Thursday, 29 May 2025
NewsFeed

อาลัย!! ‘ผู้ใหญ่บ้านฯ’ ช่วยลูกบ้านเหตุดินถล่มที่แม่อาย ผลักน้องผู้หญิงรอด ส่วนตัวเองถูกพัดไหลไปกับโคลน

(12 ก.ย. 67) จากเหตุการณ์ดินสไลด์ที่บ้านดอยแหลม หมู่ที่ 13 ต.ดอยแหลม อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ มีประชาชนเสียชีวิต จำนวน 6 ราย บาดเจ็บ 3 ราย เจ้าหน้าที่สามารถกู้ร่างผู้สูญหายได้แล้วทั้งหมด โดยร่างสุดท้ายที่พบคือ ‘นายธีรยุท สิริวรรณสถิต’ ผู้ใหญ่บ้านดอยแหลม หมู่ที่ 13 อยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุไกลถึง 10 กิโลเมตร

ขณะที่ ‘นายเจตกรวีร์ จิรารัชต์พงศ์’ ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านดอยแหลม หมู่ที่ 13 ตำบลดอยแหลม อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เล่าว่า ในช่วงเวลาเกิดเหตุ ตนและผู้ใหญ่บ้านมาดูสถานการณ์ที่จุดเกิดเหตุเพื่อเคลียร์ดินที่สไลด์ลงมาออก และเปิดทางให้น้ำไหลผ่านได้ จังหวะนั้นได้ยินเสียงคนตะโกนบอกว่าดินถล่ม ทำให้ทุกคนต่างพากันวิ่งหนีกระเจิดกระเจิง โดยตนกับผู้ใหญ่บ้านวิ่งหนีไปคนละทาง กระทั่งภายหลังน้องผู้หญิงที่วิ่งหนีไปทางเดียวกับผู้ใหญ่บ้านที่รอดชีวิตเล่าว่า ผู้ใหญ่บ้านได้ผลักให้เธอออกไปให้พ้นแนวดินที่ถล่มลงมาทำให้ครั้งนี้เธอรอดชีวิตมาได้ ส่วนผู้ใหญ่บ้านที่วิ่งหนีไม่ทันถูกโคลนที่ถล่มลงมาจากภูเขาพัดร่างไหลลงไปกับโคลน

ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้ ภรรยาของผู้ใหญ่บ้านได้โพสต์เฟซบุ๊กตามหาผู้ใหญ่บ้านที่ออกไปช่วยลูกบ้านแล้วสูญหายไป โดยระบุว่า “ตอนนี้น้ำป่าไหลหลาก พ่อหลวงไปช่วยชาวบ้าน และสูญหายยังหาไม่เจอ ขอพี่น้องอธิษฐานเผื่อพ่อหลวงด้วยค่ะ”

แล้วก็ได้โพสต์อีกว่า “ช่วยเหลือชาวบ้านจนวินาทีสุดท้าย ดินสไลด์มายังตะโกนบอกชาวบ้านหนี และผลักเด็กผู้หญิงออกมาจนรอด แต่ยังหาตัวเองไม่เจอ ขอพระเจ้าโปรดเมตตาด้วย”

ล่าสุดได้โพสต์ภายหลังพบร่างของผู้ใหญ่บ้านว่า “ตอนนี้เจอศพพ่อหลวงแล้ว ไหลไปติดที่บ้านโฮ่งแม่อาย ขอบคุณทุกคนที่อธิษฐานเผื่อ”

ทำให้ลูกบ้านและคนที่ทราบข่าว ก็ต่างเข้ามาแสดงความเสียใจเป็นจำนวนมาก

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง จัดกำลังทีมบรรเทาสาธารณภัย พร้อมอุปกรณ์ รถยกสูง 4x4 รถพยาบาลขับเคลื่อน 4 ล้อ โรงครัวเคลื่อนที่ บรรทุกชุดถุงยังชีพและยาสามัญ เร่งช่วยเหลือ - อพยพผู้ประสบภัยน้ำท่วมชาวเชียงราย 

