Thursday, 29 May 2025
NewsFeed

'อดีตทูตฯ' เห็นใจ!! ชะตากรรมเด็กไทย 'ย้ายประเทศ' ไปออสเตรเลีย แนะ!! ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็กลับมาเมืองไทย "เพราะบ้านเรายังอบอุ่นกว่า"

เมื่อวานนี้ (11 ก.ย.67) นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

เท่าที่ทราบ ตอนนี้พวกที่เคยทำเพจแนะนำให้ย้ายประเทศไปออสเตรเลีย เริ่มทยอยกันกลับกันมาบ้างแล้ว เพราะทนค่าครองชีพที่สูงบรรลัยที่นั่นไม่ไหว เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย ยังไม่พอใช้จ่ายแต่ละเดือน เงินเหลือเก็บแทบไม่มี

มีเพื่อนเล่าให้ฟังว่ามีเด็กไทยไปประสบเคราะห์กรรมเจ็บป่วย เป็นโรคซึมเศร้า มีอาการทางจิตหลายราย

บางรายก็เอาชีวิตไปทิ้งที่ออสเตรเลีย เจ็บป่วยตายแบบว้าเหว่โดดเดี่ยว น่าเวทนา ชุมชนไทยก็ระดมเงินช่วยกันเท่าที่จะช่วยได้

ยิ่งช่วงหลังเจอมาตรการของรัฐบาลออสเตรเลียที่พยายามลดจำนวนคนเอเชีย ไม่ต่อวีซ่าให้ หรือขั้นตอนการต่อวีซ่า Strict สุด ๆ

ยังไง ๆ ถ้ามันไม่ไหวจริง ๆ อย่างน้อยกลับมาตายรังที่บ้านเรายังอบอุ่นกว่านะ

'อรวดี' ชี้!! ชีพจรเศรษฐกิจไทย-โลก พร้อมทิศทางการลงทุนที่น่าจับตา

รายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 14 ก.ย.67 ได้พูดคุยกับคุณอรวดี ศิริผดุงธรรม Senior Investment Advisory ถึงทิศทางการลงทุนในจังหวะที่การเมืองเริ่มนิ่ง ว่า...

ด้วยการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่มีทิศทางมากขึ้น รวมถึงนโยบายของภาครัฐที่เตรียมเดินหน้า ทำให้บรรยากาศการลงทุนโดยเฉพาะในตลาดหุ้นไทยกลับมาคึกคัก ในขณะที่กระทรวงการคลัง ก็ได้มีนโยบายระดมทุนผ่านกองทุนวายุภักษ์ ซึ่งจะเริ่มเปิดขาย 16-20 ก.ย.นี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นกลไกเสริมสร้างการออม และการลงทุนให้กับประชาชน ตลอดจนสนับสนุนการพัฒนาตลาดเงิน และตลาดทุน ทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นมากขึ้น 

แต่ในด้านของตลาดทองคำ ยังมีความผันผวน ถ้าพิจารณาให้ดีในช่วงกันยายนของทุกปี จะเป็นช่วงที่นักลงทุนนิยมขายสินทรัพย์มั่นคง เช่น ทองคำ สกุลเงินดิจิทัล ออกไปมาก เนื่องจากนักลงทุนอยากปรับพอร์ตและลงทุนในทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในระยะสั้น ๆ 

ส่วนการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ คาดว่า ยังเติบโตในบางกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มตลาดบ้านและคอนโดมิเนียม พูลวิลล่า ระดับราคา 100 ล้านบาทขึ้นไป โดยเฉพาะที่จังหวัดภูเก็ตเติบโตมาก โดยได้รับความสนใจจากเศรษฐีรัสเซีย, ไต้หวัน, ฮ่องกง และสิงคโปร์ เป็นจำนวนมาก 

เมื่อถามถึงเทรนด์การทำธุรกิจในอนาคต? คุณอรวดี มองว่า ควรพิจารณาจากเมกะเทรนด์ให้มากขึ้น เช่น คนจีนยุคใหม่นิยม 'แข่งกันประหยัด' และหลายประเทศทั่วโลกก็เริ่มมาหันมาสนใจ หรือแม้แต่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายใต้แนวคิด Zero Waste ตรงนี้ต้องจับตาให้ดี เพราะถ้าเราทำธุรกิจอะไรที่เกี่ยวข้องและตอบโจทย์เทรนด์เหล่านี้ก็มีโอกาสเติบโตสูง 

เมื่อถามถึงภาพรวมเศรษฐกิจโลก? คุณอรวดี กล่าวว่า เริ่มที่สหรัฐฯ ต้องจับตามองการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 5 พฤศจิกายนนี้ ระหว่าง นางกมลา แฮร์ริส กับ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งมีนโยบายหาเสียงแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว โดยนักวิเคราะห์มองว่า ถ้านายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้กลับมาเป็นประธานาธิบดีอีกครั้ง คงหนีไม่พ้นที่จะขับเคลื่อนนโยบายด้านกำแพงภาษีแบบสุดโต่ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกได้ ขณะเดียวกันหาก นางกมลา แฮร์ริส ได้เป็นประธานาธิบดี อาจส่งผลดีกว่า เพราะไม่ได้ชูนโยบายด้านกำแพงภาษีสุดโต่งแบบนายโดนัลด์ ทรัมป์ 

