Monday, 6 May 2024
Northern

เชียงราย - ทหารกองกำลังผาเมืองลาดตระเวณชายแดน พบถุงใส่ยาบ้า 7 พันเม็ด ซุกอยู่ในพงหญ้า

เวลา 10.30 น.วันที่ 5 พ.ค.6 ทหารจากกองร้อยทหารม้าที่ 4 บก.ควบคุมที่ 2 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารม้าที่ 3 กองกำลังผาเมือง ภายใต้การอำนวยการของ พ.อ.สัมฤทธิ์ ฉัตรวัฒนาสกุล ผู้บังคับกรมทหารม้าที่ 3 กองกำลังผาเมือง นำโดย ร.ท.อลงกร ปั๋นหน่อ ผบ.ร้อย ม.4 ฉก.ม.3 ได้จัดกำลังพลจำนวน 5 นาย ลาดตระเวณในพื้นที่รับผิดชอบ ที่บ้านปางห้า ต.เกาะช้าง จ.เชียงราย 

โดยได้ทำการลาดตระเวนในพื้นที่รับผิดชอบ ท่าข้ามหลงยาโบ บ้านปางห้า หมู่ที่ 1 ต.เกาะช้าง อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตรวจพบถุงต้องสงสัยซุกซ่อนอยูในพงหญ้า จึงทำการตรวจสอบภายในถุงดังกล่าว พบว่าภายในมียาบ้าบรรจุอยู่ เมื่อนำออกมานับพบว่ามีประมาณ  7,000 เม็ด  จึงได้ทำบันทึกตรวจยึดและนำส่ง พนักงานสอบสวน สภ.เกาะช้างเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป


ภาพ/ข่าว  ณัฐวัตร ลาพิงค์

ลำพูน - อบจ.ลำพูน พร้อมด้วย ตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน MOU สร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน

การทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการรักษาความสงบเรียบร้อย การรักษาความปลอดภัยของประชาชนในท้องถิ่น และชุมชน ระหว่าง ตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน และ องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน ประจำปี 2564

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน(อบจ.ลำพูน) ร่วมกับ ตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน  นำโดย นายอนุสรณ์ วงศ์วรรณ นายก อบจ.ลำพูน พร้อมด้วย พลตำรวจตรี นฤชิต เนียวกุล ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงในการส่งเสริมสนับสนุนและประสานงาน เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการรักษาความสงบเรียบร้อย และการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน พร้อมสนับสนุนนโยบาย แผนงาน โครงการ งบประมาณ และอาสาสมัคร วัสดุอุปกรณ์ เพื่อการรักษาความปลอดภัยของประชาชน ภายใต้ขอบอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือหนังสือสั่งการต่าง ๆ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  ตามกฎหมายระเบียบข้อบังคับ หรือหนังสือสั่งการของกระทรวงมหาดไทย

ทั้งนี้ ทั้งสองหน่วยงานจะได้ประสานความร่วมมือในการบูรณาการสนับสนุนดำเนินการตลอดจนติดตาม ประเมินผลการดำเนินงาน ตามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยอยู่ภายใต้ภารกิจ อำนาจหน้าที่ และไม่ขัดต่อข้อระเบียบ กฎหมาย และหลักศีลธรรมตลอดไป

บันทึกข้อตกลงว่าด้วย ความร่วมมือในการรักษาความสงบเรียบร้อย การรักษาความปลอดภัยของประชาชนในท้องถิ่นและชุมชน ระหว่าง ตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน และ องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน บันทึกข้อตกลงความร่วมมือฉบับนี้ ทำขึ้นระหว่าง ตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน และ องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน(อบจ.ลำพูน) เพื่อสร้างนวัตรกรรมที่สามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นภายใต้ยุทธศาสตร์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 20 ปี ( พ.ศ.2563 - 2580 ) ยุทธศาสตร์ที่ 3 การมีส่วนร่วมของประชาชนในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมอย่างยั่งยืน ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยการส่งเสริมให้ประชาชน ชุมชน ท้องถิ่น และองค์กรมีส่วนร่วมในกิจการตำรวจ พ.ศ.2551 และระเบียบคณะกรรมการนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ส.ต.ช.) ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการจัดระบบการบริหาร การปฏิบัติงานต้านการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา การรักษาความสงบเรียบร้อย และการรักษาความปลอตภัยของประชาชนให้เหมาะสมกับความต้องการของแต่ละท้องถิ่นและชุมชน พ.ศ.2559

โดยมุ่งเน้นให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด และ หัวหน้าสถานีตำรวจทุกหน่วยประสานงานกับผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับนโยบาย แผนงาน โครงการ งบประมาณ และอาสาสมัคร ตลอดจนการติดตามตรวจสอบการปฏิบัติงานของตำรวจ เพื่อเป็นการขับเคลื่อนการพัฒนาจังหวัดลำพูน และการส่งเสริมสนับสนุนและ

