Wednesday, 24 April 2024
Northern

ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย ไล่ล่าข้ามประเทศ ติดตามผู้ต้องหาหลบหนีหมายจับประวัติสุดแสบ 4 ราย จากประเทศเมียนมา

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม 5,พ.ต.อ.เอกกร บุษบาบดินทร์ รอง ผบก.ตม.5,พ.ต.อ.ยศภณ จรรยาสถิต รอง ผบก.อก.สตม.,  พ.ต.อ.เศรษฐภัทร ณ สงขลา ผกก.สส.บก.ตม.5 และ พ.ต.อ.ณัฐวุฒิ แสงเดือน ผกก.ตม.จว.เชียงราย ร่วมแถลงข่าว ดังนี้

ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงราย กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 5 ได้รับการประสานจากกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติดว่ามีผู้ต้องหาสำคัญหลายราย หลบหนีหมายจับคดีเกี่ยวข้องกับยาเสพติด มาหลบซ่อนตัวอยู่ใน เมืองท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา จึงได้ประสานงานหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา และคณะกรรมการชายแดนท้องถิ่นไทย – เมียนมา (แม่สาย-ท่าขี้เหล็ก)

ในการสืบสวนจับกุม โดยนำตำหนิรูปพรรณและข้อมูลประสานการปฏิบัติในการติดตามตัวผู้ต้องหาดังกล่าว ต่อมาได้รับแจ้งจากตรวจคนเข้าเมืองท่าขี้เหล็ก ประเทศเมียนมา ได้จับกุมตัวคนไทย 4 ราย ได้แก่

1.) นายกฤษณะ อายุ 28 ปี

2.) นายอธิปไตย อายุ 38 ปี

3.) นายยุทธนา  อายุ 35 ปี

4.) นายปราการ  อายุ 34 ปี

ในความผิดฐานยาเสพติดและหลบหนีเข้าเมือง โดยได้ดำเนินคดีจนถึงที่สุดเรียบร้อยแล้ว

ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงรายได้ประสานรับมอบตัวผู้ต้องหา ณ บริเวณจุดผ่านแดนถาวรสะพานข้ามแม่น้ำสายแห่งที่ 2 อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จากนั้นได้ทำการตรวจสอบข้อมูลบุคคลในระบบทะเบียนราษฎร์ ระบบสารสนเทศสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(POLIS) และระบบสารสนเทศสถานีตํารวจ(CRIMES) พบว่ามีข้อมูลยืนยันว่าเป็นบุคคลตามหมายจับตามที่ได้ประสานไว้ ดังนี้

1.) นายกฤษณะ  อายุ 28 ปี เป็นบุคคลที่มีหมายจับศาลจังหวัดพิจิตร ที่ จ 146/2559 ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2559 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน“ลักทรัพย์นายจ้าง หรือรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(11),357”

2.) นายอธิปไตย อายุ 38 ปี เป็นบุคคลที่มีหมายจับศาลจังหวัดพะเยา ที่ จ. 182/2553 ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2553 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน“มีเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่” และ หมายจับศาลจังหวัดพัทยา ที่ 308/2552 ลงวันที่ 24 กรกฎาคม 2552 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน“จำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า)โดยไม่ได้รับอนุญาต”

3.) นายยุทธนา อายุ 35 ปี เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดยะลา ที่ 79/2563 ลงวันที่ 9 มีนาคม 2563 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ยักยอกทรัพย์” และ หมายจับศาลจังหวัดนราธิวาส ที่ 115/2563 ลงวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน“พยายามในข้อหาฆ่าผู้อื่น”

4.) นายปราการ อายุ 34 ปี เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ 228/2560  ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2560 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน ไฮโตรคลอไรด์)มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์เกินยี่สิบกรัมขึ้นไปโดยผิดกฎหมายฯ” และ หมายจับศาลจังหวัดนนทบุรี ที่ 310/2560 ลงวันที่ 26 พฤษภาคม 2560 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต”

ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดเชียงรายจึงได้จับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ส่งพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรแม่สาย เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ผู้ต้องหาทั้ง 4 รายเป็นเครือข่ายยาเสพติดที่หลบหนีในรัฐฉาน ประเทศเมียนมา โดยเฉพาะนาย กฤษณะ เป็นหนึ่งในกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดมันทุกเม็ด

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่างๆ ประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และประเทศเพื่อนบ้าน ให้บริการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน รวมทั้งดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสม กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศชาติ

หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด  กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เลขที่ 507 ซ.สวนพลู แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กรุงเทพมหานคร 10120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178  หรือที่ www.immigration.go.th ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูง

เชียงราย ซ้อมรับมือชาวเมียนมา ทะลักข้ามแดนจากสถานการณ์การเมือง

วันที่ 19 มี.ค.64 เจ้าหน้าที่ทหาร หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 กองกำลังผาเมือง นำโดย พันเอก สัมฤทธิ์ ฉัตรวัฒนาสกุล ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3  นายประสงค์ หล้าอ่อน นายอำเภอแม่สาย ร่วมกับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนราชการ หน่วยงาน กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และอาสาสมัครกิจการพลเรือน ในพื้นที่ อ.แม่สาย อ.แม่ฟ้าหลวง อ.แม่จัน จ.เชียงราย ได้จัดการฝึกซ้อมแผน และ การฝึกเฉพาะหน้าที่ ตามแผนการฝึกอพยพพลเรือน ปี 2564 เพื่อรองรับสถานการณ์การข้ามพรมแดนของประชาชนจากประเทศเมียนมา จากสถานการณ์การเมือง

