Monday, 28 April 2025
Politics

'พลโทนันทเดช' ย้อนเกล็ด เหตุ 'ธนาธร' แค้นรัฐประหาร สรุปเป็นนักประชาธิปไตย หรือ ผู้ไม่เคารพกฎหมายกันแน่


(13 เม.ย.66) พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ (ศรภ.) โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า...

▪️ฝ่ายประชาธิปไตย สนับสนุนการทุจริตหรือไง▪️ 

เมื่อมีการ “Debate“ กันระหว่าง นายสุชาติ รมว.แรงงาน กับ นายธนาธร บนเวที...นายธนาธร บอกว่าตัวเองเป็นฝ่ายประชาธิปไตย...ฝ่ายของ นายสุชาติ เป็นเผด็จการ

นายสุชาติ จึงถามว่า เป็นเผด็จการตรงไหน นายธนาธร ขอให้ดูเรื่อง “วุฒิสมาชิก“

ผมขอตอบแทน คุณสุชาติ โดยขอถามกลับ นายธนาธร ว่า ...

1.วุฒิสมาชิก เกิดจากการแต่งตั้งของคณะรัฐประหาร ใช่หรือไม่?

แน่นอน นายธนาธรต้องตอบว่า ”ใช่“ และคงย้ำต่อไปอีกว่า เพราะรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์1 มาจากการทำรัฐประหาร 

2.ผมจะถามต่อว่า แล้วทำไมจึงเกิดการรัฐประหารขึ้น?

นายธนาธร อาจจะเงียบ ผมก็จะบอกต่อว่า มีหลายคนในรัฐบาลยิ่งลักษณ์  ทำการทุจริต และยังทำการที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญอีก ทหารก็ยังดูอยู่เฉยๆ (การทุจริตหลักฐานชัดเจน) 

3.ประชาชนออกมาต่อต้าน รัฐบาลที่ทุจริตมากขึ้น นับล้านคน 

ศาลรัฐธรรมนูญสั่งถอดถอนยิ่งลักษณ์ รัฐบาลไม่สามารถบริหารราชการต่อไปได้ บ้านเมืองเริ่มเข้าสู่กลียุค ทหารก็ยังอยู่เฉยๆ ฝ่ายสนับสนุน รัฐบาลก็ยังออกมาใช้ทั้งตำรวจ และ มือระเบิด จัดการกับประชาชน เพิ่มขึ้น ทำให้ประชาชน หลายกลุ่ม ต้องเริ่มจัดหาอาวุธมาสู้บ้าง 

 4.ประชาชน จึงออกมากดดันให้ทหารออกมา (ทำอะไรซะทีสิวะ) 

ทหารก็จำเป็นต้องทำก่อนบ้านเมืองพังทลาย เมื่อทำรัฐประหารแล้ว ประชาชนก็สนับสนุน รัฐบาลประยุทธ์ จนอยู่มาอีก 4 ปี แบบสบายๆ เมื่อร่างรัฐธรรมนูญออกมา ประชาชนก็รับรองอีก...รัฐบาลประยุทธ์ 2 ก็มาจากรัฐธรรมนูญ ฉบับที่มุ่งปราบทุจริต มากกว่าทุกฉบับ  วุฒิสมาชิกก็ได้อำนาจมาจากการรับรองของประชาชน เหมือนๆกับที่พรรคก้าวไกล ที่ได้ ส.ส.มามากมาย ก็มาจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้เช่นกัน 

‘โรม’ วอน!! ยุติธรรมไทยอย่าถอนชื่อลูกสาว ‘มินอ่องลาย’ จากคดีทุนมินลัต  พร้อมจี้ ‘รัฐบาลไทย’ ต้องเจรจาหาทางออกความรุนแรงในเมียนมา 

‘โรม’ จี้ อย่าให้มีล้มคดีค้ายาข้ามชาติ แทรกแซงกระบวนการยุติธรรมไทยให้ถอนชื่อลูกสาว ‘มินอ่องลาย’ จากคดีทุนมินลัต ชี้รัฐบาลไทยต้องฟื้นฟูบทบาทนำในเวทีอาเซียน เจรจาหาทางออกความรุนแรงในเมียนมา 

(17 เม.ย.66) ที่พรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล แถลงข่าวประจำสัปดาห์ในหลายประเด็น เริ่มที่ประเด็นความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศเมียนมา ที่รัฐบาลเผด็จการทหาร ทำการปราบปรามฝ่ายต่อต้านและโจมตีเป้าหมายที่เป็นพลเรือน รายงานข่าวจากสื่อต่างประเทศ ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 171 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้หญิง 24 คน และเด็ก 38 คน

นายรังสิมันต์กล่าวว่า พรรคก้าวไกลขอยืนยันจุดยืนว่าการใช้กำลังทางการทหารต่อพลเรือนเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในทุกกรณี และขอเรียกร้องให้รัฐบาลทหารเมียนมายุติการใช้ความรุนแรงกับพลเรือนทุกรูปแบบ พร้อมทั้งคืนประชาธิปไตยกลับสู่ประชาชนโดยเร็ว