ประสานการดำเนินงานให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์แห่งบทบัญญัติดังกล่าวอย่างยั่งยืนต่อไปทั้งสองฝ่ายจึงตกลงความร่วมมือ ดังนี้

1. องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน จะส่งเสริมสนับสนุนและประสานงาน เพื่อให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการรักษาความสงบเรียบร้อยและการรักษาความปลอดภัยของประชาชน ให้มีประสิทธิภาพและเหมาะสมกับความต้องการของแต่ละท้องถิ่นและชุมชน ให้คำแนะนำ กำหนดหลักเกณฑ์

วิธีปฏิบัติสำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการสนับสนุนนโยบาย แผนงาน โครงการ งบประมาณ และอาสาสมัคร วัสดุ อุปกรณ์ เพื่อการรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชน ภายใต้ขอบอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือหนังสือสั่งการต่งๆ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

2. ตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน จะดำเนินการควบคุม และกำกับดูแลให้หน่วยงานในสังกัดปฏิบัติภารกิจค้านการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางอาญา การรักษาความสงบเรียบร้อย และการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้เหมาะสมกับความต้องการแต่ละท้องถิ่นและชุมชน โตยเปิดโอกาสให้องค์การบริหารส่วนจังหวัดลำพูน ได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นในเรื่อง นโยบาย แผนงาน หรือ โครงการให้เกิดผลสำเร็จภายใต้ชอบอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ หรือหนังสือสั่งการต่าง ๆ ของตำรวจภูธรจังหวัดลำพูน

ทั้งนี้ ทั้งสองหน่วยงานจะประสานความร่วมมือระหว่างกัน และจะสนับสนุนการดำเนินงาน ตลอดจนติดตามผล ประเมินผลการดำเนินงาน ตามบันทึกข้อตกลงว่าด้วยความร่วมมือให้เกิตประโยชน์สูงสุดทุกระยะ การประสานความร่วมมือและสนับสนุน โดยให้อยู่ภายใต้ภารกิจ อำนาจหน้าที่ และไม่ขัดต่อข้อระเบียบ

กฎหมาย และหลักศีลธรรมอันดีตลอดไป บันทึกข้อตกลงความร่วมมือนี้ จัดทำขึ้นจำนวน 6 ฉบับ มีข้อความถูกต้องตรงกัน ทุกฝ่ายได้อ่านทำความเข้าใจขัอความ ข้อตกลงโดยละเอียดแล้ว จึงได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นสำคัญ ต่อหน้าพยาน ให้ยึดถือโดยบันทึกข้อตกลงที่ได้ลงนามแล้วนี้ ไว้ฝ่ายละ 1 ฉบับ และจะมีผลผูกพันในการปฏิบัติร่วมกัน นับตั้งแต่วันที่ลงนาม (6 พ.ค. 64) เป็นต้นไป


ภาพ/ข่าว  กรรณิการ์  วิจิตรสกลการ ผู้สื่อข่าวภูมิภาคจังหวัดลำพูน

เชียงใหม่ - เซเว่น อีเลฟเว่น ซีพีเอฟ ส่งมอบอาหารและครุภัณฑ์ทางการแพทย์ ให้โรงพยาบาลสนามในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ป้องกันโควิด-19 ต่อเนื่อง

บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเซเว่น อีเลฟเว่น และเซเว่น เดลิเวอรี่ ร่วมกับ บริษัทเจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอฟ เร่งเดินหน้าโครงการ “ซีพีร้อยเรียงใจ สู้ภัยโควิด-19”ตามนโยบายเครือเจริญโภคภัณฑ์ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยคนไทยก้าวผ่านวิกฤตโควิด-19 ได้ในเร็ววัน

ล่าสุดในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ นายบวรเวทย์ ตันตรานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชอยส์ มินิสโตร์ จำกัด ผู้บริหารร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ในพื้นที่ ส่งมอบแอลกอฮอลล์ทำความสะอาด, หน้ากากอนามัยและน้ำดื่ม ตามโครงการ “คนไทยไม่ทิ้งกัน” ของเซเว่น อีเลฟเว่น พร้อมด้วย ผู้แทนซีพีเอฟ ร่วมส่งมอบอาหารปลอดภัย ในโครงการ "CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19" ภายใต้ “ซีพี ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด” โดยมี นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เป็นผู้รับมอบ

อีกทั้งยังได้ส่งมอบครุภัณฑ์ทางการแพทย์และเครื่องอุปโภค บริโภค ให้กับ นพ.ยุทธศาสตร์ จันทร์ทิพย์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสันทราย, นายวริช ไกยสิทธิ์ และ นายนพดล นวนพนัส ปลัดอำเภอสันทราย จ.เชียงใหม่ พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ ดร.นายแพทย์พงษ์รักษ์ ศรีบัณฑิตมงคล รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมรับมอบ เพื่อนำไปสนับสนุนการปฎิบัติงานของเจ้าหน้าที่รวมทั้งบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่ของโรงพยาบาลสนามในจังหวัดเชียงใหม่ ต่อไป