โดยมีการแบ่งหน้าที่ของหน่วยงานต่าง ๆ ตามที่ได้รับมอบหมายเพื่อรับมือกับกลุ่มคนที่อาจจะทะลักเข้ามาจากชายแดนประเทศเมียนมา จำนวนมาก โดยจะต้องมีการคัดกรองโรค ในอันดับแรก เพื่อป้องการแพร่ระบาดของไวรัส โควิด - 19 และการคัดแยกผู้คนตามกลุ่มต่าง ๆ ซึ่งมีทั้ง ประชาชนชาวเมียนมา ประชาชนชาวไทย นักการเมืองชาวเมียนมา และบุคคลสำคัญ ซึ่งจะต้องซักซ้อมในการลำเลียงบุคคลต่าง ๆ ไปยงสถานที่ที่รองรับของแต่ละกลุ่ม

การฝึกซ้อมครั้งนี้เป็นแผนการฝึกซ้อมประจำปี ประกอบกับสถานการณ์การเมืองในประเทศเมียนมา ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ หากเกิดความรุนแรงและมีประชาชนอพยพเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทย จะได้มีความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ และเจ้าหน้าที่แต่ละฝ่าย สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้เป็นไปตามแผนที่ซักซ้อมเอาไว้


ภาพ/ข่าว : ณัฐวัตร ลาพิงค์

เชียงใหม่ เปิดโครงการพัฒนา และฝึกอบรมหลักสูตรผู้ดูแลผู้สูงอายุ สำหรับมัคคุเทศก์ ที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 รุ่นที่ 1

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2564 รองศาสตราจารย์  ดร.ชรินทร์ เตชะพันธ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ให้เกียรติ เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการพัฒนาและฝึกอบรมหลักสูตรผู้ดูแลผู้สูงอายุสำหรับมัคคุเทศก์ ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) รุ่นที่ 1 ระหว่างวันที่ 22 มีนาคม – 2 เมษายน 2564  ณ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธานี แก้วธรรมานุกูล คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมด้วย  แขกผู้มีเกียรติจากหน่วยงานผู้สนับสนุนโครงการ และเครือข่ายพันธมิตร ได้แก่ ผศ. สุรพงษ์ เลิศทัศนีย์ ที่ปรึกษาอาวุโสโครงการเมดิโคโพลิสเชียงใหม่ ภายใต้ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) , นายมานพ แซ่เจีย นายกสมาคมมัคคุเทศก์เชียงใหม่ , นายพัลลภ แซ่จิว ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชียงใหม่ , ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ และสมาคมสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่

รองศาสตราจารย์ ดร.ชรินทร์ เตชะพันธ์ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า เซ็กชั่นที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) มากที่สุดก็คือ เช็กชั่นการท่องเที่ยว กลุ่มมัคคุเทศก์ ซึ่งเดิมมีอาชีพหลักอยู่ก็ทำให้ได้รับผลกระทบในระยะยาว  ยังคิดว่าในระยะ 1 ปียังไม่พลิกฟื้นที่สมบูรณ์ เพราะฉะนั้นจำเป็นที่จะต้องหาทางเลือกในการประกอบอาชีพให้เขา ประกอบกับทาง TCELS  สนับสนุนในเรื่องงบประมาณในการฝึกอบรมการดูแลผู้สูงอายุ ก็มองเป้าหมายมาที่กลุ่มของมัคคุเทศก์ก่อน เพื่อจะบรรเทาความเดือดร้อนจากผลกระทบโควิด 19

และเป็นการเตรียมคน เพราะว่าผู้สูงอายุไม่ได้มีเฉพาะคนไทย รวมถึงถ้าการท่องเที่ยวฟื้นกลับมาแบบสมบูรณ์ กลุ่มตลาดท่องเที่ยวใหญ่ที่ทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มองเป้าไว้ในเรื่องโครงการเมดิโคโพลิส ก็คือ การทำให้เราเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ กลุ่มหนึ่งก็คือเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เป็นผู้สูงอายุ ฉะนั้นก็จะสอดรับกับกลุ่มมัคคุเทศก์ที่เข้ามา ในการรับการฝึกอบรมในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าการท่องเที่ยวฟื้นตัวแล้วเขาไม่ได้ประกอบอาชีพนี้ แต่ท้ายที่สุดมีการท่องเที่ยวของกลุ่มผู้สูงอายุอยู่มัคคุเทศก์ก็สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปที่จะไปดูแลได้  

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ธานี แก้วธรรมานุกูล คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า สืบเนื่องจากการบาดของโรคติดต่อทางเดินหายใจของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ที่ระบาดไปทั่วโลก องค์การอนามัยโลกจึงได้ประกาศให้โรคติดเชื้อดังกล่าวเป็นภาวะฉุกเฉินระดับนานาชาติ (Public health emergency of international concern – PHEIC) ทำให้หลายประเทศออกมาตรการห้ามการเดินทางเข้า - ออกประเทศ โดยเฉพาะนักท่องเทียวจีนซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนสูงสุดที่เดินทางเข้ามาประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างมากเนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นตัวแปรสำคัญในโครงสร้างทางเศรษฐกิจ