พรรคก้าวไกลเห็นว่าท่าทีวางเฉยของรัฐบาลไทยในขณะนี้ เป็นการเพิกเฉยต่อมนุษยธรรมและไม่ช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ประเทศไทยควรฟื้นฟูบทบาทนำในเวทีอาเซียนอีกครั้ง ด้วยการกลับมาเป็นผู้นำในการเจรจาด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการเจรจาสันติภาพ คืนประชาธิปไตยสู่ประเทศเมียนมาโดยยึดหลักการการสร้างเสถียรภาพอย่างสร้างสรรค์ (Constructive Stabilization) ตั้งเป้าหมายว่าจะยุติสงครามกลางเมืองและการเสียชีวิตของประชาชนโดยเร็ว ด้วยการใช้ความร่วมระหว่างอาเซียนและสหประชาชาติจัดการกับวิกฤติในประเทศเมียนมา และสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านกลับมาเป็นประชาธิปไตย โดยเคารพเจตจำนงของประชาชนชาวเมียนมาในการแก้ไขปัญหาภายในประเทศ

นอกจากนี้ สิ่งที่รัฐบาลไทยต้องทำคือการปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยทางการเมืองด้วยความเคารพในศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ไม่ส่งตัวกลับไปยังประเทศต้นทาง ดังที่ประเทศไทยได้ส่งกลับ 3 ผู้ลี้ภัยจนมีรายงานว่าคนที่ถูกรัฐบาลไทยส่งกลับนี้ ถูกสังหารแล้วอย่างน้อย 1 ราย

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อไปว่า การส่งกลับผู้ลี้ภัยทางการเมือง สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่นระหว่างเผด็จการทหารไทยและเผด็จการทหารเมียนมาร์ ซึ่งถูกตั้งคำถามว่าความสัมพันธ์นี้ต่อยอดกลายเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับขบวนการค้ายาเสพติด ให้ทำธุรกิจค้ายาและฟอกเงินในประเทศไทยได้อย่างง่ายดาย เห็นได้จากกรณีที่ถูกตั้งคำถามว่ามินอ่องลาย พูดคุยกับทางการไทยให้ถอนชื่อลูกสาวจากคดีทุนมินลัตหรือไม่

ตามที่สำนักข่าว The Irrawaddy ของประเทศเมียนมา รายงานข่าวว่าพลเอกอาวุโส มินอ่องลาย หัวหน้าคณะรัฐประหารเมียนมา พยายามติดต่อเจรจากับทางการไทยเพื่อให้ถอนชื่อบุตรสาวของตัวเองออกจากคดีของทุนมินลัต ผู้ซึ่งถูกจับกุมดำเนินคดีในความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและข้อหาฟอกเงิน และมีความเชื่อมโยงไปถึง นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา ในคดีดังกล่าวไม่ได้มีชื่อลูกของมินอ่องลายร่วมเป็นจำเลย แต่ที่เข้ามาเกี่ยวข้องเพราะในการตรวจยึดทรัพย์สินของทุนมินลัตที่ถือครองอยู่ เจ้าหน้าที่พบว่ามีสมุดบัญชีธนาคารในไทยของลูกสาวมินอ่องลาย และหนังสือกรรมสิทธิ์และสัญญาซื้อขายคอนโดในไทยของลูกชายมินอ่องลาย รวมอยู่ด้วย ตนเข้าใจว่าตามรายงานข่าวข้างต้นน่าจะเป็นการเจรจาเพื่อให้ลูกของเผด็จการทหารเมียนมาหลุดพ้นจากกระบวนการตรงนี้

รัฐบาลไทยต้องสร้างความเป็นธรรมต่อเรื่องนี้ จะปล่อยให้รัฐบาลอื่นมาแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมไม่ได้ ในเมื่อคดีของทุนมินลัตมีการตั้งข้อหาทั้งเรื่องยาเสพติดและการฟอกเงินไปแล้ว ทางการไทยย่อมมีอำนาจในการยึดหรืออายัดทรัพย์สินที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวเนื่องกับการกระทำความผิดได้ ทั้งตามประมวลกฎหมายยาเสพติด และตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งริบทรัพย์สินนั้นหรือให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นของแผ่นดินต่อไป ซึ่งหน่วยงานสำคัญที่มีอำนาจหน้าที่เหล่านี้ก็คือ ป.ป.ส. และ ปปง. ทว่าตลอดที่ผ่านมาหลายเดือนก็ยังไม่เห็นว่าทั้ง 2 หน่วยงานจะดำเนินการอะไรกับทรัพย์สินของลูก ๆ มินอ่องลายอย่างจริงจังเสียที

“ไม่แน่ใจว่าท้ายที่สุด หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้ทำหน้าที่ของตัวเองหรือเปล่า หรือปล่อยให้คืนทรัพย์สินไปยังมินอ่องลาย เราจะถูกตั้งคำถามจากนานาชาติมากยิ่งขึ้น ว่ารัฐบาลไทยมีส่วนได้เสียกับขบวนการค้ายาเสพติดและความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเมียนมาหรือไม่ จากความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดดังกล่าว” นายรังสิมันต์ กล่าว

‘ปิยบุตร’ เข้าพบ พนง.สอบสวน หลังถูกหมายเรียก ม.116 แนะ ‘ตร.’ ใช้ดุลยพินิจ ป้องกันการกลั่นแกล้งจากช่องโหว่ กม.