สำหรับ โครงการ “คนไทยไม่ทิ้งกัน” ของเซเว่น อีเลฟเว่น เป็นการส่งมอบครุภัณฑ์ทางการแพทย์และน้ำดื่ม เพื่อสนับสนุนภารกิจในการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ที่ปฎิบัติหน้าที่ที่โรงพยาบาลสนามทั่วประเทศ โดยบริษัทยังเดินหน้าประสานความร่วมมือผ่านทางมหาเถรสมาคม เพื่อน้อมถวายเครื่องวัดอุณหภูมิและแอลกอฮอล์ให้กับวัด พระสงฆ์ สามเณร และทยอยมอบของใช้ที่จำเป็นในการดำรงชีวิตให้กับผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาสกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตามปณิธานองค์กรของซีพี ออลล์ “ร่วมสร้างสรรค์และแบ่งปันโอกาสให้ทุกคน” ต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ผลิตภัณฑ์อาหารปลอดภัยทั้งหมดภายใต้ โครงการ “CPF ส่งอาหารจากใจ ร่วมต้านภัยโควิด-19" ซึ่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่การระบาดครั้งแรก จะส่งตรงถึงโรงพยาบาลสนาม โดยทีมโลจิสติกของซีพีเอฟ ประกอบด้วยอาหารสำเร็จรูปพร้อมรับประทานหลากหลายเมนู อาทิ เกี๊ยวกุ้ง, ข้าวอบธัญพืชและไก่, สปาเก็ตตี้คาโบนาร่าและราเมนโฮลวีตผัดขี้เมาไก่ เป็นต้น

ชัยนาท - พระห่วงใยชาวบ้าน ร่วมเจาะบ่อบาดาลช่วยเหลือชาวบ้าน บรรเทาความเดือดร้อนจากภัยแล้ง

ท่านเจ้าคุณพระสุธีวราภรณ์ เจ้าคณะจังหวัดชัยนาทพระมงคลกิจโกศล เป็นประธานดำเนินงานรวมน้ำใจต้านภัยแล้ง พร้อมด้วยคณะสงฆ์จังหวัดชัยนาท พันเอกจิตต์เทพ ภาพันธ์ กอรมน.นายกชัชธรรม ครุธพันธุ์  สจ.นาวิน พยัคมาก พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมโครงการเจาะบ่อบาดาลช่วยเหลือชาวบ้านในครั้งนี้ ณ หมู่บ้านร่มโพธิ์ หมู่ 11 ต.วังตะเคียน อ.หนองมะโมง จ.ชัยนาท ที่ขาดแคลนน้ำใช้ จำนวน 45-50 ครัวเรือน โดยใช้ความลึกที่ 62 เมตร รวมแล้วจะได้น้ำใช้อยู่ที่ 6 ลูกบาศก์เมตร หรือ 6 คิว ต่อชั่วโมง

เนื่องด้วยจังหวัดชัยนาทเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง จนทำให้เกษตรกรไร่นาขาดน้ำจนไม่สามารถเพาะปลูกได้ บางรายต้องออกไปหางานอื่นทดแทน ทั้งนี้จึงได้เห็นความสำคัญของชาวบ้านและชาวเกษตกร ชาวไร่ชาวนา ที่ยังขาดแคลนน้ำใช้ในชีวิตประจำวัน ทั้งอุปโภค บริโภค ในหมู่ 11 บ้านร่มโพธิ์ ต.วังตะเคียน อ.หนองมะโมง จ.ชัยนาท จึงได้เข้าช่วยเหลือชาวบ้านในครั้ง เนื่องจากชาวบ้านยังขาดแคลนเรื่องปัจจัย และช่วงนี้อยู่ในสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID 19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อชาวบ้านในเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้อง และความเป็นอยู่ ทั้งนี้ หากใครมีจิตศรัทธาอยากร่วมบริจาคเพื่อเจาะบ่อบาดาลช่วยชาวบ้าน สามารถโทรเบอร์ 091-7426994 หรือโอนได้ที่ธนาคารกรุงไทย ชัยนาท 106-055-1020


ภาพ/ข่าว  ภาวิณี ศรีอนันต์ รายงาน จังหวัดชัยนาท

เชียงราย – UN ช่วยเหลือชาวบ้านไร้สถานะทางทะเบียน ที่ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาล พ้นภัยโควิด