โดยในปี พ.ศ. 2563 พบว่า จำนวนนักท่องเที่ยวลดลง ถึง 83.21% ส่งผลให้ผู้ประกอบอาชีพมัคคุเทศก์ในเมืองท่องเที่ยว เช่น จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับผลกระทบ และว่างงานเป็นจำนวนมาก แสดงให้เห็นว่าปัญหาการว่างงานเป็นปัญหาที่สำคัญ และควรบรรเทาความเดือดร้อนของผู้ประกอบอาชีพมัคคุเทศก์อย่างเร่งด่วน เพื่ออุดหนุนให้ผู้ประกอบการและบุคลากรในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทุกภาคส่วนให้สามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในขณะเดียวกันนี้ ประเทศไทยกำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ ในปี พ.ศ. 2564 โดยจะมีประชากรผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป เกินกว่าร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวพบเช่นเดียวกันเกือบทุกประเทศทั่วโลก

คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้รับความไว้วางใจจากศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ของประเทศไทย (Thailand Center of Excellence for Life Sciences – TCELS) , สมาคมมัคคุเทศก์เชียงใหม่, สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชียงใหม่และเครือข่ายพันธมิตร ให้เป็นผู้ดำเนินการจัดโครงการพัฒนาและฝึกอบรมหลักสูตรผู้ดูแลผู้สูงอายุสำหรับมัคคุเทศก์ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) รุ่นที่ 1 ขึ้น เพื่อเพิ่มทักษะความรู้ใหม่ด้านการดูแลผู้สูงอายุให้แก่มัคคุเทศก์ เพื่อแก้ไขปัญหามัคคุเทศก์ผู้ว่างงานอันเนื่องมากจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโคโรนา-19 และเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุโดยบูรณาการความรู้ร่วมกับการให้บริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยผู้เข้าอบรมจะได้เรียนทั้งภาคทฤษฎี/ภาคปฏิบัติ รวมถึงฝึกปฏิบัติภาคสนาม

สำหรับการจัดโครงการพัฒนาและฝึกอบรมในครั้งนี้ มีมัคคุเทศก์เข้าร่วมการอบรมทั้งสิ้น จำนวน 50 คน จากจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน และเชียงราย โดยวิทยากรผู้เชี่ยวชาญด้านการพยาบาลผู้สูงอายุของคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ผศ. สุรพงษ์ เลิศทัศนีย์ ที่ปรึกษาอาวุโสโครงการเมดิโคโพลิสเชียงใหม่ ภายใต้ศูนย์ความเป็นเลิศด้านชีววิทยาศาสตร์ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า TCELS  ได้มาเริ่มโครงการเมดิโคโพลิสที่เชียงใหม่ เมื่อปลายปี 2562“และทราบจากหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ ว่ากลุ่มมัคคุเทศก์ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (COVID-19) ทาง TCELS ก็ได้ไปปรึกษากับทางคณะพยาบาล ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ว่ามีความเป็นไปได้ไหมที่จะอบรมมัคคุเทศก์ให้มีความรู้เบื้องต้นในการดูแลผู้สูงวัยในระดับเบื้องต้น เพื่อที่จะนำความรู้เหล่านี้ไปช่วยในการดูแลผู้สูงวัย และนักท่องเที่ยว เป็นโครงการแรกที่เริ่มทำในปีนี้ และจะมีโครงการต่อๆไปที่ทำร่วมกับหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยเชื่อมโยงการท่องเที่ยวให้เกิดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพขึ้นในจังหวัดเชียงใหม่” 

นายมานพ แซ่เจีย นายกสมาคมมัคคุเทศก์เชียงใหม่ กล่าวว่า เนื่องจากระหว่างที่โรคระบาดโควิด-19 ยังไม่คลี่คลาย และมัคคุเทศก์ก็ยังตกงาน และเพื่อเป็นการให้มัคคุเทศก์ได้เพิ่มทักษะในการดูแลผู้สูงอายุโดยเฉพาะหลังโควิด-19 นักท่องเที่ยวต่างชาติกลับมาท่องเที่ยวที่ประเทศไทย  แล้วมัคคุเทศก์กลับมาทำงาน ก็จะได้ความรู้ ประสบการณ์ ทักษะในการดูแลผู้สูงอายุชาวต่างชาติ ซึ่งจะมีผลในด้านความปลอดภัยในสุขภาพของนักท่องเที่ยวในระหว่างที่มาเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่และประเทศไทยซึ่งมีส่วนสำคัญอย่างยิ่ง

ที่ผ่านมามัคคุเทศก์ก็มีทักษะในการดูแลช่วยเหลือปฐมพยาบาลเบื้องต้นเท่านั้น การอบรมครั้งนี้ก็จะเพิ่มความรู้ให้มัคคุเทศก์ที่สามารถสังเกตและให้ความดูแลนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะผู้สูงอายุชาวต่างชาติเป็นความรู้ที่เราจะสามารถเรียนรู้แล้วไปต่อยอดใช้กับงานด้านมัคคุเทศก์ ทำให้นักท่องเที่ยวมาเที่ยวประเทศไทยแล้วมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น เพราะมัคคุเทศก์ได้ผ่านการอบรมโครงการผู้ดูแลผู้สูงอายุมาแล้ว


ภาพ/ข่าว  วิภาดา เชียงใหม่

เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี เตรียมพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวในเทศกาลสงกรานต์ มั่นใจระบบมาตรการป้องกันโควิด – 19

เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2564 เมื่อเวลา 15.00 น. สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) โดยสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี จัดแถลงข่าว การเตรียมความพร้อมรองรับนักท่องเที่ยวของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยได้รับเกียรติจาก นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการแถลงข่าว ณ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี 

นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เนื่องจากเทศกาลสงกรานต์ในปีนี้ ยังอยู่ในช่วงการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของจังหวัดเชียงใหม่อยู่ในระดับที่ปลอดภัย แต่ก็ยังคงต้องดำเนินการตามมาตรการป้องการการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด ซึ่งเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง โดยการนำกล้องโทรทัศน์วงจรปิด ชนิดตรวจวัดอุณหภูมิความร้อนมาติดตั้งบริเวณทางเข้า เพื่อคัดกรองนักท่องเที่ยวก่อนการเข้าพื้นที่ รวมทั้งการแสกน QR Code ไทยชนะ การติดตั้งจุดบริการแอลกอฮอล์ในทุกพื้นที่รอบบริเวณ ฉีดพ่น และเช็ดถูทำความสะอาดรถให้บริการ และจุดให้บริการต่าง ๆ แก่นักท่องเที่ยว ทุก ๆ 2 ชั่วโมง รวมทั้งการเว้นระยะห่างอย่างน้อย 1 - 2 เมตร และการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยวในการเข้าพื้นที่ โดยจะต้องลงทะเบียนก่อนการเข้าเที่ยวชมทุกครั้ง

โดยการเข้ามาตรวจเยี่ยมพื้นที่ของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีในครั้งนี้ ได้เข้าดูกิจกรรม Behind the zoo และการให้บริการในพื้นที่เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ซึ่งคาดว่าในช่วงเทศกาลวันสงกรานต์นี้จะมีนักท่องเที่ยวให้ความสนใจเข้าเที่ยวชมจำนวนมาก ขอให้นักท่องเที่ยวมั่นใจในมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี และที่สำคัญต้องขอความร่วมมือนักท่องเที่ยวในการลงทะเบียนก่อนการเข้าเที่ยวชม เพื่อเป็นช่วยกันป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด - 19 อีกทางหนึ่ง

และสำหรับการเตรียมความพร้อมการจัดกิจกรรมวันสงกรานต์ของเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีในปีนี้ นอกจากการเน้นย้ำเรื่องมาตรการความปลอดภัยจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 แล้ว ยังเน้นการจัดงานในรูปแบบการสืบสานและอนุรักษ์ประเพณีวัฒนธรรมท้องถิ่นร่วมกับชุมชน ให้นักท่องเที่ยวได้ร่วมเรียนรู้และลงมือทำ ผ่านกิจกรรมการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลวันสงกรานต์ อาทิ การตัดตุง การพับดอกใบเตย การจัดซุ้มสรงน้ำพระ การจัดจุดถ่ายภาพรดน้ำดำหัวตามประเพณีสงกรานต์ลานนา การจัดกาดหมั้วชุมชน เป็นต้น และกิจกรรมอื่นๆ ที่สร้างสีสันการท่องเที่ยว โดยจะจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 9 - 17 เมษายน 2564 นี้

นอกจากนี้ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารีได้ร่วมมือกับสายการบินไทยสมายล์, แอร์เอเชีย, นกแอร์, เวียตเจ็ท และไลอ้อน แอร์ มอบของขวัญพิเศษให้แก่นักท่องเที่ยว กับกิจกรรม “บินลัดฟ้าสู่ล้านนา” ตลอดเดือนเมษายนนี้ ซึ่งในระหว่างวันที่ 1 - 30 เมษายน 2564 มอบส่วนลด 20% และพิเศษสุดสำหรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาในช่วงวันสงกรานต์ ระหว่างวันที่ 10 - 16 เมษายน 2564 ที่เดินทางมากับสายการบินไทยสมายล์, แอร์เอเชีย, นกแอร์, เวียตเจ็ท และไลอ้อน แอร์ เพียงแสดงบัตรโดยสาร หรือ Boarding Pass ที่เดินทางมาจังหวัดเชียงใหม่ ภายใน 7 วัน พร้อมบัตรประชาชน รับส่วนลด 50% ในการเที่ยวชมเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี

และมอบแพ็กเกจ “ราคาเดียวได้เที่ยวได้พัก” ให้แก่นักท่องเที่ยวที่ต้องการมาพักผ่อนและสัมผัสบรรยากาศแบบธรรมชาติ โดยมอบราคาพิเศษที่พักเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี รีสอร์ท ในราคา 999 บาท พร้อมบัตรเข้าชมฯ 2 ท่าน โดยแสดงบัตรโดยสาร หรือ Boarding Pass พร้อมบัตรประชาชน โดยจุดหมายปลายทางในบัตรโดยสารต้องเป็นจังหวัดเชียงใหม่ ภายใน 7 วัน (นับจากวันที่มาถึง) และสงวนสิทธิ์การจองล่วงหน้า

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ได้ที่ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี โทร. 053 - 999000 หรือ Line@ : nightsafari, Facebook: เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี Chiang Mai Night Safari


ภาพ/ข่าว : นภาพร ขัติยะ เชียงใหม่

เชียงราย บวชป่าชุ่มน้ำ อนุรักษ์สู่ระบบนิเวช ผลักดันเข้าสู่แรมซ่าไซ

วันที่ 22 มี.ค.64 ที่ป่าส้มแสง พื้นที่ชุ่มน้ำ บ้านป่าข่า ต.ยางฮอม อ.ขุนตาล จ.เชียงราย นายญาณวุฒิ สุดพิมศรี นายอำเภอขุนตาล  ได้เป็นประธานในพิธีบวชป่าส้มแสง ป่าต้นน้ำแม่น้ำอิง โดยมีนายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา นายกสมาคมแม่น้ำเพื่อชีวิตและผู้ประสานงานเครือข่ายอนุรักษ์แม่น้ำโขงภาค เหนือ  ร่วมกับตัวแทนเครื่อข่ายองค์กรไม่แสวงผลกำไร กลุ่มรักษ์เชียงของ เครื่อข่ายนักอนุรักษ์ นายสุทธิ มะลิทอง รองผู้อำนวยการสถาบันความหลากหลาย มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย รวมไปเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และชาวบ้านบ้านป่าข่า เข้าร่วมพิธีบวชป่าในครั้งนี้