ตามที่ได้เกิดฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ส่งผลให้เกิดอุทกภัยขึ้นในพื้นที่ ประชาชนได้รับความเดือดร้อน และเสียหายเป็นจำนวนมาก ค่ำวานนี้ (วันที่ 10 กันยายน 2567) นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง มอบหมายให้นายอรัณย์ โตทวด ผู้จัดการใหญ่มูลนิธิฯ จัดทีมบรรเทาสาธารณภัย นำโดย นายวรพจน์ จรัสเศรษฐสิริ รักษาการผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการ นำทีมกู้ภัย กู้ชีพ อาสาสมัคร พร้อมเรือท้องแบน อุปกรณ์กู้ภัยทางน้ำ รถยกสูง 4x4 รถพยาบาลขับเคลื่อน 4 ล้อ โรงครัวเคลื่อนที่ ถุงยังชีพ ชุดยาสามัญประจำบ้าน อาหารสุนัขและแมว เร่งลงพื้นที่จังหวัดเชียงราย ให้ความช่วยเหลือช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในทันที

โดยมูลนิธิฯ ได้เดินทางถึงอำเภอแม่สายเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 11 กันยายน 2567 และเร่งดำเนินการจัดตั้งกองอำนวยการและโรงครัวประกอบอาหารปรุงสุก ณ โรงเรียนแม่สายประสิทธิ์ศาสตร์ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย พร้อมจัดทีมปฏิบัติการเร่งให้ความช่วยเหลือในทันที นำน้ำดื่มเข้าพื้นที่แจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัย ดำเนินการอพยพประชาชน  ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ และผู้ป่วยออกนอกพื้นที่ประสบภัยไปยังพื้นที่ปลอดภัยอย่างต่อเนื่อง

โดยมี นายภรัณยู โรจนวุฒิธรรม (แทค ภรัณยู) อาสาสมัครศิลปิน พร้อมด้วยหน่วยกู้ภัยฉะเชิงเทรา ร่วมปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้

และในขณะนี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ยังคงอยู่ระหว่างปฏิบัติการภารกิจอพยพในพื้นที่ต่อเนื่อง รวมทั้งประกอบอาหารปรุงสุก พร้อมจัดเตรียมน้ำดื่ม และถุงยังชีพ เพื่อบรรทุกรถและเรือ ลงพื้นที่แจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมใน  และเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินและเข้าให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยด้านต่าง ๆ ต่อไป 

ติดตามข่าวสารกิจกรรม การช่วยเหลือของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ที่เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

'ประธานวุฒิสภา' ให้การรับรอง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์ – เลสเตประจำประเทศไทย

เมื่อวานนี้ (11 ก.ย.67) เวลา 13.30 นาฬิกา ณ ห้องรับรองพิเศษ 204 ชั้น 2 อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา) นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ให้การรับรองนายจูเว็งซียู ดือ จือซุซ มาร์ติงซ์ (H.E. Mr. Juvêncio de Jesus Martins) เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์ - เลสเตประจำประเทศไทย ในโอกาสพ้นหน้าที่จากประเทศไทย โดยมีนายชิบ จิตนิยม นายวีระพันธ์ สุวรรณนามัย นายปริญญา วงษ์เชิดขวัญ สมาชิกวุฒิสภา และนางสาวนภาภรณ์ ใจสัจจะ เลขาธิการวุฒิสภา ร่วมให้การรับรอง

ประธานวุฒิสภา ให้การต้อนรับเอกอัครราชทูตฯ และกล่าวถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศ ปีนี้ครบรอบ 22 ปีของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ที่ผ่านมาไทยได้มีโครงการความร่วมมือในติมอร์ - เลสเต โดยไทยได้เผยแพร่หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อใช้ในการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวติมอร์ - เลสเต โดยสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณในการดำเนินโครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กและเยาวชนของติมอร์ – เลสเต ด้วยการพระราชทานการสนับสนุนแก่โรงเรียนของติมอร์ - เลสเต ในส่วนของความสัมพันธ์ด้านนิติบัญญัติระหว่างไทยกับติมอร์ - เลสเต อยู่ในระดับที่ดี โดยในระดับทวิภาคีรัฐสภาของทั้งสองประเทศได้จัดตั้งกลุ่มมิตรภาพสมาชิกรัฐสภาระหว่างประเทศระหว่างกันขึ้น เพื่อเป็นกลไกในการส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกรัฐสภาของทั้งสองฝ่ายในการสร้างความร่วมมือ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และแนวปฏิบัติที่ดีด้านนิติบัญญัติร่วมกัน 

นอกจากนี้รัฐบาลไทยกับติมอร์-เลสเตได้ลงนามในความร่วมมือยกเว้นการตรวจลงตราประเภทท่องเที่ยวสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดา อีกทั้งไทยยังสนับสนุนการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของติมอร์-เลสเตในประชาคมอาเซียน ทั้งนี้ ขอขอบคุณและชื่นชมเอกอัครราชทูตฯ ที่ปฏิบัติภารกิจและหน้าที่อย่างมุ่งมั่นตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา วุฒิสภาไทยยืนยันจะสนับสนุนและส่งเสริมความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศให้มั่นคงยั่งยืนต่อไป