ที่บ้าน เฮโก  ต.ป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงราย นายไกรทอง เหง้าน้อย  ผู้จัดการโครงการเสริมสร้างศักยภาพกลุ่มคนไร้สัญชาติที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด19 โดยมูลนิธิพัฒนาชุมชน และเขตภูเขา(พชภ.)  นายสมเกียรติ เขื่อนเชียงสา ที่ปรึกษาโครงการฯ  ได้ลงพื้นที่ติดตามโครงการ เสริมสร้างศักยภาพกลุ่มคนไร้สัญชาติที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด19  โดยกลุ่มชาวบ้านดังกล่าวเป็นผู้ที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนทำให้ไม่ได้รับสิทธิ์ในการเยี่ยวจากผลกระทบของไวรัสโควิด -19 ของรัฐบาลไทย

โดยโครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่น ผ่าน UNDP โดยมีการแบ่งจัดสรรไปตามชุมชนต่างๆทั่วประเทศ 24 แห่ง โดยจะเน้นไปที่หมู่บ้านที่มีผู้ไร้สถานะทางทะเบียน ที่ไม่เข้าข่ายรับการช่วยเหลือจากรัฐบาลในช่วงโควิด -19 ระบาด โดยโครงการเสริมสร้างศักยภาพกลุ่มคนไร้สัญชาติที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ได้ลงพื้นที่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 18 ก.พ.64  เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน และสร้างความมั่นทางอาหารด้วยระบบนวัตกรรมเกษตรยั่งยืน ชุมชนบนพื้นที่สูง

นายไกรทอง เหง้าน้อย  กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายเป็นจังหวัดหนึ่งที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ด้วยมีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งประเทศพม่า ประเทศลาว และมีการเข้ามาของคนจีนในประเทศเพื่อนบ้าน ที่ผ่านมาภาครัฐได้ออกมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบไว้หลายระดับ แต่กลุ่มคนชายขอบ กลุ่มคนที่ไร้สัญชาติ คนเหล่านี้ไม่ได้รับการเยียวยา จากหน่วยงานภาครัฐ ทั้งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ความเสี่ยงรอบด้าน เพียงเพราะไม่มีบัตรแสดงสถานะบุคคลที่เป็นคนไทย จากข้อมูลจำนวนประชากรคนไร้รัฐไร้สัญชาติ ที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมการปกครองปี 2562 พบว่าในจังหวัดเชียงราย มีจำนวน 96,960 คน โดยแยกออกเป็นกลุ่มผู้สูงอายุ 10% กลุ่มเด็กเยาวชนอายุ18 ปี คิดเป็น18% อายุ18-60 ปี คิดเป็น71% แบ่งเป็นผู้หญิง 54% ผู้ชาย46% จึงเป็นกลุ่มคนที่มีความเปราะบางเป็นอย่างมากต่อสถานการณ์โควิด19 ระบาด มีความจำเป็นต้องได้รับการเยียวยาและเสริมศักยภาพให้สามารถปรับตัวอยู่ได้ภายใต้สถานการณ์โควิดในระยะยาว

 "โครงการพัฒนาศักยภาพ ส่งเสริมให้เกิดการแก้ไขปัญหาและฟื้นฟูคุณภาพชีวิต ของครอบครัวผู้ไร้สัญชาติใน 4 ชุมชนหลักเพื่อเป็นต้นแบบ เพื่อให้กลุ่มผู้ไร้สัญชาติสามารถปรับตัวและสร้างภูมิคุ้มกันระยะยาว ให้สามารถพึ่งตนเองได้ โดยมีแหล่งผลิตอาหารไว้บริโภคในครัวเรือน และช่องทางที่สามารถสร้างรายได้ โดยโครงการดังกล่าวเป็น 1 ใน 24 โครงการระยะสั้น ภายใต้โครงการ “การเสริมสร้างการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจสังคม ความมั่นคงของมนุษย์และการฟื้นคืนสู่สภาพปกติในประเทศไทยในบริบทของการระบาดใหญ่ของ COVID-19″ เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลังและปกป้องความคืบหน้าเพื่อนำไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่โครงการพัฒนาแห่งสหประชาชาติ(UNDP) ประจำประเทศไทยได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากรัฐบาลญี่ปุ่น" นายไกรทอง กล่าว

โดยโครงการดังกล่าว ได้ดำเนินการใน 4 หมู่บ้าน ชุมชนชาติพันธุ์  ธุ์ลาหู่ ลีซู อาข่า ได้แก่บ้านป่าคาสุขใจ บ้านพนาสวรรค์ บ้านจะบูสี ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง และบ้านเฮโก ต.ป่าตึง อ.แม่จัน จ.เชียงราย  โดยได้มอบปัจจัยการผลิตที่เป็นความต้องการของชุมชนและเหมาะสมกับการทำเกษตรบนพื้นที่สูงที่มีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่และแหล่งน้ำ เช่นการเลี้ยงไก่กระดูกดำ การเลี้ยงหมูดำ หมูหลุม  และการปลูกพืชผักอาหาร รวมทั้งการปลูกผลไม้ยืนต้น ให้สามารถสร้างแหล่งอาหารในครัวเรือนได้และเป็นแนวทางสร้างรายได้ในระยะยาวได้