ส่วนเศรษฐกิจยุโรป ยังคงมีปัญหาค่าครองชีพสูงขึ้น เนื่องจากภาวะวิกฤตด้านพลังงานซึ่งตอนนี้ยุโรปใกล้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว ทำให้ธนาคารกลางยุโรป (European Central Bank) ประกาศลดดอกเบี้ยไปก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าเต็มที่ 

ส่วนจีน การบริโภคภายในประเทศลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการบริโภคน้ำมันเนื่องจากการขนส่งลดลง รวมถึงปัญหาอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงมีปัญหาต่อเนื่อง 

ส่วนอาเซียน มาเลเซียและอินโดนีเซีย มีการปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจเทรนด์ใหม่ เน้นธุรกิจ AI เพิ่มมากขึ้น 

ในด้านการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed (The Federal Reserve) คุณอรวดี เผยว่า จะมีการประชุมอีกครั้งประมาณกลางเดือนกันยายนนี้ โดยนักวิเคราะห์มองว่ามีโอกาสสูงที่ Fed จะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25 เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่งสัญญาณชะลอตัวชัดเจน อัตราเงินเฟ้อเริ่มคลี่คลาย และที่สำคัญใกล้ช่วงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมา ตลาดเงิน ตลาดทุน ส่วนใหญ่จะได้รับข่าวดีในช่วงนี้ ซึ่งจะทำให้ตลาดกลับมาคึกคักอีกครั้ง 

สมุทรปราการ-เทศบาลตำบลแพรกษา สนับสนุนทุนการศึกษา ร่วม 2 ล้านบาท ดันกองทุน 'ร้อยโรงงาน ร้อยดวงใจ หนึ่งโรงเรียน' ให้เด็กได้เรียนฟรี

ที่ห้องประชุมชั้น 5 สำนักงานเทศบาลตำบลแพรกษา ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร จังหวัดสมุทรปราการ สมัยที่ 25 และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา พร้อมด้วย นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา ให้เกียรติเป็นประธานมอบทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียนโรงเรียนในสังกัดเทศบาลตำบลแพรกษา กระทรวงมหาดไทย

ภายใต้กองทุน “ร้อยโรงงาน ร้อยดวงใจ หนึ่งโรงเรียน” ซึ่งก่อนวันรับมอบทุนการศึกษาได้มีการประชุมพิจารณาโดยคณะกรรมการ มีนายเมธากุล สุวรรณบุตร ประธานมูลนิธิแพรกษาเพื่อการศึกษา ร่วมประชุมเเละพิจารณาให้ความเห็นชอบทุนกับนักเรียนในสังกัดเทศบาลตำบลแพรกษา ประจำปี 2567 

สำหรับการมอบทุนการศึกษาแก่เด็กนักเรียน ประจำปี 2567 ในครั้งนี้ มีคณะผู้บริหาร คณะสมาชิกสภาเทศบาล หัวหน้าส่วนราชการ ผู้อำนวยการโรงเรียน ตลอดจนผู้ปกครองร่วมในพิธีครั้งนี้ ณ ห้องประชุมเทศบาลตำบลแพรกษา ชั้น 5 ต.แพรกษา อ.เมือง สมุทรปราการ

ด้าน ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร กล่าวว่า สำหรับทุนการศึกษา คณะกรรมการบริหารกองทุน “ร้อยโรงงาน ร้อยดวงใจ หนึ่งโรงเรียน” ได้ประชุมพิจารณาคัดเลือกรายชื่อนักเรียน เพื่อเข้ารับทุนการศึกษาของสถานศึกษาในสังกัดเทศบาลตำบลแพรกษา ประจำปี พ.ศ. 2567 โดยแบ่งทุนการศึกษาออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1 ทุนการศึกษา ค่าบำรุงการศึกษา ทุนประเภทที่ 2 ทุนการศึกษา ผู้ทำคุณประโยชน์และสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียน ทุนประเภทที่ 3 ทุนการศึกษา ผู้มีความประพฤติดี มีผลการเรียนดี และทุนประเภทที่ 4 ทุนการศึกษาต่างประเทศ สนับสนุนนักเรียน ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารเทศบาลตำบลแพรกษา และผู้ที่เกี่ยวข้องที่ได้รับคัดเลือกให้ไปนำเสนอผลงานการแข่งขันแลกเปลี่ยนทางวิชาการ หรือวัฒนธรรม การเข้าค่าย และการศึกษาดูงาน ณ ต่างประเทศ

ทั้งนี้ มีนักเรียนที่ได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้ได้รับทุนการศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 235 ทุน 1 โรงเรียนอนุบาลแพรกษาวิเทศศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 21 ทุน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 91,000 บาท 2 โรงเรียนแพรกษาวิเทศศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 161 ทุน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1,224,522 บาท 3 โรงเรียนมัธยมแพรกษาวิเทศศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 53 ทุน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 266,000 บาท รวมแล้วเป็นเงินทั้งสิ้น 1,581,522 บาท 