ด้านเอกอัครราชทูตฯ กล่าวขอบคุณประธานวุฒิสภาและสมาชิกวุฒิสภาที่ให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น ความสัมพันธ์ระหว่างไทยและติมอร์-เลสเตได้พัฒนามากขึ้นในหลายมิติตั้งแต่เริ่มต้นการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างทั้งสองประเทศ ซึ่งพลเอก บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา และพลเอก วินัย ภัททิยกุล มีบทบาทสำคัญในกองกำลังรักษาสันติภาพติมอร์-เลสเต ที่ได้ช่วยฟื้นฟูและพัฒนากระบวนการสร้างชาติของติมอร์-เลสเตให้อยู่ในระดับสากลเสมอมา และขอให้ดำรงรักษาความสัมพันธ์อันดีผ่านความร่วมมือด้านรัฐสภา การศึกษา การท่องเที่ยว ทั้งสองประเทศให้มั่นคงและยั่งยืนต่อไป

คณะเอกอัครราชฑูต ณ กรุงฮานอยและหน่วยงานรัฐบาลเวียดนามเยี่ยมชมสวนนงนุชพัทยา สวนระดับโลกศึกษาดูงานด้านการท่องเที่ยวเชิงเกษตรในประเทศไทย

(12 ก.ย. 67) สวนนงนุชพัทยา นำโดยนายกัมพล ตันสัจจา ประธานสวนนงนุชพัทยา ได้ให้การต้อนรับคณะเอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอยและหน่วยงานรัฐบาลเวียดนาม จำนวน 16 ท่าน ที่นำโดยนางสาวอุรวดี ศรีภิรมย์ เอกอัครราชทูต ณ กรุงฮานอย รวมถึงนายธรณัส คุณยศยิ่ง กงสุล และนายเหวียน หิว เหงียะ เลขาธิการพรรคฯ จังหวัดฮึงเอียน ในการเข้าเยี่ยมชมและศึกษาดูงานด้านการท่องเที่ยวเชิงเกษตรในประเทศไทย

การเยี่ยมชมครั้งนี้เริ่มต้นด้วยการรับฟังการบรรยายสรุปเกี่ยวกับสวนนงนุชพัทยา ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาการท่องเที่ยวที่สอดคล้องกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หลังจากการบรรยาย คณะได้เข้าเยี่ยมชมศูนย์เรียนรู้เกษตรอินทรีย์ทฤษฎีใหม่ ที่เน้นการทำเกษตรแบบยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์หัวโขน ซึ่งเป็นการนำเสนอศิลปะการแสดงโขนของไทยที่เป็นเอกลักษณ์

นอกจากนี้ คณะยังได้เข้าชมการแสดงนงนุชโชว์ และการแสดงของช้างแสนรู้ ณ โรงละครสกาลานงนุชพัทยา ซึ่งเป็นไฮไลท์ที่สร้างความประทับใจให้กับคณะผู้แทนเป็นอย่างมาก

จากนั้น คณะผู้แทนได้เดินทางเยี่ยมชมพื้นที่สวนที่มีขนาดกว่า 1,700 ไร่ ซึ่งครอบคลุมหลายโซน เช่น สวนกระถาง สวนกล้วยไม้ และหุบเขาไดโนเสาร์ โดยคณะได้ใช้เส้นทางรถชมวิวเพื่อเข้าชมโซนเนิร์สเซอรี่สับปะรดสี เนิร์สเซอรี่ตะบองเพชร และสวนดอกไม้พญานาค นอกจากนี้ ยังได้เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์พุทธคุณ ซึ่งเป็นสถานที่รวบรวมวัตถุมงคลและพระพุทธรูปที่มีความสำคัญทางศาสนา

การเยี่ยมชมครั้งนี้สร้างความประทับใจอย่างยิ่งให้กับคณะเอกอัครราชทูตและหน่วยงานรัฐบาลเวียดนาม ก่อนที่คณะจะเดินทางกลับ

💜3 ภารกิจ รมต.ขิง เดินหน้าทำทันที ก้าวสู่ยุค ‘ปฏิรูปอุตสาหกรรม’