สำหรับป่าชุ่มน้ำป่าข่า เป็นป่าที่มีความพิเศษที่มีต้นชุมแสงหรือ ส้มแสง ขนาดใหญ่ ที่เป็นต้นไม้โตช้า โดยอายุกว่า 300 ปี ถือว่าเป็นวิสัยทัศน์กว้างไกล ที่ไม่เคยเห็นที่อื่น ถือว่าที่นี่เป็นที่เดียวของประเทศไทยและโซนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เป็นพื้นที่ที่มีน้ำท่วม 1-3 เดือน มีต้นไม้อยู่ไม่กี่ประเภทที่อยู่ได้ โดย 1 ในนั้นคือต้นชุมแสง ปกติมักเจอในป่ากแม่น้ำขนาดใหญ่ ที่อยู่ใกล้แม่น้ำโขง เมื่อน้ำเอ่อขึ้นมา ซึ่งป่าชุมน้ำอิงมีพันธุ์พืช 60 - 70 ชนิด ส่วนสัตว์มีมากกว่า 200 ชนิด ช่วงนี้ชุมแสงกำลังออกออก เดือนเมษายนจะมีผล เมื่อตกลงมาจะกลายเป็นอาหารปลาและสัตว์ป่ารวมถึงนก กลายเป็นระบบนิเวศซับซ้อนและเป็นอัตลักษณ์

นายสุทธิ มะลิทอง รองผู้อำนวยการสถาบันความหลากหลาย มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย กล่าวว่า ป่าบ้านป่าข่าเป็นป่าน้ำท่วมตามฤดูกาล มีน้ำเข้ามาท่วม 1-3 เดือนฤดูฝน มีต้นไม่ไม่กี่ชนิดอยู่ได้ มีต้นชุมแสง ต้นข่อย ที่ทนทานสภาวะการถูกน้ำท่วม ป่าพวกนี้เป็นป่าริมน้ำคอยดักจับตะกอน และเวลาใกล้ปากแม่น้ำเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ แม่น้ำอิงติดต่อแม่น้ำโขง ทำให้ปลาน้ำโขงเข้าแม่น้ำอิงและป่าเหล่านี้เป็นที่อยู่อาศัย แพร่พันธุ์ของปลา

"ป่าชุมแสงหรือส้มแสง เป็นป่าที่ทนทานและโตช้า ในป่าแห่งนี้มีอายุมายาวนาน กว่า 300 ปีถือว่าสุดยอดที่เป็นวิสัยทัศนของคนในชุมชน จริง ๆ ต้นชุมแสงมีการกระจายตัวอยู่ทุกภาค แต่การเป็นป่าผืนใหญ่มีไม่เยอะ ที่นี่เป็นจุดใหญ่ ต้นชุมแสงขนาดใหญ่ เป็นอัตลักษณ์เฉพาะเรา หาป่าชุมแสงแบบนี้จากที่อื่นไม่มีแล้ว” รองผู้อำนวยการสถาบันความหลากหลาย มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย  กล่าว

ในส่วนของภาครัฐนั้นหากยกระดับเป็นพื้นที่ชุมน้ำนานาชาติได้ ก็ได้รับการสนับสนุนจากแรมซ่าไซ ชุมชนอนุรักษ์ป่าอยู่แล้ว รัฐบาลไม่ต้องทำอะไรมาก แค่เป็นกลาง รับฟังความต้องการของชุมชน ยึดในเรื่องความสำคัญของพื้นที่ชุ่มน้ำ และกฎหมายรองรับควรมีความชัดเจนมากขึ้นไม่ใข่แค่มติครม.


ภาพ/ข่าว : ณัฐวัตร ลาพิงค์

สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดลำพูน จัดโครงการเสริมสร้างความโปร่งใสในการจัดซื้อ-จัดจ้าง ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ที่ โรงแรม กัชชัน พาโนรามา กอล์ฟ คลับ อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน นายวรยุทธ เนาวรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน เป็นประธานเปิดโครงการเสริมสร้างความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้าง ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดลำพูน  จัดโดย สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดลำพูน  โดยมีนางสาววิศรา รัตนสมัย  ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดลำพูน   กล่าวรายงาน  มีนายชาตรี กิตติธนดิตถ์  ปลัดจังหวัดลำพูน หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงาน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานหน่วยงานขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น 58 หน่วยงาน และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง  จำนวน 140 คน  เข้าร่วมโครงการ

สืบเนื่องจากสภาพปัญหาการกระทำความผิดและเรื่องร้องเรียนที่ สำนักงาน ป.ป.ช. รับไว้ดำเนินการในปีที่ผ่านมา พบว่าในระดับประเทศและระดับจังหวัด จากข้อมูล สถิติเรื่องกล่าวหาที่สำนักงาน ป.ป.ช. รับไว้ดำเนินการในปี พ.ศ. 2563 ปรากฏว่าการกระทำความผิดมีสัดส่วนสูงที่สุด 2 อันดับแรก คือ 1. การจัดซื้อจัดจ้าง จำนวน  1,199 เรื่อง    2. ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จำนวน 1,024  เรื่อง โดยพบว่า จำนวน เรื่องร้องเรียนกล่าวหาเกี่ยวกับการกระทำความผิดการจัด จัดจ้างสูงเป็นลำดับที่ 1 ดังกล่าว หน่วยงานที่ถูกร้องเรียนกล่าวหา เป็นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นถึง 2,212 เรื่อง คิดเป็นสัดส่วน 1 ใน 3 ของเรื่องร้องเรียนกล่าวหาทั้งหมด