อย่างไรก็ตาม เทศบาลตำบลแพรกษา โดยนางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา พร้อมด้วย คณะผู้บริหาร คณะสมาชิกสภา พร้อมที่จะขับเคลื่อนเดินหน้ากองทุน “ร้อยโรงงาน ร้อยดวงใจ หนึ่งโรงเรียน” และพร้อมเป็นเจ้าภาพในการดูแลให้เด็กนักเรียนทุกคนได้เรียนฟรีใน ปี พ.ศ. 2570 โดยเหตุผลที่ว่า การศึกษาต้องมาก่อน

'โซเชียล' ถกสนั่น!! ปมแซะ 'พึ่งพาอาสาฯ เยอะ เท่ากับบริการสาธารณะพัง' ทั้งๆ ที่คำว่า 'ชาติ' คือ การขับดันประเทศไปพร้อมกัน โดย 'ภาครัฐ-ประชาชน'

(12 ก.ย. 67) จากเพจ 'สมชาย ชอบชาย' ได้โพสต์ข้อความถึงคอมเมนต์หนึ่งที่กำลังถูกแชร์ในโลกโซเชียล ว่า "คนเยอรมันบอกประเทศที่พึ่งอาสาสมัครเยอะแสดงว่าบริการสาธารณะพัง" ดังนี้...

#เห็นโพสต์นี้แล้วคันปากต้นทางปิดคอมเมนต์ เห็นแล้วต้องกลับมาทบทวน ชีวิตตัวเองที่อยู่เยอรมัน 12 ปี ว่าเคยทำจิตอาสาอะไรไปบ้าง และถึงกับติดต่อไปถามสามีในสมรสคนเยอรมันที่เป็นหัวหน้าพรรคการเมืองดังเลยทีเดียว 

กับประเด็นนี้ คำตอบ ไม่ใช่เลย ทั่วทั้ง เยอรมัน มีองค์กรการกุศล จิตอาสา เยอะมาก ที่คนทำส่วนใหญ่ไม่ได้เงิน มีเป็น 1,000 องค์กรการกุศล 

ยกตัวอย่างเช่น องค์กรช่วยเหลือสัตว์, ช่วยเหลือผู้ลี้ภัยสงคราม, สภากาชาด, นักดับเพลิงจิตอาสา ในทางกลับกัน สามีอิชั้น ตอบว่า ขาดองค์กรการกุศลและจิตอาสาแล้ว ประเทศเยอรมันจะพังมากกว่า 

อันนี้ อิชั้น ขยายความเอง ทุกที่ทั่วโลก จะแบ่งเป็น การทำงาน 2 ฝ่าย ภาครัฐ และ ภาคประชาชน    

#ภาครัฐมีหน้าที่โดยตรงในการ ดูแลประชาชน ในทุกด้าน ขับเคลื่อนประเทศ ด้วยระบบเศรษฐกิจ ในทุกด้าน รายได้ เงินภาษี บำรุงชาติ บำรุงคุณภาพชีวิต ของประชาชน และช่วยเหลือประชาชน ยามมีภัย ด้วยอำนาจรัฐและงบประมาณที่มี และความพร้อมในทุก ๆ ด้าน...

#ภาคประชาชน เป็นเรื่องของ ศีลธรรม จริยธรรม มนุษยธรรม เมตตากรุณา Morality, Ethics, Humanity, Kindness เป็นการเติมเต็มด้านกำลังใจ ในการเกื้อกูล ช่วยเหลือค้ำจุน ผู้ที่เดือดร้อน และด้อยโอกาสกว่า 

ทั้งหมดนี้ คือ การกระทำด้านจิตอาสา เพื่อจรรโลงให้สังคม น่าอยู่ขึ้น ด้วยจิตที่เป็นกุศล ลงมือทำด้วยกุศล  

บอกก่อน เยอรมันมีความพร้อม ช่วยเหลือชาติอื่นที่ประสบภัย แบบอันดับต้น ๆ ของโลกเลยนะ ทั้งหมอ เครื่องมือ เครื่องบิน ทุกอย่างพร้อมมาก เรามักจะเห็นทีมชาติเยอรมันไปช่วยประเทศอื่นเสมอยามประสบภัย ประเทศเขาพังตรงไหนก่อน

ส่วนคราวที่แล้ว ตอนเครื่องบินสิงคโปร์แอร์ไลน์ตกหลุมอากาศ ลงจอดฉุกเฉินที่สนามบินสุวรรณภูมิ เจอองค์กรจิตอาสาและรถฉุกเฉินช่วย ผู้โดยสารไปรอรับ ที่สนามบิน ทั่วโลกถึงกับตะลึงในความเร็วและความพร้อมในไทย ประเทศไทยพังยังคะ?