วันแรกในกระทรวงอุตสาหกรรมของรัฐมนตรีหน้าใหม่อย่าง ‘ขิง เอกนัฏ พร้อมพันธุ์’ ได้ประกาศเป้าหมายของการนั่งเก้าอี้นี้อย่างชัดเจนว่าจะเข้าสู่ยุค ‘ปฏิรูปอุตสาหกรรม’ (Industry Reform) 

โดยการเข้าสู่ยุคปฏิรูปอุตสาหกรรม ‘ขิง เอกนัฏ’ จะได้ใช้ 3 ยุทธศาสตร์ย่อย มุ่งเน้นแก้ Pain Point ของอุตสาหกรรมไทย ได้แก่ 

1. จัดการกากอุตสาหกรรมตกค้างทั้งระบบอย่างเข้มงวด

2. ปกป้องอุตสาหกรรมไทยจากการทุ่มตลาด: ช่วยผู้ประกอบการรายย่อย ที่รับผลกระทบจากการทะลักเข้าของสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน และยกระดับขีดความสามารถSMEไทย

3. สร้างอุตสาหกรรมแห่งอนาคต สร้าง new S-Curve กับประเทศผ่านหลากหลายอุตสาหกรรม อาทิ สินค้าเกษตรเทคโนโลยีสูง พลาสติกชีวภาพ โอลีโอเคมี น้ำมันเชื้อเพลิง ยานยนต์ EV เซมิคอนดักเตอร์ อุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ

นอกจากเป็นการแก้ Pain Point ของอุตสาหกรรมไทยแล้ว ยังเป็นการปรับให้องค์กรพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงของโลกและของไทย ไม่ว่าจะเป็น SDG, การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอีกด้วย 

'อดีตนักบินนาซ่า' ตอบคำถาม ทำไมไก่ CP ถึงได้ไปอวกาศ ย้ำ!! ไก่ที่ส่งให้นักบินหรือคนไทย ล้วนมีมาตรฐานเดียวกัน

(12 ก.ย.67) อดีตนักบินอวกาศนาซ่า ไมค์ มาสสิมิโน (Mike Massimino) ออกมาตอบคำถามคนไทยเรื่องอาหารอวกาศ และ 'ไก่ CP' ของไทยว่ามีมาตรฐานเดียวกับที่นักบินอวกาศได้กินบนสถานีอวกาศหรือไม่ 

โดย ไมค์ ให้คำตอบกับเรื่องนี้ว่า การส่งอาหารไปให้นักบินอวกาศทานคือเรื่องที่ยากมาก เพราะต้องผ่านมาตรฐานอาหารอวกาศ ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรฐานที่สูงที่สุดในโลก ดังนั้นไก่ไทยของ CP จะต้องผ่านการทดสอบทุกขั้นตอน และได้มาตรฐานความปลอดภัยในระดับของนักบินอวกาศทานได้

"มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะส่งอาหารขึ้นสู่อวกาศ มันต้องผ่านกระบวนการทดสอบเพื่อหาการปนเปื้อน ซึ่งหากมีเชื้ออะไรก็ตามอยู่ มันก็จะไม่สามารถเก็บได้นาน มันจึงต้องถูกเตรียมและปรุง จากนั้นก็ทำการปิดผนึกอย่างดี เพื่อให้ยังคงสภาพที่สมบูรณ์ และปลอดภัยสำหรับนักบินอวกาศ และนั่นไม่ใช่กระบวนการที่ทำได้ง่าย ๆ เลย มันต้องผ่านขั้นตอนการทดสอบมากมาย" ไมค์ กล่าวและว่า...

"เพราะพวกเราไม่ต้องการให้มีนักบินอวกาศป่วยจากอาหารที่ถูกส่งขึ้นไป มันไม่ได้แค่ทำให้พวกเขาป่วย แต่มันยังกระทบต่อภารกิจด้วย ซึ่งนั่นอาจสร้างความอันตรายต่อภารกิจที่พวกเราต้องทำ...

"ดังนั้น ผมจึงมีความมั่นใจมากว่า 'ไก่ CP' นั้นมีมาตรฐานขั้นสูงสุด พวกมันถูกตรวจสอบผ่านกระบวนการทุกขั้นตอนอย่างละเอียด จนมั่นใจได้ว่าปลอดภัยพอที่จะส่งขึ้นไปบนสถานีอวกาศ"

ไมค์สรุปช่วงท้ายด้วยว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นนักบินอวกาศหรือเป็นคนไทย ก็มั่นใจได้เลยว่าไก่ซีพีที่ส่งให้นักบินอวกาศทาน จะทานที่ไทยหรือบนอวกาศก็มาตรฐานความปลอดภัยเดียวกัน