วันที่ 17 เมษายน 2566 ที่สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน จากกรณีที่ตกเป็นผู้ต้องหาในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 ตามที่นายณฐพร โตประยูร อดีตที่ปรึกษาประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน ร้องทุกข์กล่าวโทษข้อหายุยงปลุกปั่น และมีการลงนามออกหมายเรียกโดย พ.ต.ท.สำเนียง โสธร รองผู้กำกับการ (สอบสวน)

นายปิยบุตร กล่าวว่า คดีดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อปี 2564 ซึ่งผ่านมากว่า 1 ปี จึงได้ทราบว่ามีหมายเรียกเมื่อวันที่ 7 มีนาคม ภายหลังจากตนไปช่วย นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล หาเสียงที่อีสาน โดยก่อนหน้านี้ ได้ประสานเจ้าพนักงานเพื่อขอเลื่อนการเข้าพบเป็นช่วงหลังการเลือกตั้งวันที่ 14 พฤษภาคม เนื่องจากอยู่ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง จะไม่มีเวลาว่าง แต่เจ้าพนักงานไม่ยอม ให้เหตุผลว่าพรรคการเมืองขาดผู้ช่วยหาเสียงเพียงหนึ่งคนก็คงไม่เป็นอะไร ให้มารายงานตัวให้มันจบ ๆ ไป แต่นั่นทำให้ผมต้องยกเลิกการหาเสียงที่หนองคายในวันนี้ และทำให้เพื่อนพ้องน้องพี่ผู้สมัคร ส.ส. กทม.พรรคก้าวไกล ต้องเสียเวลามาให้กำลังใจตนแทน

ดังนั้น เมื่อมีการออกหมายเรียกเป็นครั้งที่สองจึงได้เดินทางมาเข้าพบวันนี้เพื่อมาดูว่าสิ่งที่ นายณฐพร ฟ้องร้องนั้นเข้าข่ายหรือไม่ หรือเป็นการกล่าวหาลอย ๆ เพราะที่ผ่านมา นายณฐพร ก็ถือว่าเป็นนักร้องมืออาชีพ ซึ่งเคยร้องเข้าเป้าตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่จนถึงขั้นโดนยุบพรรค รวมถึงนิสิต นักศึกษา เยาวชนคนรุ่นใหม่ต่างก็โดนฟ้องร้องด้วยเหมือนกัน โดยพฤติการณ์ที่เป็นเหตุให้ตนถูกร้องในครั้งนี้คือ การจัดคลับเฮาส์พูดคุยถึงกรณี ‘แอมมี่’ นายไชยอมร แก้ววิบูลพันธุ์ เผาพระบรมฉายาลักษณ์ ซึ่งตนได้บรรยายกรณีศึกษาในต่างประเทศและในไทย ที่เคยตัดสินยกฟ้องมาแล้ว

นายปิยบุตรเห็นว่า กรณีที่ตนถูกร้องนี้เป็นการจินตนาการของผู้กล่าวหาที่เลยเถิดไปมาก ซ้ำยังเป็นการลงทุนต่ำ เพียงแค่ถอดเทปจากรายการ พิมพ์เป็นเอกสาร และเดินทางมาร้อง ทำให้เป็นภาระต่อทั้งผู้ถูกกล่าวหา เจ้าพนักงานสอบสวน เจ้าพนักงานอัยการ และศาล เพราะสุดท้ายเมื่อไม่ถูกต้องตามองค์ประกอบความผิดก็ถูกยกฟ้องอยู่ดี ดังที่ปรากฏว่า ช่วงที่ผ่านมาคดีตามมาตรา 116 ถูกยกฟ้องเป็นประจำ โดยหากพนักงานสอบสวนใช้ดุลยพินิจ ก็อาจบรรเทาการร้องเรียนเชิงกลั่นแกล้งเช่นนี้ได้

เมื่อถามว่าจะมีแนวทางอย่างไรเพื่อตรวจสอบดุลยพินิจของเจ้าพนักงานสอบสวน นายปิยบุตร กล่าวว่า ตอนสมัยเป็นอาจารย์ไม่ได้โดนหมายเรียก แต่เมื่อมาเป็นนักการเมืองกลับถูกหมายเรียกในคดีต่าง ๆ มาเป็นชุด และในช่วงที่ถอยออกจากการเมืองก็เงียบหายไป ล่าสุด ก็โดนคดี ม.112 ที่ สน.ดุสิต วันนี้ ก็คดี ม.116