นายอาหลู งัวยา ผู้นำหมู่บ้านเฮโกซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ลีซู กล่าวว่า ชุมชนได้รับการสนับสนุนจากโครงการฯ ในเรื่องการเลี้ยงหมู เพื่อใช้เป็นอาหารในครอบครัว และเพื่อจำหน่ายได้ โดยในช่วงของการแพร่ระบาดของโควิด-19 สมาชิกในชุมชนยังไม่ค่อยได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐตามมาตการต่างๆที่ออกมาเท่าที่ควร เพราะบางส่วนไม่มีบัตรประชาชน บางส่วนไม่มีโทรศัพท์และบางส่วนทำไม่เป็น  การที่ พชภ.และ UNDP เข้ามาสนับสนุนให้ชาวบ้านเลี้ยงหมูจึงเป็นเรื่องที่ดีมาก  การเลี้ยงหมูจะช่วยเพิ่มพื้นที่ป่า เนื่องจากอาหารหลักที่ใช้เลี้ยงหมูคือต้นกล้วย ที่ผ่านมาชาวบ้านบางส่วนได้ปลูกข้าวโพดและใช้สารเคมีทำให้กลายเป็นภูเขาหัวโล้น แต่ตอนนี้เริ่มเปลี่ยนมาเป็นการปลูกต้นกล้วยแทนทำให้ผืนดินเกิดความชุ่มชื้นเพราะต้นกล้วยสามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ดี ทำให้พืชอื่นๆเจริญเติบโตด้วยโดยเฉพาะไม้ผลต่างๆ ทั้งมะม่วง อาโวคาโด ลิ้นจี่ ทุเรียน โดยหมู่บ้านเฮโกเป็นแหล่งต้นน้ำ การส่งเสริมการเลี้ยงหมูจึงเป็นการส่งเสริมให้ฟื้นฟูต้นไม้ใหญ่ในแหล่งต้นน้ำด้วย


ภาพ/ข่าว  ณัฐวัตร ลาพิงค์ / เชียงราย

เชียงใหม่ - เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี จัดกิจกรรม Live พาชมความน่ารักของ “เมียร์แคท”

เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2564 สำนักงานพัฒนาพิงคนคร (องค์การมหาชน) โดยสำนักงานเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี เชิญชมความน่ารักของ “เมียร์แคท” หนึ่งในสัตว์ป่าของทวีปแอฟริกา ผ่านกิจกรรม Live ในช่องทาง Facebook : เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี Chiang Mai Night Safari พร้อมลุ้นรับรางวัลสุด Exclusive  หนึ่งในสัตว์ป่าของทวีปแอฟริกา พร้อมแจ้งขยายการปิดให้บริการ เพื่อเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาด COVID – 19 อย่างต่อเนื่อง

นายเบญจพล นาคประเสริฐ กรรมการบริหารพัฒนาพิงนคร ปฏิบัติหน้าที่แทน ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาพิงคนคร กล่าวว่า แม้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อของจังหวัดเชียงใหม่จะเริ่มไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ก็ยังคงดำเนินการมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มงวด รวมทั้งการปิดให้บริการสวนสัตว์ออกไปจนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง ซึ่งส่งผลให้เชียงใหม่ไนท์ซาฟารียังคงต้องขยายระยะเวลาในการปิดให้บริการชั่วคราวออกไป รวมทั้งดำเนินการตามมาตราการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายในองค์กร โดยมีการปฏิบัติงาน Work from home, การคัดกรองเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน, การสวมใส่หน้ากากอนามัยในการเข้าพื้นที่  และการทำความสะอาดฆ่าเชื้อทุกวัน รวมทั้งการดูแลสวัสดิภาพของสัตว์ทุกชนิด เช่นเดิม  

และในส่วนของการให้บริการแก่นักท่องเที่ยว แม้ว่าจะไม่สามารถเปิดให้บริการได้  แต่ก็ได้เพิ่มช่องทางการให้บริการในหลากหลายช่องทางออนไลน์ เพื่อเป็นการสร้างความผ่อนคลายให้แก่ประชาชนและนักท่องเที่ยวที่ยังคงมีความต้องการออกเดินทางท่องเที่ยวอีกครั้ง แต่สถานการณ์ยังไม่เอื้ออำนวย ซึ่งนอกจากการเพิ่มช่องทางเผยแพร่คลิปความน่ารักของสมาชิกสัตว์ในเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีผ่าน Tiktok แล้ว ยังเพิ่มกิจกรรมการ Live ผ่านช่องทาง Facebook เป็นประจำทุกสัปดาห์ พร้อมลุ้นรับของที่ระลึกจากเชียงใหม่ไนท์ซาฟารีให้ได้หายคิดถึงกันด้วย โดยในสัปดาห์นี้จะพาเยี่ยมชมครอบครัว “เมียร์แคท” ที่จะมาสร้างรอยยิ้มให้กับผู้ที่ได้รับชม กับกิจกรรมพักผ่อนในช่วงการปิดให้บริการอีกด้วย

