ดังนั้นชาติพัฒนากล้าก็สนับสนุนพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว เพื่อให้เกิดการบริหารประเทศที่ต่อเนื่อง ยิ่งรัฐบาลมีเสถียรภาพที่มั่นคง ก็ยิ่งทำให้เกิดการแก้ปัญหาเศรษฐกิจต่าง ๆ ก็จะเป็นไปด้วยความเรียบร้อย

เมื่อถามว่า โดยส่วนตัวมองว่ารัฐบาลจะอยู่ครบ 4 ปี หรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า การเมืองเป็นเรื่องไม่แน่นอน เหมือนขับรถออกจากบ้าน เราไม่มีโอกาสรู้เลยว่าจะเกิดยางแตกเมื่อไหร่ หรือจะเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นกับเรา แต่โดยพื้นฐานของรัฐบาลที่มี 300 กว่าเสียง ก็ถือว่ามีเสถียรภาพที่มั่นคง ดังนั้นจึงมีโอกาสที่บริหารประเทศครบ 4 ปีก็มีสูง แต่ทั้งนี้ก็ไม่แน่ อาจจะมีอุบัติเหตุทางการเมืองได้ แต่หากอยู่ครบ ก็จะเป็นสัญญาณที่ดีต่อประเทศ รัฐบาลจะอยู่ครบหรือไม่ครบวาระ 4 ปี ก็เป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top