สำหรับ คดี ม.116 พบว่า หลายคดีอัยการสั่งไม่ฟ้อง หรือเรื่องไปถึงศาล ก็ยกฟ้อง อยู่จำนวนมาก แต่ยังสงสัยว่าทำไมเจ้าพนักงานถึงทำสำนวนคดีให้ฟ้องอยู่ตลอด ทั้งที่ตนและเจ้าพนักงานสอบสวนก็เรียนหลักการทางนิติศาสตร์มาเหมือนกัน จึงอยากให้ระลึกถึงตอนเป็นนักศึกษาปริญญาตรี หากมีข้อเท็จจริงแบบนี้มาออกเป็นข้อสอบ เชื่อว่าหากพนักงานสอบสวนที่เคยเป็น นศ. ในตอนนั้น ก็คงตอบว่า กรณีไม่เข้าองค์ประกอบความผิด ตนขอให้พนักงานสอบสวนพิจารณาใช้ดุลพินิจ เพราะเจ้าพนักงานสอบสวนไม่ใช่บุรุษไปรษณีย์ที่เมื่อใครมาร้องทุกข์กล่าวโทษก็ต้องทำสำนวนคดี เพื่อออกหมายเรียกทุกกรณีไป

'ศิลัมพา' ถาม 'เศรษฐา' หมดมุกหรือถึงเหยียดลุงตู่เรื่องภาษาอังกฤษ ย้อนเจ็บ ยิ่งลักษณ์ 'แท้งกิ้วทรีไทม์' แบบนี้คือดีใช่ไหม?

(18 เม.ย.66) น.ส.ศิลัมพา เลิศนุวัฒน์ ผู้สมัครส.ส กทม. เขต 24 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้กล่าวถึงกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน  แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย ได้กล่าวโจมตีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เรื่องเกี่ยวกับภาษาอังกฤษว่า ที่ไม่ได้หาตลาดใหม่ๆ ในต่างประเทศ ตนเห็นข่าวนี้แล้วก็แทบไม่เชื่อ หูตัวเอง ว่าคนพูดจะเป็นถึงแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย 

เพราะเรื่องแบบนี้ ไม่ใช่สาระสำคัญของการที่จะมาเป็นผู้นำประเทศ เพราะนายเศรษฐา ที่เป็นนักธุรกิจบริหารองค์กรใหญ่โต ย่อมจะต้องทราบดีว่า ผู้นำประเทศต่างๆ ที่มีภาษาเป็นของตนเอง เวลาไปเจรจากับประเทศอื่นๆ ก็จะใช้ภาษาของตนเอง ซึ่งแสดงถึงความภูมิใจในเอกลักษณ์ของชนชาติตนเอง โดยจะมีล่ามทำหน้าที่สื่อความหมาย กับอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดามาก ไม่ได้เป็นปัญหาในการเจรจา การค้าหรือการสร้างความสัมพันธ์กับต่างประเทศแต่อย่างใด ไม่ว่าจะเป็นผู้นำจากจีน, อินเดีย, ญี่ปุ่น, เยอรมนี, รัสเซีย หรือประเทศในตะวันออกกลาง ผู้นำเขาก็ใช้ภาษาของตนเองทั้งสิ้นเวลาไปเจรจา กับมิตรประเทศต่างๆ

การที่นายเศรษฐาหยิบยกประเด็นเรื่องความสามารถ ในการใช้ภาษาอังกฤษของพลเอกประยุทธ์ มาเป็นประเด็นโจมตีทางการเมืองว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถ ไปเปิดตลาดการค้าใหม่ๆ ได้ ซึ่งการเชื่อมโยงเรื่องภาษากับเรื่องการเปิดตลาดการค้า ก็ไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลต่อกันแต่อย่างใด เพราะจากความเป็นจริงที่ปรากฏ ก็จะพบว่าในยุคของพลเอกประยุทธ์นั้น เดินทางไปเจริญสัมพันธ์ทำไมตรีและเจรจาการค้ากับประเทศต่างๆ มากมาย

‘ชูวิทย์’ ล่องใต้ลุยพื้นที่จะนะ รณรงค์ค้านกัญชาเสรี เจอกลุ่มชาวบ้านต้าน ชี้!! เป็นโจรในคราบคนดี