สำนักงาน ปปช. ประจำจังหวัดลำพูน จึงได้จัดโครงการดังกล่าวขึ้น โดยมีการเสวนา แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และการให้ความรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560  และประเด็นปัญหาด้านพัสดุ ในเพื่อสร้างความตระหนักและความเข้าใจให้แก่ผู้บริหาร และข้าราชการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานเกี่ยวข้องในพื้นที่จังหวัดลำพูน ในการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างด้วยความถูกต้องโปร่งใส อันเป็นการลดปัญหาการกระทำความผิดเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว ตลอดจนส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีการบริหารงานด้วยหลักธรรมาภิบาล เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน  ต่อไป

ภาพ/ข่าว  นายคมศักดิ์  หล่อเถิน

ราษฎรเมียนมาอพยพหลบหนีเข้าเขตไทยด้านอำเภอแม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน

โดยเมื่อ 28 มี.ค.2564  ได้ มีราษฎรเมียนมาเชื้อสายกะเหรี่ยงจากฝั่ง สหภาพเมียนมา ได้หลบหนีการสู้รบข้ามมายังฝั่งไทย ด้านอำเภอแม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน จำนวน  3 จุด รวมจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 1,900 คน ได้แก่

       1. จากพื้นที่ บ.เอเค อ.บือโส๊ะ จ.มือตรอ (จังหวัดจัดตั้ง KNU) รัฐกะเหรี่ยง ด้านตรงข้ามฝั่งไทย บริเวณ ฐานฯออเลาะ ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน โดยเข้าพักอาศัยบริเวณ ฝั่งไทย  ประมาณ 300 คน

       2.  จากพื้นที่ควบคุมผู้พลัดถิ่นภายในประเทศเมียนมา ห้วยอูแวโกร ด้านตรงข้ามฝั่งไทยบริเวณ บ.แม่ดึ ต.แม่คง อ.แม่สะเรียงฯ โดยเข้าพักอาศัยบริเวณ พิกัด  ประมาณ 300 คน

       3. จากพื้นที่ควบคุมผู้พลัดถิ่นภายในประเทศเมียนมา ห้วยอีทูโกร ด้านตรงข้ามฝั่งไทยบริเวณ ฐานฯ แม่สะเกิบ บ.ห้วยกองแป ต.แม่คง อ.แม่สะเรียงฯ   โดยเข้าพักอาศัยบริเวณ   ห้วยอุมปะ ประมาณ 1,300 คน

       ทั้งนี้ เนื่องจากมีกระแสข่าวว่า ทมม. จะปฏิบัติการตอบโต้ โจมตีทางอากาศพื้นที่ควบคุม กองกำลังKNLA พล.น้อย  5 ของกลุ่ม KNU อีกทำให้ราษฎรหวาดกลัวและวิตกกังวลต่อความปลอดภัย จึงได้พากันอพยพหลบหนีเข้ามายังฝั่งไทย

นายสิธิชัย จินดาหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยถึงสถานการณ์เกี่ยวกับผู้อพยพ ฯ ว่า สถานการณ์ในประเทศพม่า ได้เริ่มรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีผู้อพยพ หลบหนีเข้ามาอาศัยในไทย ล่าสุด จำนวน 2,194 คน และคาดว่าน่าจะมีการหลบหนีเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามในตอนนี้ ทางจังหวัดจะต้องรอคำสั่งจากรัฐบาลในเรื่องการเข้าไปดูแลผู้ลี้ภัยกลุ่มดังกล่าว ซึ่งได้มีการวางแผนเตรียมพื้นที่รองรับไว้แล้ว ที่อำเภอขุนยวม แต่เป็นพื้นที่คนละจุดกัน ซึ่งตอนนี้ผู้อพยพดังกล่าว ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารพราน จากกรมทหารพรานที่ 36 แม่สะเรียง จัดกำลังเข้าไปควบคุมดูแลในเบื้องต้นแล้ว

ภาพ/ข่าว เกียรติศักดิ์  รักสัตย์ (ผู้สื่อข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน)

ทหารพราน เริ่มทยอยส่งกลับผู้อพยพแล้วบางส่วน โดยห้ามสื่อมวลชนเข้าพื้นที่

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2564 มีรายงานข่าวว่า ชาวบ้านจากรัฐกะเหรี่ยง จำนวน 76 คน ได้อพยพมายังฝั่งไทย ก่อนถึงบ้านท่าตาฝั่ง ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน โดยมี 16 ครอบครัว เป็นชาย 46 คน ผู้หญิง 30 คน ซึ่งเป็นเด็ก 15 คน  โดยทั้งหมดข้ามแม่น้ำสาละวิน มาถึงเวลาประมาณ 15.00 น.ของวันที่ 29 มีนาคม และเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติสาละวิน และผู้ใหญ่บ้าน เข้าไปตรวจสอบ โดยให้พักอยู่บริเวณจุดพักริมน้ำสาละวิน และมี อสม.เข้าไปคัดกรองโควิด-19 และจัดโซนที่พักอาศัยที่ปลอดภัยให้ไว้ชั่วคราว ก่อนมีนโยบายว่าดำเนินการอย่างไร