นายกฯ แพทองธาร แถลงนโยบาย “โอกาสที่เป็นไปได้ เพื่อคนไทยทุกคน” ย้ำรูปธรรม “มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี” ทุกนโยบายทำจริง ทำเป็น

นายกฯ แถลงนโยบาย “โอกาสที่เป็นไปได้ เพื่อคนไทยทุกคน” แจง 10 นโยบายเร่งด่วนต่อรัฐสภา “ดิจิทัลวอลเล็ต-เกษตรทันสมัย-รถไฟฟ้าราคาเดียวตลอดสาย-กำจัดอาชญากรรมออนไลน์-กำจัดยาเสพติดทั้งระบบ-ทำรัฐธรรมนูญใหม่-ปรับปรุงระบบภาษีครั้งใหญ่-ปฏิรูประบบราชการ ลดขนาดกองทัพ เดินหน้าสู่ Digital Government” ย้ำรูปธรรม “มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี”

(12 ก.ย. 67) ที่รัฐสภา การประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) แถลงนโยบายตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 162 มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม มี ครม. ส.ส. และ ส.ว. เข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาว่า คณะรัฐมนตรีขอแถลงนโยบายต่อรัฐสภาให้ทราบถึงเจตนารมณ์ ยุทธศาสตร์ และนโยบายของรัฐบาล ที่มุ่งมั่นจะสร้างความสามัคคี ปรองดองให้เกิดข้ึนในสังคมไทย และจะนำไปสู่ความร่วมมือกันในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองการปกครองของประเทศให้ก้าวหน้าเพื่อประโยชน์สุขของชาวไทยทุกคน

นายกฯ แพทองธาร แถลงในประเด็นความท้าทายที่ประเทศไทยต้องเผชิญว่า ประเทศไทยเผชิญความท้าทายอยู่หลายประการ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่โตน้อยกว่าศักยภาพจริง ปัญหาหนี้สินเรื้อรัง ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงขึ้น ปัญหาสิ่งแวดล้อม ปัญหาสังคมและการเมือง ทั้งหมดนี้รัฐบาลพร้อมจะประสานพลังกับทุกภาคส่วน เปลี่ยนความท้าทายให้กลายเป็น “ความหวัง โอกาส และความเสมอภาคทางเศรษฐกิจและสังคม” ของคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม รัฐบาลพร้อมเสริมศักยภาพ สร้างโอกาสให้ประชาชนทั้งบทบาทและสิทธิเพื่อพลิกฟื้นประเทศจากปัญหาที่รุมเร้าและนำพาให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง

โดยนายกรัฐมนตรี ได้ยกความท้าทาย โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ที่โตน้อยกว่าศักยภาพจริง ปัญหาหนี้สินเรื้อรัง ปัญหาความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงขึ้น ปัญหาสิ่งแวดล้อม และ สังคมและการเมือง ทั้งหมดนี้คือ “ความท้าทาย” ที่รัฐบาลพร้อมจะประสานพลังกับทุกภาคส่วน เปลี่ยนความท้าทายให้กลายเป็น “ความหวัง โอกาส และความเสมอภาค ทางเศรษฐกิจและสังคม” ของคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม

จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้แถลงนโยบายสำคัญเร่งด่วนเพื่อการเดินหน้าบริหารประเทศ 10 ข้อ ที่จะดําเนินการทันที ดังนี้ 1) ผลักดันให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ 2) ดูแลและส่งเสริมพร้อมกับปกป้องผลประโยชน์ ของผู้ประกอบการไทยโดยเฉพาะ SMEs 3) เร่งออกมาตรการเพื่อลดราคาค่าพลังงานและสาธารณูปโภค อัตราค่าโดยสารร่วมรองรับนโยบาย “ราคาเดียวตลอดสาย” 4) สร้างรายได้ใหม่ของรัฐด้วยการนําเศรษฐกิจนอกระบบภาษี (Informal Economy) และเศรษฐกิจใต้ดิน (Underground Economy) เข้าสู่ระบบภาษี และนำไปจัดสรรสวัสดิการด้านการศึกษา อุดหนุนค่าใช้จ่ายพื้นฐานของประชาชน ฯลฯ 5) เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย ควบคู่กับการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มโอกาสในการประกอบอาชีพ ให้ความสําคัญกับกลุ่มเปราะบางเป็นลำดับแรก ผลักดัน “ดิจิทัลวอลเล็ต” (Digital Wallet) ซึ่งเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจดิจิทัล และพัฒนาศูนย์ข้อมูลภาครัฐ  6) ยกระดับการทําเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย ภายใต้แนวคิด “ตลาดนํา นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้” ฟื้นนโยบายครัวไทยสู่ครัวโลก 7) ส่งเสริมการท่องเที่ยว สานต่อการปรับโครงสร้างการตรวจลงตราท้ังหมดของประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ขอวีซ่า (วีซ่าฟรี) นำเทศกาลระดับโลกมาจัดในประเทศ ดึงดูดนักท่องเที่ยว กระจายรายได้ 8) แก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร 9) เร่งแก้ปัญหา อาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์ มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน เพิ่มประสิทธิภาพการปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ และ 10) รัฐบาลจะส่งเสริมพัฒนาศักยภาพ และจัดสวัสดิการสังคมให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป สร้างความเท่าเทียมทางโอกาสและเศรษฐกิจให้แก่คนทุกกลุ่ม เป็นต้น