คำว่าชาติ รวมทั้งภาครัฐและประชาชน มันต้อง ร่วมกันเดินไปทั้งคู่ ขับดันประเทศไปพร้อมกัน ขาดเหลืออะไร เชิญทุกคนตอบในคอมเมนต์ได้ ตอนนี้คิดอะไรไม่ค่อยออก ปวดไมเกรน

‘Amity’ เทคโอเวอร์ ‘Tollring’ ยักษ์ใหญ่ AI สัญชาติอังกฤษ ช่วยเร่งเครื่องสู่ความเป็นผู้นำด้าน GenAI ในเวทีโลก

(12 ก.ย. 67) ‘อะมิตี้ โซลูชั่นส์’ (Amity Solutions: ASOL) หนึ่งในผู้พัฒนาซอฟต์แวร์และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์สร้างสรรค์ (GenAI) ของไทย ประกาศเข้าซื้อหุ้นและกลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน ‘โทลล์ริง’ (Tollring) ผู้ให้บริการชั้นนำด้านการวิเคราะห์การโทรและระบบธุรกิจอัจฉริยะ มีสำนักงานใหญ่อยู่ในสหราชอาณาจักร

โทลล์ริง ได้รับการยอมรับว่า เป็นหนึ่งในผู้ให้บริการชั้นนำระดับโลกด้านโซลูชันการวิเคราะห์การโทรและระบบธุรกิจอัจฉริยะ โดยให้บริการแก่ธุรกิจกว่า 20,000 แห่งในสหราชอาณาจักร, ยุโรป, สหรัฐอเมริกา และออสเตรเลีย ซึ่งเฉิดฉายและมีชื่อเสียงจากการใช้เทคโนโลยีเอไอ และเจนเอไอ อย่างสร้างสรรค์ในชุดผลิตภัณฑ์ของบริษัท

‘นายกรวัฒน์ เจียรวนนท์’ ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง ASOL กล่าวว่า การเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการเดินทางของ ASOL สู่การเป็น GenAI แชมเปี้ยนของไทย

“ความเชี่ยวชาญของ โทลล์ริง ในด้านระบบวิเคราะห์เสียงและการโทรด้วยเทคโนโลยี เอไอ สอดคล้องกับกลยุทธ์ของเราได้อย่างลงตัว และยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถของเราในตลาดนี้ได้เป็นอย่างมาก”

ดีลมูลค่าระดับหลักพันล้านบาทนี้ คาดว่าจะก่อให้เกิดคุณประโยชน์สำคัญกับ ASOL เช่น เสริมแกร่งขีดความสามารถด้าน GenAI ความเป็นผู้นำตลาดของ โทลล์ริง ด้านระบบวิเคราะห์เสียงและสายโทรด้วยเทคโนโลยีเอไอ จะช่วยเป็นทั้งตัวเสริมและขยายโครงการด้าน GenAI ต่าง ๆ ที่มีอยู่เดิมของ ASOL

ทั้งเป็นการเพิ่มการเข้าถึงตลาดโลก การเข้าซื้อหุ้นครั้งนี้ช่วยเสริมแกร่งให้กับกลยุทธ์ของ ASOL ไปสู่ระดับนานาชาติ โดยต่อยอดจากรายได้และกำไรที่มาจากตลาดโลกที่มีอยู่เดิมได้อย่างมีนัยสำคัญ

ขณะที่ การผนึกกำลังด้านผลิตภัณฑ์ ชุดผลิตภัณฑ์ของโทลล์ริงสามารถผสานรวมเข้ากับผลิตภัณฑ์ปัจจุบันของ ASOL ได้อย่างราบรื่น สร้างโอกาสในการเกิดการผสานพลังร่วมกัน (cross-synergies) ในระดับโลก ซึ่งชุดผลิตภัณฑ์นวัตกรรมของโทลล์ริงช่วยติดสปีดความสามารถให้ธุรกิจต่างๆ ด้วยการมองเห็นและควบคุมการสื่อสารทางเสียงได้อย่างครอบคลุม อาศัยระบบวิเคราะห์การโทรขั้นสูง ข้อมูลเชิงลึกจากการสนทนาที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอ และการผสานรวมกับแพลตฟอร์มการสื่อสารชั้นนำ องค์กรสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการโทร รับรองการปฏิบัติตามกฎระเบียบ และตัดสินใจโดยอิงจากข้อมูลเพื่อยกระดับประสบการณ์และปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า

ผลิตภัณฑ์ของ โทลล์ริง มีฟีเจอร์หลักประกอบด้วยการบันทึกและวิเคราะห์ที่ขับเคลื่อนด้วย เอไอ เพื่อการตัดสินใจที่ดีขึ้น การวิเคราะห์การโทรขั้นสูงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า และการวิเคราะห์การทำงานร่วมกันเพื่อการจัดการทีมได้อย่างมีประสิทธิผล

ความสามารถเหล่านี้ครอบคลุมการใช้งานต่าง ๆ เช่น การบันทึกการโทร การจัดการการปฏิบัติตามกฎระเบียบ การวิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า และการวิเคราะห์การทำงานร่วมกัน ลูกค้าของ Tollring นั้นรวมถึงองค์กรชั้นนำต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น BT Group, KPN, Dstny, CallTower, Mitel และ NFON