“เมียร์แคท” (Meerkat) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม พบมากในทะเลทรายคาลาฮารีทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา มีขนาดลำตัวเล็ก และหนักประมาณ 1 กิโลกรัมเท่านั้น มีจมูกยื่นยาวเพื่อประโยชน์ในการดมกลิ่น รอบขอบตาเป็นวงแหวนสีดำ มีขนสีน้ำตาลทองสลับดำขวางลำตัว หางยาวและส่วนปลายมีสีดำ มีกรงเล็บที่แหลมคมเพื่อใช้ในการขุดดิน ชอบกินแมลงปีกแข็งและหนอนผีเสื้อ รวมทั้งสัตว์มีกระดูกสันหลังเล็ก ๆ “เมียร์แคท” เป็นสัตว์ที่อยู่ไม่ค่อยนิ่ง เดินไปเดินมาตลอด ชอบยืนสองขาชะเง้อคอ เพื่อตรวจดูและคอยเตือนภัยจากผู้ล่าในหลายรูปแบบให้ครอบครัว และที่สำคัญ “เมียร์แคท” ถือว่าเป็นหนึ่งในสัตว์โลกที่แสดงให้เห็นถึงความสามัคคี เพราะไม่เคยแสดงอาการก้าวร้าว ทะเลาะเบาะแว้ง หรือกัดกันเลยแม้แต่น้อย

ทั้งนี้ เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี เชิญชวนผู้ที่สนใจร่วมชมความน่ารักของครอบครัว “เมียร์แคท” หนึ่งในสัตว์ป่าของทวีปแอฟริกา ทั้ง 19 ตัว ผ่านการ Live ในช่องทาง Facebook : เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี Chiang Mai Night Safai พร้อมลุ้มรับหน้ากากอนามัยสุด Exclusive  จากเชียงใหม่ไนท์ซาฟารี ในวันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม นี้ เวลา 15.30 น. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ LINE@ : Nightsafari และ Facebook : เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี Chiang Mai Night Safari


ภาพ/ข่าว  นภาพร / เชียงใหม่

แม่ฮ่องสอน - ฝ่ายความมั่นคง ยืนยันชัดไม่มีกองกำลังใด ๆ เดินทางเข้ามายังชายแดนแม่สามแลบ และไม่มีการสู้รบในพื้นที่ริมฝั่งลำน้ำสาละวินมา 12 วันแล้ว

ภายหลังจากมีกระแสข่าวว่า จะมีบุคคลแปลกหน้า ที่คาดว่าจะเป็นกองกำลังพิทักษ์ชายแดน หรือ BGF กว่า 100 นาย เดินทางจาก อ.แม่สอด จ.ตาก เตรียมเข้ามาในพื้นที่ริมแม่น้ำสาละวิน รวมไปถึงการแชร์ข้อความแจ้งเตือนประชาชนในเพจเครือข่ายต่าง ๆ โดยมีการ ระบุข้อความ ว่ามีรถขนกองกำลังดังกล่าว มาจาก อ.แม่สอด จ.ตาก 5-6 คัน จนเป็นเหตุให้ราษฏรในพื้นที่แม่สามแลบเกิดความหวาดกลัวไม่อยากให้มีสงครามกันขึ้นอีก

ด้านฝ่ายความมั่นคง ได้เปิดเผยว่า ขณะนี้พื้นที่ชายแดนจังหวัดแม่ฮ่องสอน บริเวณริมแม่น้ำสาละวิน ไม่มีปฏิบัติการทางทหาร ไม่มีการสู้รบในฝั่งเมียนมา เงียบสงบมาเป็นระยะเวลา 12 วัน สถานการณ์เข้าสู่ภาะวะปกติ จึงขอชี้แจ้งข้อเท็จจริงว่า กระแสข่าวที่บอกว่าจะมีบุคคลแปลกหน้าหรือกองกำลังพิทักษ์ชายแดนเดินทางมานั้น เป็นข่าวเท็จ ส่วนกรณีมี รถทหารที่เดินทางเข้าออกพื้นที่บ้านแม่สามแลบ อ.สบเมย  จ.แม่ฮ่องสอน ในช่วงนี้เป็นเพียงการสับเปลี่ยนกำลังของทหารในพื้นที่เท่านั้น และฝ่ายทหารยืนยันว่า เรามีจุดยืน เป็นกลางไม่สนับสนุนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีหน้าที่ทำให้ประชาชนปลอดภัย และรักษาอธิปไตย


ภาพ/ข่าว  สุกัลยา / ถาวร อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน

แม่ฮ่องสอน - ผู้ว่าฯ แม่ฮ่องสอน ลงพื้นที่ตำบลแม่สามแลบ มอบนโยบายการทำงาน รับเรื่องร้องทุกข์และปัญหาต่าง ๆ ในพื้นที่