นายกรัฐมนตรียังได้แถลงเนื้อหาในนโยบายรัฐบาลซึ่งเป็นแผนระยะยาวเพื่อการวางรากฐานและฟื้นโอกาสให้กับประเทศ อาทิ ยานยนต์แห่งอนาคต ดึงดูดนักลงทุนจากต่างประเทศให้มาตั้งฐานการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศอย่างต่อเนื่อง, ส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์และส่งออก ซอฟท์พาวเวอร์, เศรษฐกิจอุตสาหกรรมดิจิทัล ดึงดูดต่างชาติเพื่อตั้งดาต้าเซนตอร์, โรงงานผลิตเซมิคอนดัคเตอร์ และวางรากฐานการใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI, การสนับสนุนระบบเศรษฐกิจสีเขียว, ศูนย์กลางการเงินระดับโลก, ขยายเศรษฐกิจสุขภาพและการแพทย์, ระบบสาธารณูปโภคคุณภาพ, พัฒนาด้านวิจัยและนวัตกรรมของประเทศ, การสร้างศูนย์กลางและระบบคมนาคม (Logistics Hub) ผ่านโครงสร้างคมนาคมขนาดใหญ่ และขับเคลื่อนโครงการแลนด์บริดจ์, การแก้ปัญหาที่ดินทำกินด้วย One Map, จัดการคลื่นความถี่และสิทธิในวงโคจรดาวเทียม เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และปรับโครงสร้างภาษีครั้งใหญ่ เพื่อนำไปสู่การทำ Negative Income Tax ที่ผู้มีรายได้น้อยจะได้รับ “เงินภาษีคืนเป็นขั้นบันได” ตามเกณฑ์ที่กำหนด

นอกจากนี้ ยังมีแผนนโยบายเพื่อฟื้นโอกาสประเทศ อาทิ ส่งเสริมการเกิดและเติบโตของเด็กอย่างมีคุณภาพ, OFOS ยกระดับทักษะ ปลดล็อกศักยภาพไทย, 30 บาทรักษาทุกที่ และการฉีดวัคซีนปากมดลูก, ส่งเสริมความเสมอภาคทางเพศ, การเร่งทำรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนให้เป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น, การพื้นฟูหลักนิติธรรมและความโปร่งใส, การปฏิรูประบบราชการและกองทัพ ลดขนาด เพิ่มประสิทธิภาพ เปลี่ยนผ่านราชการไทย สู่ Digital Government, การยกระดับการบริการภาครัฐให้ตอบสนองความต้องการของประชาชน เปลี่ยนรัฐปกครองเป็นรัฐสนับสนุน ลดกฎหมายและขั้นตอนที่ไม่จำเป็น

ในด้านสิ่งแวดล้อม มุ่งแก้ PM2.5  ฟื้นฟูธรรมชาติ อนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ และรักษาสมดุลของระบบนิเวศท้องถิ่น, ฟื้นบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ แก้น้ำท่วม น้ำแล้ง รวมถึงนำประเทศไทยไปสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำของอาเซียนในด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ส่วนด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จะไม่เป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้ง รวมถึงสานต่อการฑูตพาณิชย์เชิงรุก แก้ไขปัญหาที่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศท้ังระบบทวิภาคี (Bilateral) และพหุภาคี (Multilateral) และเร่งเจรจาเขตการค้าเสรี หรือเอฟทีเอกับประเทศคู่ค้าสำคัญ และเตรียมเข้าเป็นสมาชิก OECD เป็นต้น