‘นายโทนี่ มาร์ติโน่’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร หรือ ซีอีโอ ของ โทลล์ริง กล่าวว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านมา การเดินทางของโทลล์ริง นับวันแล้วมีแต่ก้าวที่ยิ่งใหญ่ และความสำเร็จของบริษัท สร้างขึ้นบนพื้นฐานของวัฒนธรรมองค์กรที่ยอดเยี่ยม ควบคู่ไปกับกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ที่แข็งแกร่งที่บริษัทมุ่งเน้นอย่างจริงจังในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า

“เรารู้สึกตื่นเต้นมากกับการเดินทางบทใหม่ของเราในฐานะส่วนหนึ่งของ ASOL ซึ่งจะทำให้เราสามารถส่งมอบคุณค่าและขยายขนาดธุรกิจในระดับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนให้กับลูกค้าและพาร์ตเนอร์ของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และโอกาสอันมหาศาลในอุตสาหกรรมของเรา”

อย่างไรก็ตาม ดีลครั้งนี้ส่งผลให้ ASOL มีพนักงานใหม่เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 120 คน มีสำนักงานอยู่ในลอนดอนและนิวเดลี ซึ่งช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับกลุ่มบุคลากรที่มีความสามารถในเวทีโลก อีกทั้งยังช่วยขยายฐานการดำเนินงานของบริษัท ขณะที่ การร่วมมือครั้งนี้ตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นของ ASOL ในด้านนวัตกรรม เร่งเครื่องสู่ความเป็นผู้นำในด้าน GenAI ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย แต่รวมถึงในเวทีโลก

'รัฐบาลแพทองธาร' ชัดเจน!! ประกาศนโยบาย 'ลดราคาค่าพลังงาน' พร้อมเดินหน้าปรับปรุงกฎหมายสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้ประเทศ

(12 ก.ย. 67) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงนโนบายต่อรัฐสภา โดยนโยบายที่ 3 จาก 10 นโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล คือ รัฐบาลจะเร่งออกมาตรการเพื่อลดราคาค่าพลังงานและสาธารณูปโภค ปรับโครงสร้างราคาพลังงานควบคู่กับการเร่งรัดจัดทำ ปรับปรุงกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อกำหนดเกี่ยวกับการทำสัญญาซื้อขายพลังงานได้โดยตรง (Direct PPA) รวมทั้งการพัฒนาระบบสำรองน้ำมันเชื้อเพลิงเพื่อความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ของประเทศ (Strategic Petroleum Reserve: SPR) สำรวจหาแหล่งพลังงานเพิ่มเติม และการเจรจาประเด็นพื้นที่ทับซ้อนกับกัมพูชา (OCA) เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน 

พร้อมกันนี้ รัฐบาลได้เดินหน้าผลักดันการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนสาธารณะ (Mass Transit) และการกำหนดโครงสร้างอัตราค่าโดยสารร่วมในเขตกรุงเทพมหานคร เพื่อรองรับนโยบาย 'ค่าโดยสารราคาเดียว' ตลอดสาย เพื่อลดภาระค่าเดินทาง

นอกจากนี้ สำหรับนโยบายระยะกลางและระยะยาวที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน รัฐบาลจะส่งเสริมเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy or Eco-friendly Economy) โดยอาศัยจุดแข็งของที่ตั้งใกล้เส้นศูนย์สูตรเข้าถึงพลังงานแสงอาทิตย์ได้ตลอดทั้งปี เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นแหล่งผลิตพลังงานสะอาด ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์ เช่น การติดตั้ง แผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาและผืนน้ำ พลังงานน้ำ และพลังงานทางเลือกอื่นๆ รวมทั้งพัฒนาตลาดซื้อขายไฟฟ้าเสรีและคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) เพื่อความยั่งยืน และการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานรูปแบบใหม่สำหรับทั้งการบริโภคภายในประเทศและการส่งออกพลังงานสู่ภูมิภาคอาเซียน รวมทั้งการปรับกระบวนการผลิตของภาคอุตสาหกรรม ภาคเกษตรกรรม และภาคธุรกิจบริการ ให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

นอกจากนั้น รัฐบาลจะสานต่อนโยบายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำของอาเซียนในด้านการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งจะช่วยเปิดประตูบานใหญ่สู่การค้าโลกและช่วยสร้างข้อได้เปรียบให้ผู้ผลิตสินค้าและบริการในประเทศ และส่งเสริมให้ไทยเป็นศูนญ์กลางด้านการซื้อขาย Carbon Credit ของอาเซียนผ่านตลาดหลักทรัพย์ไทย

สำหรับนโยบายเร่งด่วนทั้ง 10 นโยบาย ประกอบด้วย...