‘ชูวิทย์’ เดินสายลงพื้นที่จะนะ ต้านกัญชาเสรี เจอชาวบ้านกลุ่มต้าน หวิดปะทะคารม

เมื่อวันที่ (17 เม.ย.66) จ.สงขลา ที่วิทยาลัยอาชีวศึกษาฮอไรซอนบริหารธุรกิจ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ 7 ต.จะโหนง อ.จะนะ จ.สงขลา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ได้เดินทางมาร่วมรณรงค์ต่อต้านนโยบายกัญชาเสรีของพรรคภูมิใจไทย(ภท.) ซึ่งการเดินทางจะมีทั้งหลายอำเภอใน จ.สงขลา และในจังหวัดชายแดนใต้ รวมทั้งร่วมพิธีละศีลอดในช่วงเย็นของพี่น้องชาวไทยมุสลิมที่ทางสมาคมสมาพันธ์โรงเรียนเอกชนภาคใต้ นำโดย บาบอฮุสณี บินหะยีคอเนาะ และ อาจารย์อับดุลสุโกร์ ดินอะ ที่ปรึกษาสมาคมฯ ได้จัดขึ้นที่วิทยาลัยแห่งนี้ โดยมีผู้เข้าร่วมหลายร้อยคน รวมทั้งยังได้มีการเชิญ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ  ผอ.รพ.สะบ้าย้อย ให้มาร่วมงานเป็นการส่วนตัวด้วย

ก่อนที่ นายชูวิทย์ จะเดินทางมาถึงราวครึ่งชั่วโมงนั้น ปรากฏว่าได้มีกลุ่มชาวบ้านประมาณ 50 คน เดินทางมารวมตัวกันที่ฝั่งตรงข้ามประตูทางเข้าวิทยาลัย พร้อมถือแผ่นป้ายคัดค้านการเดินทางลงพื้นที่ของ นายชูวิทย์ และส่งเสียงตะโกนเป็นระยะ เพื่อต้องการสื่อให้เห็นว่า ยังมีคนบางส่วนที่ไม่ยอมรับในตัว นายชูวิทย์ เพราะ มองว่า นายชูวิทย์ ทำงานรับใช้คนอื่น คนอื่นทำงานการเมืองเพื่อชาติ แต่นายชูวิทย์ รับงานโจมตีคนอื่น รวมทั้งชาวจะนะไม่ต้องการคนชื่อชูวิทย์ และยังระบุว่า หมดศรัทธาในตัวนายชูวิทย์ เพราะเป็นคนรับงาน และเป็นโจรในคราบคนดี แต่ยังโชคดีที่ทางกลุ่มผู้เห็นต่างได้สลายตัวกันไปก่อนที่ นายชูวิทย์ จะเดินทางมาถึง เนื่องจากต้องเดินทางกลับบ้าน เพื่อไปทำพิธีละศีลอด หวิดที่จะปะทะคารมกัน

จากนั้นในช่วงประมาณ 17.40 น. นายชูวิทย์ เดินทางมาถึงวิทยาลัยอาชีวศึกษาฮอไรซอนบริหารธุรกิจ ก่อนที่จะพูดคุยกับสื่อมวลชนที่มารอทำข่าวว่า ในวันนี้นำความจริงมาเปิดเผย ไม่ต้องมาประท้วงตน เพราะ ตนนำความสันติสุขมาให้กับพี่น้องชาวมุสลิม และเอาความจริงเรื่องกัญชาที่หลายหน่วยงานได้มาร่วมรณรงค์ต่อต้านกัญชาเสรี เพราะกัญชาทางการแพทย์นั้นถูกใช้เป็นเพียงแค่ข้ออ้างในการปลดล็อคกัญชา ใครอยากจะเลือกพรรคภูมิใจไทย หรือพรรคอะไร ก็สามารถเลือกได้ แต่ตนมองเห็นความอันตรายของยาเสพติดและกัญชาที่ปลดล็อคออกมาสู่สังคมไทยโดยที่ไม่มีการควบคุมต่างหาก ซึ่งเมื่อก่อนกัญชาเป็นยาเสพติด และได้ทำการปลดล็อคออกมาโดยทันทีโดยไม่ผ่านสภา ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องมาตั้งแต่ต้นแล้ว

นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ยังได้อ้างถึงข้อมูลจากสมาคมจิตแพทย์ที่ระบุเอาไว้ว่า ความเชื่อเรื่องกัญชาที่จะสามารถเอาไปรักษาโรคจิตเวชได้ เช่น วิตก ซึมเศร้า หรือ นอนไม่หลับ นั้น ความจริงแล้วกัญชาไม่สามารถนำไปรักษาโรคทางจิตเวชเหล่านี้ได้ มิหนำซ้ำยังเป็นต้นเหตุของโรคจิตเวชด้วย

อีกทั้งยังเห็นชัดเจนมากว่า ป้ายหาเสียงของพรรคนี้ไม่ปรากฏนโยบายกัญชาเสรีเลย ทั้งๆ ที่เป็นนโยบายหลักของพรรค ที่จริงๆ แล้วไม่เป็นธรรมกับประชาชน ถ้าจะให้ยุติธรรม ก็ต้องทำความเข้าใจว่า ถ้าเลือกภูมิใจไทย ก็จะได้กัญชา ประชาชนก็จะเป็นผู้ตัดสินเองว่า ถ้าเลือกภูมิใจไทย ก็จะได้กัญชา