นายสิธิชัย จินดาหลวง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน นายชนก มากพันธุ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน นายนราธิป เสมแย้ม ปลัดจังหวัดแม่ฮ่องสอน พร้อมคณะ ฯ  เดินทางลงพื้นที่ตำบลแม่สามแลบ อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน  โดยมีนายผะอบ บินสะอาด นายอำเภอสบเมย   นายไตรรัตน์ วนาสิริสุข นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่สามแลบ นำส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เช่น เจ้าหน้าที่ปกครองอำเภอสบเมย เจ้าหน้าที่ทหารพราน เจ้าหน้าที่ อบต.แม่สามแลบ ประชาชนชาวตำบลแม่สามแลบ ร่วมให้การต้อนรับด้วยความยินดี ก่อนเดินทางลงพื้นที่บนดอยสูง ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน แวะกราบขอพร  พระธาตุแม่สามแลบ ณ จุดชมวิวบ้านแม่สามแลบ ซึ่งจุดนี้ สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำสาละวินได้ชัดเจนและสวยงาม เป็นอีกหนึ่งแห่งที่สามารถพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ของอำเภอสบเมยได้   

จากนั้น ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน และคณะ เดินทางไปยังหมู่บ้าน บุญเลอ หมู่ที่ 5 และ หมู่บ้านกลอเซโล หมู่ที่ 6 ตำบลแม่สามแลบ ซึ่งใช้ระยะเวลาในการเดินทางกว่า 1 ชั่วโมง  เพื่อไปเยี่ยมชมจุดชมวิวทะเลหมอกกลอเซโล ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในหมู่ของนักท่องเที่ยวที่นิยมการเดินทางแบบ adventure  ณ จุดชมวิวทะเลหมอกสองแผ่นดินกลอเซโลนี้ เป็นจุดชมวิวที่มีความสวยงามของทะเลหมอกเป็นอย่างมาก สามารถมองเห็นแม่น้ำสาละวินที่ทอดยาว กั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศเมียนมา  จุดชมวิว ทะเลหมอกกลอเซโล อยู่ในในพื้นที่ความรับผิดชอบ ขององค์การบริหารส่วนตำบลแม่สามแลบ ซึ่งทางองค์การบริหารส่วนตำบลแม่สามแลบ ได้พัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว มีการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชน เพื่อสร้างรายได้เสริมให้กับชาวบ้านที่นี่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวกะเหรี่ยง ยังคงดำเนินวิถีชีวิตแบบเรียบง่าย

ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ร่วมประชุมและมอบนโยบายในการทำงานด้านต่าง ๆ ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมกับรับเรื่องร้องทุกข์จากชาวบ้าน เช่น ปัญหาการคมนาคม ไฟฟ้า ปัญหาสิทธิที่ทำกิน ปัญหาแหล่งน้ำ ปัญหาไฟป่า และการสื่อสาร เป็นต้น

 


ภาพ/ข่าว  สุกัลยา  / ถาวร  อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน 

เชียงใหม่ - รอง ผบช.ภ.5 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมด่านตรวจ จุดตรวจพื้นที่ตามแนวชายแดนและพื้นที่ตอนใน

รอง ผบช.ภ.5 ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมด่านตรวจ จุดตรวจพื้นที่ตามแนวชายแดนและพื้นที่ตอนใน พร้อมกำชับและมอบนโยบายด้านการสกัดกั้น เฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด -19

วันที่ 13 พ.ค.2564  พล.ต.ต.บัณฑิต ตุงคะเศรณี รอง ผบช.ภ.5 ได้ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยม ด่านตรวจแก่งปันเต๊า สภ.เชียงดาว, ด่านตรวจผาหงษ์ สภ.ไชยปราการ, จุดตรวจแม่สาว สภ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ , ด่านตรวจกิ่วสะไต , ด่านตรวจกิ่วทัพยั้ง สภ.แม่จัน จ.เชียงราย พร้อมมอบนโยบาย และได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการดังต่อไปนี้

 1. ให้เพิ่มความเข้มงวดในการตั้งจุดตรวจพื้นที่ชายแดนและจุดตรวจสกัดกั้นพื้นที่ตอนใน เฝ้าระวังการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ทั้งทางเท้า ทางรถ และทางน้ำ จัดให้กำลังพลปฏิบัติหน้าที่ตรวจค้นยานพาหนะ ให้เพียงพอตลอด 24 ชม. ขณะปฏิบัติหน้าที่ต้องจัดให้มีการบันทึกภาพเคลื่อนไหว ชนิดที่สามารถ ดูภาพได้แบบปัจจุบัน Real time เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาตรวจสอบการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตลอดเวลา

     2. ดำเนินการพิจารณาปรับแผนหรือลดจุดตรวจกวดขันวินัยจราจร จุดตรวจวัดแอลกอฮอล์ ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ แต่ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงความจำเป็นในการป้องกันอุบัติเหตุทางถนน และให้เป็นไปตามมาตรฐานตาม ตร. กำหนด โดยเน้นย้ำให้ลงข้อมูลในระบบ TPCC โดยเคร่งครัดให้เป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน เพื่อใช้ในการตรวจสอบ กำกับ ดูแลการปฏิบัติและรายงานผล

     3. กำชับการออกตรวจชุดสายตรวจร่วมเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจพื้นที่ สถานที่ กิจการ หรือกิจกรรมใดๆที่อาจเสี่ยงต่อการแพทย์ระบาดของโรคอย่างสม่ำเสมอ และให้คำแนะนำตักเตือนแก่ผู้ประกอบการให้ปรับปรุงแก้ไขสถานที่ที่เป็นจุดเสี่ยง หากยังไม่ปรับปรุงแก้ไขตามคำแนะนำให้เสนอคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดพิจารณาปิดสถานที่ดังกล่าวเป็นการชั่วคราว

      4. ปรับแผนการทำงาน โดยประชาสัมพันธ์การรวมกลุ่มดื่มสุราที่บ้านหรือในชุมชน เป็นความผิดตามกฎหมาย เรื่องการมั่วสุมในลักษณะที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค

      5. กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายปฏิบัติตนตามมาตรการป้องกันโรค (D-M-H-T-T) อย่างเคร่งครัดโดยสวม Face shield หรือหน้ากากอนามัยตลอดเวลาปฏิบัติหน้าที่ มีเจลแอลกอฮอล์ติดตัวทุกนาย มีการตรวจวัดอุณหภูมิก่อนปฏิบัติหน้าที่ หมั่นล้างมือด้วยน้ำและสบู่ เจลล้างมือ หรือน้ำยาแอลกอฮอล์ล้างมือ และรักษาระยะห่างระหว่างผู้ปฏิบัติงานกับประชาชน ทั้งนี้ได้มอบสิ่งของบำรุงขวัญเพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการปฎิบัติหน้าที่ต่อไป


ภาพ/ข่าว  นภาพร / เชียงใหม่

เชียงราย - โควิด-19 ลามเกาะคาสิโนคิงส์โรมัน เกือบ 300 คน ในเขตชายแดนสามเหลี่ยมทองคำ

คิงส์โรมันเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมทองคำ เกือบ 300 คน หลังเกิดการแพร่ระบาดอย่างต่อเนื่อง จีนส่งทีมแพทย์ฉีดชิโนฟาร์ม ให้กับพนักงานควบคุมการแพร่ระบาด พร้อมทั้งขอความร่วมชาวประมงไทยงดทำการประมงเส้นเขตแดน

วันที่ 17 พ.ค. 64 พบการระบาดของไวรัสโควิด-19 ภายในโครงการคิงส์โรมัน ที่อยู่ในเขตเศรษฐพิเศษสามเหลี่ยมคำ แขวงบอแก้ว สปป.ลาว ชายแดนไทย-สปป.ลาว ด้าน สามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย พบว่าตั้งแต่วันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมาพบผู้ติดเชื้อรวมจำนวน 284 ราย เป็นคนจีน 81 คน ลาว 138 คน เมียนมา 33 คน และไทย 7 คน โดยล่าสุดได้มีทางสาธารณสุขจากประเทศจีนเดินทางไปแก้ไขการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในเขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมคำแล้ว ขณะที่ทาง จ.เชียงราย ได้ประสานไปยังเขตดังกล่าวเพื่อขอรับคนไทยข้ามกลับมาแล้ว

เขตเศรษฐกิจพิเศษสามเหลี่ยมคำได้มีการประกาศปิดการเข้าออก หรือล็อคดาวน์เขตระหว่างวันที่ 6-20 พ.ค.64 โดยมีการระดมฉีดวัคซีนชิโนฟาร์มจากประเทศจีนให้กับพนักงาน  แล้วจำนวน 223 คน  และได้มีประกาศจากแขวงบ่อแก้วให้ล็อคดาวน์เมืองและหมู่บ้านทั้งทางบก ทางน้ำและทางอากาศ ทั้ง 5 เมืองของแขวงบ่อแก้ว โดยได้ขอความร่วมมือมายังพื้นที่ชายแดน จ.เชียงราย ที่ติดกับแม่น้ำโขง ให้ประชาสัมพันธ์ให้ชาวบ้านงดการทำประมงในแม่น้ำโขงที่เป็นเส้นเขตแดนเพื่อป้องกันกลุ่มคนปะปนไปกับชาวประมงลักลอบเข้าหนีเข้าเมืองได้


ภาพ/ข่าว  วัตร ลาพิงค์ / หมายเหตุภาพจาก คาสิโนคิงส์โรมัน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top