นโยบายที่ 1 รัฐบาลจะผลักดันให้เกิดการปรับโครงสร้างหนี้ทั้งระบบ

นโยบายที่ 2 รัฐบาลจะดูแลส่งเสริมพร้อมปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SME

นโยบายที่ 3 รัฐบาลจะเร่งออกมาตรการเพื่อลดราคาค่าพลังงานและสาธารณูปโภค

นโยบายที่ 4 รัฐบาลจะสร้างรายได้ใหม่ของรัฐด้วยการนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษี (Informat Economy) และเศรษฐกิจใต้ดิน (Underground Economy) เข้าสู่ระบบภาษี

นโยบายที่ 5 รัฐบาลจะเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางเป็นลำดับแรก และผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต (Digital Wallet)

นโยบายที่ 6 รัฐบาลจะยกระดับการทำเกษตรแบบดั้งเดิมให้เป็นเกษตรทันสมัย  

นโยบายที่ 7 รัฐบาลจะเร่งส่งเสริมการท่องเที่ยว

นโยบายที่ 8 รัฐบาลจะแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร

นโยบายที่ 9 รัฐบาลจะเร่งแก้ไขปัญหาอาชญากรรม อาชญกรรมออนไลน์/มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติ

นโยบายที่ 10 รัฐบาลจะส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพ และจัดสวัสดิการสังคม ให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป

สนง.เลขาธิการวุฒิสภา จัดโครงการเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านนิติบัญญัติให้แก่สมาชิกวุฒิสภา ครั้งที่ 2 เรื่อง “กระบวนการพิจารณาร่างกฎหมาย”

เมื่อวันที่ (11 ก.ย. 67) เวลา 09.00 นาฬิกา ณ ห้องประชุม หมายเลข 402 – 403 ชั้น 4 อาคารรัฐสภา (ฝั่งวุฒิสภา) สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา จัดโครงการเสริมสร้างองค์ความรู้ด้านนิติบัญญัติให้แก่สมาชิกวุฒิสภา ครั้งที่ 2 เรื่อง “กระบวนการพิจารณาร่างกฎหมาย” โดยมี นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา พลเอก เกรียงไกร ศรีรักษ์ รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง สมาชิกวุฒิสภา นางสาวนภาภรณ์ ใจสัจจะ เลขาธิการวุฒิสภา และผู้บริหารสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา เข้าร่วม

โอกาสนี้ ได้รับเกียรติจากนายนภดล เภรีฤกษ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา บรรยายพิเศษ เรื่อง “การพิจารณาและกลั่นกรองกฎหมายของวุฒิสภา” ในประเด็นต่าง ๆ ประกอบด้วย กระบวนการพิจารณาร่างกฎหมาย การวิเคราะห์กฎหมาย คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับการพิจารณากฎหมาย หลักการสำคัญของการตรากฎหมายตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ การพิจารณาหลักการและเหตุผลของร่างกฎหมาย การประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย และบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อการพิจารณาร่างกฎหมาย ซึ่งประเด็นดังกล่าวล้วนเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกวุฒิสภาในการปฏิบัติงานด้านนิติบัญญัติตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญและกฎหมายได้เป็นอย่างดียิ่ง

‘ลิซ่า’ สร้างตำนานบทใหม่ คว้ารางวัล Best K-pop ครั้งที่ 2 จากเวที VMAs พร้อมเรียกเสียงกรี๊ด!! หลังโชว์เดี่ยว ‘New Woman-Rockstar’ ทำถึงสุดๆ

(12 ก.ย.67) จากเวที MTV Video Music Awards 2024 หรือ VMAs สาว 'ลิซ่า' ลลิษา มโนบาล ได้คว้ารางวัล 'Best K-pop' จากผลงานเพลงแรกในฐานะศิลปินเดี่ยวอย่าง 'ROCKSTAR' ซึ่งเธอเคยได้รางวัลดังกล่าวมาแล้วเมื่อปี 2022 โดยลิซ่ากล่าวหลังจากรับรางวัลว่า เพลง 'ROCKSTAR' เป็นการคัมแบ็กที่มีความหมายสำหรับเธอมาก หลังจากซิงเกิลเดี่ยวเพลงแรกอย่าง LALISA 

นอกจากนี้เธอยังได้กล่าวขอบคุณทั้งค่าย RAC และ LLOUD สำหรับความสำเร็จครั้งนี้ด้วย ซึ่งบรรดาแฟนคลับต่างดีใจกันอย่างมาก เพราะลิซ่าเป็นศิลปินเดี่ยวเพียงคนเดียวที่ได้รางวัลนี้ถึง 2 ครั้ง

ไม่เพียงแค่เรียกเสียงฮือฮาจากการขึ้นรับรางวัลเท่านั้น แต่ลิซ่ายังได้เสียงกรี๊ดเป็นอย่างมากจากการแสดงในฐานะศิลปินเดี่ยวอีกด้วย โดยเธอเปิดโชว์ด้วยเพลง New Women ตามด้วยเพลง ROCKSTAR ซึ่งการแสดงนี้ได้รับการพูดถึงโปรดักชันที่ยิ่งใหญ่อลังการ และนี่คือการก้าวสู่ระดับโลกอย่างแท้จริงของ ลิซ่า หลังได้แสดงบนเวทีเดียวกับศิลปินดังระดับโลกอีกมากมาย เช่น Sabrina Carpenter, Katy Perry, Megan Thee Stallion, LE SSERAFIM, Shawn Mendes, Karol G และ EMINEM เป็นต้น