'อ.วีระ' ถาม 'เพื่อไทย' แจกเงินดิจิทัล เอางบมาจากไหน? ชี้!! ถ้าไม่ใช้ 'เงินกู้' ก็ต้องใช้ 'เงินกู' ยังติดใจแจงที่มาไม่ได้

เมื่อไม่นานมานี้ ในรายการคุยให้คิด ดำเนินรายการโดย นายวีระ ธีรภัทร, นายสุทธิชัย หยุ่น และนายวิสุทธิ์ คมวัชรพงศ์ ได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นถึงประเด็นเรื่อง 'เงินดิจิทัล' ที่พรรคเพื่อไทยได้นำไปใช้เป็นหนึ่งในนโยบายการหาเสียง มีรายละเอียดดังนี้...

นายวีระ กล่าวว่า “ตอนแรกผมสงสัยว่าดิจิทัลวอลเล็ต คือเงินอะไร แต่เอาเป็นว่าเรามารู้จักเรื่องเงินกันก่อน ถ้าเป็นธนบัตรที่แบงก์ชาติออกมา เราเรียกว่า Fiat Money หรือว่า 'เงินกระดาษ' แต่ถ้าเงินนี้ได้เข้าไปอยู่ในระบบสถาบันการเงิน ในรูปแบบของเงินฝาก ที่เราใช้มันผ่านแอปฯ เราจะเรียกว่า Electronic Money แต่ของพรรคเพื่อไทยนั้น เป็น Digital Money ซึ่งไม่ใช่เงินของแบงก์ชาติ”

นายวีระ ได้เสริมว่า “เพื่อไทยเรียกนโยบายนี้ว่า เหรียญดิจิทัลเพื่อไทย หรือ เพื่อไทยดิจิทัลคอยน์ ชื่อย่อ PDC (PHEUTHAI Digital Coin) ซึ่งในภาษาของคนที่เล่นเหรียญคริปโตฯ เขาเรียกว่า Air Drop” 

นายวีระ ได้ยกตัวอย่างเพิ่มเติมด้วยว่า “ตรงนี้เป็นเงินที่ให้ไปเฉยๆ แต่ว่าตนเอง (เพื่อไทย) เป็นคนผลิต เป็นคนออกเหรียญ ซึ่งพอแจกจ่ายให้เงินไป คนที่ได้รับไปก็สามารถนำไปใช้จ่ายวนไปวนมาได้ แต่ตอนจะนำเงินออกมาจะต้องมีคนที่จ่ายค่าเงินตัวนี้ (PDC) ตอนนำออกมาใช้ ซึ่งมันต้องใช้งบประมาณ ต้องใช้เงินจริงมาอุดหนุน และพรรคเพื่อไทยยังไม่ได้แจ้งเงินที่จะมาอุดหนุนตรงนี้

แล้วผมก็ได้ลองรวบรวมรายได้ทั้งหมดที่จะมาอุดหนุน PDC นี้แล้ว ก็พบว่าเราสามารถเก็บรายได้จากภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทั้งหมดนี้ได้ไม่เกิน 2 แสนล้านบาท เพราะฉะนั้นส่วนต่างมันคือ 3.5 แสนล้านบาท จากที่เพื่อไทยบอกว่าไว้ว่าจะแจกราว 5.5 แสนล้านบาท ดังนั้นเพื่อไทยต้องตอบให้ได้ว่า จะเอามาจากไหน 3.5 แสนล้านบาท"

นอกจากนี้ นายวีระ ยังได้กล่าวกังวลด้วยว่า "สมมติว่าเราได้มาคนละ 1 หมื่นบาท พอเราซื้อของกับร้านค้า แล้วร้านค้าเอาของให้เรา เท่ากับร้านค้าเก็บต้องเหรียญไว้ ซึ่งเหรียญจะยังไปไหนไม่ได้...แต่ถ้าทางร้านค้ายังไม่ได้แลกคืน ก็สามารถนำไปซื้อของต่อกันเองได้...

‘บิ๊กตู่’ ลั่น!! การเกณฑ์ทหารยังสำคัญ-จำเป็น ชี้!! คนสนใจสมัครเป็นทหารมากขึ้นกว่าเดิม