บรรดาสื่อมวลชนหลายสำนัก ทั้งสื่อไทยและต่างประเทศ ได้ลงพื้นที่เพื่อเข้าหาข้อเท็จจริงในจุดที่ชาวบ้านอพยพเข้ามาซึ่งต้องเดินทางโดยรถยนต์ผ่านบ้านแม่สามแลบ แต่ทหารพราน ทพ.36 ที่จุดตรวจบ้านแม่สามแลบ ไม่ให้สื่อมวลชนหรือบุคคลภายนอกเข้าไปในพื้นที่ โดยให้เหตุผลว่ายังมีสถานการณ์ความมั่นคงและสถานการณ์โควิด-19 ที่ยังมีการปิดสถานที่ท่องเที่ยว จึงไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าไปได้ รวมทั้งมีคำสั่งจากผู้บริหารระดับสูงยังไม่ให้เข้าไปในพื้นที่ ทำให้บรรดาสื่อมวลชนต้องนั่งรอกันอยู่ที่บ้านแม่สามแลบ

มีรายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับสถานการณ์ผู้อพยพจากค่ายอิตูท่า ที่อพยพมายังฝั่งไทย ที่ห้วยแม่สะเกิบ และสบเแงะ ตั้งแต่วันที่ 27-28 มีนาคม จำนวนกว่า 3,000 คน และได้มีการผลักดันกลับไปฝั่งศูนย์พักพิงอิตูท่า รัฐกะเหรี่ยง ตั้งแต่เย็นวันที่ 29 มีนาคมนั้น ในช่วงเข้าวันนี้ยังคงมีการผลักดันชาวบ้านกลับอย่างต่อเนื่อง โดยผู้อพยพได้ถ่ายภาพยืนยันการถูกบังคับส่งกลับไว้ โดยกลุ่มผู้อพยพที่จุดสบแงะ จำนวนกว่า 300 คน ได้กลับไปยังศูนย์พักพิงอูแวโกลเมื่อเช้านี้ ส่วนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอิตูท่า ได้ทยอยกลับไปเช่นกัน ในขณะที่เมื่อคืนกลุ่มที่กลับไปแล้ว ไม่กล้านอนในบ้าน เพราะยังหวาดกลัวเสียงระเบิดจากการโจมตีทางอากาศ จึงไปหลบอยู่ในป่ารอบ

ข่าวแจ้งว่า นอกจากนี้ยังมีผู้บาดเจ็บจากการถูกโจมตีของทหารพม่า ที่หมู่บ้านเดปุนุ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกองพล 5 KNU จำนวน 6 คน ตั้งแต่คืนวันที่ 27 มีนาคม ได้เดินทางมาถึงที่บ้านแม่นือท่า ริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน แล้ว กำลังขออนุญาตทหารไทย ล่องเรือในแม่น้ำสาละวิน เพื่อนำตัวมารักษาที่โรงพยาบาลในฝั่งไทย โดยล่าสุด มีผู้ลี้ภัยที่ถูกกับระเบิด ได้รับบาดเจ็บเพิ่มอีก 1 คน รวมเป็น 7 คน กำลังประสานขอความช่วยเหลือในการนำมารักษาที่ฝั่งไทย ซึ่งมีสถานพยาบาลใกล้ที่สุด คือที่ โรงพยาบาลส่งเสริมส่วนตำบลแม่สามแลบ และมีท่าเรือนำส่ง และได้มีการประสานงานเพื่อขอความช่วยเหลือทางสาธารณสุขมาแล้ว

 


ภาพ/ข่าว  เกียรติศักดิ์  รักสัตย์ (ผู้สื่อข่าวภูมิภาคประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน CR.ข้อมูล – ภาพจากสำนักข่าวชายขอบ)

จับตาการเปิด 5 จุดผ่อนปรน การค้าชายแดนไทย-เมียนมาแม่ฮ่องสอน เพื่อบรรเทาผลกระทบ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าชายแดนฯ แต่ยังไม่อนุญาตให้บุคคลข้ามแดน

นายสิธิชัย จินดาหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ลงนามในคำสั่งจังหวัดแม่ฮ่องสอน เพื่อเปิดการใช้ช่องทาง ณ จุดผ่อนปรนการค้า หลังปิดไปตั้งแต่ 1 พ.ย. 63 เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งทำให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างมาก โดยผู้ว่าราชการได้ประชุมร่วมกับคณะกรรมการโรคติดต่อ จ.แม่ฮ่องสอน และคณะกรรมการศูนย์สั่งการชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านด้านเมียนมา จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อหารือแนวทางในการเปิดจุดผ่อนปรนการค้า โดยในคำสั่งฉบับดังกล่าวได้อนุญาตให้มีการเปิดการใช้ช่องทาง ณ จุดผ่อนปรนการค้า เพื่อบรรเทาผลกระทบ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจการค้าชายแดนฯ โดยจะมีผลตั้งแต่วันนี้  1 เม.ย. 64 เป็นต้นไป ประกอบไปด้วย

1.) จุดผ่อนปรนการค้าช่องทางห้วยต้นนุ่นหมู่ที่ 4 ตำบลแม่เงา อำเภอขุนยวม

2.) จุดผ่อนปรนการค้าช่องทางบ้านเสาหิน หมู่ที่ 6  ตำบลเสาหิน อำเภอแม่สะเรียง

3.) จุดผ่อนปรนการค้าของทางบ้านแม่สามแลบหมู่ที่ 9 ตำบลแม่สามแลบ อำเภอสบเมย

4.) จุดผ่อนปรนการค้าของทางบ้านห้วยผึ้ง หมู่ที่ 3 ตำบลห้วยผา อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน

5.) จุดผ่อนปรนการค้าช่องทางบ้านน้ำเพียงดิน หมู่ที่ 3 ตำบลผาบ่อง อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน

ทั้งนี้  ให้ขนส่งเฉพาะการนำเข้า - ส่งออกสินค้าบริเวณจุดผ่อนปรนที่กำหนดเท่านั้น ยังไม่อนุญาตให้มีการเดินทางเข้า-ออก ของบุคคลทั้งชาวไทยและชาวเมียนมาผ่านช่องทางจุดผ่อนปรนการค้าทุกแห่งรวมทั้งช่องทางธรรมชาติ สินค้าทั่วไปอุปโภค บริโภค ผู้ประกอบการจะต้องยื่นคำร้องต่อศุลกากร โดยให้ศุลกากรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมตรวจสินค้าเข้าออก ส่วนสินค้าเกี่ยวกับความมั่นคง และสินค้าที่นอกเหนือจากสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปให้ผู้ประกอบการยื่นคำร้องต่อศุลกากร และให้แจ้งเรื่องมายังศูนย์สั่งการชายแดนเพื่อพิจารณาประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกฎหมายและ  ให้ปฏิบัติตามมาตรการในการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาโควิด-19 อย่างเคร่งครัด


ภาพ/ข่าว  สุกัลยา / ถาวร   (อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน) 

กลุ่มกะเหรี่ยงในไทย KTG เปิดรับบริจาค สิ่งของช่วยเหลือผู้หนีภัยสงครามเมียนมา

ระบุ ผู้หนีภัยสงครามส่วนใหญ่ไม่กล้ากลับเข้าบ้าน อาศัยหลบซ่อนในป่า ขาดแคลนเสบียง  ขณะที่สถานการณ์ชายแดนวันนี้ยังเงียบสงบไม่มีผู้อพยพข้ามมาแต่อย่างใด

ณ บ้านคะปวง ต.แม่ยวม อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน  น้องฟ้า ซึ่งเป็นผู้ดูแลรับสิ่งของบริจาคศูนย์ KTG ในพื้นที่ อ.แม่สะเรียง  ตัวแทน กลุ่มกระเหรี่ยงในประเทศไทย หรือ KTG  (Karen Thai Group) กำลังทำการรวบรวมสิ่งของบริจาคที่ได้จากพี่น้องกะเหรี่ยง และ ประชาชนไทย ในประเทศไทย ซี่งส่วนใหญ่เป็นข้าวสาร อาหารแห้ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำดื่ม เสื้อผ้า และ  ผ้าใบสีฟ้า  ของใช้ยามหน้าฝน เช่น ผ้าใบกันฝน ซึ่งถ้าสถานการณ์ยึดเยื้อ พี่น้องที่หลบหนีกลางป่าจะได้มีที่พักพิงหลบฝนได้  โดยสิ่งของบริจาคได้ทยอยส่งมาอย่างต่อเนื่อง  ในวันนี้มีสิ่งของบริจาค ส่งมาจาก อ.แม่สอด จ.ตาก และ กลุ่มสตรีชาติพันธ์แม่สวด รวมกันส่งสิ่งของมากับรถโดยสาร จำนวน 5 คัน  ซึ่งเจ้าหน้าที่ KTG ระบุว่า พี่น้องชาวกะเหรี่ยงที่ได้รับผลกระทบจากภัยสู้รบเมียนมา ยังต้องการของบริจาคอีกเป็นจำนวนมาก เนื่องจากผู้หนีภัยสงครามส่วนใหญ่ไม่ได้กลับไปอยู่บ้านเรือนที่อยู่อาศัย แต่ยังคงอาศัยหลับนอนตามป่า ตามเขา เนื่องจากยังหวาดกลัวภัยสงคราม

โดยสิ่งของรับบริจาคส่วนใหญ่ ประกอบไปด้วย ข้าวสาร อาหารแห้ง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป น้ำดื่ม ยารักษาโรค และของใช้ยามหน้าฝน เช่น ผ้าใบกันฝน ซึ่งถ้าสถานการณ์ยึดเยื้อ พี่น้องที่หลบหนีกลางป่าจะได้มีที่พักพิงหลบฝนได้

ทั้งนี้  จากเหตุการณ์สู้รบที่เกิดขึ้นในฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ส่งผลให้ประชาชน  เด็ก  ผู้หญิงและคนชราต้องทิ้งบ้านเรือนหนีภัยสงคราม แม้ต้องเดินทางกลับภูมิลำเนา แต่บางส่วนไม่กล้ากลับเข้าไปอยู่ตามบ้านเรือนที่อยู่อาศัยเดิม ยังคงหลบหนีซ่อนตัวอยู่ตามป่า และ เริ่มไม่มีเสบียง ทั้งนี้กลุ่มเครือข่ายกะเหรี่ยงในประเทศไทยจะดำเนินการขออนุญาตทางหน่วยงานรัฐในการดำเนินการส่งของออกไปช่วยเหลือพี่น้องชาวกะเหรี่ยงอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากยังไม่สามารถดำเนินการส่งของไปช่วยเหลือได้ ก็จะรวบรวมไว้ก่อนจนกว่าสถานการณ์จะปกติ หรือ จนกว่า ทางการไทยอนุญาตให้ส่งออกได้เท่านั้น


ภาพ/ข่าว  สุกัลยา  / ถาวร (อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน) 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top