สำหรับปีนี้ลิซ่าได้เข้าชิงรางวัลถึง 4 สาขาด้วยกัน ได้แก่ Best K-pop, Best Editing, Best Art Direction และ Best Choreography

สำนักงาน ป.ป.ท. มอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติ 59 เครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต

(11 ก.ย. 67) นายภูมิวิศาล เกษมศุข เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลเครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริต  ภายใต้โครงการเครือข่าย ป.ป.ท. เฝ้าระวังการทุจริต “PACC Connect” ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567

เพื่อยกย่องและเชิดชูเกียรติเครือข่ายต้นแบบที่มีระบบเฝ้าระวังการทุจริตเข้มแข็งและมีคุณภาพ ตลอดจนสร้างเครือข่ายภาคประชาสังคมให้เข้ามามีส่วนร่วมในการป้องกัน เฝ้าระวัง และแจ้งเบาะแสการทุจริตในระดับพื้นที่ทั่วประเทศ

โดยมีนายเอกชัย เกษมสุขธวัช รองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. พร้อมด้วยคณะผู้บริหารสำนักงาน ป.ป.ท. คณะกรรมการส่งเสริมและสนับสนุนการมีส่วนร่วมของประชาชนในการต่อต้านการทุจริต (สปท. ป.ป.ท.) ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ภาคประชาสังคมในเครือข่ายของ ปปท. เขต 1-9 และกรุงเทพมหานคร รวมทั้งเครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบฯ รวมจำนวนทั้งสิ้น 150 คน เข้าร่วมฯ ณ ห้องแกรนด์บอลรูม A ชั้น 5 โรงแรมเบสท์เวสเทิร์น พลัส แวนด้า แกรนด์ ถนนแจ้งวัฒนะ ตำบลคลองเกลือ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี

สำหรับเครือข่ายพื้นที่สีขาวต้นแบบในการป้องกันและเฝ้าระวังการทุจริตที่มีผลงานโดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งได้รับรางวัลในปี พ.ศ. 2567 มีจำนวนทั้งสิ้น 91 เครือข่าย ประกอบด้วย ระดับดีเยี่ยม จำนวน 56 เครือข่าย ระดับดีเด่น จำนวน 8 เครือข่าย ระดับดี จำนวน 19 เครือข่าย และระดับมาตรฐาน จำนวน 8 เครือข่าย

โดยในวันนี้ เป็นการมอบโล่รางวัลเชิดชูเกียรติ จำนวน 59 เครือข่าย ได้แก่ ระดับดีเยี่ยม จำนวน 56 เครือข่าย และระดับดี (ส่วนกลาง) จำนวน 3 เครือข่าย

เลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ท. กล่าวว่า สำนักงาน ป.ป.ท. ในฐานะที่เป็นเครื่องมือและมาตรการของฝ่ายบริหาร ได้มุ่งเน้นในเรื่องการป้องกันและขจัดการทุจริตโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วม และส่งเสริมให้ประชาชนเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเริ่มตั้งแต่การร่วมสร้างความไว้ใจ สร้างความศรัทธาเชื่อมั่น สร้างคน สร้างเครือข่าย แม้สำนักงาน ป.ป.ท. จะมีทรัพยากรน้อยเมื่อเทียบกับภารกิจที่ต้องดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการทุจริต แต่สิ่งที่เราไม่เคยขาดเลยคือ ความมุ่งมั่น ตั้งใจ และการได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายภาคประชาสังคม หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง รัฐวิสาหกิจ เอกชน และประชาชน ในการไม่ทนและร่วมกันต่อต้านการทุจริต ตลอดจนการร่วมกันแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในพื้นที่ พร้อมทั้งร่วมกันสอดส่อง เฝ้าระวัง เปิดรับข่าวสาร ข้อมูล เบาะแส ที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตหรือกรณีที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ดังกล่าวอีกด้วย..

สิทธิพจน์ เกบุ้ย/ผู้สื่อข่าว

'เวียดนาม' ยังวิกฤต!! อาจมีน้ำท่วมรอบเมืองหลวงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ส่วนผลกระทบ ‘ไต้ฝุ่นยางิ’ ทำยอดเสียชีวิตใกล้แตะ 200 รายแล้ว