นายกรัฐมนตรี ยังกล่าวต่อว่า รัฐบาลจะพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความเข้าใจท่ีถูกต้อง เผยแพร่ข้อมูลเก่ียวกับการปฏิบัติพระราชกรณียกิจ และดำเนินงานตามแนวพระราชดำริ รวมทั้งส่งเสริมสถาบันศาสนาให้เป็นกลไกในการสร้างคุณธรรมและจริยธรรมในการดำเนินชีวิต ตลอดจนดูแลให้มีการปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและจริงจัง โดยเฉพาะกฎหมายที่เก่ียวข้องกับผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงการป้องกันและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

“ในนามนายกรัฐมนตรีของคนไทยทุกคน ในนามรัฐบาล ดิฉันขอให้ความมั่นใจ กับรัฐสภาแห่งน้ีว่า จะตั้งใจบริหารราชการแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง พร้อมท้ังประสานพลังจากทุกภาคส่วน จากทุกช่วงวัย จากทุกความเชี่ยวชาญ ขับเคลื่อนนโยบายที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงเพื่อตอบสนองสถานการณ์ปัจจุบันให้สำเร็จ พัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมืองของประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้า เพื่อสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียม ทำให้คนไทย มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักด์ศรี เพื่อนำพาความภาคภูมิใจกลับมาสู่คนไทย และประเทศไทย เพื่อสร้างความหวังและอนาคตท่ีดีกว่าให้ประเทศไทย จากวันนี้ไปถึงอนาคต” นายกรัฐมนตรี กล่าว

'สุริยะ' สั่ง!! 'กรมเจ้าท่า' นำเรือพระราชทานเร่งช่วยเหลือเชียงราย 24 ชั่วโมง พร้อมลำเลียงอาหารและน้ำดื่มเข้าช่วยผู้ประสบภัยในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง

(12 ก.ย. 67) นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กำชับให้กรมเจ้าท่า นำกำลังเจ้าหน้าที่ พร้อมด้วยเรือท้องแบนพระราชทานและยานพาหนะต่าง ๆ ช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย พร้อมเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำตลอด 24 ชั่วโมง 

สำหรับการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยวันนี้ (12 ก.ย. 67) บริเวณบ้านน้ำลัด ตำบลริมกก  อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีประชาชนติดอยู่ภายในประมาณ 100 กว่าคน มีนายภูเมศ สุขม่วง ผู้อำนวยการสำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 1 ในฐานะผู้บัญชาการศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยกรมเจ้าท่า ภาค 1 ได้นำเจ้าหน้าที่ของกรมเจ้าท่า พร้อมด้วย เรือพระราชทาน เรือเจ็ทสกี และรถยนต์ เข้าสนับสนุนการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นจังหวัดเชียงราย ลำเลียงอาหารและน้ำดื่ม อย่างเร่งด่วน โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ในการเข้าช่วยเหลือของศูนย์ฯ ภาค 1 จำนวน 35 คน เรือพระราชทาน 2 ลำ เรือท้องแบน 1 ลำ เรือเจ็ทสกี 3 ลำ รถบรรทุกหกล้อมีเครนยก 1 คัน รถกะบะขับเคลื่อนสี่ล้อ 8 คัน 

- สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคที่ 1 กำลังพล 2 คน รถ 1 คัน
- สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาเชียงราย กำลังพล 15 คน เรือเจ็ทสกี 1 ลำ รถ 3 คัน
- สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาเชียงใหม่ กำลังพล 4 คน เรือเจ็ทสกี 1 ลำ รถ 1 คัน
- สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาแพร่ กำลังพล 3 คน เรือท้องแบน 1 ลำ รถ 1 คัน
- สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขาพิษณุโลก  กำลังพล 3  เรือเจ็ทสกี 1 ลำ รถ 1 คัน
- สำนักงานและพัฒนาและบำรุงรักษาทางน้ำที่ 7 คน 8 เรือพระราชทาน 2 ลำ รถ 2 คัน 

สำหรับพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยสามารถติดต่อ ขอความช่วยเหลือได้ที่ สายด่วนกรมเจ้าท่า 1199 ตลอด 24 ชั่วโมง

'เจ้าเซียร่า' สุนัข K9 ลากลับดาวสุนัข โซเชียลเศร้า "จงหลับให้สบายนะ"