(18 เม.ย.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงเรื่องการเกณฑ์ทหารว่า เรื่องการเกณฑ์ทหารวันนี้บางพื้นที่บางเขตมีผู้สมัครเกินความต้องการในหลายพื้นที่ อันนี้เป็นสิ่งที่น่าดีใจทุกคนเริ่มเข้าใจและสนใจอยากที่จะมาเป็นทหาร ซึ่งมีหลายอย่างด้วยกัน และวันนี้ก็มีข้อยกเว้นอยู่แล้วสำหรับการเรียนนักศึกษาวิชาทหารอะไรทำนองนี้ รวมถึงการผ่อนผันในช่วงการศึกษาเราก็มีให้ทั้งหมด และวันนี้เราก็ปรับรูปแบบหลายอย่างในการเกณฑ์ คือการเกณฑ์ทหารก็เกณฑ์เท่าที่จำเป็นไม่ได้หมายความว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ กองเกินทั้งหมดต้องเป็นทหารทั้งหมด ก็มีการจับสลากบ้าง อันนี้ขอให้ติดตาม ถ้าเราไม่มีเราก็จะเดือดร้อน ซึ่งทหารทั้งกองทัพไม่ได้มีเฉพาะนายทหารกับนายสิบ แต่ต้องมีพลทหารด้วยที่อยู่ในชุดปฏิบัติการ ในหมู่ ในหมวด กองร้อยกองพัน ฉะนั้นการฝึกทหารในช่วง 3 เดือนแรกจะเป็นการปรับพฤติกรรมเท่านั้นเพื่อให้รู้ระเบียบวินัยต่างๆ และรู้จักการใช้อาวุธ แต่รูปแบบยุทธวิธีจะฝึกหลังจาก 3 เดือนแรก ซึ่งจะต้องฝึกอย่างต่อเนื่อง ฝึกภาคกองร้อยฝึกภาคกองพัน ฝึกร่วมผสมต่างๆ ในการฝึกการทำงานและมีหน้าที่แตกต่างกัน เพราะมีถึง 16 เหล่า ก็ต้องเรียนรู้บ้าง

“และวันนี้ในส่วนของทหารเกณฑ์ผมได้ให้แนวนโยบายมานานแล้ว เรื่องการเพิ่มคุณวุฒิในการศึกษา โดยให้มีการเรียน กศน. ยกระดับการศึกษาให้สูงขึ้น อย่างน้อย 1-2 ระดับ เพราะมีเวลา 2 ปี นอกจากนี้ในเรื่องของการมีระเบียบวินัยเมื่อกลับไปบ้านเป็นผู้นำเป็นหัวหน้าครอบครัว ถ้าเราไม่มีระเบียบวินัยในสังคมจะอยู่กันไม่ได้ วันข้างหน้าจะวุ่นวาย อีกเรื่องคือการฝึกวิชาชีพให้กับทหารก่อนปลดประจำการ รวมถึงการให้สิทธิ์สมัครเป็นนายสิบต่อซึ่งมีผู้สนใจมากขึ้นตามลำดับ และวันนี้ทุกคนมีความภาคภูมิใจฝึกทหารแล้วรู้ว่าได้อะไรกลับไป ถ้าเราไม่มีเลยมันจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ ไม่มีประเทศไหนเขาไม่มีทหารหรอก” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว 

ศาลรธน.ยืนคำสั่ง ‘ศักดิ์สยาม’ หยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรี ชี้!! คำอุทธรณ์ไม่มีข้อเท็จจริงเพิ่ม ให้เปลี่ยนแปลงคำสั่ง

(18 เม.ย.66) ศาลรัฐธรรมนูญ แจ้งว่า กรณีศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรขอให้วินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของ นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (5) ประกอบมาตรา 187 หรือไม่ไว้พิจารณา และมีคำสั่งให้นายศักดิ์สยาม ผู้ถูกร้อง หยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค.66 จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยนั้น เมื่อวันที่ 11 เม.ย.66 นายศักดิ์สยามได้ยื่นคำร้องฉบับลงวันที่ 10 เม.ย.66 ขอให้เพิกถอนคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่รัฐมนตรี ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า กรณียังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอันเป็นเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เดิม จึงให้ยกคำร้องดังกล่าวและแจ้งให้นายศักดิ์สยามทราบ


ที่มา: https://www.naewna.com/politic/725113

‘บิ๊กตู่’ ชี้ ‘ค่าไฟแพง’ ขึ้นอยู่กับต้นทุนการผลิต ลั่น!! ถ้ามีทางปรับลดได้ พร้อมทำให้ทุกอย่าง