(12 ก.ย. 67) สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า สถานการณ์น้ำท่วมในกรุงฮานอยของเวียดนามยังคงวิกฤต โดยประชาชนในเมืองหลวงต้องเผชิญระดับน้ำสูงถึงเอวในวันพุธ ขณะที่ระดับน้ำในแม่น้ำแดงพุ่งสูงสุดในรอบ 20 ปี และอาจทะลักท่วมเมืองมากขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ยอดผู้เสียชีวิตล่าสุดจากอิทธิพลของพายุไต้ฝุ่น 'ยางิ' ซึ่งรุนแรงที่สุดในรอบ 30 ปีพุ่งขึ้นเป็นอย่างน้อย 179 ราย และสูญหาย 145 คนทั่วประเทศ นอกจากนี้ฝนที่ตกหนักยังทำให้เกิดน้ำท่วมและดินถล่มทำลายล้างในพื้นที่ทางตอนเหนือของลาว, ไทย และเมียนมาอีกด้วย คร่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมาก

มีรายงานดินถล่มในหมู่บ้าน ‘ลางนู’ บนภูเขาอันห่างไกลในจังหวัดหล่าวกาย ทำให้พื้นที่หมู่บ้านทั้งหมดราบเป็นหน้ากลองด้วยโคลนและหิน

สื่อเวียดนามยังรายงานเพิ่มเติมว่า มีผู้เสียชีวิตในหมู่บ้านอย่างน้อย 34 ราย และยังมีผู้สูญหายอีก 46 คน โดยหน่วยกู้ภัยมีแค่จอบและพลั่วในการขุดดินเพื่อค้นหา

นักพยากรณ์อากาศ กล่าวว่าระดับน้ำในฮานอยถึงจุดสูงสุดแล้ว และระดับน้ำในแม่น้ำแดงจะลดลง พร้อมเตือนว่าจะมีน้ำท่วมรุนแรงเป็นวงกว้างในพื้นที่รอบเมืองหลวงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ตำรวจ, ทหาร และอาสาสมัครช่วยเหลือประชาชนหลายร้อยคนที่อาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำที่เอ่อล้นในกรุงฮานอย เพื่ออพยพออกจากบ้านในช่วงเช้าตรู่ เนื่องจากระดับน้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

ตำรวจฮานอยกล่าวว่า เจ้าหน้าที่กำลังเดินเท้าและใช้เรือไปตรวจสอบบ้านทุกหลังริมแม่น้ำ

"ประชาชนทุกคนต้องอพยพทันที เจ้าหน้าที่จะนำพวกเขาไปยังอาคารสาธารณะที่กลายเป็นที่พักพิงชั่วคราวหรือพวกเขาสามารถอาศัยอยู่กับญาติในพื้นที่อื่นๆได้ ขณะนี้ฮานอยไม่ปลอดภัยเพราะฝนตกหนักมากและระดับน้ำก็สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว" ตำรวจกล่าว

ขณะที่สถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงฮานอยกล่าวว่า สหรัฐฯ ได้อนุมัติงบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างเร่งด่วนมูลค่า 1 ล้านดอลลาร์ให้แก่เวียดนาม

เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ประชาชน 59,000 คนถูกบังคับให้อพยพออกจากบ้านเรือน เนื่องจากพื้นที่อยู่อาศัยบางส่วนของจังหวัดท้ายเหงียนและเอียนบ๊ายจมอยู่ใต้น้ำเกือบหมด โดยประชาชนที่อพยพไม่ทันได้หนีขึ้นไปหลบอยู่บนหลังคาเพื่อขอความช่วยเหลือ

เจ้าหน้าที่กู้ภัยพยายามเข้าไปช่วยผู้สูงอายุและเด็กในชุมชนที่อยู่อาศัย ขณะที่ญาติของผู้ที่ติดอยู่ในน้ำท่วมได้โพสต์คำร้องขอความช่วยเหลือและสิ่งของจำเป็นอย่างสิ้นหวัง

ในประเทศลาวซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้าน ทางการได้อพยพประชาชน 300 คนจากหมู่บ้าน 17 แห่งในจังหวัดหลวงน้ำทาทางตอนเหนือ

โครงการอาหารโลกของสหประชาชาติแสดงความวิตกกังวลอย่างมากต่อความปลอดภัยของชุมชนในภาคเหนือของลาว ขณะที่วิทยุกระจายเสียงแห่งชาติรายงานว่าบ้านเรือน, ถนน, ตลาด, โรงเรียน และพื้นที่เกษตรกรรมได้รับความเสียหายอย่างหนัก โดยมียอดผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมอย่างน้อย 1 ราย

ในประเทศไทย มีรายงานผู้เสียชีวิต 4 รายในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงรายทางภาคเหนือ โดยกองทัพได้ส่งกำลังพลไปช่วยเหลือครอบครัวที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมประมาณ 9,000 ครอบครัว

ในประเทศเมียนมา มีฝนตกติดต่อกันหลายวันในบริเวณกรุงเนปยีดอ ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำพุ่งสูงถึงระดับอันตราย ตามรายงานของรัฐบาลทหาร เบื้องต้นมีรายงานผู้เสียชีวิต แต่ยังไม่มีการยืนยันว่ากี่ราย

ทั้งนี้ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ประสบกับฝนมรสุมทุกปี แต่การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่มีต้นเหตุจากมนุษย์ ทำให้เกิดรูปแบบสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น กลายเป็นภัยธรรมชาติที่รุนแรงกว่าปกติ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top