(12 ก.ย. 67) เฟซบุ๊กเพจ 'K9 : USAR Thailand' โพสต์ข้อความแจ้งข่าว การจากไปของ 'เซียร่า' สุนัขกู้ภัย​ K9 โดยระบุว่า "ขอแสดงความไว้อาลัยแด่..K9 #เซียร่า ขอดวงวิญญาณของผู้กล้า ในการทำประโยชน์ต่อมนุษย์ของหนูจงสถิตอยู่ในสถานที่อันสวยงาม ในดินแดนที่อบอุ่นไปด้วยความรักที่มนุษย์มีต่อสุนัข ไม่มีสงคราม ไม่มีพิบัติภัย..หลับให้สบายนะคะสาวน้อย ด้วยรักและอาลัย K9 : USAR Thailand

'เซียร่า' สุนัขกู้ภัย​ K9 สายพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ อายุ 8 ปี กลายเป็นขวัญใจโซเชียลจากภารกิจของทีม USAR Thailand ทั้ง 42 คน พร้อมสุนัขกู้ภัย K9 ‘เซียร่า-ซาฮาร่า’ เข้าร่วมสนับสนุนให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเหตุแผ่นดินไหว ขนาด 7.8 ศูนย์กลางใกล้เมือง ‘กาซีอันเท็พ’ ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของตุรกี ทีม USAR Thailand ออกสำรวจและค้นหาผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากอาคาร โดยใช้อุปกรณ์โซนาร์ และสุนัขค้นหา K9ในการระบุตำแหน่งผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากอาคาร เพื่อให้ทีมท้องถิ่นนำร่างออกมาได้ 25 คน

นอกจากภารกิจค้นหาผู้ติดใต้ซากอาคารแล้ว เซียร่าและซาฮาร่ายังทำหน้าที่ในการบำบัดใจให้ผู้ประสบภัยที่อยู่ในอาการโศกเศร้าจากความสูญเสีย ซึ่งการจากไปของ 'เซียร่า' สุนัขกู้ภัย​ K9 ผู้ใช้โซเชียลจำนวนมากได้แสดงความเสียใจต่อการจากไปเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งขอบคุณฮีโร่ 4 ขา ที่ได้เสียสละทำหน้าที่สุนัขกู้ภัย K9

'เขาเขียว' ลั่น!! ระวังโทษหนัก ปาสิ่งของใส่น้อง ‘หมูเด้ง’ วอน!! อยากให้ทุกคนมีมารยาทในการมาเที่ยวสวนสัตว์

(12 ก.ย. 67) นายณรงค์วิทย์ ชดช้อย ผู้อำนวยการสวนสัตว์เปิดเขาเขียว อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ออกกฎเหล็กปกป้อง ‘น้องหมูเด้ง’ ลูกฮิปโปโปเตมัสแคระ เพศเมีย วัย 2 เดือน หลังจากที่มีผู้ใช้แอคเคาท์ติ๊กต่อก (TikTok) ที่ใช้ชื่อว่า ‘@kkvk_ได้โพสต์คลิปวิดีโอเผยให้เห็นนักท่องเที่ยวบางกลุ่มแสดงพฤติกรรมที่ไม่น่ารักด้วยการเขวี้ยงปาเปลือกหอยใส่น้องหมูเด้งขณะที่กำลังนอนหลับให้ตื่นขึ้นมา และยังมีนักท่องเที่ยวอีกรายนำน้ำเปล่ามาราดใส่ขณะนอนหลับอยู่จนกลายเป็นมีมในโลกออนไลน์  

โดย นายณรงค์วิทย์ ได้เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า ขอความกรุณานักท่องเที่ยวมาชมน้องในช่วงที่น้องตื่นดีกว่า และขอร้องว่าอย่าปาสิ่งของใส่น้องเลย น้องอาจจะบาดเจ็บได้ ซึ่งมารยาทในการเที่ยวชมสวนสัตว์ สิ่งสำคัญเลยคือเราต้องเคารพและมีมารยาทในการมาเที่ยวสวนสัตว์เหล่านั้น เราไม่ตะโกนหรือขว้างปาสิ่งของใส่น้องๆ เหล่านั้น เพราะพฤติกรรมเหล่านี้ไม่น่ารักในการเที่ยวชมสวนสัตว์ และต้องเคารพกติกาของสถานที่นั้นๆ ด้วย

“สำหรับมาตรการในการป้องกันทางสวนสัตว์ได้มีการติดตั้งกล้องวงจรปิด รวมทั้งได้มีการจัดเจ้าหน้าที่ดูแลสัตว์ในช่วงที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนมาก และหากมีการล่วงละเมิดต่อสัตว์เราจะมีการดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างถึงที่สุด” ผอ.สวนสัตว์เปิดเขาเขียวกล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top