(18 เม.ย.66) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้สัมภาษณ์ ถึงราคาค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นจนประชาชนเดือดร้อน ว่า ก็ต้องไปดูสาเหตุก่อนว่าแพงเพราะอะไร หลายอย่างขึ้นอยู่กับต้นทุนการผลิต การบริหาร มันมีอะไรซับซ้อนอยู่ในนั้นหลายอย่าง ถ้ามองว่าค่าไฟ ค่าแก๊สมันแพงขอให้ลดลงเท่านั้น เท่านี้ ก็ต้องไปดูว่ามันทำได้หรือไม่ ถ้าทำได้ไม่ต้องห่วงตนทำให้หมด การบริหารมันมีหลายคณะ และเป็นเรื่องการประกอบการภาคธุรกิจ มันมีสัญญา ค่าผูกพัน ค่าผูกมัด หลายอย่างต้องเป็นไปตามนั้น และหลายอย่างก็ทำกันมานานแล้ว ฉะนั้นสิ่งใหม่ที่เราทำคือการปรับพลังงานรูปแบบใหม่ที่จะทำอย่างไร จะใช้พลังงานที่ถูกลง หาแหล่งพลังงานหมุนเวียน พลังงานทดแทนใหม่ ซึ่งเราเริ่มมาแล้วพอสมควร วันหน้าเราต้องไปดูภาคครัวเรือนว่าจะใช้พลังงานแสงอาทิตย์อย่างไร แต่ต้องยอมรับว่าบางพื้นที่สร้างพลังงานหมุนเวียนไม่ได้ เขาไม่อยากให้สร้าง มันมีผลกระทบ เพราะธุรกิจก็คือธุรกิจ รัฐบาลพยายามไม่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ และเสียเปรียบกัน 

"เราไปดูต่างประเทศเขา ค่าพลังงาน ค่าแก๊ส ค่าน้ำมันของเขาราคาเท่าไหร่กันตอนนี้ แต่อย่าไปเปรียบเทียบกับประเทศที่มีแหล่งน้ำมันของตัวเอง เราต้องหาจากแหล่งประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมันก็มีค่าการตลาด มันไม่ใช่ว่าถูกเป็นพิเศษ มันไม่ใช่ แต่เราต้องไม่ขาดแคลน และต้องหาพลังงานอื่นมาทดแทน" นายกฯ กล่าว

‘ธีระชัย’ ชี้ ‘เงินดิจิทัลเพื่อไทย’ ควรปรับปรุงอีกหลายด้าน หวั่น!! ผิดธรรมาภิบาล-ข้อมูลการใช้จ่าย 54 ล้านคนรั่วไหล

(18 เม.ย.66) นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล ที่ปรึกษาคณะกรรมการนโยบาย พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) แถลงความเห็นเกี่ยวกับโครงการแจกเงินดิจิทัลวอลเลต 10,000 บาทหรือนโยบายเหรียญดิจิทัลเพื่อไทยว่า เป็นนโยบายที่ไม่สามารถทำได้จริงเนื่องจากเห็นว่าเหรียญดิจิทัลเพื่อไทยที่จะส่งเข้าไปในกระเป๋าตังค์ดิจิทัลนั้นออกแบบให้สามารถใช้ชำระหนี้ระหว่างประชาชนด้วยกันได้ แต่ในเนื้อหาทางเศรษฐกิจและในข้อเท็จจริง เหรียญดิจิทัลเพื่อไทย มีสภาพเป็นเงินตราอย่างหนึ่งซึ่งต้องเข้าบังคับภายใต้พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 

"ผมมีความเห็นว่า ถึงแม้กฎหมายกำหนดว่ายื่นขออนุญาตจากรัฐมนตรีคลังได้ก็ตาม แต่รัฐมนตรีคลังไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้แก่เอกชน เพราะพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2485 บัญญัติให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นองค์กรเดียวที่มีอำนาจและหน้าที่ในการออกเงินตรา" นายธีระชัยกล่าว

นายธีระชัย กล่าวต่อว่า ในเชิงวิชาการจะต้องมีการปรับปรุงแก้ไข ประกอบด้วย โครงการออกแบบให้มีการส่งเหรียญเข้าไปในระบบดิจิตอล โดยระบุว่า เป็นแนวคิดเหมือนกันกับการใช้คูปองจากรัฐบาล โดยมีการแจกคูปองให้กับประชาชนและประชาชนนำไปใช้ซื้อสินค้าหรือบริการ ลักษณะอย่างนี้จะเป็นการใช้รอบเดียว แต่แนวทางในการออกแบบของเหรียญดิจิทัลของพรรคเพื่อไทยเป็นเหรียญที่สามารถนำมาใช้บนชำระหนี้ระหว่างประชาชนด้วยกันได้ 

"ลักษณะของเหรียญเช่นนี้มีถือว่าเป็นการออกเงินตราอย่างหนึ่ง และเมื่อมีสภาพเป็นเงินตราก็จะเข้าบังคับพระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. 2501 ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคและเป็นประเด็นที่ควรจะต้องมีการปรึกษาเพื่อจะหาทางออกให้เรียบร้อยก่อน เพราะในแง่ของกฎหมายระบุเอาไว้ว่า กรณีการออกเงินตราสามารถขออนุญาตจากรัฐมนตรีกระทรวงการคลังได้ก็ตาม แต่ตามความเห็นของผม รัฐมนตรีกระทรวงการคลังที่จะมาอนุญาตให้เอกชนรายใดรายหนึ่งให้ออกเงินตราทำไม่ได้ เพราะพระราชบัญญัติธนาคารแห่งประเทศไทยถูกบัญญัติให้ธนาคารแห่งประเทศไทยมีอำนาจในการออกเงินตราเท่านั้น"


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top